การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

THE DEVELOPMENT OF E-LEARNING LESSON ON DATA COMMUNICATION AND COMPUTER NETWORKING IN ACADEMY FOR THE 2ND YEAR BACHELOR OF EDUCATION STUDENTS MAJORING IN COMPUTER EDUCATION OF BANSOMDEJCHAOPRAYA RAJABHAT UNIVERSITY

นภา แซ่กั๊ว* รองศาสตราจารย์ ดร.อำนวย เดชชัยศรี** อาจารย์นิธิวดี เพ็งใย***

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ของนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีการศึกษา 2557 จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความสอดคล้อง ค่าประสิทธิภาพและการทดสอบค่าที

ผลการวิจัยพบว่า

1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.47/82.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80

2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05

3) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 ซึ่งอยู่ในระดับพึงพอใจมาก

คำสำคัญ: บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์

Abstract

The purposes of this research were 1) to develop e-learning lesson on Data Communication and Computer Networking in Academy for the 2nd Year Bachelor of Education students majoring in Computer Education of Bansomdejchaopraya Rajabhat University 2) to compare

learning achievement between before and after using the developed e-learning lesson and 3) to study the students’ satisfaction towards the developed e-learning lesson. The sample included 80 students in academic year 2014. The research instruments involved e-learning lesson, achievement test, and questionnaire. Data was statistically analyzed in mean, standard deviation, coefficient correlation, efficiency, and t-test.

The findings revealed as follows.

1. The efficiency of e-learning lesson on Data Communication and Computer Networking in Academy measured 81.47/82.75, which was higher than the criteria 80/80.

2. The students’ learning achievement after using the developed e-learning lesson was higher at significance level .05.

3. The students’ satisfaction towards the developed e-learning lesson was generally found at the high level (A= 4.20)

Keyword: e-learning Lesson, Computer Network

1. บทนำ

ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากการศึกษามิใช่จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียนหรือในโรงเรียน แต่เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้ในทุกเรื่องทั้งที่เป็นความรู้วิชาการทั่วไป ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทย ได้ในทุกที่และทุกเวลา การที่จะให้ทุกคนได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพนั้น เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญ จึงได้กำหนดเป้าหมายและแนวนโยบายในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาและการพัฒนาประเทศ โดยสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการแสวงหาและเผยแพร่ความรู้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มคุณภาพการศึกษาอย่างทั่วถึง ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตสื่อเพื่อการศึกษาที่มีคุณภาพ รวมทั้งพัฒนาผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถศึกษาค้นคว้าข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ มีการจัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งที่เป็นการศึกษาในระบบ นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกในการศึกษาและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545, น.85-88)

ในสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งได้เห็นความสำคัญในการให้นักศึกษาได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองและมีการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยพัฒนาระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาได้ตระหนักถึงความสำคัญข้อนี้ด้วยเช่นกันจึงได้มีการจัดทำแผนระบบสารสนเทศ (Information System Plan) ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศ ซึ่งระบบการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็อยู่ในแผนนี้ด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยและนิสิตนักศึกษาสามารถเข้าถึงข้อมูลและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จากระบบบริหารจัดการด้านการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายแบบออนไลน์ (Learning Management System ; LMS) เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทางไกล (สำนักคอมพิวเตอร์, 2552, ออนไลน์)

วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา (Data Communication and Computer Networking in Academy) เป็นหนึ่งในวิชาบังคับของหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา การจัดการเรียนการสอนเป็นการเรียนการสอนโดยอาศัยตำราและครูเป็นหลักเสียส่วนใหญ่ ซึ่งผู้เรียนไม่มีโอกาสได้เรียนรู้และแก้ปัญหาด้วยตนเองจากการสัมภาษณ์อาจารย์ผู้สอนหลายท่านแล้วนำมาวิเคราะห์ปัญหาพบว่า วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาเป็นวิชาว่าด้วยทฤษฎีซึ่งยากต่อการทำความเข้าใจและภาคปฏิบัติที่ต้องใช้

ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน แต่ด้วยเวลาที่จำกัดใน 1 ภาคการศึกษา ดังนั้น ในหลักสูตรจึงมีเฉพาะพื้นฐานและเนื้อหาที่เป็นส่วนสำคัญ ทำให้นักศึกษาไม่ได้เรียนลึกถึงรายละเอียดจึงขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงส่งผลกระทบต่อการเรียนของผู้เรียนทำให้ผู้เรียนไม่สามารถวิเคราะห์โจทย์และแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ขาดความเข้าใจและทักษะในการปฏิบัติงานและเมื่อพิจารณาดูผลการเรียนของนักศึกษา พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลางทั้งในการทดสอบย่อยและการสอบปลายภาค

เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้วิจัยจึงเห็นว่า ควรมีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญในการเรียนการสอน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองจากการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและแก้ปัญหาด้วยตัวของผู้เรียนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น โดยวิธีการที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเข้าในเนื้อหาวิชาดังกล่าวได้ดีขึ้นนั้น ผู้วิจัยเห็นว่าควรจะออกมาในรูปแบบของการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ เพราะการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) คือ การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเครือข่ายและเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์และส่งผ่านองค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ ไปยังผู้เรียนที่อยู่ในสถานที่แตกต่างกันให้ได้รับความรู้ทักษะและประสบการณ์ร่วมกันอย่างมีชีวิตชีวา (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545, น.58) ซึ่งผู้วิจัยคาดหวังว่าการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถใช้แก้ปัญหาดังกล่าวได้ จากงานวิจัยพบว่า การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการเรียนรู้สามารถทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ผู้เรียนมีความสนใจและเกิดความเข้าใจได้ดีกว่าการสอนที่ใช้การบรรยายในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ใช้สื่อใดๆ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2545, น.18) นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-Centered) ได้เป็นอย่างดี เพราะผู้สอนสามารถใช้การเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ในการจัดการเรียนการสอนที่ลดการบรรยายได้ โดยให้ผู้เรียนไปศึกษา ทบทวนและทำความเข้าใจด้วยตนเอง ทั้งยังสามารถใช้การเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Autonomous Learning) ได้ดียิ่งขึ้น

ด้วยเหตุผลและคุณสมบัติต่างๆ ของการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงคิดว่าหากนำเอาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจะมีส่วนช่วยให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาของผู้เรียนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังนั้น ผู้วิจัยจึงประสงค์จะพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกในการศึกษา สร้างความน่าสนใจของบทเรียนวิชาทฤษฎี เป็นแหล่งความรู้ที่สามารถศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากเนื้อหาในหลักสูตร หรือทบทวนบทเรียนได้ด้วยตนเอง เป็นการสนับสนุนการเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็นสำคัญและเป็นแนวทางในการพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับวิชาอื่นๆ ของสาขาวิชาต่อไป

2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ของนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

E O1 X O2

3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

3. วิธีการดำเนินงาน

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ใช้แบบแผนการทดลองลักษณะ One Group Pretest – Posttest Design ตามวิธีการทดลอง ดังต่อไปนี้

โดยกำหนดให้

E หมายถึง นักศึกษากลุ่มตัวอย่าง

X หมายถึง บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์

O1 หมายถึง คะแนนผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนก่อนเรียน

O2 หมายถึง คะแนนผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนหลังเรียน

3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 4 ห้องเรียน รวม 160 คน

กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 80 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)

3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้มีเครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย

1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

3.5 ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ

1. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

ผู้วิจัยได้นำแนวคิดการออกแบบระบบการสอน ADDIE Model (Generic Model) ของ Seels & Glasgow (1998 อ้างถึงใน มนต์ชัย เทียนทอง, 2545, น.131-136) มาเป็นแนวคิดในการพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีขั้นตอนและรายละเอียดดังนี้

1) ขั้นวิเคราะห์ (Analysis)

1.1) วิเคราะห์สภาพปัญหา โดยศึกษาสภาพการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา การสังเกต พูดคุย กับนักศึกษา และสัมภาษณ์อาจารย์ผู้สอนหลายๆ ท่านแล้วนำมาวิเคราะห์ปัญหา

1.2) วิเคราะห์หลักสูตร โดยวิเคราะห์หลักการ จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยสร้างคำอธิบายรายวิชาและตัวชี้วัดที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน

1.3) วิเคราะห์เนื้อหารายวิชา รายละเอียดของเนื้อหา เพื่อกำหนดขอบข่ายของเนื้อหา และขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม

2) ขั้นออกแบบ (Design)

2.1) ออกแบบบทเรียน โดยนำบทเรียนที่ได้จากขั้นตอนแรกมาสร้างเป็นบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหา แบบทดสอบ กิจกรรม

2.2) ออกแบบผังงาน (Flowchart) โดยเขียนเป็นแผนภาพบทเรียนให้มีความสัมพันธ์กัน และออกแบบบทดำเนินเรื่อง (Storyboard)

2.3) ออกแบบหน้าจอภาพ (Screen) โดยแบ่งพื้นที่หน้าจอให้มีองค์ประกอบเป็นสัดส่วน

3) ขั้นพัฒนา (Development)

3.1) เตรียมวัสดุประกอบบทเรียน หรือสื่อมัลติมีเดียต่างๆ ด้วยโปรแกรมเฉพาะ เช่น ภาพ ภาพเคลื่อนไหว กราฟิก เสียง ตามผังงานและบทดำเนินเรื่อง

3.2) ดำเนินการผลิตบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ตามที่ออกแบบไว้ โดยใช้โปรแกรม Adobe Captivate

3.3) นำบทเรียนที่สร้างขึ้นเข้าสู่ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (LMS) ซึ่งผู้วิจัยเลือกใช้โปรแกรม Moodle

3.4) นำบทเรียนอัพโหลดขึ้น Server จริง เพื่อให้สามารถใช้งานบทเรียนได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

4) ขั้นทดลองใช้ (Implementation)

