การบัญชีเพื่อการจัดการ (Accounting Management)

ชื่อผลงานทางวิชาการ การบัญชีเพื่อการจัดการ(Accounting Management)

ประเภทผลงานทางวิชาการ ตำรา

ปีที่พิมพ์ ปรับปรุง ปี 2557

มูลเพิ่มเติม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ
รองศาสตราจารย์ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ


 

การบัญชีเพื่อการจัดการ

 

   หนังสือ การบัญชีเพื่อการจัดการ เล่มนี้ ผู้เขียนได้เรียบเรียงขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบัญชี หรือบริหารธุรกิจและการจัดการทั่วไป ที่มีความรู้พื้นฐานทางด้านบัญชีมาก่อนได้เรียนและศึกษา โดยผู้เขียนได้เขียนถึงแนวคิดพื้นฐานทางบัญชีต้นทุน ต้นทุนการผลิตสินค้า การบัญชีต้นทุนงานสั่งทำ การบัญชีต้นทุนช่วงการผลิต การวิเคราะห์ปัญหาและการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนกำไร ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้เกี่ยวกับบัญชีเพื่อการจัดการที่สมบูรณ์ โดยมีรายละเอียดเนื้อหา 9 บท ซึ่งแต่ละบทจะมีแบบฝึกหัด เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้ฝึกปฏิบัติ มีทักษะเพิ่มมากขึ้น ดังนี้

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับบัญชีเพื่อการจัดการ

   ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่เต็มไปด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนโยบายการค้าแบบเสรี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการลงทุน เกิดการขยายตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจซื้อมาขายไปหรือธุรกิจที่ให้บริการ ธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ต้องเผชิญกับภาวการณ์แข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี ด้วยเหตุนี้ธุรกิจจึงจำเป็นต้องพัฒนาและวิจัยเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธุรกิจจำเป็นต้องพัฒนาการดำเนินงานทั้งด้านการผลิตและการขาย โดยอาศัยเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศที่เข้ามามีบทบาทต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจ

   ผู้บริหารของธุรกิจซึ่งมีหน้าที่หลักในการวางแผนควบคุมและตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจในการกำหนดแนวทางในการใช้ทรัพยากรของธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด การกำหนดราคาของสินค้าและบริการ การตัดสินใจผลิตหรือไม่ผลิตสินค้าชนิดหนึ่งชนิดใด รวมทั้งการกำหนดระดับการผลิตที่เหมาะสม ฯลฯ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องพยายามช่วงชิงความได้เปรียบในการตัดสินใจในปัญหาต่างๆ ของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและด้วยความรวดเร็ว โดยต้องอาศัยข้อมูลที่ผู้บริหารทุกฝ่ายได้รับมาทั้งภายในและภายนอกเพื่อประกอบการพิจารณาเพื่อการตัดสินใจดังกล่าว

   ดังนั้น การตัดสินใจปัญหาต่างๆ ของผู้บริหาร จึงจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ เหมาะสม และทันต่อเหตุการณ์ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการตัดสินใจ ข้อมูลทางบัญชีในยุคปัจจุบันจึงได้ถูกปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้ข้อมูล โดยมุ่งเน้นถึงการจัดทำข้อมูล

   เพื่อตอบสนองความต้องการของฝ่ายบริหาร เพื่อที่ฝ่ายบริหารจะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทนี้มีหัวข้อรายละเอียดประกอบด้วย ผู้ใช้ข้อมูลทางบัญชี ประเภทของข้อมูลทางบัญชี ความแตกต่างของการบัญชีการเงินและการบัญชีเพื่อการจัดการ คุณสมบัติของข้อมูลการบัญชีเพื่อการจัดการ ข้อมูลทางการบัญชีกับกระบวนการจัดการ การบริหารและการจัดการยุคใหม่

บทที่ 2 แนวความคิดเกี่ยวกับต้นทุน

   ในการดำเนินธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectives) นั้น การมีความรู้เรื่องของต้นทุน (Cost) เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารจะละเลยเสียไม่ได้ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนจะเป็นข้อมูลสำคัญเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ การวางแผน ควบคุมและการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร กิจการที่ให้ความสำคัญและสนใจในการบริหารต้นทุน เพื่อคำนวณหาต้นทุนที่แท้จริง การพิจารณาและบริหารต้นทุนในแง่ของการลดต้นทุนถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ เนื่องจากสามารถใช้เป็นข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ของฝ่ายบริหาร ได้แก่ การตั้งราคาขาย การให้ส่วนลดแก่ลูกค้า การลดราคา การแจกของแถม การพิจารณารับคำสั่งซื้อพิเศษ การยกเลิกผลิตสินค้าชนิดหนึ่งชนิดใด การปิดโรงงานชั่วคราว ฯลฯ เหล่านี้เป็นการวางแผนและตัดสินใจของฝ่ายบริหารที่ต้องอาศัยต้นทุนที่เกี่ยวข้อง (Relevant Costs) มาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจดังกล่าว ดังนั้น การนำความรู้ทางด้านบัญชีต้นทุนมาช่วยในการจัดทำรายงานข้อมูลทางบัญชี เพื่อการบริหารจึงเป็นสิ่งจำเป็น

   ด้วยเหตุนี้ นักบัญชีเพื่อการจัดการหรือฝ่ายบริหาร จึงจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับประเภทต้นทุน การจำแนกต้นทุน ลักษณะและความแตกต่างของต้นทุน การคำนวณต้นทุน การพิจารณาเพื่อจำแนกและรายงานข้อมูลต้นทุนที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถวางแผนตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในบทนี้ ยังมีหัวข้อเกี่ยวกับ ความหมายของต้นทุน ลักษณะการดำเนินงานของกิจการ การจำแนกประเภทต้นทุน ส่วนประกอบของต้นทุนการผลิต กระบวนการผลิตทางบัญชี วิธีการทางบัญชีต้นทุนและต้นทุนการผลิตในงบกำไรขาดทุน

บทที่ 3 การบัญชีต้นทุนงานสั่งทำ

ในการผลิตสินค้านั้น การคำนวณต้นทุนของสินค้าเป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารต้องเข้าใจถึงระบบบัญชีต้นทุน (Cost Accounting System)” ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมต้นทุน (Cost Control) ให้มีประสิทธิภาพและสามารถประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกได้ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่

ระบบบัญชีต้นทุน เป็นวิธีการรวบรวม จดบันทึก และสะสมต้นทุน เพื่อคำนวณหาต้นทุนของสินค้า (Product Costing) และต้นทุนต่อหน่วย ซึ่งจะช่วยให้สามารถกำหนดราคาขายของสินค้าได้อย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถตัดสินใจในการผลิตหรือยกเลิกสินค้าชนิดหนึ่งชนิดใด

ในการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรมโดยทั่วไป สามารถแบ่งลักษณะการผลิตได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

1. การผลิตสินค้าตามคำสั่งของลูกค้า (Job-order) เป็นการผลิตที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าที่มีลักษณะ รูปแบบ ตามที่ลูกค้าต้องการหรือที่สั่งให้ผลิต ทั้งนี้เพื่อให้ทราบว่าสินค้าที่ผลิตแต่ละชนิดหรือแต่ละงาน (Job) มีต้นทุนเท่าไร ลักษณะการบันทึกข้อมูลต้นทุนที่แยกงานแต่ละงานนี้ เรียกว่า ระบบต้นทุนงานหรือ ระบบต้นทุนงานสั่งทำ(Job-order Costing System)”

2. การผลิตสินค้าแบบต่อเนื่อง (Process Cost) เป็นการผลิตสินค้าชนิดเดียวหรือหลายชนิด ด้วยปริมาณครั้งละมากๆ โดยผลิตต่อเนื่องกันตามมาตรฐานการผลิต ซึ่งอาจผ่านกระบวนการผลิตแผนกเดียวหรือหลายแผนก สินค้าที่ผลิตจะมีต้นทุนต่อหน่วยเท่ากัน เนื่องจากสินค้าทุกหน่วยจะมีส่วนประกอบการผลิต ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบทางตรง แรงงานทางตรง และค่าใช้จ่ายการผลิตที่เหมือนกันและเท่ากัน เหตุนี้การรวบรวมและบันทึกต้นทุนจึงไม่จำเป็นต้องแยกบันทึกต้นทุนต่อหน่วย แต่สามารถทราบต้นทุนต่อหน่วยได้จาก การนำต้นทุนรวมของสินค้าสำเร็จรูปหารด้วยจำนวนหน่วยที่ผลิตได้ทั้งหมด วิธีการบันทึกบัญชีสำหรับกิจการที่ผลิตสินค้าแบบต่อเนื่องนี้ เรียกว่า ระบบต้นทุนงานช่วง (Process Costing System)”

รูปที่ 3.1 ระบบบัญชีต้นทุน

 

บทที่ 4 การบัญชีต้นทุนช่วงการผลิต

ประกอบด้วยหัวข้อ คือ ระบบต้นทุนช่วงการผลิตลักษณะของการผลิตที่ควรใช้ระบบต้นทุนช่วงการผลิต ชนิดของระบบต้นทุนช่วงการผลิต การสะสมต้นทุนตามระบบต้นทุนช่วงการผลิส่วนประกอบต้นทุนช่วงการผลิต หน่วยเทียบสำเร็จรูป การจัดทำรายงานต้นทุนช่วงการผลิต

บทที่ 5 การบัญชีต้นทุนมาตรฐาน

ต้นทุนมาตรฐาน(Standard Costs) คือ ต้นทุนในการผลิตสินค้าซึ่งประมาณขึ้นก่อนที่จะทำการผลิตจริง การประมาณขึ้นก่อนที่จะทำการผลิตจริงนั้น จะทำขึ้นอย่างมีเหตุผล ณ ระดับการผลิตหนึ่ง ภายใต้สภาพการณ์ที่คาดคะเนไว้ ทั้งนี้เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับต้นทุนที่จ่ายจริง

เนื่องจากระบบบัญชีต้นทุนจ่ายจริง (Normal Accounting System) ที่นิยมใช้และยอมรับโดยทั่วไปนั้นจะมีการคำนวณต้นทุนได้ก็ต่อเมื่อการผลิตสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นฝ่ายบริหารจะทราบถึงความไม่มีประสิทธิภาพก็เมื่อต้นทุนนั้นๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว ทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้ การจะควบคุมต้นทุนหรือการแก้ไขปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพอันเนื่องมาจากการผลิตนั้น จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีการเปรียบเทียบต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงกับต้นทุนในอดีต หรือต้นทุนที่ประมาณการขึ้น จากสถานการณ์ทำงานจริง เหตุนี้จึงมีการประมาณการต้นทุนมาตรฐานขึ้น ซึ่งก็คือต้นทุนที่กำหนดขึ้นล่วงหน้าอย่างรอบคอบและมีเหตุผลภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นอยู่จริง โดยวิศวกรโรงงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนมาตรฐานนั้นเชื่อถือได้ สามารถใช้ในการวางแผนการผลิตและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทนี้ยังมีหัวข้อที่สำคัญ คือ ชนิดของต้นทุนมาตรฐาน ประโยชน์ของต้นทุนมาตรฐานหน่วยมาตรฐาน การตั้งมาตรฐาน การวิเคราะห์ผลแตกต่างเกี่ยวกับวัตถุทางตรง การวิเคราะห์ผลแตกต่างเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการผลิตทางตรง

บทที่ 6 ต้นทุนเต็มและต้นทุนแปรผัน

ในการคำนวณหาต้นทุนของสินค้าโดยทั่วไป จะถือเอาต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นหลักในการคำนวณต้นทุนของสินค้า กล่าวคือ ต้นทุนเหล่านี้จะถูกเฉลี่ยเข้าเป็นต้นทุนของสินค้า ตามปริมาณการผลิต วิธีเช่นนี้เราเรียกว่า ระบบต้นทุนเต็ม (Full Costing หรือ Absorption Costing) ซึ่งมีลักษณะโดยสรุปก็คือ ต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผัน จะคิดเข้าเป็นต้นทุนสินค้าที่ผลิตในงวดนั้น สินค้าที่ขายก็จะถูกปันส่วนตามปริมาณขาย และสินค้าคงเหลือก็จะถูกเฉลี่ยต้นทุนตามส่วนและจะเป็นต้นทุนของสินค้านั้นตลอดไป

วิธีการคิดต้นทุนของสินค้าอีกชนิดหนึ่งคือระบบต้นทุนแปรผัน (Variable Costing / Direct Costing / Marginal Costing) เป็นวิธีคิดต้นทุนสินค้าเฉพาะต้นทุนแปรผันหรือต้นทุนทางตรงเท่านั้น ส่วนต้นทุนคงที่ที่เกิดขึ้นในงวดใดให้ตัดจ่ายเป็นรายจ่ายทั้งหมดในงวดนั้นๆ ซึ่งหมายความว่าต้นทุนแปรผันหรือต้นทุนทางตรงเท่านั้นที่ถือเป็นต้นทุนของสินค้า ส่วนต้นทุนคงที่ให้ถือเป็นต้นทุนสำหรับงวด (Period Cost) โดยโอนเข้ากำไรขาดทุนทั้งหมด

มีปัญหาที่เกิดขึ้นในการคำนวณต้นทุนของสินค้าตามวิธี Full Costing ก็คือ ต้นทุนบางประเภทไม่อาจระบุได้ว่า เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นในการผลิตสินค้าชนิดใด หรือเป็นของสินค้าแต่ละชนิดจำนวนเท่าใด จึงต้องมีการปันส่วนหรือจัดสรรต้นทุนบางอย่างเข้าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยการกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมา แต่ก็เป็นการยากว่าหลักเกณฑ์ใดจะเป็นหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่ก่อให้เกิดปัญหาในการแบ่งต้นทุน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่ขึ้นอยู่กับขนาดหรือ ปริมาณการผลิต การจัดสรรต้นทุนซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต ทำให้การคำนวณต้นทุนการผลิตตามวิธีนี้ กระทบกระเทือนต่องบกำไรขาดทุนในงวดนั้นๆ เพราะนอกจากกำไรขาดทุนจะผันแปรตามปริมาณขาย ราคาขายแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตด้วย ในบทนี้ ยังมีหัวข้อที่สำคัญ คือ ระบบต้นทุนเต็ม

ระบบต้นทุนแปรผัน การเปรียบเทียบการคิดต้นทุนของสินค้าตามระบบต้นทุนเต็มและต้นทุนแปรผัน การเปรียบเทียบงบกำไรขาดทุนตามระบบต้นทุนเต็มและต้นทุนแปรผัน และผลดีของการคิดต้นทุนของสินค้าต้นทุนแปรผัน

บทที่ 7 การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนและการวางแผนกำไร

การดำเนินงานของฝ่ายบริหารในระยะเริ่มดำเนินธุรกิจ มักจะเกี่ยวข้องกับการวางแผนปริมาณการผลิตและปริมาณขาย เพื่อให้ได้กำไรตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ผู้บริหารจึงต้องสนใจในเรื่องของค่าใช้จ่ายและรายได้ ค่าใช้จ่ายมีความสัมพันธ์กับปริมาณอยู่ 2 ลักษณะคือ ค่าใช้จ่ายผันแปรซึ่งจะผันแปรไปตามกิจกรรมการผลิตและขาย และค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งจะไม่เปลี่ยนตามระดับกิจกรรม ดังนั้นจะเห็นว่าถ้ากิจการผลิตและขายสินค้ามาก ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมากตามสัดส่วนคือค่าใช้จ่ายผันแปร ส่วนค่าใช้จ่ายคงที่จะไม่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าปริมาณสินค้าที่ผลิตและขายมากกำไรจะยิ่งมากในอัตราส่วนที่สูง ถ้าปริมาณสินค้าที่ผลิตและขายต่า กำไรจะลดลงในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง เพราะต้นทุนคงที่ไม่ว่าจะผลิตมากหรือน้อยก็ยังคงต้องจ่ายเท่าเดิม

ดังนั้นผู้บริหารซึ่งทำการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนและวางแผนกำไรของกิจการ จะต้องมีข้อมูล 5 ประการ คือ ราคาขาย หรือรายได้ จำนวนหน่วยที่ผลิตและขาย ต้นทุนผันแปร ต้นทุนคงที่รวมจำนวนสินค้าแต่ละชนิด ในบทนี้ประกอบด้วยหัวข้อสำคัญ คือ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน วิธีการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน การวางแผนกำไร และการคำนวณจุดคุ้มทุนเมื่อขายสินค้าหลายชนิด

 

บทที่ 8 การวิเคราะห์ ต้นทุนเพื่อการตัดสินใจ

การดำเนินงานของฝ่ายบริหารมักเผชิญปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น ปัญหาในการยกเลิกการผลิต และขายผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือไม่ จะกำหนดราคาขายสินค้าอย่างไร การตัดสินใจเลือกชนิด ขนาด และคุณภาพของวัตถุดิบอย่างไรเป็นต้น ฝ่ายบริหารจะนำข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์ เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

การนำข้อมูลทางการบัญชีมาช่วยในการตัดสินใจ จะต้องนำช้อมูลนั้นมาปรับปรุงให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น จึงจะนำไปใช้อย่างได้ผล ข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจก็คือ ข้อมูลต้นทุนที่ได้ปรับปรุงและนำไปใช้ให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ข้อมูลต้นทุนเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง แต่ข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจเป็นข้อมูลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ข้อมูลทางการบัญชีอาจแสดงให้เห็นต้นทุนการผลิตเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ต้นทุนที่ใช้ในการตัดสินใจอาจคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่ควรจะเป็น หากใช้วิธีการผลิตอย่างหนึ่ง ในบทนี้มีหัวข้อที่สำคัญ คือ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ประเภทของต้นทุนที่ใช้ในการตัดสินใจ การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลต้นทุน (1. การตัดสินใจซื้อจากบุคคลภายนอกหรือผลิตเอง 2. การตัดสินใจจะขายหรือผลิตต่อ 3. การตัดสินใจยกเลิกหรือไม่ยกเลิกผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งชนิดใด 4. การตัดสินใจปิดโรงงานชั่วคราว)

บทที่ 9 การงบประมาณ

ในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จบรรลุตามเป้าหมาย (Objective) ที่วางไว้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนตามโครงการต่าง ๆ (Project Planning) การวางแผนโดยทั่วไปนั้น มีทั้งการวางแผนระยะสั้นและการวางแผนระยะยาว การวางแผนระยะสั้นหรือการวางแผนประจำงวดเป็นเครื่องมือที่ฝ่ายบริหารใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ ว่าจะทำอะไรบ้างในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมักจะเป็นการวางแผนในรูปของงบประมาณ (Budgeting) ของระยะเวลาในปีหน้า ส่วนการวางแผนระยะยาวมักจะเป็นการจัดทำแผนในอนาคตของฝ่ายบริหารสำหรับ 3 – 5 ปี ข้างหน้าหรือนานกว่านั้น ดังนั้น งบประมาณประจำปี ก็คือ แผนงานปีแรกของแผนระยะยาว ซึ่งมีลักษณะการทาเหมือนกัน จะแตกต่างกันที่รายละเอียดของข้อมูลเท่านั้น ในบทนี้มีหัวข้อที่สำคัญ คือ ประโยชน์ของการจัดทำงบประมาณ ขั้นตอนการจัดทำงบประมาณ และหลักในการจัดทำงบประมาณ

ประวัติผู้แต่ง: รองศาสตราจารย์ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ

: อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

: อาจารย์พิเศษในสถาบันอุดมศึกษาได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม เป็นต้น

: หัวหน้าภาควิชาบริหารธุรกิจ

: รองคณบดีคณะวิทยาการจัดการ

: รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาการศึกษา : บช.. บัญชีบัณฑิต (บัญชีการเงิน) คณะบัญชี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

: บช.. บัญชีมหาบัณฑิต (บัญชีต้นทุน) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

หมายเหตุ : สนใจ ติดต่อ โทร. 089-1258379 ราคาเล่มละ 170 บาท

ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

ผศ.วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ และคณะ


บทคัดย่อ

   ข้าวเป็นพืชที่คนไทยปลูกเพื่อบริโภคและเพื่อการค้ามาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวบริเวณต่างๆ ในประเทศไทยจะพบสายพันธุ์ต่างชนิดกันจำนวนมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันวิถีการปลูกข้าวของเกษตรกรจะเน้นการปลูกข้าวสายพันธุ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดทำให้ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองเริ่มลดน้อยลง การวิจัยในครั้งนี้จึงศึกษาความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนสายพันธุ์พบว่าในพื้นที่ศึกษามีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่สำรวจพบจำนวนทั้งสิ้น 5 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ฝาบาตร รากแห้ง เหลืองอ่อน ขาวหลวง และพญาชม นอกจากนี้ข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ ได้นำมาศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม โดยอาศัยเทคนิค RAPD ซึ่งใช้             ไพรเมอร์ที่มีลำดับเบสแบบสุ่ม 3 ชนิด คือ OPAV-06, OPAA-14 และ OPAA-09 ผลของการเกิดลายพิมพ์ดีเอ็นเอให้ผลชัดเจนเฉพาะไพรเมอร์ OPAA-14 และ OPAA-09 โดยที่ไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างแถบดีเอ็นเอที่จำเพาะต่อข้าวแต่ละสายพันธุ์ เมื่อนำลักษณะลายพิมพ์  ดีเอ็นเอมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมโดยใช้โปรแกรม NTSYSpc v.2.21q ทำให้ได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเหมือนอยู่ระหว่าง 0.52 – 0.87 และสามารถจำแนกพันธุ์ข้าวออกเป็น            3 กลุ่ม โดยข้าวพญาชมมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ต่างจากกลุ่มอื่นมากที่สุด งานวิจัยนี้จะทำให้ทราบถึงจำนวนชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์และการศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับนำไปปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่อไป

คำสำคัญ : ความหลากหลายทางพันธุกรรม, พันธุ์ข้าวพื้นเมือง, อำเภออู่ทอง

Abstract

   Thai rice cultivars are an essential food crop for consuming and dealing since in the past to present. In Thailand, there are many rice cultivars that generally found in several regions. At present, the plantation of rice tends to produce for supplying as the market demand, which resulting to the decrease of diversity of rice cultivars. The purpose of this research, therefore, is to study the diversity of local rice at U-thong district, Suphanburi province, in order to collect the kinds of rice cultivars. We found that there were five local rice cultivars in this area, including Pha-bath, Rak-haeng, Leung-on, Kaw-loung, and Phaya-chom. Also, we further determined the genetic relationship among these rice cultivars based on RAPD technique by using 3 primers, OPAV-06, OPAA-14, and OPAA-09. The result demonstrated that the DNA fingerprint generated by OPAA-14 was appropriate to analyze genetic similarity. The data from RAPD was analyzed via NTSYSpc v.2.21q software which obtained the coefficient of genetic distance between 0.52 – 0.87. This consequence could be utilized to classify the local rice cultivars into three groups by which Phaya-chom differentially displayed genetic property from the other groups. This research provides the data of local rice cultivars leading to the rice conservation and the genetic study of rice is also useful for the improvement of rice cultivar

Key word: Genetic diversity, Local rice cultivar, Amphoe U-thong


 

บทที่ 1

บทนำ

   ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย และการผลิตข้าวก็เป็นอาชีพหลักของเกษตรกรชาวไทย โดยจำนวนเกษตรกรทั้งประเทศ (5.6 ล้านครัวเรือน) มีชาวนา 3.7 ล้านครัวเรือน และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวปีละประมาณ 63-64 ล้านไร่ ได้ผลผลิตปีละประมาณ 28 – 30 ล้านตัน ซึ่งผลผลิตข้าวกว่า             ร้อยละ 55 ถูกใช้บริโภคภายในประเทศ และประมาณร้อยละ 45 ถูกส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก (อิงออน สีแก้ว, 2554) ทำให้การผลิตข้าวในปัจจุบันมุ่งเน้นการผลิต          เชิงพาณิชย์ด้วยการทำนาโดยใช้พันธุ์ข้าวพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการ และให้ผลผลิตต่อไร่สูง ส่งผลให้ชาวนามีการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองทั่วๆ ไปน้อยลง เป็นผลให้ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองก็ลดน้อยลงไปอย่างมาก  โดยฉวีวรรณ วุฒิญาโณ (2543) ได้รายงานพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีมีจำนวนทั้งหมด 95 สายพันธุ์ และในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีจำนวนทั้งสิ้น 8 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้าวพันธุ์พื้นเมืองจะให้ผลผลิตต่ำ แต่พันธุ์ข้าวพื้นเมืองมีความสามารถในการปรับตัวค่อนข้างสูง และมีความทนทานต่อโรคและแมลงได้ดี ทำให้ข้าวพื้นเมืองมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงกระจายในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ดังนั้นการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมจะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการแยกความแตกต่างกันของสายพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เนื่องจากพันธุ์ข้าวพื้นเมืองหลายสายพันธุ์            มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่ใกล้เคียงกันจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคทางชีวโมเลกุลใช้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยสนับสนุนการจำแนกทางสัณฐานวิทยาอีกทางหนึ่ง เทคนิค RAPD (random amplified polymorphism DNA) เป็นเทคนิคที่เพิ่มปริมาณดีเอ็นเอจากดีเอ็นเอต้นแบบที่ไม่ทราบลำดับนิวคลีโอไทด์โดยใช้ไพรเมอร์แบบสุ่ม (random primer) ความยาว 10 นิวคลีโอไทด์และอาศัยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (polymerase chain reaction; PCR) เพื่อสร้างลายพิมพ์           ดีเอ็นเอ (DNA fingerprint) การใช้ RAPD ในการศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตสามารถทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็วเพราะไม่ต้องการเครื่องมือที่ซับซ้อนในการทดลอง (Arif et al., 2010) ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้จึงได้ร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองเพื่อศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในเขตพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อศึกษาความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่คงอยู่ในพื้นที่อำเภออู่ทอง
  2. เพื่อศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยาของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง
  3. เพื่อศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง

ขอบเขตของการวิจัย

1. การรวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
2. การศึกษาด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับข้าวพันธุ์พื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
3. การศึกษาคุณลักษณะทางการเกษตรของข้าวพันธุ์พื้นเมืองแต่ละสายพันธุ์
4. การสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์


 

บทที่ 2

ทบทวนวรรณกรรม

2.1 ข้าว

ข้าวเป็นพืชวงศ์ (Family) เดียวกับหญ้า เป็นพืชอาหารหลักของคนไทยและคนเอเชีย ประเทศต่างๆ ในโลกต่างก็รู้จักข้าว แม้ว่าคนในประเทศจะไม่ได้บริโภคข้าวเป็นหลัก สำหรับคนไทยมีความสัมพันธ์กับข้าวอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดในประเทศก็จะพบเห็นนาข้าว ดังนั้นข้าวจึงเป็นพืชที่สำคัญสำหรับคนไทยมากที่สุด และยังมีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกข้าวมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ จึงกล่าวได้ว่าข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและเป็นพืชที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศมาตลอดจนถึงปัจจุบัน

คนไทยบริโภคข้าววันละ 2 – 3 มื้อ เฉลี่ยแล้วประมาณ 109 – 120 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือ 320 กรัมต่อคนต่อวัน และเป็น 100 กรัมต่อคนต่อมื้อ (ประพาส วีระแพทย์, 2555) ในปีพุทธศักราช 2550 ประเทศไทยได้ใช้ข้าวสำหรับบริโภคภายในประเทศประมาณ 10.73 ล้านตันข้าวสาร และส่งไปขายต่างประเทศประมาณ 9.20 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งคิดเป็นมูลค่าได้ประมาณ 119,215 ล้านบาท นับว่าเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของประเทศ

ภาพที่ 2.1 ลักษณะเมล็ดข้าวสารพื้นเมืองพันธุ์ฝาบาตร

   ประเทศในเอเชียปลูกและบริโภคข้าว ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของโลกและหากพิจารณาประเทศกำลังพัฒนานั้นปริมาณดังกล่าวคิดเป็น 96 เปอร์เซ็นต์ของโลก (Hossain and Narciso, 2004) ประชากรประเทศไทยประมาณ 64.24 ล้านคน บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยข้าวที่ปลูกในประเทศไทย นั้นใช้บริโภคประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ และ ส่งออกประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกมานานกว่าหนึ่งทศวรรษซึ่ง สร้างรายได้ประมาณ 1,700 ถึง 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาต่อปี (Vanichanont, 2004) ประเทศหลักที่นำเข้าข้าวจากประเทศไทยคือ อินโดนีเซีย ไนจีเรีย อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และ สิงคโปร์ (Asia BioBusiness, 2006) โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประมาณการเบื้องต้นเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปี  (ณ เดือนธันวาคม 2557) ว่าในปีการผลิต 2557/58 มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปี จำนวน 61.74 ล้านไร่ คาดว่าจะมีผลผลิตข้าวเปลือกนาปีรวมทั้งหมด 27.106 ล้านตัน สำหรับข้าวนาปรัง (ณ เดือนมีนาคม 2558) ประมาณการว่าจะมีเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 8.865 ล้านไร่ ผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังปีนี้คาดว่าจะได้รับ 5.514 ล้านตัน (กรมการข้าว, 2558)

2.2 ประวัติการปลูกข้าวในประเทศไทย

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

   มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ได้มีการพัฒนาเป็นสองสังคมคือ สังคมล่าสัตว์และหาของป่า กับสังคมเกษตรกรรม สังคมเกษตรกรรมจะมีที่อยู่อาศัยใกล้แม่น้ำสายสำคัญต่างๆ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี ได้พบรอยพิมพ์เปลือกข้าวบนภาชนะดินเผาทั้งบ้านโนนนกทา ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น หลักฐานอื่นๆ ได้แก่ การพบเมล็ดข้าวในถ้ำปุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และพบร่อยรอยของเปลือกข้าวที่จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ

   ในปลายของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สังคมเกษตรกรรมได้พัฒนาเป็นสังคมเมือง ได้พบเศษอิฐดินเผาที่ทำมาจากดินผสมกับเปลือกข้าว สำหรับสร้างเจดีย์ในบริเวณเมืองโบราณจันเสน ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำลพบุรี-ป่าสัก เปลือกข้าวเป็นข้าวเมล็ดสั้น หลักฐานเหล่านี้มีอายุอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า การบริโภคข้าวของผู้คนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นข้าวเมล็ดสั้น

สมัยประวัติศาสตร์

   สมัยประวัติศาสตร์ได้เริ่มตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยศรีวิชัย สมัยลพบุรี สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสมัยปัจจุบัน ตามลำดับ

   สมัยทวารวดี มีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 สังคมเกษตรกรรมได้พัฒนาเป็นสังคมเมืองมากขึ้น มีการติดต่อกับคนจีนและอินเดียรวมถึงชุมชนที่อยู่ห่างไกล มีรัฐอิสระเกิดขึ้นในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ เช่น รัฐทวารวดี รัฐนครชัยศรีในภาคกลาง รัฐตามพรลิงค์ (จังหวัดชุมพร) ในภาคใต้ รัฐศรีจนาศะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และรัฐหริภุญชัยในภาคเหนือ แต่ละรัฐมีกษัตริย์ปกครอง และมีการติดต่อกันระหว่างรัฐ รัฐทวารวดีมีชุมชนหนาแน่นตั้งอยู่ในบริเวณจังหวัดชัยนาทถึงนครสวรรค์ได้มีการติดต่อกันกับเมือง        อู่ทองซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีในปัจจุบัน เมืองอู่ทองเป็นเมืองโบราณซึ่งได้พบรอยเปลือกข้าวในเนื้ออิฐซึ่งทำมาจากดินเผาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง และมีอายุอยู่ในสมัยทวารวดี รอยเปลือกข้าวมีความยาว 6-9 มิลลิเมตร กว้าง 2.5-3 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นเปลือกของข้าวเมล็ดสั้นและได้พบรอยเปลือกข้าวอยู่ในเนื้อดินของเศียรพระพุทธรูปศิลปะทวารวดี ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครปฐม รอยเปลือกข้าวมีขนาดยาว 6 มิลลิเมตร กว้าง 4 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นรอยของเปลือกเมล็ดพันธุ์ป้อม และอาจปลูกในบริเวณของชุมชนสังคมเมืองซึ่งเป็นหลักแหล่งมากขึ้นกว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์

ภาพที่ 2.2 ร่องรอยเปลือกข้าวในเนื้ออิฐดินเผาในแหล่งโบราณสถานอำเภออู่ทอง

   วัฒนธรรมทวารวดี ได้เจริญรุ่งเรืองและแพร่กระจายไปตัวเมืองหริภุญชัยหรือลำพูน เพชรบูรณ์ สุโขทัย กาฬสินธุ์ มีบ้านเมืองอยู่ในบริเวณต้นดินดอนสามเหลี่ยมเดิม ซึ่งเป็นบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากอ่างทองถึงนครสวรรค์ในตอนเหนือ บริเวณลำน้ำท่าจีน–แม่กลองในฝั่งตะวันตก บริเวณลำน้ำลพบุรี–ป่าสักถึงสระบุรีในฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และมีโบราณคดีที่สำคัญเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น ที่ตำบลโพธิ์หัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เมืองอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี (ประพาส วีระแพทย์, 2555)

2.3 การจำแนกประเภทและชนิดของข้าว

   ข้าวป่า (wild rice) เป็นข้าวที่เกิดขึ้นและเจริญเติบโตได้เองตามธรรมชาติ พบได้ทั่วไปตามแอ่งน้ำ คลอง บึง รวมทั้งในแปลงนาข้าวปลูก มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น เกษตรกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า ข้าวนก ซึ่งข้าวป่าถือได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรอย่างดีในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวปลูก

   ข้าวปลูก (cultivated rice) หมายถึงข้าวที่มนุษย์ปลูกไว้บริโภค ซึ่งมี 2 ชนิด คือ Oryza sativa มีปลูกกันทั่วไปรวมทั้งประเทศไทย และ Oryza glaberrima Steud. มีปลูกกันในอัฟริกาตะวันตกเท่านั้น

   นอกจากนี้ข้าวปลูกชนิด Oryza sativa ยังแบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ ข้าวอินดิคา (Indica) ข้าวจาปอนิคา (Japonica) และข้าวจาวานิคา (Javanica) โดยที่ข้าวอินดิคามีปลูกทั่วไปในเขตร้อน ข้าวจาปอนิคามีปลูกในเขตอบอุ่นในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีนตอนเหนือ ส่วนข้าวจาวานิคามีปลูกในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

   ข้าวอินดิคา (Oryza sativa var. indica) เป็นข้าวปลูกที่ผสมตัวเองได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย เพราะมีปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิและสภาพดินที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของต้นข้าว ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึงความสูงมากกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ข้าวที่ปลูกในประเทศไทยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามสภาพพื้นที่ปลูกได้ดังนี้

  1. ข้าวไร่ (upland rice) หมายถึงข้าวที่ปลูกบนที่ดอน ไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก โดยอาศัยน้ำฝนในฤดูฝนสำหรับการเพาะปลูก
  2. ข้าวนาสวน (lowland rice) หมายถึงข้าวที่ปลูกในที่ลุ่ม ซึ่งมีระดับน้ำในนาลึกไม่เกิน 50 เซนติเมตร โดยอาศัยน้ำฝน เรียกว่าข้าวนาน้ำฝน (rainfed rice) และอาศัยน้ำชลประทาน เรียกว่าข้าวนาชลประทาน (irrigated rice)
  3. ข้าวน้ำลึก (deep water rice) หมายถึงข้าวที่ปลูกในที่ลุ่ม ซึ่งมีระดับน้ำในนาลึกไม่เกิน 50 – 100 เซนติเมตร โดยอาศัยน้ำฝน ข้าวน้ำลึกจะมีความสามารถทนน้ำท่วมสูงได้ดี
  4. ข้าวขึ้นน้ำ (floating rice) หมายถึงข้าวที่ปลูกในที่ลุ่มซึ่งมีระดับน้ำในนาลึกมากกว่า 100 เซนติเมตรขึ้นไป โดยอาศัยน้ำฝน ข้าวขึ้นน้ำมีความสามารถในการยืดปล้อง (elongation ability) ได้ดีมากทำให้มีต้นและใบอยู่เหนือระดับน้ำที่สูงขึ้นได้
  5. ข้าวที่สูง (highland rice) หมายถึงข้าวที่ปลูกในพื้นที่ซึ่งมีความสูงตั้งแต่ 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป จะปลูกข้าวแบบหยอดเหมือนข้าวไร่หรือแบบปักดำในพื้นที่นาขั้นบันไดก็ได้

2.4 พันธุ์ข้าว

   พันธุ์ข้าว หมายถึง กลุ่มของต้นข้าวที่มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์และลักษณะทางสรีรวิทยาเหมือนกันจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว และให้ต้นลูกหลานเหมือนต้นแม่ เพราะข้าวเป็นพืชผสมตัวเอง

   พันธุ์ข้าวแต่ละพันธุ์จะมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์แตกต่างกัน ทั้งทางขนาด รูปร่าง และสีของลำต้น ใบ รวง ดอก และเมล็ด ตลอดถึงความสามารถในการเจริญเติบโตภายใต้สภาพที่แตกต่างกันของสิ่งแวดล้อม เช่น ความสามารถในการทนต่อความแห้งแล้งและน้ำลึก ความสามารถในการขึ้นน้ำ ความสามารถในการต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรู ความไวและไม่ไวต่อช่วงแสง รวมทั้งระยะพักตัวของเมล็ด เป็นต้น ลักษณะต่างๆ ดังกล่าวนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หากมีการผสมข้ามทั้งการผสมข้ามระหว่างข้าวปลูกหรือผสมข้ามกับข้าวป่า หรือเกิดจากการกลายพันธุ์โดยธรรมชาติหรือโดยใช้กัมมันตภาพรังสี รวมทั้งการปะปนของเมล็ดพันธุ์ข้าวกับข้าวพันธุ์อื่นโดยการปฏิบัติของผู้ปลูก เช่น การใช้อุปกรณ์ทำนา

   ข้าวพื้นเมือง เป็นพันธุ์ข้าวปลูกที่มีอยู่เดิมในพื้นที่นานนับชั่วคน ซึ่งเกษตรกรได้เก็บรักษามาตั้งแต่บรรพบุรุษ พันธุ์ข้าวพื้นเมืองมีจำนวนหลากหลายพันธุ์รวมทั้งหมดทั่วโลกจะมีประมาณ 120,000 พันธุ์ สำหรับประเทศไทยมีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองประมาณ 3,500 พันธุ์ ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ที่ศูนย์เชื้อพันธุ์ข้าวในบริเวณศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี (ประพาส วีระแพทย์, 2555) พันธุ์ข้าวที่มีการปลูกในอดีตของประเทศไทยมีหลากหลายกว่า 20,000 สายพันธุ์ ศูนย์ปฏิบัติการและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวแห่งชาติได้รวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้จำนวน 23,903 ตัวอย่าง เป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองจำนวน 17,093 ตัวอย่าง จำแนกชื่อไม่ซ้ำกันเป็นพันธุ์พื้นเมืองจำนวน 5,928 พันธุ์ ทำให้ประเทศไทยมีการปลูกข้าวพื้นเมืองในนากว่า 11 ล้านไร่ กระจายอยู่ทั่วประเทศ การลดลงของพันธุ์พืชและข้าวพื้นเมืองของเกษตรกรท้องถิ่นไทยนั้นเป็นผลมาจากการส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์หรือพืชเชิงเดี่ยว ด้วยการส่งเสริมให้ใช้เมล็ดพันธุ์ปรับปรุงใหม่ที่เน้นการเพิ่มผลผลิต ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชลดลง เช่น การส่งเสริมพันธุ์ข้าวปรับปรุงพันธุ์ชนิดต่างๆ ที่มุ่งเพียงสนองตอบต่อความต้องการของภาคธุรกิจที่มีกลไกของรัฐและตลาดภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้กำหนดคุณลักษณะของพันธุ์ข้าวในการส่งเสริมการผลิต ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวพื้นเมืองลดลงจนเข้าสู่ภาวะวิกฤติความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปในเขตภาคกลางของประเทศไทย การที่สายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองยังคงมีการปลูกอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีเกษตรกรบางส่วนที่ยังคงมีการปลูกและอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมืองหลายสายพันธุ์ไว้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป เหตุผลหลักที่สำคัญคือพันธุ์ข้าวพื้นเมืองมีความเหมาะสมกับสภาพระบบนิเวศ มีความทนทาน และเหตุผลด้านรสนิยมการรับประทานข้าวของคนในท้องถิ่น อาทิเช่น การปลูกข้าวไร่บนพื้นที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ทางภาคเหนือ และการปลูกข้าวพื้นเมืองของเกษตรกรชาวนากว่าร้อยพันธุ์ในระบบนิเวศต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น ดังนั้นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองนับว่าเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จของการอนุรักษ์พันธุกรรมขึ้นอยู่กับบทบาทการอนุรักษ์และศักยภาพการจัดการเมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกรในไร่นา ดังนั้นความหลากหลายทางพันธุกรรมจึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการนำไปปรับปรุงพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีในอนาคต หากสูญพันธุ์ไปก็จะไม่สามารถสร้างพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดีตามความต้องการได้

2.5 ความหลากหลายทางพันธุกรรม

   ความหลากหลายทางพันธุกรรมเกิดจากการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตผ่านกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติและถ่ายทอดลักษณะเด่นที่สำคัญสู่ลูกหลานจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละสายพันธุ์ โดยเฉพาะข้าวที่ถูกจัดเป็นพืชที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงชนิดหนึ่งของโลก เช่น ลักษณะสีแผ่นใบ สีกาบใบ  สีลิ้นใบ  รูปร่างลิ้นใบ  สีหูใบ  สีข้อ สีปล้อง สีข้อต่อใบ  สียอดเกสรตัวเมีย สียอดดอก สีกลีบรองดอก และสีหางข้าว เป็นต้น ความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวพันธุ์พื้นเมืองไทยมีความสำคัญมาก เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในแหล่งศูนย์กลางของความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าว ซึ่งลักษณะบางลักษณะอาจเป็นที่ต้องการหรือมีความจำเป็นในโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทยในอนาคต

   ข้าวพื้นเมืองมีความหลากหลายของสายพันธุ์แตกต่างกันในแต่ละสภาพพื้นที่ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เช่น สภาพอากาศ ดิน ปริมาณน้ำ ความทนทานโรคและแมลงแมลง ทำให้การจัดกลุ่มหรือการจำแนกสายพันธุ์ข้าวโดยอาศัยลักษณะสัณฐานวิทยากระทำได้ยาก จุฑาพร แสงประจักษ์ (2555) ได้อธิบายถึงเครื่องหมายดีเอ็นเอ (DNA marker) หรือเครื่องหมายโมเลกุล (molecular marker) เข้ามามีบทบาทในงานด้านพันธุศาสตร์และการปรับปรุงพันธุ์พืชอย่างมาก เนื่องจากการจัดกลุ่มหรือการจำแนกสิ่งมีชีวิตโดยอาศัยลักษณะสัณฐานวิทยาทำได้ยาก โดยเฉพาะพืชซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน (สรพงศ์ เบ็ญ- จศรี, 2554) จึงทำให้เกิดความผิดพลาดในการแยกความแตกต่างของสายพันธุ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์พืชบางชนิดที่มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรม การใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการบ่งชี้ความแตกต่างของสายพันธุ์พืช (varietal identification) ได้เข้ามาช่วยให้การจำแนกความแตกต่างของสายพันธุ์มีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น (สุรีพร เกตุงาม, 2546) นอกจากนั้น เครื่องหมายดีเอ็นเอยังได้รับความนิยมอย่างมากในการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต (genetic diversity) อีกด้วย (Mondini et al., 2009)

   เครื่องหมายดีเอ็นเอ หมายถึง ชิ้นส่วนของดีเอ็นเอที่ใช้เป็นเครื่องหมายติดตามหน่วยพันธุกรรมหรือยีนของสิ่งมีชีวิตและสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้ พืชแต่ละชนิด แต่ละสายพันธุ์มีการจัดเรียงตัวของนิวคลีโอไทด์ในโมเลกุลดีเอ็นเอที่เป็นเอกลักษณ์และมีความแตกต่าง (polymorphisms) ของลำดับเบสในโมเลกุลดีเอ็นเอ จึงทำให้สิ่งมีชีวิตมีความแตกต่างกัน และสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องหมายดีเอ็นเอได้ เครื่องหมายดีเอ็นเอมีหลายประเภท เช่น RFLP (Restriction Fragment Length Polymorphisms), RAPD (Random Amplified Polymorphic DNA), STS (Sequence Tagged Sites), AFLP (Amplified Fragment Length Polymorphisms), SSR (Simple Sequence Repeats) หรือ microsatellites และ SNP (Single Nucleotide Polymorphisms) เป็นต้น การเลือกใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และคุณสมบัติของเครื่องหมายดีเอ็นเอแต่ละประเภท (ตารางที่ 2.1)

ตารางที่ 2.1 เปรียบเทียบเครื่องหมายดีเอ็นเอสำหรับการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรม

Feature

RFLP

RAPD

AFLP

SSR

SNP

DNA required (mg)

10

0.02

0.5-1.0

0.05

0.05

DNA quality

High

High

Moderate

Moderate

High

PCR-based

No

Yes

Yes

Yes

Yes

Number of polymorphic loci analyzed polymorphism

1.0-3.0

1.5-50

20-100

1.0-3.0

1.0

Ease of use not

Easy

Easy

Easy

Easy

Easy

Amenable to automation

low

moderate

moderate

high

high

Reproducibility

high

unreliable

high

high

High

Development cost

low

low

moderate

high

high

Cost per analysis

high

low

moderate

low

low

(ที่มา: Korzun, 2002)

การตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ การสกัดดีเอ็นเอ การเพิ่มปริมาณชิ้นส่วนดีเอ็นเอในหลอดทดลองด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลิเมอเรสโดยใช้เครื่องหมาย          ดีเอ็นเอชนิดต่างๆ จากนั้นนำผลผลิตดีเอ็นเอที่เพิ่มปริมาณได้มาแยกขนาดด้วยวิธีเจลอิเล็กโทร-โฟริซิส (gel  electrophoresis) ลายพิมพ์ดีเอ็นเอที่ได้สามารถนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น การระบุสายพันธุ์หรือชนิดของสิ่งมีชีวิต การตรวจสอบความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์หรือเมล็ดพันธุ์ ศึกษาวิวัฒนาการและความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต และการวิเคราะห์ความแตกต่างของฐานพันธุกรรมเพื่อใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ (Prashanth et al., 2002; Martos et al., 2005; Bao  et al., 2006; Seetharam et al., 2009; Rajkumar et al.,  2011; Kanawapee et al., 2011; Rahman et al., 2012)

2.6 เทคนิคอาร์เอพีดี

เทคนิคอาร์เอพีดี (random amplified polymorphism DNA) เป็นเทคนิคที่เพิ่มปริมาณ ดีเอ็นเอจากดีเอ็นเอต้นแบบที่ไม่ทราบลำดับนิวคลีโอไทด์โดยใช้ไพรเมอร์แบบสุ่ม (random primer) ความยาว 10 นิวคลีโอไทด์และอาศัยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (polymerase chain reaction; PCR) เพื่อสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA fingerprint) การใช้ RAPD ในการศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตสามารถทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็วเพราะไม่ต้องการเครื่องมือที่ซับซ้อนในการทดลอง (Arif et al., 2010) โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้ นำตัวอย่างข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่รวบรวมได้ทั้งหมดมาสกัดดีเอ็นเอ แล้วนำตัวอย่างดีเอ็นเอที่สกัดได้มาตรวจสอบ          ลายพิมพ์ดีเอ็นเอด้วยเทคนิค RAPD ตามวิธีของ Wiliams et al. (1990) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมตามวิธี UPGMA (Unweighted Pair Group Method with Arithmetic Mean) (Rohlf, 2002) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป NTSYSpc 2.21q (Applied Biostatistic, USA) ดังภาพ 2.3

ภาพที่ 2.3 ความหลากหลายทางพันธุกรรมข้าวพื้นเมืองด้วยเทคนิคอาร์เอพีดี

2.7 นิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับข้าวพื้นเมืองในอำเภออู่ทอง

กะล่อม หมายถึง ภาชนะที่สานจากไม้ไผ่ มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ฉาบด้วยมูลสัตว์หรือดินเหนียว ด้านบนถูกปิดสนิทด้วยดินเหนียว สำหรับใส่ข้าวปลูก ป้องกันการกัดแทะของไก่ หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

การไถดะ หมายถึง การไถพรวนดินครั้งแรกสำหรับทำลายวัชพืชในแปลงนา

เครื่องสีฝัด หมายถึง เครื่องแยกเมล็ดข้าวลีบและเศษฟางที่ยังหลงเหลืออยู่จากกระบวนการนวดข้าวออกจากเมล็ดข้าวเปลือก ในอดีตใช้แรงงานคนในการหมุนกงพัดให้เกิดลมเพื่อเป่าเมล็ดข้าวลีบและเศษฟางออก แต่ปัจจุบันใช้มอเตอร์จากเครื่องยนต์รถไถเดินตามในการหมุน

เคียว หมายถึง เครื่องมือที่ใช้เกี่ยวข้าวชนิดหนึ่ง มีลักษณะโค้งคล้ายครึ่งวงกลมโดยมีส่วนของคมเคียวอยู่ด้านในสำหรับเกี่ยวตัดลำต้นข้าวให้ขาดออกมา