เป็นการทดลองบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้งานจริงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และตรวจสอบหาข้อผิดพลาดและปัญหาในการใช้งาน

5) ขั้นประเมินผล (Evaluation)

5.1) นำบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา พร้อมทั้งแบบประเมินคุณภาพบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา 3 ท่าน

5.2) นำผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่าเฉลี่ย พบว่า บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพโดยเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 ซึ่งหมายถึง มีความเหมาะสมมากที่สุด

5.3) แก้ไขปรับปรุงบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ตามข้อเสนอแนะ และจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

เป็นข้อสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้

1) ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร รายวิชาและเนื้อหา สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและจุดประสงค์การเรียนรู้

2) กำหนดตัวชี้วัดที่ต้องการให้เกิดกับนักศึกษาตามโครงสร้างเนื้อหาที่ได้วิเคราะห์มาแล้ว การให้น้ำหนักความสำคัญ การวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ แบ่งเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ความจำ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehend) การประยุกต์ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) และการประเมินค่า (Evaluation)

3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก

4) นำแบบทดสอบเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา 3 ท่าน พิจารณาความถูกต้องตามหลักวิชาการโดยการวิเคราะห์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (The Index of Item Objective Congruence; IOC) เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้

5) นำผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหามาคำนวณหาค่าความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งได้ค่าระหว่าง 0.67-1.00 แสดงว่าเป็นข้อสอบที่มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้

6) ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบ และจำทำเป็นฉบับสมบูรณ์ จำนวน 40 ข้อ

3. แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้

1) ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ จากหนังสือ การวัดผลการศึกษา ของ สมนึก ภัททิยธนี (2544, น.36-42) และหนังสือ การวิจัยเบื้องต้น ของ บุญชม ศรีสะอาด (2545, น.63-75)

2) กำหนดกรอบการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้แบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ ของลิเคิร์ท (Likert’s Five Rating Scale)

3) ดำเนินการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ และนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบฉบับร่าง ปรับปรุงแก้ไข และเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของรายการประเมิน (IOC)

4) นำผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาคำนวณหาค่าความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งได้ค่าระหว่าง 0.67-1.00 แสดงว่าเป็นแบบสอบถามที่มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้

5) ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถาม และจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์

4. ผลการวิจัย

ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูล และได้นำเสนอตามหัวข้อดังต่อไปนี้

4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

A แทน ค่าเฉลี่ย

S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง

t แทน ค่าสถิติการแจกแจง

(t-Distribution)

p แทน ระดับนัยสำคัญของ

การทดสอบทางสถิติ

4.2 การวิเคราะห์ข้อมูล

1. การหาประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

3. การศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา

4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ แบบทดสอบ

n

คะแนนเต็ม

S.D.

ประสิทธิภาพ

ระหว่างเรียน

80

40

32.59

3.44

E1= 81.47

หลังเรียน

80

40

33.10

3.75

E2= 82.75

จากตารางที่ 1 คะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบระหว่างเรียนเท่ากับ 32.59 คิดเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการได้เท่ากับ 81.47 และคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 33.10 คิดเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้เท่ากับ 82.75 แสดงว่า บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.47/82.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80

ตารางที่ 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ แบบทดสอบ

n

คะแนนเต็ม

ร้อยละ

S.D.

t

ก่อนเรียน

80

40

11.65

29.13

3.62

39.37*

หลังเรียน

80

40

33.10

82.75

3.75

จากตารางที่ 2 คะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 11.65 คิดเป็นร้อยละ 29.13 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.62 และคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 33.10 คิดเป็นร้อยละ 82.75 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.75 โดยค่าทีจากการคำนวณมากกว่าค่าทีจากตาราง (39.37 > 1.99) แสดงว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05

ตารางที่ 3 ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์

รายการประเมิน

S.D.

1. เนื้อหาบทเรียนมีความครอบคลุม สอดคล้องกับ

การเรียนในชั้นเรียน

4.33

0.59

2. มีความสะดวกในการเรียนรู้และทบทวนบทเรียน

4.28

0.69

3. รูปแบบการนำเสนอมีความน่าสนใจ น่าติดตาม

4.18

0.65

4. รูปแบบการนำเสนอมีความสะดวกน่าใช้ และ

เข้าใจง่าย

4.23

0.75

5. รูปแบบการนำเสนอแปลกใหม่แตกต่างจากการ

เรียนในชั้นเรียนปกติ

4.13

0.72

6. มีความรู้สึกเหมือนเรียนอยู่ในห้องเรียนปกติ

4.15

0.75

7. สามารถติดต่อสื่อสารและแสดงความคิดเห็น

ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนนอกเวลาสอนเพิ่มขึ้น

4.14

0.74

8. เป็นสื่อเสริมทักษะการเรียนด้วยตัวเองได้เป็น

อย่างดี

4.34

0.59

9. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มีความกระตือรือร้น

ในการเรียนมากขึ้น

4.16

0.74

10. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เข้าใจเนื้อหาได้

ชัดเจนขึ้น

4.21

0.71

11. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ดีกว่าการเรียนในห้องเรียน

เพียงอย่างเดียว

4.10

0.77

12. โดยภาพรวม ท่านมีความพึงพอใจต่อบทเรียน

อิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับใด

4.35

0.68

13. โครงสร้างของเนื้อหาครอบคลุมจุดประสงค์

การเรียนรู้

4.24

0.62

14. ความเหมาะสมของปริมาณเนื้อหา

4.24

0.66

15. ความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา

4.18

0.74

16. การจัดลำดับขั้นนำเสนอเนื้อหา

4.04

0.74

17. ความชัดเจนของคำสั่งการใช้งานบทเรียน

4.21

0.67

18. สื่อมัลติมีเดียในบทเรียนสามารถสื่อให้เข้าใจ

เนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น

4.06

0.77

19. ความชัดเจนของคำถามและคำตอบของ

แบบทดสอบ

4.21

0.71

20. แบบทดสอบมีความเหมาะสมกับเนื้อหา

4.25

0.82

ค่าเฉลี่ยรวม

4.20

0.71

จากตารางที่ 3 พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.71 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ระดับความพึงพอใจมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ข้อที่ 12. โดยภาพรวม ท่านมีความพึงพอใจต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับใด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.68 รองลงมาได้แก่ ข้อที่ 8. เป็นสื่อเสริมทักษะการเรียนด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.59 ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ข้อที่ 16. การจัดลำดับขั้นนำเสนอเนื้อหา โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.04 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.74

5. สรุปผลการวิจัย

5.1 สรุปผล

1. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษามีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.47/82.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05

3. ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 ซึ่งอยู่ในระดับพึงพอใจมาก

5.2 อภิปรายผล

1. บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.47/82.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ในการวิจัยครั้งนี้ มีขั้นตอนการประเมินตรวจสอบคุณภาพบทเรียน โดยการตรวจสอบคุณภาพของบทเรียนด้านเนื้อหา และด้านเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงทำให้บทเรียนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุเมธา ปานพริ้ง (2556) ซึ่งทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิง เรื่อง การสร้างวีดีทัศน์เพื่อการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยนำบทเรียนที่พัฒนาขึ้นไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย

ศิลปากร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 36 คน ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 84.13/91.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80 /80 เนื่องจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ได้พัฒนาตามกระบวนการเรียนการสอน ได้แก่ การนำเข้าสู่เนื้อหาสาระ การจัดเนื้อหาเสริม การทบทวนความรู้เดิม การออกแบบวิธีการสอนที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ การให้ผู้เรียนทำกิจกรรมเพื่อทบทวนความรู้และเสริมความเข้าใจ การสรุปสาระสำคัญ และการประเมินผล โดยการนำเสนอเนื้อหานั้นเป็นการนำเสนอเนื้อหาแบบ step by step มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย (multimedia) ที่นำเสนอข้อมูลทั้งข้อความ (text) ภาพนิ่ง (image) ภาพเคลื่อนไหว (animate) ภาพวีดีทัศน์ (video) และมีเสียง (audio) อธิบายประกอบ นอกจากนั้น บทเรียนยังมีแบบทดสอบไว้ให้ผู้เรียนฝึกทำเป็นการทบทวนและเสริมการเรียนรู้ และการสรุปสาระสำคัญหลังจากเรียนจบบทเรียน จึงทำให้บทเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า นักศึกษามีความกระตือรือร้น และสนุกสนานในการเรียนและสนใจเรียนเมื่อได้เรียนรู้เนื้อหาในบทเรียน ผลการวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดของ ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2545) กล่าวว่า สื่อคอมพิวเตอร์ สามารถนำเสนอบทเรียนด้วยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ซึ่งช่วยสร้างความเร้าใจ ทำให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนและมีความเข้าใจบทเรียนเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้อยากเรียนมากขึ้น

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 เนื่องจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pretest) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.65 และ

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Posttest) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 33.10 ทั้งนี้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้น มีการออกแบบและพัฒนาโดยเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสโต้ตอบหรือมีปฏิสัมพันธ์ )Interaction) กับบทเรียนตลอดเวลาและหลากหลายรูปแบบ ทำให้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นสนับสนุนการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งในบทเรียนมีแบบทดสอบที่หลากหลายให้ผู้เรียนฝึกทำ เป็นการทบทวนเนื้อหาได้ตามความต้องการของตนเองจึงทำให้บทเรียนที่พัฒนาขึ้นสามารถทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นได้ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุเมธา ปานพริ้ง (2556) ที่พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนแบบ อีเลิร์นนิงหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3. ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 ซึ่งถือว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับพึงพอใจมาก สอดคล้องกับผลการวิจัยของ อนิรุทธ์ โชติถนอม (2545) ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับรายวิชาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเว็บไซต์สำหรับจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ระดับรายวิชาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และศึกษาความพึงพอใจของอาจารย์ และนักศึกษาในการใช้งานเว็บไซต์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ อาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 10 คน และนักศึกษาวิชาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิชาเอกระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 100 คน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า อาจารย์และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อการใช้งานเว็บไซต์เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอยู่ในระดับพึงพอใจ (ระดับ 4)