ดอกข้าว หมายถึง ส่วนที่ประกอบด้วยเปลือกนอก 2 แผ่นประสานกัน คือ เปลือกนอกใหญ่ เรียกว่า เลมมา (lemma) ส่วนเปลือกนอกเล็ก เรียกว่า พาเลีย (palea) เปลือกนอกทั้งสองอาจมีขนหรือไม่มีขนก็ได้ โดยเปลือกนอกใหญ่บริเวณปลายสุดจะแหลมยื่นยาวออกมา เรียกว่า หางข้าว (awn) ซึ่งหางข้าวจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ข้าว ด้านในเปลือกนอกทั้งสองจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียสำหรับผสมพันธุ์ ซึ่งปลายเกสรตัวเมียแต่ละสายพันธุ์จะมีสีแตกต่างกัน ได้แก่ ขาว ม่วง เหลือง และเขียวอ่อน เป็นต้น

เทคนิคอาร์เอพีดี หมายถึง เทคนิคการสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอจากดีเอ็นเอแม่แบบที่ไม่ทราบลำดับนิวคลีโอไทด์ โดยอาศัยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (PCR) ด้วยการใช้ไพรเมอร์แบบสุ่มที่มีความยาว 10 นิวคลีโอไทด์ ผลจากการวิเคราะห์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอจะทำให้ได้ข้อมูลที่สำคัญในการแยกความแตกต่างกันของสายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองได้เนื่องจากพันธุ์ข้าวพื้นเมืองหลายสายพันธุ์มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่ใกล้เคียงกัน

นวดข้าว หมายถึง การรูดเมล็ดข้าวออกจากรวง ซึ่งหมายรวมถึงการแยกเมล็ดข้าวลีบและเศษฟางข้าวออกไปเหลือไว้เฉพาะเมล็ดข้าวเปลือก ในอดีตการนวดข้าวจะใช้แรงงานคนในการฟาดฟ่อนข้าวหรืออาจจะใช้สัตว์ในการเหยียบย่ำเพื่อให้เมล็ดหลุดร่วงออกมา แต่ปัจจุบันเกษตรกรนิยมใช้เครื่องทุ่นแรงสำหรับนวดข้าว เช่น การใช้รถแทรกเตอร์ในการเหยียบย่ำ รวมถึงใช้รถนวดข้าว หรือใช้รถเกี่ยวนวดข้าว เป็นต้น

ไพรเมอร์ หมายถึง นิวคลีโอไทด์สายสั้นๆ ที่มีความยาว 10 นิวคลีโอไทด์ ซึ่งถูกออกแบบให้มีความจำเพาะกับดีเอ็นเอแม่แบบ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอข้าวพื้นเมืองสายพันธุ์ที่สนใจ เช่น ไพรเมอร์ OPAA-14 ที่มีลำดับนิวคลีโอไทด์ คือ 5’-AACGGGCCAA-3’

ฟ่อนข้าว หมายถึง การมัดรวมรวงข้าวที่เกี่ยวมาแล้วให้เป็นขนาดที่พอเหมาะแก่การนำมานวด

ม้ามัดข้าว หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรงในการมัดข้าวให้เป็นฟ่อนที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโลหะหรือไม้

ระแง้ หมายถึง การแตกแขนงของรวงข้าว แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระแง้ปฐมภูมิคือการแตกแขนงออกไปจากแต่ละข้อของก้านหลัก ขณะที่ระแง้ทุติยภูมิคือแต่ละข้อของระแง้ปฐมภูมิมีการแตกแขนงย่อยออกไปอีก

ลงแขก หมายถึง การขอแรงให้ญาติพี่น้องหรือคนในชุมชนมาช่วยกันทำงานโดยเจ้าของนาจะจัดเตรียมอาหาร น้ำดื่ม สุรา บุหรี่ ไว้รองรับแขกที่มาช่วยงาน ดังนั้นการลงแขกจึงเป็นประเพณีไทยที่แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังช่วยสร้างความสามัคคีในหมู่คณะซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากในสภาพปัจจุบัน เช่น การลงแขกดำนา ลงแขกเกี่ยวข้าว ลงแขกนวดข้าว เป็นต้น

ลอมฟางข้าว หมายถึง กองฟางที่มีลักษณะยอดแหลมคล้ายเจดีย์ ในอดีตวิถีชีวิตของชาวนามีความสัมพันธ์กับควายที่จำเป็นต้องใช้แรงงานในการไถนาและขนย้ายข้าว ดังนั้นการทำลอมฟางจึงทำเพื่อเก็บฟางเอาไว้ให้ควายได้กินในช่วงฤดูแล้งหรือในตอนหน้าน้ำ อีกทั้งจากพฤติกรรมของควายที่จะไม่กินฟางข้าวที่ถูกเหยียบย่ำอยู่บนพื้นดิน การทำลอมฟางข้าวจะช่วยให้ควายกินฟางได้ทั้งหมด

ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ หมายถึง รูปแบบของแถบดีเอ็นเอที่เป็นเอกลักษณ์ในข้าวแต่ละ    สายพันธุ์ ที่สามารถนำมาใช้แยกความแตกต่างของสายพันธุ์ข้าวได้

ลิ้นใบ หรือเยื่อกันน้ำฝน หมายถึง เยื่อที่มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ ประกบติดอยู่กับ  ลำต้นข้าวมีหน้าที่กันน้ำหรือสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ให้เข้าไปอยู่ระหว่างกาบใบและลำต้น ลิ้นใบแบ่งตามรูปร่างออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ยอดแหลม ยอดแยกเป็น 2 แฉก และยอดไม่แหลม

สงฟางข้าว หมายถึง การใช้ไม้หรือโลหะที่ออกแบบให้เป็นซี่คล้ายส้อมขนาดใหญ่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าไม้คันฉายในการเขี่ยฟางให้กระจายเพื่อให้เมล็ดข้าวเปลือกร่วงหล่นมากองที่ลานหลังจากใช้รถแทรกเตอร์ในการเหยียบย่ำให้เมล็ดหลุดร่วงออกจากรวงข้าวแล้วซึ่งในอดีตจะใช้แรงงานควายเดินเหยียบย่ำ ปัจจุบันไม่ค่อยพบการสงฟาง เนื่องจากมีเครื่องจักรแยกเมล็ดข้าวเปลือกออกจากรวงข้าว

สัณฐานวิทยา หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ และโครงสร้างต่างๆ ของข้าวพันธุ์พื้นเมือง

หางข้าว หมายถึง ส่วนที่ยื่นยาวออกมาจากเปลือกนอกใหญ่ของเมล็ดข้าวเปลือกมีลักษณะเป็นเส้นยาว ซึ่งหางข้าวจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ข้าว

หูใบ หรือเขี้ยวกันแมลง หมายถึง ส่วนของใบที่ยื่นออกมาจากโคนก้านใบมีลักษณะเป็นริ้วหนามเล็กๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากแมลง หูใบของข้าวจะมีรูปร่างขนาดและสีต่างกัน ส่วนใหญ่มีสีเขียวจาง สีขาว หรือมีสีม่วง


 

บทที่ 3

วิธีดำเนินการวิจัย

3.1 การสำรวจความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

1) วางแผนการสำรวจความหลากหลายของชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมือง โดยการทำงานจะประสานงานและวางแผนร่วมกับท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบล คณะกรรมการประจำหมู่บ้าน และโรงเรียนในท้องถิ่น เพราะมุ่งหวังให้ท้องถิ่นผู้อยู่ใกล้ชิดทรัพยากรได้เข้าใจและตระหนักในความสำคัญของความหลากหลายของชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และรับทราบข้อมูลปริมาณมีมากน้อยเพียงใดและจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ซึ่งจะทำให้ท้องถิ่นสามารถเฝ้าติดตามและดูแลรักษาได้

2) จัดทำแบบฟอร์มสำรวจ และดำเนินการสำรวจความหลากหลายของชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมืองทั้ง 13 ตำบล ใน 155 หมู่บ้าน จัดเก็บข้อมูลลักษณะทางสัณฐานวิทยาของข้าวพันธุ์พื้นเมืองในพื้นที่ศึกษา รวมถึงข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวพื้นเมือง จัดทำแผนที่และพิกัดแสดงพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่สำรวจได้

3) รวบรวมข้อมูลและจัดทำบัญชีรายชื่อชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมืองประจำถิ่น เพื่อให้เป็นข้อมูลเผยแพร่ให้กับชุมชนส่งเสริมการอนุรักษ์ต่อไป

4) เก็บตัวอย่างพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เพื่อใช้ในการศึกษาและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสระยายโสมต่อไป

3.2 ศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

   สำรวจความหลากหลายของชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมืองทั้ง 13 ตำบล ใน 155 หมู่บ้าน เพื่อศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ด้วยการนำตัวอย่างข้าวพันธุ์พื้นเมือง ที่รวบรวมได้ทั้งหมดมาสกัดดีเอ็นเอ แล้วนำตัวอย่างดีเอ็นเอที่สกัดได้มาตรวจสอบลายพิมพ์ ดีเอ็นเอด้วยเทคนิค RAPD ตามวิธีของ Wiliams et al. (1990) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมด้วยวิธี UPGMA ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ดังนี้

1) การสกัดดีเอ็นเอ
นำเมล็ดข้าวมาแกะเปลือกโดยไม่ให้จมูกข้าวหลุด นำไปเพาะบนกระดาษทิชชูในจานเพาะเชื้อ (Petri dish) พรมน้ำให้ชุ่มทิ้งไว้เป็นเวลา 5 วัน จนกระทั่งรากข้าวงอกออกมาประมาณ 5 เซนติเมตร จากนั้นตัดรากข้าวแล้วล้างด้วยน้ำกลั่นปราศจากเชื้อ (sterile distilled water) นำรากข้าวมาสกัดดีเอ็นเอด้วยชุดสกัดดีเอ็นเอ Wizard®Genomic DNA Purification (Promega) เก็บดีเอ็นเอที่สกัดได้ไว้ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส

2) การวัดปริมาณและการตรวจสอบคุณภาพดีเอ็นเอ
วัดปริมาณดีเอ็นเอที่สกัดได้ด้วยการวัดค่าการดูดกลืนแสง 260/280 นาโนเมตร (UV/VIS spectrophotometer: OPTIZEN POP) และตรวจสอบคุณภาพดีเอ็นเอด้วยวิธีอิเล็กโทรโฟรีซิสในวุ้นอะกาโรส (agarose gel electrophoresis) ที่ความเข้มข้นของวุ้นร้อยละ 0.8

3) การสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอด้วยเทคนิค RAPD
ดีเอ็นเอข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ใช้เป็นแม่แบบ (template) เพื่อสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอโดยใช้ไพรเมอร์ OPAV-06 (5’-CCCGAGATCC-3’), OPAA-14 (5’-AACGGGCCAA-3’) และ OPAA-09 (5’-AGATGGGCAG-3’) (สุปราณี สิทธิพรหม, 2557) เพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ 50 นาโนกรัม ด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสในส่วนผสมดังนี้ 10X Tag buffer+MgCl2 (NEB) ปริมาตร 5 ไมโครลิตร 10 mM dNTP ปริมาตร 1 ไมโครลิตร 10 µM primer ปริมาตร 1 ไมโครลิตร เอนไซม์ Taq polymerase (5 unite/µl, NEB) ปริมาตร 0.25 ไมโครลิตร เติมน้ำ nuclease-free water ตามสัดส่วนของปริมาณความเข้มข้นของดีเอ็นเอแม่แบบให้ได้ปริมาตรสุดท้ายที่ 50 ไมโครลิตร จากนั้นนำเข้าเครื่องพีซีอาร์ที่ตั้งค่าปฏิกิริยาไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) pre-denaturation ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 5 นาที 2) denaturation ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 นาที annealing ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 นาที extension ที่อุณหภูมิ 68 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 นาที ในขั้นตอนนี้ทำทั้งหมด 40 รอบ และ 3) final extension ที่อุณหภูมิ 68 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 7 นาที จากนั้นตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอด้วยวิธีอิเล็กโทรโฟรีซีสในวุ้นอะกาโรสที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.5 ย้อมแถบดีเอ็นเอด้วยสี fluorescent dye (SYBR Gold) เป็นเวลา 40 นาที ส่องดูแถบสีดีเอ็นเอในเครื่อง dark reader แล้วถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล

4) การวิเคราะห์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอจากเทคนิค RAPD
เปรียบเทียบแถบดีเอ็นเอที่ปรากฏของข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์โดยตรวจสอบแถบดีเอ็นเอ ที่มีความเหมือนทั้งหมด (monomorphic bands) และแถบดีเอ็นเอที่มีความแตกต่างกัน (polymorphic bands) ในตำแหน่งที่มีแถบดีเอ็นเอหากพบแถบให้บันทึกเป็น “1” หากไม่พบแถบดีเอ็นเอให้บันทึกเป็น “0” (binary data) นำข้อมูลมาวิเคราะห์ดัชนีความเหมือน (similarity index) และสร้างแผนภูมิความสัมพันธ์ (dendrogram) โดยเลือกวิธีแบบ UPGMA (Unweighted Pair Group Method with Arithmetic Mean) (Rohlf, 2002) ด้วยโปรแกรม NTSYSpc 2.21q (Applied Biostatistic, USA)

3.3 การสำรวจวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

1) สำรวจวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวพื้นเมืองโดยการตรวจสอบเอกสาร รวบรวมข้อมูลทุติยภูมิที่เกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของคนในชุมชนที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่ ทั้งจากสถาบันการศึกษา จากหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ รวมทั้งเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

2) การสำรวจจากพื้นที่ โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสอบถาม เดินสำรวจ เพื่อค้นหาผู้รู้/ปราชญ์ท้องถิ่น เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปราชญ์ท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

4) วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำทำเนียบผู้รู้/ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นการประมวลผลข้อมูลที่สำรวจรวบรวมได้ทั้งหมด

5) เก็บรวบรวมตัวอย่างจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสระยายโสมต่อไป

3.4 การจัดทำหนังสือความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่โครงการ

1) กำหนดรูปแบบ และสรุปองค์ความรู้สำหรับทำหนังสือ

2) จัดทำหนังสือโดยให้ครอบคลุมความหลากหลายทางชนิดพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับข้าวพื้นเมืองในพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ


 

บทที่ 4

ผลการวิจัย

1. การสำรวจความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

1.1 พันธุ์ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง

   อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีความหลากหลายของลักษณะภูมิประเทศที่สามารถแบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ ด้านตะวันออกยาวไปถึงด้านทิศใต้จะมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำจระเข้สามพัน และลำคำลองสายย่อยต่างๆ ดังนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่จึงอยู่ในเขตชลประทาน เกษตรกรจึงประกอบอาชีพทำนาเพาะปลูกข้าว โดยเฉพาะการทำนาปรังเพาะปลูกข้าวเศรษฐกิจที่มีอายุการเพาะปลูกสั้น เช่น พันธุ์ กข47 ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า “อู่ทอง” เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของจังหวัดสุพรรณบุรี โดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่5 (2548) ได้จัดทำแผนที่ความเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวของพื้นที่อำเภออู่ทองส่วนใหญ่อยู่ด้านตะวันออกของอำเภอ ดังภาพที่ 4.1 ในขณะที่บริเวณด้านทิศตะวันตกยาวขึ้นไปถึงด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะมีลักษณะเป็นที่ดอนอยู่นอกเขตชลประทานเกษตรกรส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทำไร่อ้อย และเพาะปลูกข้าวนาปี โดยเฉพาะการเพาะปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ หรือขาวจังหวัด ดังนั้นจากการสำรวจความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในฤดูการเพาะปลูก 2557/2558 ครอบคลุมพื้นที่หมดทั้ง 13 ตำบล จึงพบว่าในพื้นที่อำเภออู่ทองมีเกษตรกรที่ยังคงปลูกข้าวพื้นเมืองเหลืออยู่เพียง 24 ราย กระจายอยู่ใน 2 ตำบล คือ ตำบลบ้านโข้ง และตำบลจรเข้สามพันเท่านั้น ในขณะที่ตำบลอื่นๆ อีก 11 ตำบล ไม่พบการปลูกข้าวพื้นเมือง เนื่องจากพื้นที่นาอยู่ในเขตชลประทาน เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมเพาะปลูกข้าวนาปรังที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี ขณะที่บางพื้นที่ในฤดูน้ำหลากจะมีน้ำท่วมขังยาวนาน ได้แก่ พื้นที่ในเขตตำบลหนองโอ่ง ตำบลเจดีย์ และตำบลบ้านดอน ไม่พบการปลูกข้าวขึ้นน้ำแต่เกษตรกรจะปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้งทดแทน เนื่องจากข้าวขึ้นน้ำต้องใช้ระยะเวลาการเพาะปลูกที่ยาวนาน

   ดังนั้นในปัจจุบันฤดูการเพาะปลูก 2557/2558 จึงพบพันธุ์ข้าวพื้นเมืองจำนวนทั้งสิ้น 5 สายพันธุ์ โดยทั้งหมดเป็นข้าวนาสวน ประกอบด้วย พันธุ์ขาวหลวง พันธุ์ฝาบาตร พันธุ์พญาชม พันธุ์รากแห้ง และพันธุ์เหลืองอ่อน เมื่อพิจารณารายตำบลพบว่าตำบลจรเข้สามพันปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองเพียงสายพันธุ์เดียวคือพันธุ์เหลืองอ่อนพบการปลูกในเขตบ้านหนองบัว และบ้านคลองตัน ส่วนตำบลบ้านโข้งปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองครบทั้งหมด 5 สายพันธุ์ดังกล่าว โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวพื้นเมืองของตำบลบ้านโข้งส่วนใหญ่กระจายอยู่ตอนบนของตำบลในเขตบ้านดอนยาว บ้านกกม่วง บ้านเขากระจิว บ้านสระบัวทอง และบ้านหัวเขา (ภาพที่ 4.2)

ภาพที่ 4.1 ความเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวของพื้นที่อำเภออู่ทอง

ที่มา: สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่5, 2548

ภาพที่ 4.2 พื้นที่ปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองในตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง

   จากการสอบถามเกษตรกรผู้ปลูกข้าวถึงพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่เคยปลูกในอดีตมีมากถึง 20 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ก้นแก้ว ก้นจุด ขาวแก้ว ขาวตาแห้ง ขาวแตงกวา ขาวแตงโม ขาวประกวด ขาวประจวบ ขาวลำไย ข้าวแม่พัด ข้าววัด เขาใต้ เจ๊กเชย นครพนม นางมล น้ำลาด ปิ่นแก้ว มะลิซ้อน หลวงประทาน และหอมประกวด นอกจากนี้ ฉวีวรรณ วุฒิญาโณ (2543) รายงานพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง มีจำนวนทั้งหมด 8 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นพันธุ์ข้าวขึ้นน้ำ จำนวนทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ขาวยาว (06926) ปลายเหลือง (06917) และเหลืองสังขละ (21342) และพันธุ์ข้าวเจ้านาสวน จำนวนทั้งสิ้น 5 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ขาวประจวบ (06899) ข้าวหวัด (03749) จุดมอญ (06870) นครพนม (21341) และน้ำลาด (06898) และปัจจุบันไม่พบการคงอยู่ของพันธุ์ข้าวดังกล่าว

   พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุดคือ พันธุ์รากแห้ง (ภาพที่ 4.3) เนื่องจากพันธุ์รากแห้งมีลักษณะเด่นประจำพันธุ์ ได้แก่ เจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ดอน ทนแล้ง ต้องการน้ำน้อย ลำต้นสูงและแข็งซึ่งทนต่อการหักล้ม สู้หญ้าและวัชพืชอื่นๆ ได้ดี และน้ำหนักดี ซึ่งนายกำไร สกุลอินทร์ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพันธุ์รากแห้งมากกว่า 20 ปี ได้ให้ข้อมูลว่า “ข้าวพันธุ์รากแห้งมีความแข็งแรง ทนทานต่อความแห้งแล้ง เนื่องจากเคยคิดว่าข้าวตายแล้งแล้วจึงปล่อยให้วัวกินข้าวในแปลงนา แต่เมื่อข้าวได้รับน้ำฝนก็กลับฟื้นขึ้นมาให้ได้เก็บเกี่ยวอีก ดังนั้นถ้าปลูกข้าวพันธุ์รากแห้ง ถึงปีนั้นจะแล้งยังไงก็ได้กินข้าวแน่นอน” ขณะที่พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ปลูกเพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นและเป็นการปลูกเพื่อบริโภคในครอบครัว คือพันธุ์ฝาบาตรซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเบาเมื่อปลูกแล้วจะได้รับประทานและได้ใส่บาตรก่อนข้าวพันธุ์อื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ข้าวพันธุ์ฝาบาตร” รวมทั้งมีลักษณะนุ่มและหุงขึ้นหม้อ อย่างไรก็ตามข้าวพันธุ์ฝาบาตรก็มีลักษณะด้อยคือ ผลผลิตต่ำ เพียง 40 ถังต่อพื้นที่เพาะปลูก 5 ไร่ และเมล็ดสั้นซึ่งเมื่อนำไปขายพ่อค้าไม่รับซื้อเนื่องจากเมื่อผ่านกระบวนการสีแล้วได้ข้าวสารที่มีสภาพเหมือนปลายข้าว (ภาพที่ 4.4) จึงเป็นสายพันธุ์ที่เสี่ยงอย่างยิ่งต่อการหายไปจากพื้นที่อำเภออู่ทอง จำเป็นอย่างเร่งด่วนในการส่งเสริมการปลูกและการบริโภคเพื่อให้คงอยู่ในพื้นที่อำเภออู่ทองต่อไป

ภาพที่ 4.3 สัดส่วนการปลูกข้าวพื้นเมืองสายพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่อำเภออู่ทอง

ภาพที่ 4.4 ลักษณะของเมล็ดข้าวพันธุ์พื้นเมือง

(ก) ขาวหลวง (ข) ฝาบาตร (ค) พญาชม (ง) รากแห้ง (จ) เหลืองอ่อน

1.2 ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและลักษณะทางการเกษตรของข้าวพื้นเมืองในอำเภออู่ทอง

   จากการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา โดยพิจารณาจากลักษณะต่างๆ ประกอบด้วย สีแผ่นใบ ขนแผ่นใบ สีกาบใบ สีข้อต่อใบ สีของปล้อง สีเยื่อกันน้ำฝน รูปร่างเยื่อกันน้ำฝน สีเขี้ยวกันแมลง มุมของใบธง สีของเกสรเพศเมีย การแตกระแง้ สีของเปลือกเมล็ด ขนของเปลือกเมล็ด สีของยอดเมล็ด หางข้าว สีของข้าวกล้อง และชนิดข้าวสาร ตามแบบบันทึกของเสถียร ฉันทะ (2558) พบว่าข้าวพันธุ์พื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทองมีลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่คล้ายคลึงกันเกือบทุกส่วน ยกเว้น การแตกระแง้ สีของเปลือกเมล็ด สีของยอดเมล็ด และความยาวของหางข้าว ที่แตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ ดังตารางที่ 4.1 ขณะที่ลักษณะทางการเกษตรของข้าวพันธุ์พื้นเมือง พบว่า ทุกลักษณะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยข้าวพันธุ์รากแห้งมีความสูงมากที่สุด ข้าวพันธุ์พญาชมมีจำนวนกอต่อต้น และดัชนีพื้นที่ใบมากที่สุด ส่วนวันออกดอก50% พบว่าข้าวพันธุ์ฝาบาตรออกดอกเร็วที่สุด และข้าวพันธุ์พญาชม ออกดอกช้าที่สุด ในส่วนการออกดอกสามารถจำแนกข้าวได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1) ข้าวเบาได้แก่ ข้าวพันธุ์ฝาบาตร 2) ข้าวกลาง ได้แก่ ข้าวพันธุ์รากแห้งและข้าวพันธุ์เหลืองอ่อน และ 3) ข้าวหนัก ได้แก่ ข้าวพันธุ์ขาวหลวงและข้าวพันธุ์พญาชม นอกจากข้าวพันธุ์ฝาบาตรมีจำนวนรวงต่อกอมากที่สุด และข้าวพันธุ์ขาวหลวงมีน้ำหนักรวงมากที่สุด (ตารางที่ 4.2) นอกจากนี้ยังพบว่าขนาด สัดส่วนความยาวต่อความกว้าง และน้ำหนัก 100 เมล็ด ของเมล็ดข้าวพันธุ์พื้นเมืองมีความแตกต่างกัน  โดยข้าวพันธุ์รากแห้งมีขนาดความกว้างและยาวของเมล็ดข้าวเปลือกมากที่สุด โดยที่ข้าวพันธุ์พญาชมมีสัดส่วนความยาวต่อความกว้างของเมล็ดข้าวเปลือกมากที่สุด ส่วนน้ำหนัก 100 เมล็ด ข้าวพันธุ์รากแห้งมีน้ำหนักสูงที่สุด (ตารางที่ 4.3)

ตารางที่ 4.1 ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของข้าวพันธุ์พื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง

ลักษณะ

พันธุ์ข้าวพื้นเมือง

รากแห้ง

เหลืองอ่อน

ขาวหลวง

ฝาบาตร

พญาชม

สีแผ่นใบ

เขียว

เขียว

เขียว

เขียว

เขียว

ขนแผ่นใบ

มีบ้าง

มีบ้าง

มีบ้าง

มีบ้าง

มีบ้าง

สีกาบใบ

เขียว

เขียว

เขียว

เขียว

เขียว

สีข้อต่อใบ

เขียวจาง

เขียวจาง

เขียวจาง

เขียวจาง

เขียวจาง

สีเยื่อกันน้ำฝน

ขาว

ขาว

ขาว

ขาว

ขาว

รูปร่างเยื่อกันน้ำฝน

แตก 2 ยอด

แตก 2 ยอด

แตก 2 ยอด

แตก 2 ยอด

แตก 2 ยอด

สีเขี้ยวกันแมลง

เขียวจาง

เขียวจาง

เขียวจาง

เขียวจาง

เขียวจาง

มุมของใบธง

ตั้งตรง

ตั้งตรง

ตั้งตรง

ตั้งตรง

ตั้งตรง

สีของเกสรเพศเมีย

ขาว

ขาว

ขาว

ขาว

ขาว

การแตกระแง้

ไม่แตก

ไม่แตก

มีบ้าง

ไม่แตก

มีบ้าง

สีของเปลือกเมล็ด

ฟาง

ฟางสลับน้ำตาล

ฟาง

ฟาง

ฟาง

ขนของเปลือกเมล็ด

ขนสั้น

ขนสั้น

ขนสั้น

ขนสั้น

ขนสั้น

สีของยอดเมล็ด

ฟาง

น้ำตาล

ฟาง

ฟาง

ฟาง

หางข้าว

ไม่มี

ไม่มี

มีและสั้น

ไม่มี

ไม่มี

สีของข้าวกล้อง

ขาว

ขาว

ขาว

ขาว

ขาว

ชนิดข้าวสาร

ข้าวเจ้า

ข้าวเจ้า

ข้าวเจ้า

ข้าวเจ้า

ข้าวเจ้า

 

ตารางที่ 4.2 ลักษณะทางการเกษตรของข้าวพันธุ์พื้นเมืองบริเวณพื้นที่อำเภออู่ทอง

พันธุ์

ความสูง (ซม.)

จำนวนกอ (ต่อต้น)

ดัชนีพื้นที่ใบ

วันออกดอก(50%)

จำนวนรวง (ต่อกอ)

รากแห้ง

182.50a

15.00c

71.15a

90.5b

10.00b

เหลืองอ่อน

164.20b

18.75bc

66.91ab

95.25c

13.00b

ขาวหลวง

165.80b

29.25a

61.42b

115.8b

17.00a

ฝาบาตร

148.50c

23.50b

40.29c

66.33e

19.00a

พญาชม

154.80bc

31.50a

74.06a

126.00a

18.00a

average

163.16

23.60

62.77

98.78

15.40

F-test

**

**

**

**

**

CV (%)

4.64

13.90

11.67

1.72

15.37

 

ตารางที่ 4.3 ขนาด สัดส่วนความยาวต่อความกว้าง และน้ำหนัก 100 เมล็ดของเมล็ดข้าวพันธุ์ พื้นเมือง

พันธุ์

ขนาดเมล็ดข้าวเปลือก (มิลลิเมตร)

สัดส่วนความยาวต่อความกว้างของเมล็ดข้าวเปลือก

น้ำหนัก 100 เมล็ด

(กรัม)

กว้าง

ยาว

รากแห้ง

3.02a

10.40a

3.26b

3.67a

เหลืองอ่อน

2.99a

10.10ab

3.38b

2.67b

ขาวหลวง

2.88b

9.70b

3.44b

3.50a

ฝาบาตร

2.26c

8.50c

3.38b

2.00c

พญาชม

3.01a

9.80ab

3.78a

2.50b

average

2.83

9.70

3.45

2.87

F-test

**

**

**

**

CV (%)

4.06

7.13

8.80

6.37

 

ข้าวพื้นเมืองพันธุ์ขาวหลวง

ลำต้น มีความสูงจากโคนถึงฐานรวงเฉลี่ย 165.80 เซนติเมตร ทรงกอแบะออก สามารถแตกกอเฉลี่ย 29.25 ต้นต่อกอ ปล้องมีสีเขียว และลำต้นล้มได้ง่าย

ใบ แผ่นใบมีสีเขียว มีขนบ้าง กาบใบเขียว ข้อต่อใบสีเขียวจาง มุมยอดใบตั้งตรง ลิ้นใบมีสีขาวแตกออกเป็น 2 ยอด ความยาวลิ้นใบเฉลี่ย 20.3 มิลลิเมตร และหูใบมีสีเขียวจาง

ดอก จำนวนวันตกกล้าถึงออกดอก 50 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ย 116 วัน ยอดเกสรตัวเมียมีสีขาว และไม่พบการโผล่ของยอดเกสรตัวเมีย

รวง การชูรวงดี พบแตกระแง้บ้าง ลักษณะรวงมีการแตกแขนงปานกลาง น้ำหนักรวงเฉลี่ย 8.95 กรัม ความยาวจากฐานคอรวงถึงยอดเฉลี่ย 35.40 เซนติเมตร การติดเมล็ดปานกลาง และเมล็ดร่วงน้อย

เมล็ด สีของเปลือกเมล็ดมีสีฟางข้าว ขนสั้น ยอดเมล็ดมีสีฟาง หางข้าวมีสีขาวลักษณะสั้นและมีเป็นส่วนน้อย น้ำหนักเมล็ดเฉลี่ย 3.50 กรัม เมล็ดมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.88 x 9.70 มิลลิเมตร ข้าวกล้องมีสีขาว รูปร่างเรียว และมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.60 x 7.50 มิลลิเมตร

ภาพที่ 4.5 ลักษณะข้าวพื้นเมืองพันธุ์ขาวหลวง

(ก) แปลงนา (ข) ทรงกอ (ค) หูใบ

(ง) ดอกข้าว (จ) รวงข้าว (ฉ) เมล็ด

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองพันธุ์ขาวหลวง

นางแดง พิเพก อายุ 45 ปี

ที่อยู่ 307 หมู่ที่ 7 บ้านกกม่วง ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 5 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 3 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก สู้น้ำ สู้หญ้า น้ำหนักดี ติดรวงดี ปลูกไว้ รับประทานในครอบครัว เนื่องจากชอบ ข้าวแข็ง หุงขึ้นหม้อทั้งข้าวใหม่และข้าว เก่า

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวแตงโม รากแห้ง

 

นายเสถียร พันแตง อายุ 47 ปี

ที่อยู่ 235 หมู่ที่ 5 บ้านห้วยพาด ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 12 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 5-6 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 30 ปี

เหตุผลที่ปลูก สภาพนาเป็นพื้นที่ลุ่มมีน้ำมากในช่วงฤดู ฝน จึงต้องปลูกข้าวที่ขึ้นน้ำได้ดี

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวลำไย ปิ่นแก้ว พญาชม

 

นางสำรวย สาเป้า อายุ 50 ปี

ที่อยู่ 7 หมู่ที่ 6 บ้านสระบัวทอง ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 5 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 2 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 1 ปี

เหตุผลที่ปลูก ข้าวขึ้นหนีน้ำได้ดี ผลผลิตสูง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก รากแห้ง

 

ข้าวพื้นเมืองพันธุ์ฝาบาตร

ลำต้น มีความสูงจากโคนถึงฐานรวงเฉลี่ย 148.50 เซนติเมตร ทรงกอแผ่มาก สามารถแตกกอเฉลี่ย 23.50 ต้นต่อกอ ปล้องมีสีเขียว และลำต้นล้มได้ง่าย

ใบ แผ่นใบมีสีเขียว มีขนบ้าง กาบใบเขียว ข้อต่อใบสีเขียวจาง มุมยอดใบตั้งตรง ลิ้นใบมีสีขาวแตกออกเป็น 2 ยอด ความยาวลิ้นใบเฉลี่ย 21.5 มิลลิเมตร และหูใบมีสีเขียวจาง

ดอก จำนวนวันตกกล้าถึงออกดอก 50 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ย 66 วัน ยอดเกสรตัวเมียมีสีขาว และไม่พบการโผล่ของยอดเกสรตัวเมีย

รวง การชูรวงดี ไม่แตกระแง้ ลักษณะรวงมีการแตกแขนงปานกลาง น้ำหนักรวงเฉลี่ย 3.55 กรัม ความยาวจากฐานคอรวงถึงยอดเฉลี่ย 25.35 เซนติเมตร การติดเมล็ดปานกลาง และเมล็ดร่วงน้อย

เมล็ด สีของเปลือกเมล็ดมีสีฟางข้าว ขนสั้น ยอดเมล็ดมีสีฟาง ไม่มีหางข้าว น้ำหนักเมล็ดเฉลี่ย 2.00 กรัม เมล็ดมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.26 x 8.50 มิลลิเมตร ข้าวกล้องสีขาว รูปร่างป้อม และมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.11 x 6.67 มิลลิเมตร

ภาพที่ 4.6 ลักษณะข้าวพื้นเมืองพันธุ์ฝาบาตร

(ก) แปลงนา (ข) ทรงกอ (ค) หูใบ

(ง) ดอกข้าว (จ) รวงข้าว (ฉ) เมล็ด

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองพันธุ์ฝาบาตร

นายหนู กล่ำจีน อายุ 82 ปี

ที่อยู่ 235 หมู่ที่ 5 บ้านห้วยพาด ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 5 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 40 ถัง

ประสบการณ์ปลูก 40 ปี

เหตุผลที่ปลูก ข้าวนิ่มหุงขึ้นหม้อ ปลูกไว้รับประทานเอง อายุเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 3 เดือน ได้ รับประทานและได้ใส่บาตรก่อนพันธุ์อื่นๆ

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ก้นจุด ขาวแก้ว เขาใต้ หอมประกวด

 

ข้าวพื้นเมืองพันธุ์พญาชม

ลำต้น มีความสูงจากโคนถึงฐานรวงเฉลี่ย 154.80 เซนติเมตร ทรงกอแผ่ออก สามารถแตกกอเฉลี่ย 31.50 ต้นต่อกอ ปล้องมีสีเขียว และลำต้นล้มได้ง่าย

ใบ แผ่นใบมีสีเขียว มีขนบ้าง กาบใบเขียว ข้อต่อใบสีเขียวจาง มุมยอดใบตั้งตรง ลิ้นใบมีสีขาวแตกออกเป็น 2 ยอด ความยาวลิ้นใบเฉลี่ย 20.8 มิลลิเมตร และหูใบมีสีเขียวจาง

ดอก จำนวนวันตกกล้าถึงออกดอก 50 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ย 126 วัน ยอดเกสรตัวเมียมีสีขาว และไม่พบการโผล่ของยอดเกสรตัวเมีย

รวง การชูรวงดี พบแตกระแง้บ้าง ลักษณะรวงมีการแตกแขนงปานกลาง น้ำหนักรวงเฉลี่ย 6.90 กรัม ความยาวจากฐานคอรวงถึงยอดเฉลี่ย 33.00 เซนติเมตร การติดเมล็ดปานกลาง และเมล็ดร่วงน้อย

เมล็ด สีของเปลือกเมล็ดมีสีฟางข้าว ขนสั้น ยอดเมล็ดมีสีฟาง ไม่มีหางข้าว น้ำหนักเมล็ดเฉลี่ย 2.50 กรัม เมล็ดมีความกว้างยาวเฉลี่ย 3.01 x 9.80 มิลลิเมตร ข้าวกล้องสีขาว รูปร่างเรียว และมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.13 x 7.42 มิลลิเมตร

ภาพที่ 4.7 ลักษณะข้าวพื้นเมืองพันธุ์พญาชม

(ก) แปลงนา (ข) ทรงกอ (ค) หูใบ

(ง) ดอกข้าว (จ) รวงข้าว (ฉ) เมล็ด

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองพันธุ์พญาชม

นายเอ้ง ขันตรี อายุ 70 ปี

ที่อยู่ 438 หมู่ที่ 2 บ้านจร้าใหม่ ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 15 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 9 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 50 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเอง เนื่องจากไม่แข็งไม่ อ่อนพอดีกิน ที่สำคัญข้าวพญาชมสู้น้ำได้ดี และแตกระแง้ดีกว่าขาวประจวบและขาวหลวง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวประจวบ นครพนม น้ำลาด ปิ่นแก้ว มะลิ ซ้อน

 

ข้าวพื้นเมืองพันธุ์รากแห้ง

ลำต้น มีความสูงจากโคนถึงฐานรวงเฉลี่ย 182.50 เซนติเมตร ทรงกอแบะออก สามารถแตกกอเฉลี่ย 15.00 ต้นต่อกอ ปล้องมีสีเขียว และลำต้นหักล้มได้ยาก

ใบ แผ่นใบมีสีเขียว มีขนบ้าง กาบใบเขียว ข้อต่อใบสีเขียวจาง มุมยอดใบตั้งตรง ลิ้นใบมีสีขาวแตกออกเป็น 2 ยอด ความยาวลิ้นใบเฉลี่ย 24.5 มิลลิเมตร และหูใบมีสีเขียวจาง

ดอก จำนวนวันตกกล้าถึงออกดอก 50 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ย 91 วัน ยอดเกสรตัวเมียมีสีขาว และไม่พบการโผล่ของยอดเกสรตัวเมีย

รวง การชูรวงดี ไม่พบการแตกระแง้ ลักษณะรวงมีการแตกแขนงปานกลาง น้ำหนักรวงเฉลี่ย 7.85 กรัม ความยาวจากฐานคอรวงถึงยอดเฉลี่ย 33.25 เซนติเมตร การติดเมล็ดปานกลาง และเมล็ดร่วงน้อย

เมล็ด สีของเปลือกเมล็ดมีสีฟางข้าว ขนสั้น ยอดเมล็ดมีสีฟาง ไม่มีหางข้าว น้ำหนักเมล็ดเฉลี่ย 3.67 กรัม เมล็ดมีความกว้างยาวเฉลี่ย 3.02 x 10.04 มิลลิเมตร ข้าวกล้องสีขาว รูปร่างเรียว และมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.22 x 7.65 มิลลิเมตร

ภาพที่ 4.8 ลักษณะข้าวพื้นเมืองพันธุ์รากแห้ง

(ก) แปลงนา (ข) ทรงกอ (ค) หูใบ

(ง) ดอกข้าว (จ) รวงข้าว (ฉ) เมล็ด

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองพันธุ์รากแห้ง

นายกำไร สกุลอินทร์อายุ 46 ปี

ที่อยู่ 303 หมู่ที่ 3 บ้านหัวเขา ตำบลสระกระโจม

พื้นที่ปลูก 25 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 6 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก มากกว่า 20 ปี

เหตุผลที่ปลูก ลำต้นแข็ง สู้หญ้าได้ดี น้ำหนักดี และทน แล้ง “เคยปล่อยให้วัวกินเพราะคิดว่าข้าว ตายแล้งแล้ว พอได้รับน้ำฝนก็กลับฟื้น ขึ้นมาให้ได้เกี่ยวอีก ดังนั้นถ้าปลูกข้าวราก แห้ง ถึงปีนั้นจะแล้งยังไงก็ได้กินข้าว แน่นอน”

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก เหลืองอ่อน

“เคยปลูกเหลืองอ่อนเมื่อประมาณ 10 ปี แต่เหลืองอ่อนลูกข้าวเยอะเลยเลิกปลูก”

 

นางจอง มาลัย อายุ 54 ปี

ที่อยู่ 109 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 12 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 7 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเอง ชอบข้าวแข็ง เมล็ด โต ต้านทานโรค ดูแลง่าย และสู้หญ้าได้ดี

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวหลวง

 

นางเฉลิม พรสุริวงษ์ อายุ 52 ปี

ที่อยู่ 1 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 20 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 5 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 30 ปี

เหตุผลที่ปลูก สู้หญ้าได้ดี กินดี ไม่แข็งและไม่อ่อน เลย ปลูก มาทุกปีตั้งแต่บรรพบุรุษ

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวแก้ว ขาวลำใย ข้าววัด พญาชม หลวง ประทาน

 

นางชะลอ มาลัย อายุ 59 ปี

ที่อยู่ 117 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 6 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 3 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก เมล็ดโต ทนโรค น้ำหนักดี ดูแลง่าย

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นางดาวเรือง ผิวชะอุ่ม อายุ 47 ปี

ที่อยู่ 2 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 3 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 1-2 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 6 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเอง ดูแลง่าย ทนแล้ง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นางบุญมี หมวดเชียงคะ อายุ 47 ปี

ที่อยู่ 208 หมู่ที่ 5 บ้านนา ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 7 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 3 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 15 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเอง ไม่แข็ง ไม่อ่อน ดังนั้นจึงปลูกรากแห้งมาทุกปี

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นางพยอม ชุ่มเพ็งพันธุ์ อายุ 60 ปี

ที่อยู่ 326 หมู่ที่ 3 บ้านหัวเขา ตำบลสระกระโจม

พื้นที่ปลูก 12 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 5 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 20 ปี

เหตุผลที่ปลูก รวงใหญ่ น้ำหนักดี สู้หญ้าดี ทนแล้ง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ก้นแก้ว ขาวแก้ว ขาวตาแห้ง

 

นายวุ่น โพธิ์พรม อายุ 78 ปี

ที่อยู่ 115 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 15 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 5 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก มากกว่า 30 ปี

เหตุผลที่ปลูก สู้หญ้าได้ดี ทนแล้ง สู้โรค สู้เพลี้ย ปลูกไว้ รับประทานเอง ถ้าเหลือจึงจะสีเป็นข้าวสาร ไว้ขาย

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวแตงกวา ขาวประจวบ เจ๊กเชย

 

นางสำรวย สาเป้า อายุ 50 ปี

ที่อยู่ 7 หมู่ที่ 6 บ้านสระบัวทอง ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 10 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 4 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 1 ปี

เหตุผลที่ปลูก สู้หญ้าได้ดี ดูแลง่าย ทนแล้ง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวหลวง

 

นายสวิง กลั่นเอี่ยม อายุ 61 ปี

ที่อยู่ 133 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 9 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 2.5 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก มากกว่า 30 ปี

เหตุผลที่ปลูก พื้นที่นาสภาพเป็นที่ดอน พันธุ์รากแห้ง สู้ หญ้าได้ดี ทนแล้ง ใช้น้ำน้อย น้ำหนักดีกว่า ข้าวหอมมะลิ ปลูกไว้รับประทานเอง และ แบ่งขายบ้าง ข้าวใหม่จะนุ่มอร่อย ส่วนข้าว เก่าจะแข็งเล็กน้อย

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก เหลืองอ่อน

 

นางหนูแดง ฟ้อนพันธ์ อายุ 51 ปี

ที่อยู่ 143 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 4 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 3 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเองน้ำหนักดี ผลผลิตสูง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวแก้ว ขาวหลวง

 

นายอั้น โรจน์บุญถึง อายุ 64 ปี

ที่อยู่ 237 หมู่ที่ 11 บ้านจร้าใหม่ ตำบลบ้านโข้ง

เหตุผลที่ปลูก ทนต่อแมลงศัตรูพืช ทนน้ำท่วม

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ขาวแก้ว พญาชม

 

นายอุดม นาคโชติ อายุ 66 ปี

ที่อยู่ 110 หมู่ที่ 5 บ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 4 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 1 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเอง คนในครอบครัว ชอบ ข้าวพันธุ์นี้ น้ำหนักดี ผลผลิตสูง ศัตรู น้อย ทนแล้ง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ก้นแก้ว ขาวประกวด นางมล ปิ่นแก้ว พญาชม

 

ข้าวพื้นเมืองพันธุ์เหลืองอ่อน

ลำต้น มีความสูงจากโคนถึงฐานรวงเฉลี่ย 164.20 เซนติเมตร ทรงกอแบะออก สามารถแตกกอเฉลี่ย 18.75 ต้นต่อกอ ปล้องมีสีเขียว และลำต้นสามารถหักล้มได้ปานกลาง

ใบ แผ่นใบมีสีเขียว มีขนบ้าง กาบใบเขียว ข้อต่อใบสีเขียวจาง มุมยอดใบตั้งตรง ลิ้นใบมีสีขาวแตกออกเป็น 2 ยอด ความยาวลิ้นใบเฉลี่ย 25.5 มิลลิเมตร และหูใบมีสีเขียวจาง

ดอก จำนวนวันตกกล้าถึงออกดอก 50 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ย 95 วัน ยอดเกสรตัวเมียมีสีขาว และไม่พบการโผล่ของยอดเกสรตัวเมีย

รวง การชูรวงดี ไม่พบการแตกระแง้ ลักษณะรวงมีการแตกแขนงปานกลาง น้ำหนักรวงเฉลี่ย 5.84 กรัม ความยาวจากฐานคอรวงถึงยอดเฉลี่ย 30.10 เซนติเมตร การติดเมล็ดปานกลาง และเมล็ดร่วงน้อย

เมล็ด สีของเปลือกเมล็ดมีสีฟางสลับน้ำตาล ขนสั้น ยอดเมล็ดมีสีน้ำตาล ไม่มีหางข้าว น้ำหนักเมล็ดเฉลี่ย 2.67 กรัม เมล็ดมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.99 x 10.10 มิลลิเมตร ข้าวกล้องสีขาว รูปร่างเรียว และมีความกว้างยาวเฉลี่ย 2.59 x 7.54 มิลลิเมตร

ภาพที่ 4.9 ลักษณะข้าวพื้นเมืองพันธุ์เหลืองอ่อน

(ก) แปลงนา (ข) ทรงกอ (ค) หูใบ

(ง) ดอกข้าว (จ) รวงข้าว (ฉ) เมล็ด

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองพันธุ์เหลืองอ่อน

นายเกษม นาเอก อายุ 60 ปี

ที่อยู่ 261 หมู่ที่ 7 บ้านดอนยาว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 6 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 140 ถัง

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก ผลผลิตสูง สู้น้ำได้ดี

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นายทองดี กรับทอง อายุ 55 ปี

ที่อยู่ 216 หมู่ที่ 7 บ้านดอนยาว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 15 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 5.5 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก ลำต้นสูง สู้น้ำ สู้หญ้าได้ดี ปลูกไว้ รับประทานเอง เหลือก็แบ่งขายบ้าง

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นายเนื่อง ปทุมสูตร อายุ 73 ปี

ที่อยู่ 75 หมู่ที่ 1 บ้านหนองบัว ตำบลจรเข้สามพัน

พื้นที่ปลูก 12 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 3-4 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก กินดี เมล็ดสวย ไม่ต้องใส่ปุ๋ย

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นางประสาท ศรีคำทา อายุ 61 ปี

ที่อยู่ 47 หมู่ที่ 6 บ้านคลองตัน ตำบลสระยายโสม

พื้นที่ปลูก 10 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 3-4 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 4 ปี

เหตุผลที่ปลูก ปลูกไว้รับประทานเองเพราะชอบข้าวพันธุ์นี้

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นางสะอิ้ง ฤทธิ์เดช อายุ 49 ปี

ที่อยู่ 113 หมู่ที่ 13 บ้านวังวัว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 15 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 5 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 10 ปี

เหตุผลที่ปลูก แมลงศัตรูมีน้อย

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ไม่มี

 

นางสะอิ้ง สูนสิทธิ์ อายุ 56 ปี

ที่อยู่ 123 หมู่ที่ 9 บ้านหนองสลัดได

ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก 2 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 60-70 ถัง

ประสบการณ์ปลูก 4-5 ปี

เหตุผลที่ปลูก พื้นที่เพาะปลูกน้อย ข้าวเหลืองอ่อน ผลผลิต สูงจึงปลูกไว้รับประทานเองใน ครัวเรือน

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ข้าวแม่พัด รากแห้ง

 

นายสุรินทร์ หลีพันธ์ อายุ 74 ปี

ที่อยู่ 58 หมู่ที่ 7 บ้านดอนยาว ตำบลบ้านโข้ง

พื้นที่ปลูก ปี 2557 ปลูก 8 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 6 เกวียน

ปี 2558 ปลูก 12 ไร่ 2 งาน ได้ผลผลิตรวม 6 เกวียน

ประสบการณ์ปลูก 16 ปี

เหตุผลที่ปลูก ต้นสูง หนีหญ้าได้ดี ขึ้นน้ำ เนื่องจากพื้นที่ นาเป็นทางน้ำ ผลผลิตสูง น้ำหนักมาก

พันธุ์อื่นที่เคยปลูก ก้นแก้ว พญาชม มะลิซ้อน

 

2.ศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

   ผลการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองด้วยวิธี RAPD โดยใช้ไพรเมอร์ OPAV-06, OPAA-14 และ OPAA-09 เพื่อสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอของข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ พบว่าไพรเมอร์ที่สามารถเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอได้มีเพียง OPAA-14 และ OPAA-09 ในขณะที่ OPAV-06 ไม่ปรากฏแถบดีเอ็นเอ ซึ่งแถบดีเอ็นเอที่ปรากฏมีทั้งหมด 50 แถบ ขนาดประมาณ 260 – 3000 คู่เบส (base pair; bp) เป็นแถบดีเอ็นเอที่มีความต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ข้าว (polymorphic bands) คิดเป็นร้อยละ 100 (ภาพที่ 4.10) โดยลายพิมพ์ดีเอ็นเอมีลักษณะเฉพาะต่อข้าวแต่ละสายพันธุ์