6.ข้อเสนอแนะ

6.1 ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้

1. จากผลการวิจัยพบว่า บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่าวิธีการสอนโดยใช้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้นักศึกษาสามารถพัฒนาตนเองได้ดีขึ้น ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายควรให้การสนับสนุนส่งเสริมให้มีการนำบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้การจัดการเรียนการสอน เพื่อเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากยิ่งขึ้น

2. จากผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่ได้รับการเรียนการสอนด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และมีความเห็นเกี่ยวกับบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ว่าสามารถทำให้ผู้เรียนมีความสนุกสนานกับการเรียนรู้ สามารถนำไปศึกษาได้ด้วยตนเอง และสามารถแก้ปัญหาการเรียนไม่ทันเพื่อนโดยการทบทวนความรู้หลังจากเรียนจากห้องเรียน ทั้งนี้การเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่จำกัดเฉพาะการเรียนในห้องเรียน สามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาควรนำการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้กับนักเรียนนักศึกษาทุกระดับ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

6.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในครั้งต่อไป

1. การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มีขั้นตอนการพัฒนาหลายขั้นตอน แต่ละขั้นตอนจะต้องดำเนินการอย่างประณีต ดังนั้น การวิจัยเพื่อพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ผู้วิจัยควรวางแผนการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนอย่างเหมาะสมและจะต้องดำเนินงานตามแผนที่กำหนดไว้อย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ออกมาได้ตามระยะเวลาที่กำหนด

2. การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ต้องอาศัยความรู้และทักษะการใช้งานโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมมาประกอบกันเพื่อสร้างสื่อมัลติมีเดีย ดังนั้น ผู้วิจัยควรศึกษาการใช้งานโปรแกรมเหล่านั้นให้ชำนาญ เพื่อให้การพัฒนาสื่อสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีความสวยงามเป็นที่น่าสนใจแก่ผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

3. ควรสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งรายวิชา ดำเนินการทดลองเรียนกับกลุ่มตัวอย่างทั้งภาคเรียน เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงการประเมินระดับความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ หรืออาจทำการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์กับการเรียนการสอนโดยวิธีปกติ

4. ควรสร้างแบบฝึกหัด และแบบทดสอบในบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ให้มีลักษณะที่หลากหลาย เช่น คำถามแบบอัตนัย แบบเติมคำตอบสั้นๆ แบบจับคู่ แบบถูก/ผิด แบบคำนวณ เพื่อให้บทเรียนมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และไม่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับผู้เรียน

เอกสารอ้างอิง

ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2545). รูปแบบการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนสำหรับการเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ในระดับอุดมศึกษา. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

———-. (2545). Designing e-Learning : หลักการออกแบบและการสร้างเว็บเพื่อการเรียนการสอน.

กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์.

บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

มนต์ชัย เทียนทอง. (2545). การออกแบบและพัฒนาคอร์สแวร์สำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.กรุงเทพฯ : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

สมนึก ภัททิยธนี. (2544). การวัดผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์.

สำนักคอมพิวเตอร์. (2552). แผนระบบสารสนเทศ (Information System Plan) พ.ศ.2552 – 2556.

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.

ค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2558. จาก http://bsru.in.th/document/ISplan_BSRU52-56.pdf.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2545 – 2559. กรุงเทพฯ : บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จำกัด.

สุเมธา ปานพริ้ง. (2556). การพัฒนาบทเรียน

อีเลิร์นนิง เรื่อง การสร้างวีดิทัศน์เพื่อการเรียนการสอน สำหรับนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร.

อนิรุทธ์ โชติถนอม. (2545). การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับรายวิชาของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วิทยานิพนธ์

วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า

เจ้าคุณทหารลาดกระบัง.

Gagne, Robert, M.Z. (1985). The condition of learning and theory of instuction. (3rd ed). Forida : Saunder Pub.

Wiggins, G., & McTighe, J. (1998). Understanding by design. Alexandria, VA: Association for Supervision and Curriculum Development.

การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ตของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ตของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

The Development of Asset Management System Via Intranet of Computer Office at Bansomdejchaopraya Rajabhat University

ธรรมศักดิ์  จลาสุภ* ดร.อำนวย  เดชชัยศรี** วรุตม์  พลอยสวยงาม***

บทคัดย่อ

  การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และ 2) ประเมินประสิทธิผลของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คนสำหรับการประเมินประสิทธิภาพของระบบฯ และบุคลากรของสำนักคอมพิวเตอร์และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ จำนวน 48 คน สำหรับการประเมินประสิทธิผลของระบบฯ เครื่องมือที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามมาตราประมาณค่า 5 ระดับและแบบตรวจสอบรายการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า

  1) ประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์บนเครือข่ายอินทราเน็ตของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการวิเคราะห์และออกแบบฐานข้อมูลมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบ และด้านการใช้งานแอพพลิเคชั่น มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด

  2) ประสิทธิผลของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด  เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระบบมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือด้านความต้องการของผู้ใช้ระบบ  ด้านการทำงานได้ตามฟังก์ชั่นงานของระบบ และด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด

คำสำคัญ: ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต

Abstract

The purposes of this research were 1) to study the efficiency of asset management system via Intranet of Computer Office at Bansomdejchaopraya Rajabhat University and 2) to assess the effectiveness of the asset management system via Intranet of Computer Office at Bansomdejchaopraya Rajabhat University. The sample included three specialists for efficiency assessment and other forty-eight of Computer Office staff and asset checking staff for effectiveness assessment. Data were collected using 5-point rating scale questionnaire and checklist, and were statistically analyzed in mean and standard deviation.

* นักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
** รองศาสตราจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
*** อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา


The findings revealed as follows.

1. The efficiency of asset management system via Intranet of Computer Office at Bansomdejchaopraya Rajabhat University was generally found at the highest level. After item analysis, analysis and design of database was rated at the highest mean followed by analysis and design of system and use of application.

2. The effectiveness of the system was generally rated at the highest level. After item analysis, data security was rated at the highest mean followed by users’ need, ) system operation based on its function, and ease of system using.

Keyword: Asset Management System via Intranet

บทนำ

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นสถาบันอุดมศึกษาระดับท้องถิ่น โดยมีนโยบายการบริหาร และพัฒนามหาวิทยาลัย ยึดหลักการในทางปฏิบัติ PPPO จุดมุ่งหมาย (Purpose) หลักการ (Principle) การมีส่วนร่วม (Participation) ส่งผลต่อการสร้างระบบงานและองค์กร (Organization) เป็นจุดมุ่งหมายในการดำเนินการของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายปฏิรูปการศึกษา แบ่งเป็น 9 หมวด(สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, 2558) ทุกหมวดจะชี้นำการปฏิบัติ ปฏิรูปของทุกสถานศึกษาโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ กล่าวเป็นข้อ ๆ คือ 1.มหาวิทยาลัยราชภัฏจะปฏิรูปตนเอง 2.โอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชน 3.ระบบการศึกษาในแนวปฏิรูป 4.แนวการจัดการศึกษา 5.การบริหารและการจัดการศึกษาใน พ.ร.บ.การศึกษา 6.มาตรฐานและการประกันคุณภาพ 7.คุณภาพของครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา 8.ความมีอิสระในการหาและการใช้เงิน และ 9.สิ่งอำนวยความสะดวกในการสอนการศึกษา การบริหาร

    การบริหารจัดการมหาวิทยาลัย  ในด้านการจัดการเรียนการสอน และการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน จึงมีความจำเป็นที่ต้องจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อใช้ในการบริหารงาน และการจัดการเรียนการสอน

  ปัจจุบัน การจัดหาครุภัณฑ์ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา แต่ละปีมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะครุภัณฑ์ทางคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันที่มีขนาดเล็กลง ซึ่งเคลื่อนย้ายสะดวกและ มีประสิทธิภาพเหมาะแก่การนำไปใช้เป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอนเป็นอย่างดี  โดยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ กำหนดว่า หลังจากมีการดำเนินการจัดหา และได้รับมอบสิ่งของแล้ว จะต้องทำการลงบัญชีหรือทะเบียนควบคุม และเก็บรักษาให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย ปลอดภัย ครบถ้วนถูกต้องตรงตามบัญชี หรือทะเบียน และในช่วงของทุกสิ้นปีงบประมาณ จะต้องทำการสำรวจครุภัณฑ์ ว่าการรับจ่ายถูกต้อง คงเหลืออยู่ตรงตามทะเบียนหรือไม่ และ    มีสภาพเป็นอย่างไร เช่น พร้อมใช้งาน ชำรุด เสื่อมสภาพ หรือสูญหาย เพราะเหตุใด และเสนอต่อหน่วยงานตามลำดับชั้น     แต่เนื่องจากครุภัณฑ์เหล่านี้ต้องมีการสำรวจข้อมูลอยู่เป็นประจำทุกปี โดยในการสำรวจแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาในการติดตาม ตรวจสอบเป็นเวลานาน อีกทั้งยังต้องใช้กำลังคนจำนวนมากเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนมากที่สุด และไม่สามารถทราบได้ว่าครุภัณฑ์แต่ละชิ้นนั้นสิ้นสภาพการใช้งานหรือยัง มีการเคลื่อนย้ายที่ตั้ง หรือมีการเปลี่ยนผู้รับผิดชอบถือครองหรือไม่ จากความจำเป็นดังกล่าว ครุภัณฑ์ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการบริหารงาน และการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน ดังนั้นการบริหารจัดการใช้ครุภัณฑ์ที่ดี ย่อมนำไปสู่การใช้เงินงบประมาณอย่างประหยัด คุ้มค่า  ถ้าพิจารณาจากปัญหาที่สำนักคอมพิวเตอร์พบอยู่ก็คือ ทะเบียนครุภัณฑ์จะอยู่ในรูปของกระดาษ ซึ่งปัญหาของการดำเนินการดังกล่าวมีดังต่อไปนี้ 1.การจัดสถานที่เก็บเอกสาร 2.ปริมาณกระดาษที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากร 3.การเพิ่ม แก้ไข บันทึก และการสืบค้นเอกสารทำได้ยาก 4.การออกรายงานทำได้ยาก และ 5.การกลั่นกรองข้อมูลออกมาเป็นสารสนเทศเพื่อนำไปใช้งาน ทำได้ช้า

   เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และลดปัญหาที่เกิดจากการทำงาน ดังปัญหาที่กล่าวแล้วข้างต้น  การพัฒนาระบบตรวจสอบสถานะครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต จะเป็นวิธีที่จะช่วยบริหารจัดการ และลดปัญหาการการติดตามตรวจสอบครุภัณฑ์ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์พัฒนา เพื่อตรวจสอบสถานะครุภัณฑ์ และสามารถบันทึกข้อมูลและเก็บรายละเอียด    ต่าง ๆ เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็ว ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการจัดซื้อ การซ่อมบำรุง และการจำหน่ายครุภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน และรายงานผลการสำรวจครุภัณฑ์ประจำปีต่อไป 

 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

2. เพื่อประเมินประสิทธิผลของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จากการทดลองใช้โดยบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ

สมมติฐานของการวิจัย

1.ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีประสิทธิภาพในระดับดี

2. ประสิทธิผลของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัย     ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จากการทดลองใช้โดยบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ อยู่ในระดับ     ดีมาก

ขอบเขตของการวิจัย

ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็น บุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ จำนวน 14 คน และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุประจำปี จำนวน 200 คน รวมประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ทั้งสิ้น 214 คน

กลุ่มตัวอย่าง

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ จำนวน 14 คน และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุประจำปี จำนวน 34 คน รวมกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ทั้งสิ้น 48 คน โดยคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง

ตัวแปรที่ศึกษา

ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ตัวแปรตาม ได้แก่ ประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และประสิทธิผลของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  จากการทดลองใช้โดยบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ

 

วิธีดำเนินการวิจัย

ในการวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเรื่อง การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบทดลอง

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

1. แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ

2. แบบประเมินประสิทธิผลของระบบโดยบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ

ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือและการหาคุณภาพของเครื่องมือ

ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบประเมิน ที่นำมาใช้ประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และแบบประเมินที่นำมาใช้ประเมินประสิทธิผล ของบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุที่มีต่อระบบตามลำดับดังนี้

1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำมากำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย และกำหนดนิยามศัพท์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ตของ สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

2. กำหนดประเด็น โครงสร้างของเครื่องมือ และขอบเขตเนื้อหาตามกรอบแนวคิดของการวิจัยที่ได้ศึกษา และร่าง  ข้อคำถามให้มีเนื้อหาสาระสอดคล้องกับจุดประสงค์ และนิยามศัพท์เฉพาะและประเด็นสำคัญ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทาง ในการสร้างข้อคำถาม

3. ศึกษาวิธีสร้างแบบสอบถามจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยเขียนข้อคำถามให้ครอบคลุมเนื้อหาในแต่ละด้านหรือแต่ละตัวแปรที่จะทำการศึกษา เพื่อให้นำมาเป็นแนวทางในการออกแบบสอบถามการประเมินความเหมาะสม ที่จะนำไปใช้ในการตรวจสอบการพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

4. สร้างแบบสอบถามที่นำไปใช้ประเมินประสิทธิภาพ และประเมินประสิทธิผลของการพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากที่สุด  มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด แล้วนำแบบสอบถามเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

5. นำแบบสอบถามที่นำมาประเมินประสิทธิภาพที่แก้ไขแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอความเห็นชอบและตรวจสอบความถูกต้องตามโครงสร้างเนื้อหา การใช้ภาษา และให้คำแนะนำในการแก้ไขปรับปรุงแบบสอบถามให้ถูกต้องมีความชัดเจน และสมบูรณ์ขึ้น

6. เมื่อปรับปรุงแบบสอบถามที่นำมาประเมินประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content validity) โดยพิจารณานิยามของตัวแปร ขอบเขต และองค์ประกอบของเนื้อหาที่จะทำการวัด โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องแบบ IOC (Item – Objective Congruence Index : IOC) ในทุกข้อคำถามนั้นเท่ากับ 1.00 หากข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 – 1.00 จัดทำการคัดเลือกไว้ และถ้าข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 จะต้องทำการพิจารณาปรับปรุงหรือไม่คัดเลือกไว้ (ยุทธ ไกยวรรณ์ และกุสุมา ผลาพร่ม, 2553, น.181)

7. นำแบบสอบถามที่ได้จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญมาแก้ไขปรับปรุงเป็นฉบับที่มีความเที่ยงตรง

8. นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วให้คณะกรรมการควบคุมสารนิพนธ์พิจารณาแล้วนำไปจัดพิมพ์เป็นแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค จำนวน 3 คนบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุ จำนวน 48 คน ตอบแบบสอบถาม เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้ของเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น แล้วนำมาวิเคราะห์ความเชื่อถือ (Reliability) ของแบบสอบถามเป็นรายด้านและโดยรวม

การเก็บรวบรวมข้อมูล

มีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้

1. ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยนำระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เข้าพบผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคเพื่อประเมินผลการทดลอง และตอบแบบประเมินประเมินประสิทธิภาพ ต่อจากนั้นให้บุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุประจำปีได้ทดลองใช้ และตอบแบบประเมินประสิทธิผล

2. ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นระยะเวลา 60 วัน 

3. ตรวจแบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และแบบประเมินประสิทธิผลในการใช้งานระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

4. วิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานและประมาณค่าสถิติจากคะแนนจากแบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และแบบประเมินประสิทธิผลในการใช้งานระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิจัยครั้งนี้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติดังนี้

1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตรการคำนวณ ดังนี้

1.1 ค่าเฉลี่ย ใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543, น.137)

1.2 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543, น.137)

2. สถิติค่า IOC ที่ใช้กับผู้เชี่ยวชาญ (ยุทธ ไกยวรรณ์ และกุสุมา ลาพรม, 2553, น.181)


สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผล

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบ เพื่อหาประสิทธิภาพของระบบ และเพื่อประเมินประสิทธิผล จากบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ ที่มีต่อระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ จำนวน 14 คน และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ จำนวน 34 คน รวมกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ทั้งสิ้น   48 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย

1. ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

2. แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ เรื่อง การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยแบบประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิด ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ มีประสิทธิภาพมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ซึ่งแบบสอบถามได้แบ่งประเด็นในการประเมินผลออกเป็น 3 ด้าน คือ ความเหมาะสมด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ความเหมาะสมด้านการวิเคราะห์และออกแบบฐานข้อมูล ความเหมาะสมด้านการใช้งานแอพพลิเคชั่น

3. แบบประเมินประสิทธิผลของระบบโดยบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ เรื่อง การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยแบบประเมินประสิทธิผลของระบบมีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) 5 ระดับ มีประสิทธิผลมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ซึ่งแบบสอบถามได้แบ่งประเด็นในการประเมินผลออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านความต้องการของผู้ใช้ระบบ (Functional Requirement Test) ด้านการทำงานได้ตามฟังก์ชั่นงานของระบบ (Functional Test) ด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบ (Usability Test) ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ (Security Test)    

ผลการวิจัยพบว่า

1. ผลการพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของระบบ ผลการประเมินจากการตอบแบบสอบถามของผู้เชี่ยวชาญ ประสิทธิภาพของระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.69, S.D. = 0.03) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวิเคราะห์และออกแบบฐานข้อมูล (= 4.87, S.D. = 0.32) รองลงมาคือ ด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบ   (= 4.64, S.D. = 0.35) และด้านการใช้งานแอพพลิเคชั่น (= 4.57, S.D. = 0.28) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านปรากฏผลดังนี้

1.1 ด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.64, S.D. = 0.35) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ความถูกต้องในการวิเคราะห์การศึกษา   ความเป็นไปได้ทางด้านการปฏิบัติงาน (= 5.00, S.D. = 0.00) ความถูกต้องของการวิเคราะห์กระบวนการทำงาน (= 5.00, S.D. = 0.00) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ความถูกต้องในการวิเคราะห์การศึกษาความเป็นไปได้ (= 4.67, S.D. = 0.58) ความเหมาะสมในการเลือกแนวทางในการพัฒนาระบบ (= 4.67, S.D. = 0.58) ความถูกต้องของการเขียนแผนภาพกระแสข้อมูล (= 4.67, S.D. = 0.58) ความสอดคล้องระหว่างกระบวนการทำงานของระบบกับแผนภาพกระแสข้อมูล (= 4.67, S.D. = 0.58) ความเหมาะสมของข้อมูลที่แสดงในสารสนเทศ (= 4.67, S.D. = 0.58) ความสอดคล้องของสารสนเทศกับผู้ใช้ (= 4.67, S.D. = 0.58) ความเหมาะสมของรูปแบบการบันทึกข้อมูล (= 4.67, S.D. = 0.58) ความเหมาะสมของการออกแบบสารสนเทศ (= 4.33, S.D. = 1.15) ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การควบคุมความถูกต้องของข้อมูลในระดับการบันทึกข้อมูลดิบ ( = 4.00, S.D. = 0.00)