ภาพที่ 4.10  ลายพิมพ์ดีเอ็นเอจากการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอด้วย RAPD และใช้ไพรเมอร์ OPAV-06 (lane 1-5), OPAA-14 (lane 6-10) และ OPAA-09 (lane 11-15) (M1 คือ ดีเอ็นเอมาตรฐาน 100 bp ladder (GeneRuler), M2 คือ ดีเอ็นเอมาตรฐาน 1 kb ladder (GeneRuler), lane 1, 6, 11 คือ ข้าวฝาบาตร, lane 2, 7, 12 คือ ข้าวรากแห้ง, lane 3, 8, 13 คือ ข้าวเหลืองอ่อน, lane 4, 9, 14 คือ ข้าวขาวหลวง, lane 5, 10, 15 คือ ข้าวพญาชม)

   จากการศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของข้าวพื้นเมืองด้วยเทคนิคอาร์เอพีดี (RAPD) โดยใช้ ไพรเมอร์ OPAA-14 (5’-AACGGGCCAA-3’) เพื่อสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (ภาพที่ 4.11) พบว่าไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างแถบดีเอ็นเอที่นำมาวิเคราะห์แยกความแตกต่างของข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ได้ดังนี้

1. ข้าวพื้นเมืองพันธุ์ฝาบาตรไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอได้ทั้งหมด 4 แถบ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 800-1500 คู่เบส ประกอบด้วยแถบดีเอ็นเอขนาด 800, 1200, 1300 และ 1500 คู่เบส

ภาพที่ 4.11 ลายพิมพ์ดีเอ็นเอข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ โดยเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอด้วย RAPD และใช้ไพรเมอร์ OPAA-14 (M1 คือ ดีเอ็นเอมาตรฐาน 100 bp ladder (GeneRuler), M2 คือ ดีเอ็นเอมาตรฐาน 1 kb ladder (GeneRuler), lane 1 คือ ข้าวฝาบาตร, lane 2 คือ ข้าวรากแห้ง, lane 3 คือ ข้าวเหลืองอ่อน, lane 4 คือ ข้าวขาวหลวง และ lane 5 คือ ข้าวพญาชม)

2. ข้าวพื้นเมืองพันธุ์รากแห้งไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอได้ทั้งหมด 9 แถบ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 550-2000 คู่เบส ประกอบด้วยแถบดีเอ็นเอขนาด 550, 630, 750, 1100, 1400, 1500, 1700, 1900 และ 2000 คู่เบส

3. ข้าวพื้นเมืองพันธุ์เหลืองอ่อนไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอได้เพียง 1 แถบ คือดีเอ็นเอขนาด 1900 คู่เบส

4. ข้าวพื้นเมืองพันธุ์ขาวหลวงไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอได้ทั้งหมด 4 แถบ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1000-1900 คู่เบส ประกอบด้วยแถบดีเอ็นเอขนาด 1000, 1500, 1600 และ 1900 คู่เบส

5. ข้าวพื้นเมืองพันธุ์พญาชมไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างลายพิมพ์ดีเอ็นเอได้ทั้งหมด 11 แถบ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 350-3000 คู่เบส ประกอบด้วยแถบดีเอ็นเอขนาด 350, 500, 600, 750, 1000, 1200, 1400, 1500, 1700, 2000 และ 3000 คู่เบส

   การเกิดลายพิมพ์ดีเอ็นเอโดยใช้ไพรเมอร์ OPAA-14 สามารถสร้างแถบดีเอ็นเอที่นำมาวิเคราะห์แยกความแตกต่างของข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ได้ (ภาพที่ 4.11) จึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม NTSYSpc v.2.21q และเลือกการจัดกลุ่มแบบ UPGMA เพื่อหาค่าดัชนีความเหมือน (ภาพที่ 4.12) ที่จะนำไปสร้างแผนภูมิความสัมพันธ์ (ภาพที่ 4.13) พบว่าข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ มีค่าดัชนีความเหมือนอยู่ที่ 0.52 – 0.87 หากพิจารณาความเหมือนของพันธ์ข้าวที่ค่า 0.61 หรือ 0.70 จะสามารถจำแนกสายพันธุ์ข้าวออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่ 1 ได้แก่ ข้าวฝาบาตร ข้าวเหลืองอ่อนและข้าวขาวหลวง 2) กลุ่มที่ 2 ได้แก่ ข้าวรากแห้ง และ 3) กลุ่มที่ 3 ได้แก่ ข้าวพญาชม

ฝาบาตร

รากแห้ง

เหลืองอ่อน

ขาวหลวง

พญาชม

ฝาบาตร

1

รากแห้ง

0.522

1

เหลืองอ่อน

0.783

0.652

1

ขาวหลวง

0.739

0.609

0.870

1

พญาชม

0.522

0.565

0.478

0.522

1

ภาพที่ 4.12 ค่าดัชนีความเหมือนของข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์ จากการวิเคราะห์จากความต่างกันของลายพิมพ์ดีเอ็นเอ โดยมีค่าอยู่ที่ช่วง 0.52 – 0.87

ภาพที่ 4.13 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของข้าวทั้ง 5 สายพันธุ์จากการทำลายพิมพ์ ดีเอ็นเอด้วยเทคนิค RAPD

3. การสำรวจวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวพื้นเมือง

3.1 วิถีการปลูกข้าวในอู่ทอง

   อำเภออู่ทองมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 400,464 ไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมด 321,444 ไร่ และมีครอบครัวที่เป็นเกษตรกรจำนวน 23,552 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย และข้าวโพด โดยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองส่วนใหญ่จะปลูกพืชไร่โดยเฉพาะอ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจหลักแต่การปลูกข้าวพื้นเมืองเป็นการปลูกเพียงเพื่อการบริโภคเองในครัวเรือนเท่านั้น ปัจจุบันการปลูกข้าวในหลายพื้นที่ของอำเภออู่ทอง โดยเฉพาะข้าวนาปีในเขตตำบลบ้านโข้งประสบปัญหาเกี่ยวกับความแห้งแล้ง ขาดแคลนระบบชลประทาน จำเป็นต้องอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติในการเพาะปลูก รวมทั้งประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนแรงงาน ด้วยเหตุนี้การเพาะปลูกข้าวในปัจจุบันจึงหันมานิยมใช้เทคโนโลยีและใช้วิธีการปลูกข้าวแบบหว่านแห้ง ซึ่งมีต้นทุนต่ำ ใช้แรงงานน้อย และไม่ต้องการน้ำในปริมาณมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกข้าวโดยวิธีการปักดำ หรือหว่านข้าวงอกในนาหว่านน้ำตม (ภาพที่ 4.14)

ภาพที่ 4.14 การปลูกข้าวของเกษตรกรในอำเภออู่ทอง

1.การเตรียมดินเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ 

2.การหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยเครื่องทุ่นแรง 

3.การไถกลบเมล็ดพันธุ์ข้าว

   สำหรับการใช้เทคโนโลยีในการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยว เกษตรกรส่วนใหญ่ในอำเภออู่ทองรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมต่อความต้องการและสภาพสังคมยุคปัจจุบัน ตั้งแต่เทคโนโลยีการเพาะปลูกที่มีการใช้รถไถทำการไถดะหรือการไถครั้งแรกเพื่อทำลายวัชพืชในแปลงนา และการหว่านเมล็ดของเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมใช้เครื่องพ่นหว่านเมล็ดข้าวเพื่อความรวดเร็วและความสม่ำเสมอทั่วแปลงนาซึ่งจะทำให้ข้าวมีการเจริญเติบโตได้ดี ได้รับทั้งธาตุอาหารและแสงแดดอย่างทั่วถึง ดังนั้นการปลูกและการเพิ่มผลผลิตข้าวนั้น เกษตรกรในอู่ทองเป็นผู้มีความเข้าใจถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง ตั้งแต่การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าว การเตรียมดิน การกำจัดศัตรูพืช ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ รวมทั้งกระบวนการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในกระล่อม ซึ่งเป็นภาชนะที่สานจากไม้ไผ่ มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ฉาบด้วยมูลสัตว์หรือดินเหนียว ด้านบนถูกปิดสนิทด้วยดินเหนียว สำหรับใส่ข้าวปลูก ป้องกันการกัดแทะของไก่ หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ (ภาพที่ 4.15)

ภาพที่ 4.15 การเก็บรักษาและการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก

ก. การเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกในกะล่อม

ข. การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกด้วยเครื่องสีฝัด

   เทคโนโลยีในปัจจุบันที่ถือได้ว่าเข้ามามีบทบาทอย่างมากและนับวันยิ่งมีบทบาทมากยิ่งขึ้นคือ เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวข้าวด้วยรถเกี่ยวนวดข้าว (ภาพที่ 4.16) ซึ่งให้ความสะดวกและรวดเร็ว ถึงแม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากค่าเก็บเกี่ยวในอัตราไร่ละ 550-600 บาท จากความนิยมในการใช้รถเกี่ยวนวดข้าวทำให้การลงแขกเกี่ยวข้าว และการลงแขกนวดข้าว ซึ่งเป็นประเพณีไทยดั้งเดิมที่ดีงามเสริมสร้างความสามัคคี ความเอื้ออารีย์ต่อกันในชุมชนค่อยๆ จางหายไป

ภาพที่ 4.16 เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวข้าวด้วยรถเกี่ยวนวดข้าว

ก. การเกี่ยวข้าวพื้นเมืองพันธุ์เหลืองอ่อนด้วยรถเกี่ยวนวดข้าว

ข. ลานตากข้าวของชุมชนบ้านเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง

   เป็นที่น่ายินดีที่เกษตรกรบางรายยังคงเลือกใช้การเก็บเกี่ยวข้าวด้วยเคียวอยู่ เนื่องจากมีความต้องการใช้ฟางข้าวสำหรับเลี้ยงวัว รวมทั้งเกษตรกรบางรายยังคงเก็บเกี่ยวข้าวด้วยเคียวเพื่อต้องการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกในฤดูกาลต่อไป ทำให้ภูมิปัญญาการเก็บเกี่ยวด้วยเคียว ภูมิปัญญาการทำลานตากข้าวด้วยมูลวัว ภูมิปัญญาการสงฟางข้าวซึ่งเป็นการคัดแยกฟางข้าวออกจากเมล็ด และภูมิปัญญาการจัดทำลอมฟางข้าวแบบดั้งเดิมที่มีความสวยงามยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ในบางหมู่บ้านของอำเภออู่ทอง (ภาพที่ 4.17-4.19)

ภาพที่ 4.17 การเก็บเกี่ยวข้าว

ก. การเกี่ยวข้าวด้วยเคียว

ข. ภูมิปัญญาการใช้ม้ามัดข้าว

ภาพที่ 4.18 การลงแขกนวดข้าวด้วยเครื่องจักร

ภาพที่ 4.19 การสงฟางข้าวและการจัดทำลอมฟางข้าวสำหรับเลี้ยงวัว

3.2 พิธีการรับท้องข้าวในอู่ทอง

   การรับท้องข้าวเป็นประเพณีที่ทำสืบเนื่องต่อกันมาแต่โบราณ เพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูระลึกถึงพระคุณของแม่โพสพ รวมทั้งสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับเกษตรกรและครอบครัว ด้วยการอัญเชิญแม่โพสพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในผืนนามารับอาหารคาวหวาน ผลไม้รสเปรี้ยว หมากพลู และเครื่องแต่งกาย โดยถือว่าแม่โพสพที่กำลังตั้งท้องเมื่อได้รับเครื่องเสวยจะได้มีเรี่ยวมีแรงออกลูกรวมไปถึงการดูแลเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า รวมทั้งขอให้พระภูมิเจ้าที่ช่วยปกปักรักษา คุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายที่มารบกวนแม่โพสพ ซึ่งมีขั้นตอนในพิธีดังนี้

เริ่มวางส้มสุก ลูกไม้ ของคาว ของหวาน ผูกสายสิญจน์ แล้วกล่าวดังนี้ “แม่โพสพ แม่โพศรี แม่จันเทวี แม่ศรีสุดา วันนี้เป็นวันดี ลูกมาเลี้ยงรับท้อง รับไส้ แพ้ท้อง แพ้ไส้ มากินส้มสุกลูกไม้ มาเด้อขวัญมา มาอยู่กับลูกกับเต้า”

จากนั้นก็ตัดสายสิญจน์แล้วผูกเข้ากับกอข้าว แล้วจึงจัดแจงแต่งเนื้อ แต่งตัว หวีผม ผัดหน้า ทาแป้ง มีขั้นตอนดังนี้ เริ่มด้วยทำพิธีการตัดผม หวีผม ใส่น้ำมันทาผม แล้วทาแป้งให้สะให้สวย เอากระจกมาส่อง “สวยหรือยัง แม่ดูซิ ตัดผมแล้ว ใส่น้ำมันแล้ว หวีแล้ว สวยแล้ว”

ต่อไปนุ่งผ้า ใส่เสื้อ แต่งเนื้อแต่งตัวให้สะให้สวย จากนั้นใช้ผ้าขาวม้าโบกพัดแล้วกล่าวคำว่า “ขวัญเอ๊ย ขวัญมา แม่โพสพ แม่โพศรี แม่จันเทวี แม่ศรีสุดา อยู่หัวไร่ ปลายนา ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ขอให้แม่มามื้อนี้ วันนี้นะ มาเสวยส้มสุกลูกไม้”

จากนั้นยายก็นำผ้าขาวม้ามาพาดบ่าห่มแบบสไบ แล้วก้มกราบ 3 ครั้ง จึงกล่าวดังนี้ “สาธุ แม่โพสพ แม่โพศรี แม่จันเทวี แม่ศรีสุดา วันนี้เป็นวันดี วันขวัญของแม่ ลูกมาเลี้ยงรับท้อง รับไส้ ขอเชิญแม่มาเสวยส้มสุกลูกไม้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เอามาให้ แม่มาเสวยซะนะ ตั้งท้อง ตั้งไส้ จะได้มีเรี่ยวมีแรงออก ได้เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า”

แล้วจึงกล่าวต่อดังนี้ “ขอให้พระภูมิเจ้าที่ พระแม่ธรณี พระไชยมงคล เจ้าป่า                เจ้าดอน เจ้าห้วย เจ้าหนอง เจ้าคลองน้ำไหล วันนี้เป็นวันดี วันขวัญของแม่ ลูกมาเลี้ยงแม่โพสพ ก็ขอให้เจ้าที่ เจ้าทาง มาเสวยส้มสุกลูกไม้กับแม่โพสพ เชิญมาเสวยด้วยกัน จะได้ช่วยกันปกปักษ์ รักษา คุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายทั้งสิ้น รักษาแม่โพสพด้วย ตั้งท้อง ตั้งไส้ อย่าให้ศัตรูหมู่ร้ายมารบ มากวน ให้แม่อยู่ดีสบาย ออกง่าย ออกดาย อย่าให้มีความเจ็บไข้ใดๆ ทั้งสิ้น จะได้เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า สาธุ”

จากนั้นก็ปล่อยให้พระแม่โพสพและพระภูมิเจ้าที่ได้เสวยส้มสุกลูกไม้ประมาณ 20 นาที แล้วกล่าวต่อดังนี้ “สาธุ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าดอน เจ้าห้วย เจ้าหนอง เจ้าคลองน้ำไหล ขอฝากแม่โพสพให้ดูแลรักษา ปกครอง ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าให้สิงสาราสัตว์ ศัตรูหมู่ร้าย มารบมากวน ดูแลแม่โพสพด้วย ลูกช้าง ลูกม้า ฝากแม่โพสพ เสวยแล้วก็ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข ขอให้อยู่ในนา และขอให้ลูกช้าง ลูกม้า อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้น ทำสิ่งใดก็ขอให้สมความมุ่งมั่นปรารถนา อย่าอึด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน ให้ไหลมาเทมา เต็มนาเต็มไร่ ให้มั่งให้มีศรีสุขนะ พระแม่โพสพจ๋า ลูกขอลากลับก่อน ขอให้ได้รวงละหม้อ กอละถังนะ สาธุ”

ภาพที่ 4.20 พิธีการรับท้องข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง

 

4. การประชุมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองในพื้นที่โครงการ
จากการประชุมเกษตรกร เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 ณ วัดเขากระจิว ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองได้ทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดเครือข่ายเกษตรผู้ปลูกข้าวพื้นเมือง เกิดการแลกเปลี่ยนสายพันธุ์ข้าวพื้นเมือง สร้างความยั่งยืนในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากความหลายหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทองต่อไป ขณะที่วัตถุประสงค์รองเพื่อสรุปโครงการและเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล ก่อนดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง โดยมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองเข้าร่วมประชุมจำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวพื้นเมืองทั้งหมดในพื้นที่อำเภออู่ทอง ดังภาพที่ 4.21 โดยสรุปจากการประชุมถึงปัจจัยหลักที่ทำให้ข้าวพื้นเมืองคงอยู่ในพื้นที่อำเภออู่ทอง คือ 1) ลักษณะเด่นประจำพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เช่น สู้หญ้าได้ดี สู้น้ำ ทนแล้ง  ต้านทานโรค  ดูแลง่าย และ 2) ปลูกเพื่อรับประทานเองเนื่องจากเกษตรกรคุ้นชินกับรสชาติ ขณะที่ปัจจัยหลักที่ทำให้ข้าวพื้นเมืองสูญหายไปจากพื้นที่อำเภออู่ทอง คือ 1) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับกลไกการตลาดเป็นผู้กำหนดสายพันธุ์ข้าวที่จะปลูก 2) พฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่นิยมบริโภคข้าวที่มีลักษณะนุ่ม และ 3) นโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกข้าวเศรษฐกิจตามความต้องการของตลาด

ภาพที่ 4.21 เกษตรกรผู้ปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองในอำเภออู่ทอง

5. การสรุปองค์ความรู้ด้านความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง
ข้าวพื้นเมืองในเมืองไทยเคยมีมากมายนับหมื่นสายพันธุ์ แต่ปัจจุบันสายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองเหล่านั้นสูญหายไปมาก หลงเหลืออยู่ไม่กี่พันสายพันธุ์เท่านั้น สืบเนื่องมาจากเกษตรกรหันมาปลูกพันธุ์ข้าวที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ตามความต้องการของพ่อค้าข้าวและผู้บริโภค ในส่วนของอำเภออู่ทองซึ่งมีศูนย์การศึกษาอู่ทองทวารวดี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาตั้งอยู่นั้น แต่เดิมเคยมีข้าวพื้นเมืองราว 20 สายพันธุ์ แต่จากรายงานการสำรวจในปี พ.ศ. 2558 ของทีมสำรวจจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พบว่าอำเภออู่ทองมีพันธุ์ข้าวพื้นเมืองหลงเหลืออยู่เพียง 5 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่งที่ข้าวพันธุ์พื้นเมืองซึ่งเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของท้องถิ่น มีความเสี่ยงที่จะสูญสิ้นไปจากพื้นที่อำเภออู่ทอง ทีมผู้สำรวจจึงได้รวบรวมสายพันธุ์ข้าวที่มีอยู่เพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่ต่อไป หนังสือ “พันธุ์ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง” เล่มนี้ เป็นการถ่ายทอดผลงานการวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง “ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี” ของทีมสำรวจซึ่งเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อเผยแพร่ผลการสำรวจเพื่อการอนุรักษ์โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักบริหารโครงการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษาและพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

ภาพที่ 4.22 หนังสือข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง


 

บทที่ 5

สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัย

5.1 สรุปการวิจัย

   ข้าวพันธุ์พื้นเมืองในเขตอำเภออู่ทองที่สำรวจพบมีอยู่ 5 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ฝาบาตร รากแห้ง เหลืองอ่อน ขาวหลวง และพญาชม นำข้าวทั้งหมดมาศึกษาความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมโดยใช้ไพรเมอร์ 3 ชนิด ทำให้สามารถจำแนกข้าวออกเป็นสามกลุ่มที่มีความแตกต่างกัน โดยพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์ความเหมือนที่ 0.52–0.87 ซึ่งเทคนิค RAPD มีประสิทธิภาพในการนำมาศึกษาความแตกต่างทางพันธุกรรมของข้าวพื้นเมืองได้และประหยัดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการดำเนินการทดลองวิจัย

5.2 อภิปรายผล

   จากการสำรวจความหลากหลายของพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ในฤดูการเพาะปลูก 2557/2558 ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 13 ตำบล พบว่า ในพื้นที่อำเภออู่ทองมีเกษตรกรที่ยังคงปลูกข้าวพื้นเมืองเหลืออยู่เพียง 24 ราย กระจายอยู่ใน 2 ตำบล คือ ตำบลบ้านโข้ง และตำบลจรเข้สามพัน ในขณะที่ตำบลอื่นๆ อีก 11 ตำบล ไม่พบการปลูกข้าวพื้นเมือง ทั้งนี้เนื่องจาก 11 ตำบลดังกล่าวอยู่ในเขตชลประทาน เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมเพาะปลูกข้าวนาปรังที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี อีกทั้งบางพื้นที่ในฤดูน้ำหลากจะมีน้ำท่วมขังยาวนาน ได้แก่ พื้นที่ในเขตตำบลหนองโอ่ง ตำบลเจดีย์ และตำบลบ้านดอน ไม่พบการปลูกข้าวขึ้นน้ำแต่เกษตรกรจะปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้งทดแทน โดยมีรายงานเมื่อปี 2543 อำเภออู่ทองมีพันธุ์ข้าวขึ้นน้ำจำนวนทั้งหมด 3 สายพันธุ์คือ ขาวยาว (06926) ปลายเหลือง (06917) และเหลืองสังขละ (21342) (ฉวีวรรณ วุฒิญาโณ, 2543) แต่ปัจจุบันไม่พบการคงอยู่ของข้าวขึ้นน้ำทั้ง 3 สายพันธุ์ ทั้งนี้เนื่องจากข้าวขึ้นน้ำต้องใช้ระยะการปลูกที่ยาวนาน

   ดังนั้นในปัจจุบันฤดูการเพาะปลูก 2557/2558 พื้นที่อำเภออู่ทองจึงพบพันธุ์ข้าวพื้นเมืองเพียง 5 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ฝาบาตร รากแห้ง เหลืองอ่อน ขาวหลวง และพญาชม ซึ่งสายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองทั้งหมดไม่พบการคงอยู่ตามรายงานของ ฉวีวรรณ วุฒิญาโณ (2543) ที่รายงานข้าวเจ้านาสวนในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวนทั้งสิ้น 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย พันธุ์ขาวประจวบ (06899) ข้าวหวัด (03749) จุดมอญ (06870) นครพนม (21341) และน้ำลาด (06898)

   โดยพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุดคือ พันธุ์รากแห้ง เนื่องจากพันธุ์รากแห้งมีลักษณะเด่นประจำพันธุ์ ได้แก่ เจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ดอน ทนแล้ง ต้องการน้ำน้อย             ลำต้นสูงและแข็งซึ่งทนต่อการหักล้ม สู้หญ้าและวัชพืชอื่นๆ ได้ดี และน้ำหนักดี  ส่วนพันธุ์เหลืองอ่อน พันธุ์ขาวหลวง และพันธุ์พญาชม ที่ยังพบการปลูกเนื่องจากพื้นที่นาของเกษตรกรบางรายมีลักษณะเป็นที่ลุ่มมีน้ำขัง ซึ่งข้าวทั้ง 3 สายพันธุ์สามารถเจริญได้ดีในพื้นที่ลุ่ม ลำต้นสูง หนีหญ้าได้ดี ดูแลง่าย น้ำหนักดี และผลผลิตสูง  ขณะที่พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ปลูกเพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นและปลูกเพื่อบริโภคเองในครอบครัว คือพันธุ์ฝาบาตรซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเบาเมื่อปลูกแล้วได้รับประทานและได้ใส่บาตรก่อนข้าวพันธุ์อื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ข้าวพันธุ์ฝาบาตร” โดยลักษณะด้อยของพันธุ์ฝาบาตรคือ เมล็ดสั้น และผลผลิตต่ำ เพียง 40 ถังต่อพื้นที่เพาะปลูก 5 ไร่ จึงเป็นสายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการหายไปจากพื้นที่อำเภออู่ทอง นอกจากนี้ปัญหาหลักของการลดลงของพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง คือ เกษตรกรนิยมเพาะปลูกข้าวหอมมะลิเนื่องจากขายง่าย และได้ราคาดี จึงมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจปลูกข้าวพื้นเมืองของเกษตรกร ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้ข้าวพื้นเมืองคงอยู่ในพื้นที่อำเภออู่ทอง คือ 1) ลักษณะเด่นประจำพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เช่น  สู้หญ้าได้ดี  สู้น้ำ  ทนแล้ง  ต้านทานโรค  ดูแลง่าย และ 2) ปลูกเพื่อรับประทานเอง ส่วนปัจจัยหลักที่ทำให้ข้าวพื้นเมืองสูญหายไปจากพื้นที่อำเภออู่ทอง คือ 1) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ 2) พฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ และ 3) นโยบายรัฐบาล

   การศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของข้าวพันธุ์พื้นเมืองโดยใช้เทคนิค RAPD สามารถทำให้จำแนกข้าวออกเป็น 3 กลุ่ม โดยที่ข้าวสายพันธุ์พญาชมมีลักษณะที่แตกต่างทางด้านพันธุกรรมจากข้าวชนิดอื่น ซึ่งพิจารณาจากค่าดัชนีความเหมือนที่ 0.70 ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าการจำแนกสายพันธุ์ข้าวด้วยการศึกษาความเหมือนหรือต่างกันทางพันธุกรรมโดยใช้เทคนิค RAPD สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว เช่นเดียวกับผลการวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของข้าวด้วยเทคนิค RAPD ดังเช่น การศึกษาพันธุกรรมของข้าวและข้าวปรับปรุงพันธุ์ (Tehrim et al., 2012) การศึกษาลักษณะพันธุกรรมของข้าวทนเค็ม (Kanawapee et al., 2011) และการศึกษาการแปรผันทางพันธุกรรมของข้าว (Kumar  et al., 2014) เป็นต้น

ข้อเสนอแนะ

จัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์สายพันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่อำเภออู่ทอง
ควรมีการจัดทำแหล่งเรียนรู้พันธุ์ข้าวพื้นเมืองในพื้นที่โครงการ
ควรมีการต่อยอดภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์จากข้าวเพื่อประโยชน์ทางการพานิชย์

ผลผลิตที่เกิดขึ้นในช่วงที่ได้รับทุน

บทความวิจัย
หนังสือ…….1………..เล่ม ได้แก่
เรื่อง ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง
วิชัย ปทุมชาติพัฒน์, จรัญ ประจันบาล, สถิตย์ พันวิไล และพิชาภพ ปรีเปรม. (2559). ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.