1.2 ด้านการวิเคราะห์และออกแบบฐานข้อมูลโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.87, S.D. = 0.32) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ความเหมาะสมในการเลือกใช้แบบจำลองฐานข้อมูล (= 5.00, S.D. = 0.00) ความถูกต้องในการสร้างแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (ER Diagram) (= 5.00, S.D. = 0.00) ความถูกต้องในการวิเคราะห์ คีย์หลักและคีย์รอง (= 5.00, S.D. = 0.00) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ความเหมาะสมของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแฟ้มข้อมูล (= 4.67, S.D. = 0.58)  และความถูกต้องของการลดปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Normalization) (= 4.67, S.D. = 0.58)

1.3 ด้านการใช้งานแอพพลิเคชั่น โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.57, S.D. = 0.28) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า สีพื้นหลังมีความเหมาะสมกับหน้าจอ (= 5.00, S.D. = 0.00) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ รูปแบบตัวอักษรง่ายต่อการอ่าน (= 4.67, S.D. = 0.58) ขนาดตัวอักษรมีความเหมาะสมกับหน้าจอ (= 4.67, S.D. = 0.58) สีของตัวอักษรเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม (= 4.67, S.D. = 0.58) แอพพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลในขั้นการออกแบบ (= 4.67, S.D. = 0.58) ความเหมาะสมของส่วนต่อประสานระหว่างแอพพลิเคชั่นกับผู้ใช้ระบบ (= 4.33, S.D. = 0.58) ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ความเหมาะสมในการจัดวางองค์ประกอบภายในหน้าจอ (= 4.00, S.D. = 0.00)

2. ผลการศึกษาระดับประสิทธิผล จากบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพัสดุ ที่มีต่อระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เมื่อพิจารณา   เป็นส่วน ๆ จะปรากฏผลดังนี้

2.1 ประสิทธิผล ด้านความต้องการของผู้ใช้ระบบ (Functional Requirement Test) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.69, S.D. = 0.04) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ความเหมาะสมในการปรับสถานะการตรวจสอบครุภัณฑ์ (= 4.83, S.D. = 0.38) มีประสิทธิผลอยู่ระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ความเหมาะสมของการทำรายการเพิ่มข้อมูลครุภัณฑ์ ( = 4.77, S.D. = 0.42) ความเหมาะสมในการค้นหาข้อมูลครุภัณฑ์ ( = 4.77, S.D. = 0.42) ความเหมาะสมในการลบข้อมูลครุภัณฑ์ ( = 4.71, S.D. = 0.46) ความเหมาะสมของการทำรายการแก้ไขข้อมูลครุภัณฑ์ ( = 4.69, S.D. = 0.47) ความเหมาะสมของการแสดงข้อมูลครุภัณฑ์  ( = 4.63, S.D. = 0.49) ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ผลลัพธ์สามารถนำไปใช้ในระบบงานอื่น ๆ ได้  ( = 4.44, S.D. = 0.50)

2.2 ประสิทธิผล ด้านการทำงานได้ตามฟังก์ชั่นงานของระบบ (Functional Test) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.66, S.D. = 0.06) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ความถูกต้องในการเพิ่มข้อมูลครุภัณฑ์ (= 4.88, S.D. = 0.33) มีประสิทธิผลอยู่ระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ความถูกต้องในการค้นหาข้อมูลครุภัณฑ์ ( = 4.79, S.D. = 0.41) ความถูกต้องในการแก้ไขข้อมูลครุภัณฑ์ภายในระบบ  ( = 4.71, S.D. = 0.46) ความถูกต้องในการจัดเก็บข้อมูลลงฐานข้อมูล ( = 4.69, S.D. = 0.47) ความถูกต้องในการลบข้อมูลครุภัณฑ์ภายในระบบ ( = 4.54, S.D. = 0.50) ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ความรวดเร็วในการประมวลผลของระบบ ( = 4.52, S.D. = 0.50) และความน่าเชื่อถือได้ของระบบ (= 4.52, S.D. = 0.50)

2.3 ประสิทธิผล ด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบ (Usability Test) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.54, S.D. = 0.09) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่าความเหมาะสมของโปรแกรมโดยภาพรวม (= 4.83, S.D. = 0.38) มีประสิทธิผล  อยู่ระดับมากที่สุด รองลงมาคือ การใช้ถ้อยคำบนจอภาพสามารถสื่อสารเข้าใจง่าย ( = 4.69, S.D. = 0.47) ความง่ายต่อการใช้งานระบบ ( = 4.63, S.D. = 0.61) ความเหมาะสมของตำแหน่งช่องกรอกข้อมูล ( = 4.54, S.D. = 0.62) ความเหมาะสมของปริมาณข้อมูลที่นำเสนอในแต่ละหน้าจอ ( = 4.54, S.D. = 0.62) ความเป็นมาตรฐานเดียวกันเดียวกันในการออกแบบหน้าจอภาพ ( = 4.48, S.D. = 0.62) ความเหมาะสมในการใช้สีของตัวอักษรบนจอภาพ ( = 4.35, S.D. = 0.48)  ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ความเหมาะสมในการเลือกใช้ชนิด และขนาดตัวอักษรบนจอภาพ ( = 4.29, S.D. = 0.58)

2.4 ประสิทธิผล ด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ (Security Test) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.78, S.D. = 0.03) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่าความเหมาะสมของระบบรักษาความปลอดภัย (= 4.83, S.D. = 0.38) มีประสิทธิผลอยู่ระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ความเหมาะสมของการกำหนดกลุ่มผู้ใช้ระบบ ( = 4.77, S.D. = 0.42) ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ความเหมาะสมการกำหนดรหัสผู้ใช้งานและรหัสผ่านในการตรวจสอบผู้เข้าใช้งานระบบ(= 4.75, S.D. = 0.44)

อภิปรายผลการวิจัย

จากการศึกษางานวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ตของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น

  1. ประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สรุปได้ว่า มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ เนื่องมาจากกระบวนการที่นำมาพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ บนระบบเครือข่ายอินทราเน็ต ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผ่านขั้นตอนการดำเนินการหลายขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่การรวบรวมความต้องการและศึกษาความเป็นไปได้ ศึกษาปัญหาของระบบ เสนอแนวทางและประเมินแนวทางการแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความเหมาะสมด้านเทคโนโลยี ความเหมาะสมทางด้านปฏิบัติการ ความเหมาะสมด้านการลงทุน จากนั้นจึงเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด การวิเคราะห์ระบบงานเดิม การวิเคราะห์ระบบงานใหม่ ศึกษาความเหมาะสมด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบ ศึกษาความเหมาะสมด้านการวิเคราะห์และออกแบบฐานข้อมูล ศึกษาความเหมาะสมด้านการใช้งานแอพพลิเคชั่น ขั้นตอนการออกแบบระบบฐานข้อมูล พัฒนาระบบให้มีความเหมาะสมกับความต้องการใช้งาน และประเมินประสิทธิภาพของระบบโดยผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นจึงนำไปทดลองบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุประจำปี ซึ่งผลการวิจัยมีความสอดคล้องกับงานวิจัยหลายท่าน เช่น ตะวัน  จันทร์เจริญ พลวัฒน์  วุฒิไกรมงคล (2550, น.64) อัจฉรา  ศิลปะอนันต์ (2546, น.65) อำนาจวิทย์  หมู่ศิลป์ (2555, น.50) มีการศึกษาระบบงานเดิม ความต้องการของผู้ใช้งาน ศึกษาเอกสารรายงานที่เกี่ยวข้อง และนำผลมาประกอบการวิเคราะห์ระบบใหม่ โดยใช้แผนผังการไหลของข้อมูล (Data Flow Diagram) เป็นเครื่องมือในการออกแบบระบบงาน       สร้างแผนผังความสัมพันธ์ระหว่างเอ็นทิตี้ (ER-Diagram) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตาราง ใช้ภาษา PHP ในการพัฒนาระบบ โดยเชื่อมต่อฐานข้อมูล MySQL ปรากฏว่าสามารถช่วยลดเวลา ลดขั้นตอน และเอกสาร ได้มีประสิทธิภาพที่ดี

  นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ธนวัฒน์  จงอุษากุล (2553, น.90) ได้ทำวิจัยเรื่อง ระบบสารสนเทศการบริหารจัดการฐานข้อมูลครุภัณฑ์หน่วยสนับสนุนการใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ฝ่ายการศึกษา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โดยทำการพัฒนาระบบตามกระบวนการพัฒนาระบบ SDLC (System Development Life Cycle)        6 ขั้นตอน ศึกษาระบบฐานข้อมูล (Database System) กิตติศักดิ์  ศรีบุตตะ หทัยรัตน์  พงษ์ศิริศักดิ์ (2551, น.93-94) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ กรณีศึกษา บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด มีการศึกษาระบบงานเดิม รวบรวมความต้องการของผู้ใช้งาน ออกแบบระบบงานใหม่โดยใช้แผนผังการไหลของข้อมูล (Data Flow Diagram) เป็นเครื่องมือในการออกแบบระบบงาน สร้างแผนผังความสัมพันธ์ระหว่างเอ็นทิตี้ (ER-Diagram) และใช้ภาษา PHP ในการพัฒนาระบบ โดยเชื่อมต่อฐานข้อมูล MySQL ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดี

  2. ประสิทธิผล จากบุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุ  ที่มีต่อการใช้ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีประสิทธิผลอยู่ในระดับมากที่สุด แสดงว่าผู้ที่ได้ทำการทดลองใช้งานเห็นว่าระบบสามารถทำงานได้ตรงตามความต้องการใช้งาน และนำไปใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานได้  ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิกานต์  ประถมบูรณ์ (2549, น.89-90) ระบบสารสนเทศที่พัฒนาได้ตรงความต้องการใช้งาน สามารถทำงานร่วมกันผ่านระบบได้ทันที จะมีประสิทธิผลอยู่ในระดับดีมาก

  ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ให้มีความน่าสนใจในด้าน ต่าง ๆ ดังนี้