 

บรรณานุกรม

 

Arif, I.A., Bakir, M.A., Khan, H.A., Al Farhan, A.H., Al Homaidan, A.A., Bahkali, A.H., Al Sadoon, M. and Shobrak, M. (2010). A Brief Review of Molecular Technique to Assess Plant Diversity. Int. J. Mol. Sci. 11, 2079-2096.

Asia BioBusiness. (2006). Potential world markets for innovative rice businesses in Thailand. Final report prepared for the National Innovation Agency, Thailand. Asia BioBusiness Pte Ltd, Singapore.

Bao, J., Corke, H. and Sun, M. (2006). Analysis of genetic diversity and relationships in waxy rice (Oryza sativa L.) using AFLP and ISSR markers. Genet. Resour. Crop Ev. 53, 323-330.

Hossain, M. and Narciso, J. (2004). Global rice economy: Long-term perspectives. Proceedings of the FAO Rice Conference, Rice in Global Markets. pp 4-7. FAO, Rome, Italy.

Kanawapee, N., Sanitchon, J., Srihaban, P. and Theerakulpisut, P. (2011). Genetic diversity analysis of rice cultivars (Oryza sativa L.) differing in salinity tolerance on based on RAPD and SSR markers. Elec J Biotechnol. 14(6), 1-17.

Korzun, V. (2002). Use of molecular markers in cereal breeding. Cell. Mol. Biol. Lett. 7, 811-820.

Kumar, R., Mahalwar, P., Sirohi, R., Jethuri, K. and Kumar, V. (2014). Study on Genetic Variability in Basmati and Non-basmati Rice (Oryza sativa L.) Using RAPD Marker. Agric Sci Digest. 34(3), 203-206.

Martos, V., Royo, C., Rharrabti, Y. and Garcia del Moral, L.F. (2005). Using AFLPs to determine phylogenetic relationships and genetic erosion in durum wheat cultivars released in Italy and Spain throughout the 20th century. Field Crops Res. 91, 107-116.

Mondini, L., Noorani, A. and Pagnotta, M.A. (2009). Assessing plant genetic diversity by molecular tools. Diversity. 1, 19-35.

Prashanth, S.R., Parani, M., Mohanty, B.P., Talame, V., Tuberosa, R. and Parida, A. (2002). Genetic diversity in cultivars and landraces of Oryza sativa subsp. indica as revealed by AFLP markers. Genome. 45, 451-459.

Rahman, M.M., Rasaul, M.G., Hossain, M.A., Iftekharuddaula, K.M. and Hasegawa, H. (2012). Molecular characterization and genetic diversity analysis of rice (Oryza sativa L.) using SSR markers. Journal of Crop Improvement. 26, 244-257.

Rajkumar, G., Jagathpriya, W., Kumudu, F., Liyanage, A. and Silva, R. (2011). Genetic differentiation among Sri Lankan traditional rice (Oryza sativa L.) varieties and wild rice species by AFLP markers. Nord. J. Bot. 29, 238-243.

Rohlf, F.J. (2002). NTSYSpc Numerical Taxonomy and Multivariate Analysis System. Applied Biostatistics, Inc., New York.

Seetharam, K., Thirumeni, S. and Paramasivam, K. (2009). Estimation of genetic diversity in rice (Oryza sativa L.) genotypes using SSR markers and morphological characters. Afr. J. Biotechnol. 8, 2050-2059.

Tehrim, S., Pervaiz Z.H. and Rabbani, M.A. (2012). Molecular characterization of traditional and improved rice cultivars based on random amplified polymorphic DNAs (RAPDs) markers. Afr J Biotechnol. 11(45), 10297-10304.

Vanichanont, P. (2004). Thai rice: Sustainable life for rice growers. Proceedings of the FAO Rice Conference, Rice in Global Markets. pp 113-117. FAO, Rome, Italy.

Williams, J.G., Kubelik, A.R., Livak, K.J., Rafalski, J.A. and Tingey, S.V. (1990). DNA polymorphisms amplified by arbitrary primers are useful as genetic markers. Nucleic Acids Res. 18(22), 6531-6535.

กรมการข้าว. (2558). สถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวของโลก ปีการผลิต 2558/2559. แหล่งที่มา : http://www.ricethailand.go.th/home/images/november58. pdf, 4 มิถุนายน 2559.

กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2551). ยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี 2550-2554. แหล่งที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=278798, 14 สิงหาคม 2554.

จุฑาพร แสงประจักษ์. (2555). การใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอสำหรับศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมและการปรับปรุงพันธุ์ข้าว. แก่นเกษตร. 40 : 299-308.

ฉวีวรรณ วุฒิญาโณ. (2543). พันธุ์ข้าวพื้นเมืองไทย. ศูนย์ปฎิบัติการและเก็บเมล็ดเชื้อพันธุ์ข้าวแห่งชาติ ศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี สถาบันวิจัยข้าว. กรุงเทพมหานคร. 215 หน้า

ประพาส วีระแพทย์. (2555). ความรู้เบื้องต้นเรื่องข้าว. สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว, กรมการข้าว. กรุงเทพมหานคร. 106 หน้า

สรพงศ์ เบญจศรี. (2554). เครื่องหมายโมเลกลุสำหรับการปรับปรุงพันธุ์พืช. วารสารวิทยาศาสตร์ มข. 39:350-363.

เสถียร ฉันทะ. (2558). แบบบันทึกลักษณะประจำพันธุ์ข้าว. การประชุมเชิงปฏิบัติการการสร้างเครื่องมือวิจัยกลุ่มความหลากหลายทางชีวภาพ “ชุดโครงการข้าวพื้นเมือง”. 10-11 กุมภาพันธ์ 2558 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย.

สุปราณี สิทธิพรหม. (2557). โครงการวิจัยเรื่อง ความหลากหลายทางพันธุกรรมข้าวพื้นเมือง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย

สุรีพร เกตุงาม. (2546). เครื่องหมายดีเอ็นเอในงานปรับปรุงพันธุ์พืช. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. 5:37-59.

อิงออน สีแก้ว. (2554). การค้นหายีนที่ควบคุมลักษณะความต้านทานต่อเชื้อราโรคไหม้ของข้าวพันธุ์พื้นเมืองไทยโดยการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอ. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

เอกสงวน ชูวิสิฐกุล. (2544). เทคโนโลยีการผลิตข้าวพันธุ์ดี. สถาบันวิจัยข้าว, กรมวิชาการเกษตร. กรุงเทพมหานคร. 137 หน้า


 

ประวัตินักวิจัยและคณะ พร้อมหน่วยงานที่สังกัด

1. ประวัติหัวหน้าโครงการวิจัย

ชื่อ-สกุล นายวิชัย ปทุมชาติพัฒน์
Mr.Wichai Patumchartpat

ตำแหน่งปัจจุบัน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์

หน่วยงานที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โทรศัพท์มือถือ 081-8035101

ประวัติการศึกษา
วิทยาศาสตรบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2514
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2521

สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ การเกษตร  พืชสวน และการจำแนกชนิดพรรณไม้
ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

งานวิจัยที่ทำเสร็จแล้ว :

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ จรัญ ประจันบาล สถิตย์ พันวิไล และพิชาภพ ปรีเปรม. (2559). พันธุ์ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ จรัญ ประจันบาล และพิชาภพ ปรีเปรม. (2558). พรรณไม้ในอู่ทอง. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

จรัญ ประจันบาล วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ สาธิต โกวิทวที และพิชาภพ ปรีเปรม. (2557). ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ มนธิดา สีตะธนี และพิสัณฑ์ คำวัง. 2552. พรรณไม้ในวัด. พิมพ์ครั้งที่ 1. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. ปทุมธานี.

โครงการสำรวจรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2551 กลุ่มป่าแก่งกระจาน (จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์) แหล่งทุนสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์. 2550. ไม้ดอกไม้ประดับ. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์. 2549. หลักการไม้ผล. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ และศรีสุดา ไชยพยอม. 2545. อัมพวา. วารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์. 2(2): 31-35.

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์. 2544. ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในประเทศไทย. วารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์. 1(1): 51-63.

งานวิจัยที่กำลังทำ :

การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยชุมชนมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์

ความหลากหลายของจุลินทรีย์ในดินจากพื้นที่ป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์ที่มีความสามารถในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช


1. ประวัติผู้ร่วมวิจัย

ชื่อ – สกุล นายจรัญ  ประจันบาล
Mr.Jaran Prajanban

ตำแหน่งปัจจุบัน
อาจารย์

หน่วยงานที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เลขที่ 1061 ถนนอิสรภาพ แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600

โทรศัพท์มือถือ 08-5098-4588 E-mail: [email protected]

ประวัติการศึกษา
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ชีววิทยาประยุกต์) สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พ.ศ. 2546
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (จุลชีววิทยา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2551

สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ
จุลชีววิทยาทางการเกษตร

ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

Jaran Prajanban, Cholnicha Thongkhib and Vichien Kitpreechavanich. 2008. Selection of High β-Glucanase Produced Aspergillus Strain and Factors Affecting the Enzyme Production in Solid State Fermentation. Kasetsart J. (Nat. Sci.). 42 : 294 – 299.

Prajanban, J., S. Suthirawut and V. Kitpreechavanich. 2008. Optimization of β-glucanase production by Aspergillus terreus ASKU10 in solid state fermentation using response surface methodology pp 120-127 In The Proceeding of 46th Kasetsart University Annual Conference (Science). Kasetsart University. Bangkok.

จรัญ ประจันบาล สถิตย์ พันวิไล และวันทนี สว่างอารมณ์. (2559). การควบคุมโรคกล้าแห้งของต้นอ่อนข้าวหอมมะลิ 105 โดยชีววิธี. วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้, 7(1), 1-13.

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ จรัญ ประจันบาล สถิตย์ พันวิไล และพิชาภพ ปรีเปรม. (2559). พันธุ์ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ จรัญ ประจันบาล และพิชาภพ ปรีเปรม. (2558). พรรณไม้ในอู่ทอง. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

จรัญ ประจันบาล วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ สาธิต โกวิทวที และพิชาภพ ปรีเปรม. (2557). ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

จรัญ ประจันบาล, สุรางค์ สุธิราวุธ และวิเชียร กิจปรีชาวนิช. 2552. การใช้ Bacillus ที่ส่งเสริมการเติบโตร่วมกับฟางข้าวหมักเพื่อการปลูกข้าวโพดฝักอ่อน. วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร. 40 (1): 117-126.

โครงการสำรวจรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2551 กลุ่มป่าแก่งกระจาน (จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์) แหล่งทุนสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

งานวิจัยที่กำลังทำ :

การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยชุมชนมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์

ความหลากหลายของจุลินทรีย์ในดินจากพื้นที่ป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์ที่มีความสามารถในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช


2. ประวัติผู้ร่วมวิจัย

ชื่อ – สกุล นายสถิตย์ พันวิไล
Mr.sathit panvilai

ตำแหน่งปัจจุบัน
อาจารย์

หน่วยงานที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เลขที่ 1061 ถนนอิสรภาพ แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600

โทรศัพท์มือถือ 08-9173-8239 E-mail: [email protected]

ประวัติการศึกษา
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ชีววิทยาประยุกต์) สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พ.ศ. 2547
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (จุลชีววิทยา) มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2557

สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ
ชีววิทยาโมเลกุล (Molecular biology)

ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

Sathit Panvilai, Radeekorn Akkarawongsapat. Establishment of HIV-1 Env-mediated cell-cell fusion assay using a green fluorescent protein from copepod Pontellina plumata. The 40th Congress on Science and Technology of Thailand. December 2-4, 2014. Khon Kean, Thailand.

จรัญ ประจันบาล สถิตย์ พันวิไล และวันทนี สว่างอารมณ์. (2559). การควบคุมโรคกล้าแห้งของต้นอ่อนข้าวหอมมะลิ 105 โดยชีววิธี. วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้, 7(1), 1-13.

วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ จรัญ ประจันบาล สถิตย์ พันวิไล และพิชาภพ ปรีเปรม. (2559). พันธุ์ข้าวพื้นเมืองในอู่ทอง. นนทบุรี: วนิดาการพิมพ์.

งานวิจัยที่กำลังทำ :

Development of a cell-based fluorescence assay for human immunodeficiency virus type 1 (HIV-1) membrane fusion activity.

คุณสมบัติการต้านไวรัสเอชไอวี 1 ของสารสกัดพืชสมุนไพรในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี.


3. ประวัติผู้ร่วมวิจัย

ชื่อ-สกุล นายสาธิต โกวิทวที
Mr.Satit Kovitvadhi

ตำแหน่งปัจจุบัน
รองศาสตราจารย์

หน่วยงานที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โทรศัพท์มือถือ 081-9910645  E-mail: [email protected]

ประวัติการศึกษา
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ชีววิทยา) มหาวิทยาลัยรามคำแหง  พ.ศ. 2524
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (สัตววิทยา) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  พ.ศ. 2528
Ph.D. (Aquatic Science) University of Porto  พ.ศ. 2551

สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ
อนุกรมวิธานของสัตว์และแพลงก์ตอน การเลี้ยงหอยมุกน้ำจืด

ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
งานวิจัยที่ทำเสร็จแล้ว :

S. Kovitvadhi, U. Kovitvadhi, P. Swangwong, P. Trisaranuwatana and J. Machado. 2009. Morphometric relationship of weight and size of cultured freshwater pearl mussel, Hyriopsis (Limnoscapha) myersiana, under laboratory conditions and earthen pond phases. Aquaculture International 17: 57-67.

Preeprem P., Chaivaree S., Kovitvadhi S. 2011. Efficiency of ammonia nitrogen removal by Limnophila heterophylla (Roxb.) Benth, Hydrilla verticillata (L.F.) Royle and Egeria densa Planch. The 37th Congress of Science and Technology of Thailand (STT 37), Bangkok. 307-308 p.

Karun Thongprajukaew, Uthaiwan Kovitvadhi, Satit Kovitvadhi, Pisamai Somsueb, Krisna Rungruangsak-Torrissen. 2011. Effects of different modified diets on growth, digestive enzyme activities and muscle compositions in juvenile Siamese fighting fish (Betta splendens Regan, 1910). Aquaculture 322-323 (2011) 1–9

Pramote Chumnanpuen, Uthaiwan Kovitvadhi, Kannika Chatchavalvanich, Amara Thongpan, Satit Kovitvadhi. 2011. Morphological development of glochidia in artificial media through early juvenile of freshwater pearl mussel, Hyriopsis (Hyriopsis) bialatus Simpson, 1900. Invertebrate Reproduction & Development 55(1) 40–52.

S. Tantiwisawaruji, K. Chatchavalvanich, U. Kovitvadhi, A. Thongpan, S. Kovitvadhi. 2011. Histological Structure of the Digestive Tract of the Freshwater Pearl Mussel Hyriopsis (Hyriopsis) bialatus (Bivalvia: Unionidae). Thai Journal of Agricultural Science 44(1) 1-10.

Paula Lima, Manuel Lopes Lima, Uthaiwan Kovitvadhi, Satit Kovitvadhi, Christopher Owen, Jorge Machado. 2012. A review on the ‘‘in vitro’’ culture of freshwater mussels (Unionoida) Hydrobiologia. DOI10.1007/ s10750-012-1078-0.

Sasimanas Unajak, Piyachat Meesawat, Atchara Paemanee, Nontawith Areechon, Arunee Engkagul, Uthaiwan Kovitvadhi, Satit Kovitvadhi, Krisna Rungruangsak-Torrissen, Kiattawee Choowongkomon. 2012. Characterisation of thermostable trypsin and determination of trypsin isozymes from intestine of Nile tilapia (Oreochromis niloticus L.). Food Chemistry 134 (2012) 1533–1541.

Karun Thongprajukaew, Satit Kovitvadhi, Uthaiwan Kovitvadhi, Krisna Rungruangsak-Torrissen. 2012. Pigment deposition and in vitro screening of natural pigment sources for enhancing pigmentation in male Siamese fighting fish (Betta splendens Regan, 1910). Aquaculture Research, 2012, 1–11.

Satit Kovitvadhi, Uthaiwan Kovitvadhi. 2013. Effects of rearing density and sub-sand filters on growth performance of juvenile freshwater mussels (Chamberlainia hainesiana) reared under recirculating system conditions. Science Asia 39: 139-149.


4. ประวัติผู้ร่วมวิจัย

ชื่อ-สกุล นางสาวปณิตา แจ้ดนาลาว
Miss Panita Chaetnalao

ตำแหน่งปัจจุบัน
อาจารย์

หน่วยงานที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์  คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โทรศัพท์ 081-9056832  Email: [email protected]

ประวัติการศึกษา
บริหารธุรกิจบัณฑิต (การเงินและการธนาคาร) มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2542
บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) มหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. 2548
บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การเงินและการธนาคาร) มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2552

สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ
บริหารธุรกิจ

ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

ปณิตา แจ้ดนาลาว. 2548. คุณลักษณะผู้นำที่พึงประสงค์ กรณีศึกษาความคิดเห็นของสมาชิกสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์

ปณิตา แจ้ดนาลาว. 2552. ปัจจัยในการเลือกมหาวิทยาลัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ศูนย์ให้การศึกษาวิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี

ผู้ร่วมวิจัย การประเมินผลโครงการสหกิจศึกษาวิทยาลัยราชพฤกษ์ สาขาการตลาดทุนอุดหนุนการวิจัยทางวิชาการ วิทยาลัยราชพฤกษ์

คณะที่ปรึกษา โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ลาวเวียงแห่งประเทศไทย ตำบลดอนคา จังหวัดสุพรรณบุรี


5. ประวัติผู้ร่วมวิจัย

ชื่อ-สกุล นายจารุกิตติ์ ดิษสระ
Mr. Jarukitt Ditsara

ตำแหน่งปัจจุบัน
อาจารย์

หน่วยงานที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์  คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  โทรศัพท์ 087-9736301  Email: [email protected]

ประวัติการศึกษา
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วิทยาการคอมพิวเตอร์) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พ.ศ. 2551

วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พ.ศ. 2553

สาขาวิชาการที่มีความชำนาญพิเศษ
ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานวิจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ


 

การพัฒนาระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด ผ่านเว็บไซต์

วิโรจน์ ชาญสถิตโกศล


ชื่อเรื่อง การพัฒนาระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด ผ่านเว็บไซต์

ชื่อผู้วิจัย วิโรจน์  ชาญสถิตโกศล

สาขาวิชา คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก รองศาสตราจารย์ ดร.อำนวย เดชชัยศรี

อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เกียรติขร โสภณาภรณ์

ปีการศึกษา 2559

บทคัดย่อ

   การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด ผ่านเว็บไซต์ 2) เพื่อหาความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด ผ่านเว็บไซต์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พนักงานของร้านสหกรณ์จำนวน 8 คนและสมาชิกของร้านสหกรณ์ 67 คนรวมทั้งสิ้น 75 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด 2) แบบประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด 3) แบบประเมินความพึงพอใจ ระบบสหกรณ์ร้านค้า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า

1)  ผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบ ในภาพรวมมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความปลอดภัยของระบบ ด้านความถูกต้องในการทำงาน
ของระบบมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านความสามารถในการทำงานของระบบด้านความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานของระบบ

2)  ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสหกรณ์ร้านค้ามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำกัด ผ่านเว็บไซต์ โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ส่วนของพนักงานสหกรณ์ด้านของการประมวลผลมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ
ด้านการแสดงผล และด้านการรับข้อมูล ส่วนของสมาชิกสหกรณ์ด้านของการแสดงผลมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านการรับข้อมูลและการประมวลผล

คำสำคัญ : ระบบสหกรณ์ร้านค้า ประสิทธิภาพ ความพึงพอใจ


 

Title The Development of Systems on Website of

BANSOMDEJCHAOPHRAYA RAJABHAT UNIVERSITY COOPERATIVE

Author Wirote Chanstidkosol

Program Computer and Information Technology

Major Advisor Associate Professor (Adjunct) Dr.Amnuay Deshchaisri

Co – Advisor Kiatikhorn Sobhanabhorn

Academic Year 2016

ABSTRACT

   The research were to objective for The development , efficiency and contentment of      Systems on Website of BANSOMDEJCHAOPHRAYA RAJABHAT UNIVERSITY COOPERATIVE. The sample included 50 customer assistant and customers. This research is a quantitative research.  Tool in use is satisfaction questionnaire to use Systems on Website of BANSOMDEJCHAOPHRAYA RAJABHAT UNIVERSITY COOPERATIVE. Data were collected using 5-point rating scale and statistically analyzed in arithmetic mean, and standard deviation.

   The research findings revealed that. 1) The development of system was generally found at the highest level. After item analysis, all of them could be rate by arithmetic mean in descending order as follows: security, the correct operation, the capabilities and convenient easy-to-use.       2) The results of the study level of satisfaction of user with the development of Systems on Website of BANSOMDEJCHAOPHRAYA RAJABHAT UNIVERSITY COOPERATIVE was generally found at the highest level. After item analysis, all of them could be rate by arithmetic mean in descending order as follows: output, input and the central processing unit.


การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม : ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑​ โรงเรียนสุวรรณาราม

ศุทธนุช ผาสุข

View Fullscreen

Effects of Aquilaria crassna on Xanthine Oxidase Activity In Vitro and Hyperuricemic Mice

Effects of Aquilaria crassna on Xanthine Oxidase Activity In Vitro and Hyperuricemic Mice

B. SUNGTHONG1, S. MANOK2, H. SATO3 AND V. H. SATO*

Department Pharmacology, Faculty of Pharmacy, Mahidol University, Bangkok, 10400, Thailand, 1Pharmaceutical Chemistry and Natural Products Research Unit, Faculty of Pharmacy, Mahasarakham University, Mahasarakham, 44150, Thailand, 2Department of Thai Traditional Medicine, Faculty of Science and Technology, Bansomdejchaopraya Rajabhat University, Bangkok, 10600, Thailand, 3Department of Pharmacokinetics and Pharmacodynamics, School of Pharmacy, Showa University, Tokyo, 1428555, Japan

Sungthong, et al.: Xanthine Oxidase Inhibitory Effect of A. crassna

Antihyperuricemic effect Aquilaria crassna leaf extract has been commercially advertised to markedly reduce uric acid level after drinking with hot water in Thailand, whereas its experimental evidence has not been published yet. The present study was therefore conducted to investigate pharmacological activities of the water extract of A. crassna leaves, focusing on its inhibitory effect on xanthine oxidase activity in vitro and antihyperuricemic effect in plasma uric acid level in oxonate-induced hyperuricemic mice. Moreover, the residual xanthine oxidase inhibitory effect in the liver of mice treated with the extract was also determined. We found that A. crassna inhibited xanthine oxidase activity in with IC50 of 1.35±0.03 mg/ml. Lineweaver- Burk analysis showed that the inhibition of xanthine oxidase was non-competitive with Ki of 1.72 mg/ml. Oral administration of 3000 mg/kg of A. crassna extract significantly prevented the increase of uric acid level induced by potassium oxonate in mice, however, the lower doses (500 and 1000 mg/kg) showed no effect. Livers of mice treated with the extract at the doses of 1000 and 3000 mg/kg significantly decreased the production of uric acid through inhibition on xanthine oxidase activity approximately 47.2% and 63.6%, as compared with untreated hyperuricemic mice (P<0.01). However, the concentrations of A. crassna of which exhibit antihyperuricemic effect observed in the study were much higher than that of recommend dosage written in the commercial, therefore, we concluded that A. crassna leaves extract could not inhibit xanthine oxidase activity and the effect on urate excretion in the kidney by long term administration the extract is further needed.