  2.1 บุคลากรสำนักคอมพิวเตอร์ และเจ้าหน้าที่สำรวจพัสดุประจำปี ที่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบสำรวจครุภัณฑ์ สามารถใช้ระบบดังกล่าวในการสำรวจหรือค้นหาครุภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบสามารถทำงานบนระบบอินทราเน็ต ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (PC) คอมพิวเตอร์ชนิดพกพา (Note Book) หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Device) ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายจะสามารถใช้งานระบบดังกล่าวได้ตามสิทธิการเข้าถึงระบบ และสามารถทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูล ได้แก่ สถานะครุภัณฑ์ สถานที่จัดเก็บ การเบิก-ยืม เป็นต้น ให้ข้อมูลมีความถูกต้องให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

  2.2 ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาถูกออกแบบการใช้งานให้สามารถรองรับการทำงานแบบร่วมกัน (Multi User) ในการปรับปรุงข้อมูลครุภัณฑ์ การตรวจสอบ และค้นหาข้อมูลครุภัณฑ์ ได้เป็นอย่างดี

  2.3 ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สามารถนำข้อมูลจากระบบมาจัดทำรายงานสำหรับผู้บริหาร ได้แก่ รายงานครุภัณฑ์คงคลัง จำแนกตามรายละเอียดครุภัณฑ์ จำแนกตามกลุ่มครุภัณฑ์ จำแนกตามประเภทครุภัณฑ์ สถานะการใช้งาน เป็นต้น สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจได้

ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิบัติ

1. การบันทึกข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นกระบวนการทำงานใหม่ที่แทนที่จากการเก็บเอกสารเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้ปฏิบัติงานบางคนต้องใช้เวลาในการพิมพ์ และยังไม่เข้าใจในขั้นตอนการทำงาน เห็นควรให้มีการจัดฝึกอบรมและ       ทำความเข้าใจในส่วนคู่มือการใช้งานประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานมากยิ่งขึ้น

2. ระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ ของสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ควรคำนึงถึงระบบสำรองข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และเป็นการป้องกันการสูญหายของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

  3. หลังจากระบบมีการใช้งานไประยะหนึ่ง ผู้ดูแลระบบควรมีการสำรวจปัญหา หรือความต้องการใช้งานที่เพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการปรับปรุงระบบ หรือการวางแผนการบำรุงรักษาระบบต่อไปในอนาคต

ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป

1. ควรมีการใช้โปรแกรมที่ช่วยในการออกรายงานที่มีการจัดเรียงข้อมูลที่มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น และสามารถรายงานได้ในรูปแบบกราฟต่าง ๆ

2. ควรมีฟังก์ชั่นการทำงานเพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหา หรือตรวจสอบครุภัณฑ์ที่มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ เช่น เครื่องอ่านบาร์โค๊ต แบบสองมิติ สามมิติ หรือเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (Radio Frequency identification)


บรรณานุกรม

กิตติศักดิ์  ศรีบุตตะ หทัยรัตน์  พงษ์ศิริศักดิ์. (2551).*การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ กรณีศึกษา บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด. สาขาวิชาเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและสารสนเทศ มหาวิทยาลัยนเรศวร.

ตะวัน  จันทร์เจริญ พลวัฒน์  วุฒิไกร. (2550). การพัฒนาระบบบริหารจัดการครุภัณฑ์ผ่านระบบอินทราเน็ตแบบบริการผ่านเว็บ กรณีศึกษาโรงพยาบาลสุขุมวิท. การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและสารสนเทศ มหาวิทยาลัยนเรศวร.

ธนวัฒน์  จงอุษากุล. (2553).*ระบบสารสนเทศการบริหารจัดการฐานข้อมูลครุภัณฑ์หน่วยสนับสนุนการใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ฝ่ายการศึกษา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล. สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยี สารสนเทศบัณฑิตวิทยาลัย : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2543). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ยุทธ ไกยวรรณ์ และกุสุมา ผลาพร่ม. (2553). พื้นฐานการวิจัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพฯ.

ศิกานต์  ประถมบูรณ์. (2549). ระบบสารสนเทศเพื่องานครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ กรณีศึกษา สำนักงานศาลปกครอง.โครงงานวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.

สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. (2558). นโยบายการบริหาร และพัฒนามหาวิทยาลัย.       ค้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558. จาก http://www.bsru.in.th/other/historymanagement.html

อัจฉรา**ศิลปอนันต์. (2546).*การพัฒนาระบบงานวัสดุ ครุภัณฑ์ บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต. สารนิพนธ์วิทยาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยี สารสนเทศบัณฑิตวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

อำนาจวิทย์  หมู่ศิลป์. (2555). การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ด้วย Quick Response Code กรณีศึกษาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน. ปัญหาพิเศษวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมาย ทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมาย ทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

The Development Of Computer Assisted Instruction Law And Ethics Of Computer Undergraduate Faculty Of Education Degree At Bansomdejchaopraya Rajabhat University

ณัฐกฤตา แก้วคำ

สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรีสาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความ พึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จานวน 30 คน ซึ่งคัดเลือกมาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที

ผลการวิจัยพบว่า

1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา มีค่าเท่ากับ 82.10/90.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กาหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก

คำสำคัญ:บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน, ประสิทธิภาพ, ผลสัมฤทธิ์, ความพึงพอใจ

Abstract

The purposes of this research were 1) to develop and study the efficiency of computer-assisted instruction on “Computer Ethics and Laws at Higher Education Institutes in Computer Education Program of Faculty of Education, Bansomdejchaopraya Rajabhat University” 2) to compare students’ learning achievement between before and after using the developed CAI and 3) to study the students’satisfaction towards learning through the developed CAI. The sample included 30 students obtained through sample random sampling. The research instruments were 1) CAI 2) achievement test 3) quality assessment of the CAI and 4) questionnaire. Data was statistically analyzed in mean, standard deviation, and t-test.

The findings revealed as follows.

1. The efficiency of the developed CAI measured 82.10/90.33, which was higher than the 80/80 specified criteria.
2. The students’ learning achievement after using the developed CAI was higher at significance level .05.
3. The students’ satisfaction towards learning through the developed CAI was generally found at the high level.

Keyword: CAI, Efficiency, Achievement, Satisfaction


1. บทนำ

   การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กาหนดแนวทางการจัดการศึกษาของชาติ ในมาตรา 22 คือ ให้ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ซึ่งถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญในการเรียนรู้กระบวนการจัดการศึกษาจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และในมาตรา 24 กาหนดให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ จะต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็นและทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ,2542,น.9) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในลักษณะดังกล่าว จะให้เกิดประสิทธิภาพได้จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology : ICT) และเทคโนโลยีทางการศึกษามาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนในการจัดการศึกษา

   การเรียนการสอนในปัจจุบัน ได้มีการนาเอาเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการสนับสนุนทางการศึกษา และมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น การนาเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการศึกษาและนามาปรับใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนนั้น ทาให้เกิดสื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่งขึ้นซึ่งเรียกว่า (Computer Assisted Instruction หรือ CAI) ซึ่งเป็นวิธีการเรียนการสอนแบบการจัดโปรแกรม โดยการ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อการในการช่วยเชื่อมโยงเนื้อหาและความรู้ไปสู่ผู้เรียน (วุฒิชัย ประสารสอย ,2543, น .10) การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการนาเสนอเนื้อหา เรื่องราวเพื่อสอนหรือทบทวน การทาแบบฝึกหัด เกมการศึกษา สถานการณ์จาลอง การสาธิต และการทดสอบวัดผล เป็นต้น ซึ่งการเรียนนั้นจะมีการโต้ตอบกันตลอดเวลา ระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง สามารถที่จะแสดงผลลัพธ์ให้กับผู้เรียนได้รับทราบ ทาให้ผู้เรียนรู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ อยากรู้ อันจะส่งผลให้การเรียนรู้เป็นไปด้วยความสนุกสนาน (ยืน ภู่สุวรรณ,2531,น.7)

   ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันนี้วิทยาการทางด้านคอมพิวเตอร์ มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และก้าวทันเทคโนโลยีในด้านนี้ จึงถือว่ามีความจาเป็นอย่างมาก ซึ่งสังเกตได้จากการจัดการศึกษาระบบเปิด การเรียนการสอนเป็นรายบุคคลที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น และได้เริ่มเข้ามาทดแทนการเรียนการสอนในรูปแบบเดิม ภายใต้การควบคุมคุณภาพทางวิชาการอย่างเป็นระบบทุกขั้นตอน ด้วยการนาเทคโนโลยีที่นาสมัยต่างๆ เข้ามาปรับใช้ เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสาร และเทคโนโลยีด้านการจัดการ ซึ่งจะถูกนามาประยุกต์ใช้การจัดการศึกษามากขึ้น (มนต์ชัย เทียนทอง,2545,น.3)

   รายวิชา จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา (Law and Ethics of Compute) เป็ นวิชาที่มีความสา คัญอย่างหนึ่ง เนื่องจาก ความเข้าใจ เป็ นวิชาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรี ยนมีความรู้เกี่ยวกับแนวคิด ความสาคัญทางกฎหมาย จริยธรรม และศีลธรรมในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และการนาความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องตามหลักวิชาชีพเนื่องจากเนื้อหาของรายวิชา จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษานั้น เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับสาคัญๆ ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการออกกฎหมายฉบับปรับปรุงต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกัน

   จากเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจไม่เบื่อหน่ายในการเรียน สามารถทบทวนและทาความเข้าใจในบทเรียนด้วยตนเองได้ทุกเวลา และเป็นสื่อที่สามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้ ทาให้ผู้เรียนได้รับแรงเสริมและมีความสนใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น

 

2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย

2.1 เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

2.3 เพื่อหาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

3. วิธีการดำเนินงาน

การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา (Law and Ethics of Computer) รหัสวิชา 1011207 จานวน 151 คน

กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา (Law and Ethics of Computer) รหัสวิชา 1011207 จานวน 30 คนซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling)

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรม และกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

3. แบบประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยใช้แบบ

ประเมินมาตราส่วนแบบประมาณค่าตามวิธีการประมาณค่าของ Likert ซึ่งแบ่งเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert) บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2531, น.43-98)

4. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาโดยใช้แบบประเมินมาตราส่วนแบบประมาณค่าตามวิธีการประมาณค่าของ Likert ซึ่งแบ่งเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert) และมีการวิเคราะห์ของค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์การประเมินที่ได้จากแบบสอบถามความ พึงพอใจของผู้เรียน ตามแบบของบุญชม ศรีสะอาด(2535,น.162)

การเก็บรวบรวมข้อมูล

1. กาหนดแบบแผนของการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One-Group Pretest-Posttest Design (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545,น.315)

2. ดำเนินการทดลองใน เดือนเมษายน 2558 โดยมีขั้นตอน ดังนี้

1) แจ้งกลุ่มตัวอย่างจานวน 30 คน ทราบล่วงหน้าก่อนการทดลอง
2) จัดเตรียมห้องทดลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ 30 เครื่อง
3) ผู้วิจัยแนะนาการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และวิธีการเริ่มเรียนบทเรียน วิธีการเรียน การควบคุมบทเรียนลักษณะของ การปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน การนาเข้าสู่เนื้อหาย่อย วิธีการทาแบบทดสอบ และการคิดคะแนน
4) เริ่มการทดลองเครื่องมือกับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนจากนั้นเริ่มเรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จนจบบทเรียนและให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบระหว่างเรียน จนครบทั้ง 3 บท ต่อจากนั้นผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน หลังจากนั้นเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
5) ผู้วิจัยแจกแบบสอบถามความ พึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา
6) ผู้วิจัยนาคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบระหว่างเรียนท้ายบททุกหน่วยการเรียนรู้และแบบทดสอบหลังเรียนมาวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาโดยใช้สูตร E1/E2
7) ผู้วิจัยนาคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) และคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) มาวิเคราะห์ หาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร T-test
8) ผู้วิจัยนาแบบสอบถามความ พึงพอใจของผู้เรียน มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)

 

4. สรุปผลการวิจัย

1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาได้คะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน 82.10/90.33 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กาหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ ในสถานศึกษา ที่สร้างขึ้นให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น คะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนจากการทาแบบทดสอบหลังเรียน มีค่าเท่ากับ 52.45 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนจากการทาแบบทดสอบก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 27.42 ทาให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของผู้เรียน 30 คน ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาโดยมีค่าเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 4.13 แสดงว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก

 

5. อภิปรายผล

1. ด้านการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนดไว้ กล่าวคือ ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ผู้เรียนได้คะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบระหว่างเรียนมีค่าเท่ากับ 82.10 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนด (E1) และคะแนนเฉลี่ยแบบทดสอบหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 90.33 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนด (E2) เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง จริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา คะแนนแบบทดสอบระหว่างเรียนและหลังเรียนที่ผู้เรียนทาได้มีค่าเท่ากับ 82.10/90.33 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กาหนดไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของไพศาล ภาวสุทธิ (2556,น.80-85) ได้ทาการวิจัย การพัฒนาบทเรียนเว็บบล็อกเรื่อง คอมพิวเตอร์กราฟิก สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนบ้านประตูน้าพระพิมล อาเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนเว็บบล็อก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.98/82.84 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กาหนดไว้

2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้วิธีการทดสอบทางสถิติ t-test ปรากฏว่าค่า t-test ที่ได้จากการคานวณมีค่าเท่ากับ 21.96 มีค่ามากกว่า t-test ที่ได้จากตารางอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าเท่ากับ 1.699 แสดงว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน หลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาจากผลคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนจากการทาแบบทดสอบหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 52.45 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนจากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน มีค่าเท่ากับ 27.42 สอดคล้องกับงานวิจัยของมยุลดา ทาสุรินทร์ (2545) ได้ทาการวิจัย เรื่อง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องศิลปะในการจัดแสงผลการวิจัยพบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สูงกว่ากลุ่มที่เรียนจากวิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

3. การศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.11 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมีค่าเท่ากับ 0.03 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ พนิดา บัวมณี (2549) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ สาหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละอยู่ในระดับดี เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

 

6. ข้อเสนอแนะ

6.1 ข้อเสนอแนะเพื่อการนาผลการวิจัยไปใช้

1.1 ควรมีการใช้ประกอบการเรียนควบคู่ไปกับการสอนของอาจารย์
1.2 การนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา จาเป็นจะต้องมีการอธิบายวิธีการใช้ให้กับผู้เรียนเสียก่อน เพื่อผู้เรียนได้เรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาได้อย่างถูกต้อง
1.3 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องจริยธรรมและกฎหมายทางคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษา สามารถนาไปใช้ในการเรียนซ่อมเสริมของผู้เรียนที่มีผลการเรียนอ่อนในรายวิชานี้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีประสิทธิผลทางการเรียนเพิ่มขึ้น หรือใช้เพื่อเป็นการทบทวนความรู้เดิม นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระการเรียนการสอนซ่อมเสริมของผู้สอนและช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีอิสระ เหมาะสาหรับผู้เรียนที่เรียนไม่ทัน หรือขาดเรียนสามารถเรียนรู้ได้
1.4 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่มีผู้เรียนหลายคน ควรให้ผู้เรียนใช้หูฟังแทนการใช้ลาโพง เพื่อลดปัญหาเรื่องเสียงที่อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนของผู้เรียน อันจะส่งผลให้การเรียนไม่เป็นไปตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง

6.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป

2.1 ควรพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับรายวิชาอื่น เพื่อใช้เป็นสื่อที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น
2.2 ควรมีการสร้างหรือพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีทางเลือกหลายทางเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรูปแบบที่ตัวเองต้องการได้ เช่น รูปแบบมัลติมีเดีย รูปแบบที่เน้นข้อความและรูปภาพประกอบแบบบรรยายสด เกมหรือการ์ตูนบรรยาย เนื่องจากผู้เรียนมีความแตกต่างกัน
2.3 เสียงบรรยายอาจปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่นๆตามความเหมาะสม เช่น อาจเปลี่ยนเสียงบรรยายให้มีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม

 

เอกสารอ้างอิง

กนก จันทร์ทอง) .2544 ,มกราคม– เมษายน.( บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน.วารสารวิทยบริการสานักวิทยบริการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.12(1), 66 -75.

กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ) .2542 .( พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช2542 ( แก้ไขเพิ่ มเติม2545( . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.

กิดานันท์ มลิทอง) .2535 .(เทคโนโลยีการศึกษา ร่วมสมัย .กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

กิติมา ปรีดิลก) .2532) .เอกสารประกอบการสอนการบริหารการนิเทศการศึกษาเบื้องต้น . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร.

กิติมา มลิทอง) .2540 .(เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม .ก รุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

———-) . 2544). สื่อการสอนและฝึกอบรม:จากสื่อพื้นฐานถึงสื่อดิจิทัล .กรุงเทพฯ :อรุณการพิมพ์.

กังวล เทียนกัณฑ์เทศน์) .2540 .(การวัด การวิเคราะห์ การประเมินผลทางการศึกษาเบื้องต้น . กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพฯ.

จิรพรรณ พีรวุฒิ) .2542 .(สื่อการเรียนการสอนทาง พยาบาล .กรุงเทพฯ : โอ เอสพริ้นติ้งเฮ้าส์.

ชัยยงค์ พรหมวงค์) .2545) .สื่อการสอนระดับ ประถมศึกษา เล่มที่ 2 หน่วยที่ 8-15. ) พิมพ์ ครั้งที่ 20). นนทบุรี : สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

ชูศักดิ์ เพรสคอทท์) .2549 .(สื่อสารศึกษาพัฒนสรร . ชุดการสอนคอมพิวเตอร์ หน่วยที่9. สุโขทัยฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

ไชยยศ เรืองสุวรรณ) .2546) .การออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์และบทเรียน บนเครือข่าย .ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสารคาม.

ณัฐกร สงคราม .(2553). การออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ .กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ดวงเดือน สัญญะ. (2555). การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง คอมพิวเตอร์กราฟิกสาหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3สาขาเทคโนโลยีและการ . .สื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร

ตวงรัตน์ ศรีวงษ์คล) .2547(. การประเมินผล : เอกสารการสอนวิชาบูรณาการหลักสูตรและ การใช้สื่อ . กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน .กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ถนอมพร เลาหจรัสแสงและคณะ) .2542). คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. กรุงเทพฯ : ดวงกมล โพรดักชัน .

———-.) 2545). รูปแบบการเรียนสาหรับการเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์กระบวนวิชาภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานในระดับอุดมศึกษา(งานวิจัย ) .เชียงใหม่ : สา นักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ .

———-). 2545). designing e-Learning : หลักการ ออกแบบและการสร้างเว็บเพื่อการเรียนการ สอน. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ทักษิณา สวนานนท์) .2530) .คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา .กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.

นรารัตน์ วรรธนเศรณี) .2550). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สาหรับปรับพื้นฐานความรู้ทางคอมพิวเตอร์ . วิทยานิพนธ์ ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

บุญเกื้อ ควรหาเวช) .2543.(นวัตกรรมการศึกษา. กรุงเทพฯ : หจก . เอส อาร์ พริ้นติ้ง.

บุญชม ศรีสะอาด) .2537 .(การพัฒนาการสอน. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

———-) . 2545 .(การวิจัยเบื้องต้น ) .พิมพ์ครั้งที่7) . กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ ) .2531). ระเบียบวิธีการ วิจัยทางสังคมศาสตร์ . กรุงเทพฯ :สามเจริญพานิช.