Key words: Aquilaria crassna, xanthine oxidase, oxonate-induced hyperuricemia, uric acid

Recently, Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte leaves have been commercially advertised that the leaf extract markedly reduces plasma uric acid level after drinking with hot water. However, direct experimental evidence for the extract to demonstrate the hypouricemic effect has not been published yet. A. crassna is one of the plant species which belong to Thymelaeaceae family, largely distributed many parts of Thailand. A. crassna extract is known as one of the compositions in Ya-hom, a traditional herbal remedy in Thailand for treatment of symptoms of fainting, as a mild cardiac stimulant, and as a remedy for stomach discomfort. It is listed in Herbal Medicine Products, National List Of Essential Medicines, Ministry of Public health, Thailand[1]. Previous phytochemical studies have identified several bioactive compounds in A. crassna leaves[2,3]. Among bioactive compounds contain in A. crassna, mangiferin is the major constituent of the leaves which expresses an antioxidant effect[4], hypouricemic effect[5], and inhibitory effect on renal urate reabsorption[6]. Therefore, the present study was designed to examine whether the aqueous extract of A. crassna leaves possess antihyperuricemia effect or not. The effect on plasma uric acid level in hyperuricemic mice and intrinsic activity of the extract to inhibit xanthine oxidase (XOD) activities in vitro were also carried out. A. crassna young leaves (first five youngest leaves) were collected from Raifawaree farm at Lop Buri Province, Thailand. The authentic samples were identified by the Office of the Forest Herbarium, Ministry of Natural Resources and Environment, Bangkok, Thailand with the voucher number BKF NO.191083 and the reference specimen was deposited at their herbarium. Plant materials were cleaned, cut, and dried at temperature of 50° for 8-12 h under air-drying condition (Model UF110, Memmert, Schwabach, Germany). Then, dried powdered leaves (300 g) were extracted in boiling water (10 l) for 15 min. The pooled extracts were filtered through a cotton cloth and then concentrated at 50° using a rotary evaporator under low pressure (rotary evaporator with cooling system, Model Rotavapor R-124, Büchi, Switzerland). The residue was freeze- dried in a lyophilizer and the extracts were stored at 4° until used. Yield of the final extract was found to be 29.5% w/w.

Mangiferin was used as a standardized marker compound for the quality control of the extract. A quantitative analysis of mangiferin contained in the water extract of A. crassna leaves was performed on the Prominence liquid chromatographic system (Shimadzu Corp., Kyoto, Japan) consisting of a quaternary pump liquid chromatographic (LC-20AT) with degasser (DGU-20A3), photodiode array detector (SPD- M30A), column oven (CTO-20A), and communication bus module (CBM-20A). A TSK-gel ODS-100Z column (150×4.6 mm, 5 μm; Tosoh Bioscience, Tokyo, Japan) was used as an analytical column. The analytical method was modified from Yu et al.[7]. The elution was performed with a constant flow rate of 1.0 ml/min at 25° using the mobile phase consisting of 0.05% v/v TFA (solvent A) and acetonitrile (solvent B) with the gradient program as follows: 0-10 min, 15% solvent B; 10-18 min, 15-45% solvent B; 18-25 min, 45-80% solvent B; 25-27 min, 80% solvent B; 27-35 min, 80-45% solvent B; 35-40 min, 45-15% solvent B; 40-45 min, 15% solvent B. The samples (20 μl) were introduced into the HPLC system and the elution was recorded at 315 nm. A peak purity determination

and UV-spectrum (200-400 nm) of mangiferin in the samples were characterized using Shimadzu Lab Solution software by which a corresponding peak of mangiferin in the standard solution was consistently compared. Moreover, amount of mangiferin in the extract was calculated from the standard calibration line. Effect of the aqueous extract of A. crassna leaves on XOD was assayed in vitro according to the method of Kong et al.[8] with some modifications. A. crassna extract was initially dissolved in DMSO (final concentration 0.2% in the reaction mixture) and dilute with distilled water to obtain the desired concentration. A reaction mixture containing 2.98 ml of 80 mM pyrophosphate buffer (pH 7.4) and 20 μl of freshly prepared XOD enzyme (0.08 U) dissolved in 0.1 M pyrophosphate (pH 7.4) was prepared, and mixed with 1 ml of various concentrations (0.25-4.5 mg/ml) of the A. crassna extract or buffer (as a negative control). Allopurinol (1- 10 μM) was added into the reaction tubes instead of the extract as a positive control. The reaction was initiated by the addition of 2 ml of xanthine (120 μM) dissolved in pyrophosphate buffer (pH 7.4), and incubated at 25° for 10 min. The reaction was terminated by adding of 1 ml of 1 N HCl, and concentrations of uric acid were determined in triplicate by HPLC, as described later. Percent inhibition of the XOD-mediated uric acid formation, by A. crassna extract or allopurinol was calculated by using the following equation: Percentage inhibitory activity=(1– UAsample/UAcontrol)×100. Where, UAcontrol is the concentration of uric acid in the negative control and UAsample is the concentration of uric acid in the sample. IC50 of the herb extract, defined as the herb concentration required to inhibit the XOD activity by 50% was calculated by a linear regression analysis of the dose- response curve plotting between the percentage of inhibitory activity and log-concentration. Lineweaver-Burk plot analysis was performed to determine the type of XOD inhibition by A. crassna. The assay was carried out in the absence or presence of 3 concentrations of A. crassna extract (0.5, 1.5, and 4.5 mg/ml) in different concentrations of a substrate xanthine (15, 30, 60, and 120 μM). The enzyme reaction was performed as described above. The inhibitory constant (Ki) for the XOD inhibition by A. crassna extract was determined by a non-least squares regression of the observed data to the following equation, using Solver Add-in equipped with Microsoft Excel 2010:

Where, v and vmax represent the initial and maximum velocities of the uric acid formation, respectively in mmol/min, Km represents Michaelis constant, and S and I represent the substrate (μM) and inhibitor concentrations (μg/ml), respectively. For the nonlinear optimization, the generalized reduced gradient (GRG) algorithm was employed.


Male ddY mice (30-40 g, 6 week-old) were housed at the animal center of Showa University, Tokyo, Japan, at a constant temperature (25±1°) with a 12 h light-dark cycle, and had free access to standard diet and water ad libitum. Mice were acclimatized for 7 days prior to start the experiment. The animal care and experimental protocol were approved by the Animal Ethics Committee of Showa University. The animals were deprived of food at least 3 h before the experiment, and the mice were randomly divided into six groups (6 mice per group), nominated as groups A, B, C, D, E and F. Group A corresponds to the mice pretreated orally with water and no further treatment, designated as normal control mice. Hyperuricemic mice model was developed according to the procedure of Smith et al.[9] with slight modifications. Groups B, C, D, E and F of mice were given two intraperitoneal (i.p.) injections of 300 mg/kg of potassium oxonate (as an uricase inhibitor) dissolved in normal saline for the induction of hyperuricemia, and also given an oral dose of 300 mg/kg xanthine (as XOD substrate) dispersed in 1% CMC-Na. Group B was pretreated orally with water as placebo, designated as untreated hyperuricemic mice. Group C corresponds to the hyperuricemic mice pretreated orally with 5 mg/kg of allopurinol, named as positive control mice. Groups D, E and F are the hyperuricemic mice pretreated orally with 500, 1000 and 3000 mg/kg of the aqueous extracts of A. crassna leaves, respectively.

 Two hour after the pretreatment, the mice were sacrificed with anesthesia using diethyl ether, and whole blood was collected from superior vena cava into a tube containing heparin. The blood samples were centrifuged at 3000 g for 5 min, and obtained plasma samples were stored at -4° before analysis. Consecutively, mice livers were rapidly excised, washed in cold normal saline, and stored at -4° until use. Fig. 1 illustrates the timeline for each animal experiment except for the normal control mice.
The residual activity of XOD in the excised liver was determined in vitro by measuring uric acid concentrations generated from xanthine, using the method of Huang et al.[10] Briefly, the livers were homogenized in 5 volumes of cold 80 mM sodium pyrophosphate buffer (pH 7.4), and centrifuged at 3000 G for 10 min at 4°. After the lipid layer was removed, the remaining part was further centrifuged at 10 000 G for 60 min at 4°, and the obtained supernatants were used for measuring the residual XOD activity and protein concentrations. The reaction tube containing 100 μl of liver homogenate and 800 μl of 80 mM sodium pyrophosphate buffer (pH 7.4) was incubated at 25° for 10 min. The mixtures were then added with 500 μl of 120 μm xanthine solution, mixed and incubated for 0 and 30 min, respectively. The reaction was terminated after 0 and 30 min by adding 100 μl of 1 N HCl. Thereafter, the samples were centrifuged at

Fig. 1: Timeline for the treatment.

Timeline for the treatment with water (Group B), 5 mg/kg of allopurinol (Group C), 1500 mg/kg of A. crassna extract (Group D), or 3000 mg/kg of A. crassna extract (Group E), together with i.p. injection of potassium oxonate (300 mg/kg) for the induction of hyperuricemia in ddY mice. One hour after each treatment, mice were given an oral administration of the XOD substrate, xanthine (300 mg/kg), together with i.p. injection of potassium oxonate (300 mg/kg). The mice were sacrificed 1 h after the xanthine administration, and blood and liver were sampled for the determinations of plasma uric concentrations and residual hepatic XOD activity, respectively.


3000 G for 10 min and uric acid concentrations were measured by HPLC. Total protein concentration in liver was determined spectrophotometrically, according to the method of Bradford. The residual XOD activity was expressed as nanomoles of uric acid formed per minute per milligram protein.

Uric acid concentrations in vitro and plasma were analyzed by a chromatographic method reported previously by Carro et al.[11]. Briefly, 100 μl of the plasma samples was thoroughly mixed with 100 μl acetonitrile, centrifuged at 3000 G for 5 min at 4°, and the resultant supernatant was filtered through 0.45 μm PTFE syringe filter (RephiLe Bioscience, China). Twenty microliter of the filtrate was injected in triplicate into the system and eluted with the mobile phase containing acetonitrile and 1 mm sodium octane sulfonic acid in 7 mm K2HPO4, pH 3.0 (2.5:97.5) at a flow rate of 1.0 ml/min. The absorbance was monitored at 292 nm. Uric acid found in samples was calculated with respect to calibration curve.

The results were expressed as the mean±standard error of the mean (SEM). Data were analyzed by one-way analysis of variance (ANOVA) followed by followed by post-hoc analysis for comparing the difference of each group using student’s t test using JMP Pro (version 12, SAS Institute Japan Inc., Tokyo, Japan). Differences in the mean values were considered to be statistically significant at P<0.05.

The corresponding peak of mangiferin in the aqueous extract of A. crassna leaves was identified and quantified based on the retention time of mangiferin and UV spectrum in standard solution, as shown in fig.

2. The calibration line of standard mangiferin solutions (6.2=31.0 μg/ml) was expressed as the equation, y=46003x+40324, with a good correlation (r2=0.9998). The precision of each concentration was lower than 0.99 percentage relative standard deviation (n=3). The amount of mangiferin in the extract was determined to be 1.44±0.01% w/w.

A. crassna extract inhibited the XOD activity in vitro in a concentration-dependent manner, and the IC50 was determined to be 1.35±0.03 mg/ml, while that of the positive control, allopurinol, was 3.78±0.08 μg/ ml. Lineweaver-Burk analysis of the enzyme kinetics data showed that the inhibition of XOD activity by A. crassna extract was in a non-competitive fashion (fig. 3). The Ki and Km value were determined to be 1.72 and 0.087 mg/ml, respectively.

Fig. 4 summarized the in vivo actions of A. crassna extract on plasma uric acid concentration. Plasma uric acid level in the control hyperuricemic group (no treatment) was elevated markedly after treatment with potassium oxonate by approximately 5 times as compared with normal control group (47.2±15.7 vs. 8.8±3.1 μg/ml, P<0.01), indicating that hyperuricemic mice were establised. Pretreatment with allopurinol significantly reduced plasma uric acid concentration by 90% comparing with the hyperuricemic control group (P<0.01). Pretreatment with 500 and 1000 mg/kg of A. crassna decreased plasma uric acid concentration but the plasma uric acid concentration was not significantly different compared with the hyperuricemic control group. Plasma uric acid concentration was reduced 55% when concentration of A. crassna was increased to

Fig. 2: HPLC fingerprint of the A. crassna leaves extract.
(a) chromatogram and UV spectrum of mangiferin in standard solution, (b) chromatogram of sample and UV spectrum of mangiferin in sample.



Fig. 3: Lineweaver-Burk plots for the kinetic analysis of xanthine oxidase activity inhibited by A. crassna.
The (), (), (Δ) represent A. crassna at concentration of 0.5, 1.5 and 4.5 mg/ml, respectively.


Fig. 4: Effect of the water extract of A. crassna leaves on the plasma uric acid concentration on potassium oxonated-induced hyperuricemic mice.
Data are expressed as mean±SEM (n=6). Group 1 represents normal control group, group 2 means untreated hyperuricemic mice, and groups 3, 4, 5 and 6 represent potassium oxonate-induced hyperuricemic mice treated with allopurinol (5 mg/kg), 500, 1000, and 3000 mg/kg A. crassna, respectively. *indicates a statistically significant difference at P<0.05, when compared with group 2.

3000 mg/kg, as compared with hyperuricemic control group (P<0.05). However, significant differences were not observed between each dose of treatment groups.

The liver homogenate of mice treated with A. crassna extract at the dose of 1500 and 3000 mg/kg significantly inhibited the formation of uric acid by inhibiting XOD activity about 47.2% and 63.6%, as compared with the untreated hyperuricemic group (P<0.05, respectively) as shown in Table 1. Allopurinol markedly inhibited XOD activity by about 81.3% (P<0.05).

Several bioactive compounds found in the aqueous extract of A. crassna leaves have been identified such as fluorofenone 3-C-β glucose, epicatechin gallate, epigallocatechin gallate (EGCG), mangiferin[3]. Previous studies supported that mangifenin and

TABLE 1: EFFECT OF THE AQUEOUS EXTRACT OF A. CRASSNA LEAVES ON RESIDUAL ACTIVITY OF XOD IN LIVER

Groups XOD activity
(nanomole/min/mg protein)
XOD Inhibition (%)
(compared with group 2)
1
2
3
4
5
6
0.99±0.09
2.14±0.28
0.40±0.08*,#
1.7±0.51
1.13±0.22*
0.78±0.09**


81.3
20.5
47.2
63.6

Data are mean±SEM, obtained from 6 mice per group. Group 1 represents normal control group, group 2 is untreated hyperuricemic mice, and groups 3, 4, 5 and 6 represent potassium oxonate-induced hyperuricemic mice treated with allopurinol (5 mg/kg), 500, 1,000 and 3,000 mg/kg A. crassna, respectively.# represent P< 0.05, compared with group 1 and * represent P<0.05, compared with group 2

EGCG expressed a hypouricemic effect. However, the XOD inhibitory effect of EGCG was quite low with inhibition less than 5%[12]. Mangiferin was detected in the highest level among compounds found in the extract (1.44%). A previous study found that mangiferin had a potent hypouricemic effect associated with inhibiting the activity of xanthine dehydrogenase and XOD[5,6]. Therefore, we employed mangifenin as the standardized marker of the extract and thought that it may contribute for the antihyperuricemic effect of the extract in the present study.

Inhibition of XOD is one of the drug targets for the treatment of hyperuricemia. In vitro study suggested that A. crassna extract inhibited the XOD activity in a concentration-dependent manner with IC50 more than 1 mg/ml, indication of very weak XOD inhibitory effect. Oral administration of 3000 mg/kg of A. crassna extract significantly prevented the increase in plasma uric acid level induced by potassium oxonate in mice and distributed into the liver, and could inhibit the XOD activity in the liver, however, there were no significant differences in plasma uric acid concentration after administration of each dose of A. crassna extract (500, 1000, 3000 mg/kg). Taken together, it can be concluded that effect of A. crassna on XOD inhibition was negligible.

From our knowledge, there are two mechanisms to reduce plasma uric acid concentration. First mechanism is to inhibit XOD enzyme and the latter is to inhibit the reabsorption of urate in renal i.e. renal mRNA and protein levels of urate transporter 1 (URAT1), glucose transporter 9 (GLUT9), organic anion transporter 1 (OAT1) and organic cation/carnitine transporters

(OCT1/2, OCTN1/2). Administrations of A. crassna extract showed possibility to decrease plasma uric acid concentration, although inhibitory on XOD might not be involved. The inhibitory effect on renal urate reabsorption of mangiferin, a major bioactive compound found in A. crassna, has been reported[6].

Acute toxicity test of A. crassna extract in mice showed no sign of toxicity or death at the doses up to 15000 mg/kg body weight[13]. In practice, thedose of A. crassna extract recommended commercially in 10 mg of tea with 500 ml of hot water[14] is much lower than the effective doses observed in the present study. We conclude from the results obtained from the present study that A. crassna leaf extract could not be used as alternative medicine for treating of acute hyperuricemia and the study of long term administration on urate reabsorption effect is needed.

Acknowledgements:
We would like to deeply thank Prof. Gary H. Smith, Department of Pharmacy Practice and Science, University of Arizona, College of Pharmacy, Tucson, AZ for kindly reviewing our manuscript.

Financial support and sponsorship:
This work was financial supported by School of Pharmacy, Showa University, Japan.

Conflicts of interest:
There are no conflicts of interest.


REFERENCES

  1. National list of Essential Medicines (List of Herbal Medicinal Products). Ministry of Public Health, Thailand; 2012.
  2. Tay PY, Tan CP, Abas F, Yim HS, Ho CW. Assessment of extraction parameters on antioxidant capacity, polyphenol content, epigallocatechin gallate (EGCG), epicatechin gallate (ECG) and iriflophenone 3-C-β-glucoside of agarwood (Aquilaria crassna) young leaves. Molecules 2014;19:123049.
  3. Ito T, Kakino M, Tazawa S, Watarai T, Oyama M, Maruyama H, et al. Quantification of polyphenols and pharmacological analysis of water and ethanol-based extracts of cultivated agarwood leaves. J Nutr Sci Vitaminol (Tokyo) 2012;58:13642.
  4. Prabhu S, Jain M, Sabitha KE, Devi CS. Role of mangiferin on biochemical alterations and antioxidant status in isoproterenol-induced myocardial infarction in rats. J Ethnopharmacol 2006;11:126-33.
  5. Niu Y, Lu W, Gao L, Lin H, Liu X, Li L. Reducing effect of mangiferin on serum uric acid levels in mice. Pharm Biol 2012;50:1177-82.
  6. Yang H, Gao L, Niu Y, Zhou Y, Lin H, Jiang J, et al. Mangiferin inhibits renal urate reabsorption by modulating urate transporters in experimental hyperuricemia. Biol Pharm Bull 2015;38:15918.
  7. Yu Q, Qi J, Yu HX, Chen LL, Kou JP, Liu SJ, et al. Quantitative and qualitative analysis of phenolic compounds in the leaves of Aquilaria sinensis using liquid chromatography-mass spectrometry. Phytochem Anal 2013;24:349-56.
  8. Kong LD, Cai Y, Huang WW, Cheng CH, Tan RX. Inhibition of xanthine oxidase by some Chinese medicinal plants used to treat gout. J Ethnopharmacol 2000;73:199-207.
  9. Smith RD, Essenburg AD, Kaplan HR. The oxonate pretreated rat as a model for evaluating hyperuricemic effects of antihypertensive drugs. Clin Exp Hypertens 1979;1:487-504.
  10. Huang CG, Shang YJ, Zhang J, Zhang JR, Li WJ, Jiao BH. Hypouricemic effects of phenylpropanoid glycosides acteoside of Scrophularia ningpoensis on serum uric acid levels in potassium oxonate-pretreated Mice. Am J Chin Med 2008;36:149-57.
  11. Carro MD, Falkenstein E, Radke WJ, Klandorf H. Effects of allopurinol on uric acid concentrations, xanthine oxidoreductase activity and antioxidative stress in broiler chickens. Comp Biochem Physiol C Pharmacol 2010;151:12-7.
  12. Kurisawa M, Chung JE, Uyama H, Kobayashi S. Oxidative coupling of epigallocatechingallate amplifies antioxidant activity and inhibits xanthine oxidase activity. ChemCommun (Camb) 2004;3:294-5.
  13. Kamonwannasit S, Nantapong N, Kumkrai P, Luecha P, Kupittayanant S, Chudapongse N. Antibacterial activity of Aquilaria crassna leaf extract against Staphylococcus epidermidis by disruption of cell wall. Ann Clin Microbiol Antimicrob 2013;12:20.
  14. http://krisanatea.blogspot.in/2012/08/krisana-green-gold-tea_20.htm

การบริหารจัดการประกันคุณภาพการศึกษา

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การบริหารและการประกันคุณภาพการศึกษา

ประเภทผลงานทางวิชาการ : เอกสารประกอบการสอนวิชา การบริหารการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษา

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : พิมพ์ที่โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จำกัด กรุงเทพมหานคร

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ: รองศาสตราจารย์ ดร. มณี เหมทานนท์ และคณะ

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : ทฤษฎีรูปแบบและระบบการบริหารการศึกษาที่มีความหมายว่า การจัดการหรือการบริหารเป็นกระบวนการดำเนินงานของคณะบุคคลที่ร่วมมือกันประกอบกิจกรรม โดยนำปัจจัยต่างๆ มาดำเนินการอย่างมีแบบแผนมีประสิทธิภาพและเกิดผลบรรลุตามวัตถุประสงค์ ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ คน (Man) เงิน (Money) วัสดุ (Materials) วิธีการ (Method) งานของฝ่ายบริหารจำเป็นต้องอาศัยทักษะ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านทักษะเทคนิค ด้านทักษะมนุษย์และทักษะด้านความคิด เพราะการบริหารจัดการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

ทฤษฎีการบริหารจัดการจำแยกได้ 4 แนวทาง คือ 1. การจัดการตามแนววิทยาศาสตร์ 2. การจัดการแนวมนุษย์สัมพันธ์ 3. การจัดการแนวกระบวนการ และข้อ 4. การจัดการแนวสมัยใหม่ บุคคลสำคัญ ประกอบด้วย Frederick Taylor , Henry Gantt , Frank Gilbert.

การบริหารการศึกษา ต้องอาศัยทรัพยากรและกระบวนการบริหารจัดการที่สำคัญ คือ การวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนให้เหมาะสมกับงาน การสั่งการ และการควบคุม

การบริหารจัดการสถานศึกษาเป็นกิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลหลายฝ่ายหลายคนมาร่วมกันดำเนินการ ภารกิจของสถานศึกษาในด้านการบริหารจัดการศึกษาประกอบด้วย สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาได้ทั้ง 3 รูปแบบ (ในระบบ นอกระบบและความอัธยาศัย) เน้นการปฏิรูปการเรียนรู้ ต้องประเมินผลผู้เรียนด้วยวิธีแบบประสมประสานและวิธีที่หลากหลาย มีบทบาทโดยตรงจัดทำสาระของหลักสูตร มีบทบาทโดยตรงในการเรียนรู้และพัฒนาชุมชน ต้องจัดระบบแบบประกันคุณภาพ ระดมทรัพยากรมาใช้จัดการศึกษา ฯลฯ เป็นต้น สำหรับภารกิจหลักของการบริหารจัดการสถานศึกษา คือ การบริหารงานด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบุคคลและด้านบริหารทั่วไป

หลักการและระบบการประกันคุณภาพการศึกษา คือ กระบวนการควบคุมคุณภาพการทำกิจกรรมหรือการปฏิบัติภารกิจอย่างมีระบบตามแบบแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในมีแนวคิดในการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การพัฒนาคุณภาพ 2. การตรวจสอบคุณภาพ และ 3. การประเมินคุณภาพ ในการจัดทำการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ต้องมีระบบวางแผน (Plan) ปฏิบัติตามแผน (Do) ตรวจสอบประเมินผล (Check) และพัฒนาปรับปรุงอยู่เสมอ (Act) ซึ่งเป็นหลักการบริหารคุณภาพครบวงจร PDCA ของเดมมิ่ง (Demming)

สรุปสาระสำคัญ : พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ในข้อสรุปที่ว่าสถานศึกษาจะต้องพัฒนาการจัดการศึกษาของตนและแสดงความรับผิดชอบให้ประจักษ์แก่สังคมว่าสถานศึกษามีประสิทธิภาพ 2 ประเด็นหลัก คือ ผู้เรียนทุกคนมีความรู้ความสามารถและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริงและสถานศึกษามีศักยภาพในการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนบรรลุผลตามมาตรฐานอย่างแท้จริง โดยยึดหลักว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด สำหรับหลักการประกันคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ให้แยกเป็นระบบการประกันคุณภาพภายในและภายนอก เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้เกี่ยวข้องว่าผู้เรียนทุกคนจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและเป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย การจัดระบบบริหารและสารสนเทศ การพัฒนามาตรฐานการศึกษา การจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา การตรวจสอบและทบทวนคุณภาพการศึกษา การประเมินคุณภาพการศึกษา การรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีและการผดุงระบบการประกันคุณภาพการศึกษา

จุดเด่น / ความน่าสนใจจากสาระสำคัญ: การจัดการศึกษาเป็นกระบวนการที่มีระบบ มีเป้าหมายชัดเจน คือ การพัฒนาคุณภาพมนุษย์ทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม ค่านิยม ความคิด ความประพฤติปฏิบัติ ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นในการจัดการศึกษาทุกระดับต้องร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

บทบาทของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา ครู-อาจารย์และบุคลากรอื่นๆ ผู้ปกครองและชุมชน

การนำไปใช้ประโยชน์ : มหาวิทยาลัยจัดว่าเป็นสถานศึกษาระดับอุดมศึกษารูปแบบหนึ่ง จำเป็นต้องสร้างกลยุทธ์เกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนและนิสิตนักศึกษา ในรูป

1. การส่งเสริมผู้นำชุมชนรอบๆ มหาวิทยาลัย เพราะเป็นแกนนำในการพัฒนาทุกด้าน โดยการเปิดโอกาสให้เข้าร่วมเป็นกรรมการในมหาวิทยาลัย เช่น กรรมการส่งเสริมกิจกรรมหรือเปิดโอกาสรับคำแนะนำจากชุมชนในทุกๆ เรื่อง

2. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน เพื่อให้สามารถพัฒนาตนเองได้ หรือเสริมสร้างพลังให้คนในชุมชนสามารถพึ่งตนเอง โดยเน้นการมีส่วนร่วม

3. ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทุกด้าน และเชื่อมต่อประสบการณ์ระหว่างบุคคลและชุมชน โดยผ่านกระบวนการกลุ่มและเครือข่ายการเรียนรู้

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : มหาวิทยาลัย ต้องเรียนรู้เข้าใจทรัพยากรชุมชนที่สะสมอยู่แต่ละแห่ง ทั้งที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งวัฒนธรรม ประเพณี กฎเกณฑ์ แนวปฏิบัติและองค์ความรู้ต่างๆ ในการดำรงชีวิตของคนในชุมชนและสังคม เพื่อนำมาจัดการบริหารจัดการทุกๆ ด้านในมหาวิทยาลัย โดยเน้นกระบวนการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ด้านบริหารงานบุคคล งานวิชาการ งานวัฒนธรรม และงานด้านการผลิตบัณฑิตด้วย

วิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต

ชื่อผลงานทางวิชาการ : วิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือเรียนในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2558

ข้อมูลเพิ่มเติม : พิมพ์ครั้งที่ 4 โดยสำนักพิมพ์  21 เซ็นจูรี่ จำกัด กทม. จัดจำหน่ายโดย ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นางสาววันทนี สว่างอารมณ์ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ และคณะ

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : เน้นทางกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่มนุษย์กำเนิดขึ้นมาบนโลก การค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในปรากฏการณ์ธรรมชาติ เริ่มจากความสงสัยที่เป็นคำถาม What How และ Why ส่วนเทคโนโลยีเป็นความรู้ทางเทคนิค / กระบวนการผลิตที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ เป็นต้น ส่วนนวัตกรรมนั้นเป็นการนำความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นกลยุทธ์หรือวิธีการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ทางความคิดทางปัญญา นำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการวัด ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา ทักษะการใช้ตัวเลข เป็นต้น การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ในการสื่อสารและอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั้น วิทยาศาสตร์มีอิทธิพลต่อคุณค่าของมนุษย์และต่อความเข้าใจของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งต่างๆ ทำให้มีเหตุผล เทคโนโลยีที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับมนุษย์ในปัจจุบัน ได้แก่ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีพลังงาน เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ เทคโนโลยีนาโน เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีอวกาศ เป็นต้น

มาตรฐานและตัวชี้วัดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมไทยมีทั้งหมด 20 ดัชนี อาทิเช่น เครื่องชี้ภาวะสังคม ข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน ดัชนีการศึกษา เป็นต้น สำหรับมิติของคุณภาพชีวิตมีมิติทางด้านการศึกษา มิติทางด้านสุขภาพอนามัย มิติด้านการทำงานและการประกอบอาชีพ เป็นต้น สุขภาพและคุณภาพชีวิตมีปัจจัย 3 ด้าน คือ ร่างกาย สภาพแวดล้อมและระบบบริการสุขภาพ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ สืบเนื่องจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม สำหรับความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับสุขภาพมีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและเรื่องเพศ

การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพนั้น เพื่อให้คนไทยออกกำลังกายจนเป็นวิถีชีวิตและส่งเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายด้วย ผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดีจะมีลักษณะ คือ สมรรถภาพทางจิต อารมณ์มั่นคง อวัยวะในร่างกายทำงานได้ดี เป็นต้น ร่างกายควรมีการทำกิจกรรมนันทนาการสม่ำเสมอเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัวและสังคม

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : หนังสือวิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิตนั้น มีประโยชน์และคุณค่าต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน เพราะมนุษย์ต้องการความอยู่รอดปลอดภัย ในทรัพยากรเกินความจำเป็น ทำลายสิ่งแวดล้อม เสื่อมถอยทางคุณธรรมและจริยธรรม ถึงแม้จะมีหลักการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงก็ตาม ซึ่งสอนให้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมด้านจิตใจให้มีคุณธรรมความซื่อสัตย์ เห็นคุณค่าของสิ่งของเครื่องใช้ มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ล้มเหลวในชีวิต จึงมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ประกอบด้วย เทคโนโลยีพลังงานสะอาด ระบบเกษตรอินทรีย์ การออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงเศรษฐกิจนิเวศ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และนโยบายสาธารณะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

จุดเด่น / ความน่าสนใจ / การนำไปใช้ประโยชน์ : หนังสือวิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต มีจุดเด่นที่น่าสนใจ อาทิเช่น

1) รูปแบบของผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อคุณภาพชีวิตมีการพัฒนาขึ้น พบว่ามีทั้งทางบวกและทางลบ กล่าวคือ การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่คำนึงสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต กลายเป็นการทำลาย เช่น การใช้ยาฆ่าศัตรูพืช เป็นต้น

2) การใช้เทคโนโลยีควรคำนึงถึงปัญหาการสูญเสียวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงานของคนไทย เพราะการพัฒนาที่รวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิต เช่น การแต่งกาย ความประพฤติ การบันเทิงเริงรมย์ ฯลฯ เป็นต้น มีลักษณะเป็นสากลมากขึ้น คุกคามเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยที่ดีงามหมดสิ้น

3) ปรากฏการณ์เรือนกระจก การเพิ่มขึ้นของแก๊สซึ่งเกิดจากการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมของมนุษย์ เช่น การปล่อยแก๊สคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากยานพาหนะ จากโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น สะท้อนกลับทำให้ผิวโลกร้อนอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ เศรษฐกิจ สังคม และต่อคุณภาพชีวิตของประชากรโลก

สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัย : จากรายละเอียดเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน ได้แก่

1) ด้านการผลิตบัณฑิตทุกสาขาวิชา ควรเน้นการกระจายความรู้ด้านเทคโนโลยีให้ทั่วถึง อย่าทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ สามารถทำได้ด้วยวิธีการจัดทำโครงการ เรียนรู้เทคโนโลยีสู่การประยุกต์ในชีวิตประจำวัน หรือ การเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติด้วยการจัดค่ายเพื่อชีวิต

2) ด้านการบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยควรร่วมมือกับบุคลากรทุกภาคส่วนของมหาวิทยาลัย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “ผู้ใดครองเทคโนโลยี ผู้นั้นครองเศรษฐกิจ ผู้ใดครองเทคโนโลยี ผู้นั้นครองอำนาจ” วิธีนี้จะช่วยให้บุคลากรทุกภาคส่วนของมหาวิทยาลัยพัฒนามหาวิทยาลัยก้าวไปข้างหน้าควบคู่กับเอกลักษณ์ทางวิชาการนั่นคือ เป็นการรู้จักปรับปรุงพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับบริบทของงานแต่ละส่วนๆ

3) มหาวิทยาลัยให้สวัสดิการแก่บุคลากรทุกภาคส่วนให้นิสิตนักศึกษาอย่างทั่วถึง โดยมุ่งหวังผลสำเร็จของงาน แต่ในความเป็นจริงความสุขที่ได้ลักษณะสวัสดิการนั้นหมายรวมถึง จริยธรรมด้วย และความสุขมิใช่เพิ่มขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเกิดจากการเปรียบเทียบจากคนรอบข้างระหว่างตนเองกับเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นในปัจจุบันมหาวิทยาลัยควรเน้นด้านสุขภาพมากกว่าสวัสดิการด้านผลประโยชน์ เช่น การจัดเสริมการออกกำลังกายในเวลาช่วง 15 – 17 นาฬิกาทุกวันศุกร์ เป็นต้น

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : ในด้านการจัดกิจกรรมนันทนาการของหนังสือวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพนี้ กล่าวว่าจะต้องเป็นกิจกรรมนันทนาการที่ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย อารมณ์ จิตใจเป็นพื้นฐาน พร้อมประโยชน์ต่อครอบครัวและสังคม

รูปแบบการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย

ชื่อผลงานทางวิชาการ : รูปแบบการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (Model of Organizing University Sport Tournament of Thailand)

ประเภทผลงานทางวิชาการ : งานวิจัยทางการศึกษา

ความสำคัญ : รูปแบบการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย กีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย รูปแบบการแข่งขันที่มีประสิทธิผล , ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2558

ข้อมูลเพิ่มเติม : วารสารครุศาสตร์สาร ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ISSN : 1906-117x

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : อาจารย์ ดร. สุรศักดิ์ เครือหงษ์ อาจารย์ประจำโปรแกรมวิชา พลศึกษาและนันทนาการ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : รูปแบบในการวิจัยเป็นแบบผสม (Mixed Method Research Design) เป็นการศึกษาเชิงลึก เก็บข้อมูลเชิงสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 337 คน ประกอบด้วย ผู้จัดการทีม โค้ช ผู้ตัดสินและผู้แทนสมาคมกีฬา นักกีฬาและผู้เข้าชม พร้อมทั้งตัวแทนผู้ให้การสนับสนุน สุ่มตัวอย่างโดยการใช้การสุ่มแบบโดยบังเอิญ (Accidental Sampling) จากจำนวนประชากร 4,089 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) กับส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และจากการสัมมนากลุ่มย่อยกับวิธีเทคนิคฟาย

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า

1) สภาพการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยควรมีการปรับรูปแบบวิธีการจัดการแข่งขันให้ดีขึ้นกว่าเดิม

2) รูปแบบการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ โดยควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกให้ชัดเจนกับชนิดกีฬาและเหมาะสมกับจำนวนผู้แข่งขัน จัดแข่งขันแบบลึกเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น การแข่งขันแบบสะสมคะแนนเพื่อจัดอันดับในบางชนิดกีฬาและให้มีการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แข่งขันในช่วงวันหยุด ในส่วนการจัดการแข่งขันรอบคัดเลือกในมหาวิทยาลัยที่ใกล้เคียงเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกัน

3) ส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจเพิ่มขึ้น เพื่อได้ส่งผลให้การแข่งขันรอบมหกรรมได้รับความสนใจ

4) ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย คือ ควรทำรูปแบบการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยไปใช้จริง

จุดเด่น / การนำไปใช้ประโยชน์ : จากผลการวิจัยรูปแบบการจัดการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย มีจุดเด่น คือ การกีฬาเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจและนิยมมากในหมู่นิสิต นักศึกษา จึงเห็นสมควรให้มหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมหรือโครงการการเล่นกีฬาเพื่อออกกำลังกาย พร้อมทั้งจัดการแข่งขันกีฬาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยให้ต่อเนื่อง อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังต้องสร้างกิจกรรมด้านกีฬาให้กับชุมชน สังคมรอบๆ มหาวิทยาลัย เพราะจัดว่าเป็นภารกิจด้านหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษา เช่น โครงการแข่งขันกีฬาระหว่างชาวชุมชนกับนิสิตนักศึกษา และบุคลากรของมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างความสามัคคี เป็นอันหนึ่งเดียวกัน

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : จากผลการวิจัยยังสามารถส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยได้ เพราะกีฬาเป็นกระบวนการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายทางเดียวกัน คือ เมื่อผู้มีส่วนร่วม ร่วมลงมือทำและปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว นิสิตนักศึกษาและนักเรียนสาธิตจะเกิดการพัฒนาการทุกด้าน เช่น ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา เป็นต้น

ดังนั้นการแข่งขันกีฬาเป็นกิจกรรมช่วยพัฒนาศักยภาพและทักษะของคนในด้านต่างๆ ทำให้มีสุขภาพดี มีจิตใจมั่นคง เข็มแข็ง รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย รู้รักสามัคคีและทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข และช่วยเสริมสร้างความมีวินัยให้แก่คนในสังคมด้วย เพราะการเล่นกีฬาต้องรู้จักเคารพในกฎเกณฑ์ กติกาและมารยาท

ผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ขั้นความรู้เบื้องต้น

ชื่อผลงานทางวิชาการ : ผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ขั้นความรู้เบื้องตัน

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือประกอบการเรียนวิชาผู้กำกับลูกเสือ สามัญรุ่นใหญ่ ขั้นความรู้เบื้องต้น

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2558

ข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพิมพ์ บริษัทสหธรรมิก จำกัด กทม. จัดพิมพ์โดย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของและผลงานทางวิชาการ / ตำแหน่งทางวิชาการ : อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ เครือหงษ์และคณะ สาขาวิชาพลศึกษาและนันทนาการ คณะครุศาสตร์

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : ลอร์ด เบเดน เพาเวลล์ (Robert Stephenson Smeyth Bandenpowell) เป็นผู้ให้กำเนิดลูกเสือโลก หลักการสำคัญและการปฏิบัติของลูกเสืออยู่ที่คำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ ซึ่งมีหลักการสำคัญ ดังนี้

1. ลูกเสือเป็นผู้มีศาสนา 2. มีความจงรักภัคดีต่อชาติบ้านเมือง 3. มีความเชื่อมั่นในมิตรภาพและภราดรแห่งโลก 4. เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น 5. เป็นผู้ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำปฏิญาณและกฎของลูกเสือ 6. ลูกเสือเป็นอาสาสมัคร 7. ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และ 8. เป็นโครงการฝึกอบรมเด็กชายหนุ่ม เพื่อให้เป็นพลเมืองดีมีความรับผิดชอบ โดยใช้วิธีระบบหมู่และระบบกลุ่มตามระดับของหลักสูตรและวิชาพิเศษของลูกเสือและเป็นกิจกรรมกลางแจ้ง

คำปฏิญาณที่ผู้ให้กำเนิดลูกเสือกำหนดไว้ คือ ด้วยเกียรติของข้า ข้าของสัญญาว่า ข้อ 1. ข้าจะจงรักภัคดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ข้อ 2. ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ ข้อ 3. ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ  กฎทั้ง 3 ข้อนี้ สมาชิกทั้งหมดของกระบวนการลูกเสือยอมรับ

สรุปสาระสำคัญของวิชาการ : หนังสือผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ขั้นความรู้เบื้องต้นนั้น มีสาระสำคัญ ดังนี้

ประวัติลูกเสือไทย ครั้งสมัยรัชกาลที่ 6 เสด็จทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ได้นำกระบวนการรักษาเมืองในประเทศอังกฤษ ที่ตั้งกองทหารเด็กออกสอดแนมช่วยรบและตั้งเป็นกองลูกเสือ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 พระองค์จึงฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนเรียนรู้วิชาทหารเกี่ยวกับระเบียบ วินัย ความสามัคคี ความจงรักภัคดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ และพระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม     2๔54 ต่อจากนั้นได้ตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธ ในปัจจุบัน) จัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียน และพระราชทานคำขวัญลูกเสือว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” ลูกเสือไทยคนแรก คือ นายชัพพ์ บุนนาค ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”

รัชสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับตำแหน่งนายกสภากรรมการกลางและคัดเลือก นายปุ่น มีไผ่แก้ว กับนายประเวศ จันทนยิ่งยง เข้าร่วมประชุม ณ ประเทศอังกฤษ

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีลูกเสือเกิดขึ้นอีกโดยมีการจัดอบรมเด็กที่มีภูมิลำเนาเดิมในท้องถิ่น และตั้งกองลูกเสือในจังหวัดชายทะเลหรือท้องถิ่นที่มีการคมนาคมทางน้ำ เรียกว่า “กองลูกเสือน้ำรักษาพระองค์” ภายสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการจัดตั้งยุวชนทหารมาสอนกิจการลูกเสือ เพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ที่คับขัน

สมัยรัชกาลที่ 9 กิจการลูกเสือเริ่มฟื้นฟูกลับมา มีการออกพระราชบัญญัติลูกเสือ พุทธศักราช 2490 มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งบรมราชูปถัมภ์คณะลูกเสือแห่งชาติและมีการโอนทรัพย์สินของลูกเสือกลับคืนมาด้วย และกิจกรรมลูกเสือมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากและแพร่หลายขยายอย่างรวดเร็วทั้งในโรงเรียนและประชาชน พ.ศ. 2507 รัฐบาลออกพระราชบัญญัติลูกเสือเพิ่มอีก 1 ฉบับ มีการจัดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติหลายครั้ง

โครงสร้างการบริหารลูกเสือแห่งชาติ มีปรากฏในพระราชบัญญัติลูกเสือ ปี พ.ศ. 2507 – 2530 สรุปได้ดังนี้ 1. คณะลูกเสือแห่งชาติ ประกอบด้วยบรรดาลูกเสือทั้งปวง ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ผู้ตรวจการลูกเสือ กรรมการลูกเสือและเจ้าหน้าที่ลูกเสือ (มาตรา 5) 2. คณะลูกเสือแห่งชาติเป็นนิติบุคคล (มาตรา 6) 3. พระมหากษัตริย์เป็นพระประชุมของคณะลูกเสือแห่งชาติ 4. สภาลูกเสือแห่งชาติประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นนายกสภา รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ และให้อธิการบดีกรมพลศึกษา กรรมการและเลขานุการ

การปฏิบัติตามกฎของลูกเสือมี 10 ข้อ ดังนี้

1. ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้ 2. ลูกเสือมีความจงรักภัคดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และซื่อตรงต่อผู้มีพระคุณ 3. ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น 4. ลูกเสือเป็นมิตรของทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก 5. ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย 6. ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ 7. ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาและผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ 8. ลูกเสือมีใจร่าเริงและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก 9. ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์ และ 10. ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกายวาจาใจ

จุดเด่น / ความน่าสนใจ / การนำไปใช้ประโยชน์ : วิชาผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ขั้นความรู้เบื้องต้นนั้น มีจุดเด่นเรื่องการฝึกวินัยในตนเอง โดยเฉพาะการเคารพกติกาของสังคม นอกจากนั้นหนังสือเล่มนี้ยังรวมเนื้อหาของการฝึกทักษะเบื้องต้น คือ การใช้เข็มทิศหาทิศทาง (ตั้งมุม) การใช้เข็มทิศวัดทิศทาง (วัดมุม) ทั้ง 2 อย่างนี้จัดว่าเป็นทักษะสำคัญของมนุษย์เกี่ยวกับการเดินทาง โดยเน้น 4 ประเภท คือ When What Where How  ซึ่งการเดินทางไกลจำเป็นต้องรู้จักทิศทางเป็นอย่างดี พร้อมกับต้องเข้าใจสภาพภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศท้องถิ่นนั้นๆ เป็นอย่างดี ความรู้ดังกล่าวนี้บรรจุอยู่ในหนังสือผู้กำกับลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ขั้นความรู้เบื้องต้น

การนำไปใช้ประโยชน์ : มหาวิทยาลัยโดยฝ่ายสำนักกิจการนิสิต ฝ่ายบริหาร งานบุคคล คณะวิชาทั้ง 5 สามารถนำไปประยุกต์ให้เป็นรูปธรรมสัมผัสได้ โดยวิธีการจัดทำโครงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในค่าย ประมาณ 5 วัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำกิจกรรมร่วมกันใช้กฎเกณฑ์ของลูกเสือทั้งหมด เช่น การฝึกวินัยในตนเอง คือการตรงต่อเวลา การเคารพความคิดของทีมงาน การยอมรับระเบียบปฏิบัติร่วมกัน ฯลฯ และเชิญวิทยากรลูกเสือมาเป็นผู้ให้ความรู้ โดยเป็นความรู้คู่คุณธรรมนำสังคม

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : หนังสือเล่มนี้มีสาระที่เป็นเรื่องการ “ทำเกม” แต่เป็นเกมที่เล่นไม่มีกฎกติกาสลับซับซ้อน แต่เล่นเพื่อส่งเสริมให้เกิดทักษะการพัฒนาการเคลื่อนไหวขั้นมูลฐานและทักษะเบื้องต้นไปสู่การกีฬา แต่มีระเบียบข้อบังคับ

มหาวิทยาลัยสามารถนำมาใช้กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ทุกคณะวิชา ที่ผู้สอนต้องนำประยุกต์ใช้ จะช่วยทำให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียนหรือมีลักษณะเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนก็ได้

การคิดและการตัดสินใจ

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การคิดและการตัดสินใจ

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือเรียนวิชา การคิดและการตัดสินใจ

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2556 (ปรับปรุงใหม่)

ข้อมูลเพิ่มเติม : พิมพ์ที่ โอ เอส พริ้นติ้ง เฮาส์ กทม. นายประสิทธิ์ สันติวัฒนา ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา

ชื่อเจ้าของผลงาน : ดร. มณีนาถ แก้วเนียม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และคณะ

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : หลักการและกระบวนการคิดของมนุษย์ ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ข้อมูลและข่าวสารตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล กระบวนการตัดสินใจ กำหนดการเชิงเส้นและคณิตศาสตร์พื้นฐานสำหรับชีวิตประจำวัน

สรุปสาระสำคัญของผลงาน : การคิดและกระบวนการคิด ข้อมูลข่าวสารและค่าสถิติที่สำคัญ ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล กำหนดการเชิงเส้น กระบวนการตัดสินใจและพื้นฐานการคำนวณร้อยละ ดอกเบี้ย การผ่อนชำระและภาษีเงินได้

จุดเด่น / ความน่าสนใจ / การนำไปใช้ประโยชน์ : หนังสือวิชาการคิดและการตัดสินใจนี้ มีจุดเด่นเพราะกระบวนการคิดเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสมอง เนื่องมาจากการใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งของ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากสมองเป็นศูนย์รวมระบบประสาทเป็นศูนย์กลางในการควบคุม ซึ่งสมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมในเรื่อง คิดวิเคราะห์คิดทางเดี่ยวหรือการใช้ภาษา ส่วนสมองซีกขวาควบคุมพฤติกรรมการคิดสร้างสรรค์ คิดแบบเส้นขนาน คิดสังเคราะห์ ซึ่งการคิดมี 2 ประเภท คือ การคิดประเภทสัมพันธ์กับการคิดโดยตรงที่ใช้ในการแก้ปัญหา

การนำไปใช้ประโยชน์ : วิชาการคิดและการตัดสินใจ สามารถนำไปฝึกทักษะนิสิต นักศึกษาทุกสาขาทุกคณะวิชา เพราะการคิดจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้ มหาวิทยาลัยสามารถจัดการในรูปของโครงการพัฒนาผู้เรียนโดย เฉพาะทางด้านการคิดและตัดสินใจ สามารถทำได้โดย

วิธีที่ 1 ประยุกต์แนวการสอนทุกวิชาให้บูรณาการเนื้อหาเป็นการฝึกคิดหลายรูปแบบซึ่งสามารถพัฒนาได้ สอนจากกรณีศึกษาให้คิดวิเคราะห์หาคำตอบสามารถบูรณาการได้

วิธีที่ 2 จัดการสอนด้วยการทำงานกลุ่ม ระดมสมองซึ่งผู้สอนต้องกำหนดหัวข้อ กำหนดเวลาและการอภิปราย จะส่งเสริมกระบวนการคิด วิเคราะห์ได้ดี การสอนก็สนุก ผู้สอนสามารถช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดได้ดี

วิธีที่ 3 ในด้านการบริหารงานบุคคลของมหาวิทยาลัยควรจัดโครงการเข้าค่ายระดมสมองของบุคลากรแต่ละฝ่ายตามรายละเอียดของบริบทแต่ละหน่วยงาน จะช่วยลดปัญหาการเห็นแตกต่าง การแตกแยกได้ เกิดความสามัคคีในหมู่คณะได้