บุญใจ ศรีสถิตนรากูร . (2555). การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย : คุณสมบัติการวัดเชิงจิตวิทยา.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ปาณิสรา รจิตรบรรจง).2553). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเสริมแบบจาลองสถานการณ์บนอินเตอร์เน็ตในการปรับพื้นฐาน เรื่อง พื้นฐานวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

พนิดา บัวมณี) .2549). เรื่อง การพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ สาหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 .สารนิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร.

พระพีระวัฒน์ มมเทศา) .2552). การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง อริยสัจ 4 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาตร มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร.

พรเทพ เมืองแมน) .2544.( การออกแบบและพัฒนา CAI multimedia ด้วย Auto ware. กรุงเทพฯ :เอช . เอ็น.กรุรป.

พวงรัตน์ ทวีรัตน์) .2543.( สถิติทางสังคมศาสตร์ . )พิมพ์ครั้งที่4). กรุงเทพฯ : วังใหม่บลูพริ้นต์.

ไพศาล ภาวสุทธิ) .2556) .การพัฒนาบทเรียนเว็บบล็อก เรื่อง คอมพิวเตอร์กราฟิก สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้าน ประตูน้าพระพิมล อาเภอบางเลน จังหวัด นครปฐม .การค้นคว้าอิสระ ปริญญาศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร .

ไพโรจน์ ตีรณธนากุลและไพบูลย์ เกียรติโกมล. (2541,พฤษภาคม). “Creating IMMCAI Package,” วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม. ปีที่ 1.

ภัทรา นิคมานนท์) .2532.( ผลและการสร้างการประเมินแบบทดสอบ .กรุงเทพฯ : ทิพย์วิสุทธิ์.

มนต์ชัย เทียนทอง) .2545 .(การออกแบบและพัฒนาคอร์สแวร์สาหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน .กรุงเทพฯ : ศูนย์ผลิตตาราสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

———-.) 2545(. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนระบบมัลติมีเดีย สาหรับฝึกอบรมครู –อาจารย์ และนักฝึ กอบรมเรื่องการสร้าง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน .วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมดุษฏีีบัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

มยุลดา ทาสุรินทร์) .2545). บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ศิลปะในการจัดแสง . วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหาร ลาดกระบัง .

มีธี มุงคุณ) .2551) .การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร.

ยืน ภู่สุวรรณ) .2531. ( การใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนการสอน : ไมโครคอมพิวเตอร์ (่บับที่ 36 ) .กรุงเทพฯ : ภาควิชาเทคโนโลยี ทางการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ .

ยุวดี มูลประเสริฐ) .2547 .(การสร้างและหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี (เทคโนโลยีสารสนเทศ). กรุงเทพฯ : ม . ป.พ.

ยุภาพร พรมวารี. (2550). การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4คณะศึกษาศาสตร์ . .มหาวิทยาลัยรามคาแหง

———-. ) 2554 .(การออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ) . พิมพ์ครั้งที่3). กรุงเทพฯ :ศูนย์ผลิตตาราสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

รัตนะ บัวสนธ์ .(2544). การวิจัยและพัฒนาการศึกษา . ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

ลดาวัลย์ สวัสดิ์หลง) .2550). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเว็บด้วยการเรียนรู้ แบบโครงงานเพื่อการเรียนรู้เป็นทีมของนักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัย พระจอมเกล้าพระนครเหนือ . วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ .

ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ) .2539.( เทคนิคการวัดผลการเรียนรู้ .กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

วลัยรัตน์ หลาริ้ว และคณะ) .2552 .(การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การคานวณทางไฟฟ้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 . การศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเอง มหาวิทยาลัยณเรศวร.

วารินทร์ รัศมีพรหม .(2542) .การออกแบบและพัฒนาระบบการสอน . ภาควิชาเทคโนโลยี ทางการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ ประสานมิตร.

วาโร เพ็งสวัสดิ์ .(2551). วิธีวิทยาการวิจัย .กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาสน์.

วิทยากร เชียงกูล) .2545 ,กุมภาพันธ์). ปฏิรูปการศึกษา อย่างไร .วารสารมิตรครู, 1(2),16-18.

วีระ ไทยพาณิช ) .ม.ป.ป.(.บทบาทและปัญญาของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน , รวบรวมบทความเทคโนโลยีทางการศึกษา .ศูนย์เทคโนโลยี ทางการศึกษา กรมการศึกษานอกโรงเรียน .

วุฒิชัย ประสารสอย. (2543). บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน : นวัตกรรมเพื่อการศึกษา .กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วน จำกัดวี. เจ.พริ้นติ้ง.

ศิริณา จิตต์จรัส) .2542 .(การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง สัตว์ป่าและการอนุรักษ์สัตว์ป่า รายงานการวิจัย กลุ่มการวิจัยและพัฒนา สานักพัฒนาการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม .เขตการศึกษา1.

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ . พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ .ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (่บับที่ 2 ) พ.ศ.2545        .กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.

สมศักดิ์ คงเที่ยง และอัญชลี โพธิ์ทอง) .2542.( การบริหารบุคคลและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ .กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

อัญญรัตน์ นาเมือง) .2553 ,พฤษภาคม-สิงหาคม ). การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย .วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ,2(2) , 112 –121.

อรนุช ลิมตศิริ) .2546) .นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนการสอน .กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

อรพันธุ์ ประสิทธิรัตน์) .2530 .(คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน . กรุงเทพฯ : คราฟแมนเพรส.

อริสรา ว่องสวัสดิ์ภักดี) .2546.( บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง คอมพิวเตอร์กราฟิกเบื้องต้น . วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตร์ อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต สถาบัน เทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหาร ลาดกระบัง .

อรุณี อ่อนสวัสดิ์) .2551(. ระเบียบวิธีวิจัย ) . พิมพ์ครั้งที่1 .(พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

Anderson, R.C.& Pearson, D.D.)1984(. A Schema-theoretic view of basic

Process in reading comprehension.In David Peason and Other (eds.).Handbook of reading Research. New York : Lonyman.

Applewhite, Phillp B. (1965). Organization Behavior : New York : Prentice – Hall.

Gagne R,H. (1970). The Condition of Learning. Holt, New York : Rinehart and Winston Inc.

Good, Cater. (1973). Dictionary of Education : New York : McGraw-Hall.

Hall,K.A. (1982). Computer-Based Education ,Encyclopedia of Education Research. New York : Harold E.M.

Hannafin, M.J. and Peck, K.L. (1988).The Design Development and Evaluation of Instructional Software. New York : Macmillan.

Herzberg, Federick. (1959). The Motivation to Work. New York : John Wiley and Sons.Inc.

ความเป็นครู

ชื่อผลงานทางวิชาการ : “ความเป็นครู”

ประเภทผลงานทางวิชาการ : ตำรา วิชา ความเป็นครู

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จำกัด เงินทุนโปรแกรมวิชาการบริหารการศึกษา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ / ตำแหน่งทางวิชาการ  : โปรแกรมวิชาการบริหารการศึกษา            รองศาสตราจารย์ ดร. มณี เหมทานนท์ และคณะ

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : เน้นหลักการ แนวคิดของครู ที่มีคุณสมบัติที่มีภาระหนักในการอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ เพื่อสร้างศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพ การจำแนกประเภทของครูตามกฎหมายมีครูอาชีพ อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา และบุคลากรอื่นที่ทำหน้าที่สนับสนุน อาทิเช่น ศึกษานิเทศก์ วิทยากร ครูช่วยสอน และเจ้าหน้าที่อื่นในวงการครู สำหรับครูในอนาคต ได้แก่ ครูโดยวัฒนธรรม ครูโดยอาชีพ ครูโดยธรรมชาติ ครูโดยเทคโนโลยี และครูโดยตนเอง หลักการของครูที่นำไปปฏิบัติ คือ คำว่า “Teacher” คือ T = Teach            E = Example  A = Ability  C = Characteristic  H = Health  E = Enthusiasm R = Responsibility

สรุปสาระสำคัญ : ครูอาชีพตามแนวปฏิรูปการศึกษา มีภาระงานดังนี้

1. เพื่อให้ตนเองมีคำตอบถูกหลายๆ คำตอบ

2. ครูต้องรู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคล

3. วิเคราะห์หลักสูตร

4. เตรียมการสอนก่อนเข้าห้องเรียน

5. จดบันทึกข้อดี ข้อเสีย ของการจัดการเรียนการสอนเป็นบันทึกสั้นๆ

6. ปรับปรุงออกแบบการเรียนการสอน

7. เผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอนของตนเอง

8. ต้องจัดการเรียนการสอนทุกคาบ

นอกจาก 8 ประการนี้ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแด่ครูถือเป็นปฏิบัติอย่างยิ่ง 4 ประการ ได้แก่

1. ครูต้องมีความรักและเมตตา

2. ครูต้องมีความเสียสละและอดทน

3. ครูต้องทำความดีเพื่อความดี

4. ครูต้องถึงพร้อมด้วยความรู้ ความดีและความสามารถ

ลักษณะของวิชาชีพชั้นสูง และยกระดับคุณภาพมาตรฐานวิชาชีพครู ให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 81 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 53 กำหนดให้วิชาชีพครูต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยองค์กรคุรุสภา พร้อมทั้งกำหนดวันสำคัญของครู คือ วันที่ 16 มกราคม ของทุกปี ส่วนสหประชาชาติกำหนดวัน “ครูโลก” วันที่ 5 ตุลาคม ของทุกปี

ระเบียบคุรุสภาว่าด้วย จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติ ประกอบด้วย

จรรยาบรรณ ข้อที่ 1 : ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความไว้วางใจช่วยเหลือส่งเสริมในการให้การศึกษาอย่างเสมอภาคกัน

จรรยาบรรณ ข้อที่ 2 : ครูต้องอบรมสั่งสอน ฝึกฝนสร้างความรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้แก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ

จรรยาบรรณ ข้อที่ 3 : ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา ใจ

จรรยาบรรณ ข้อที่ 4 : ครูต้องไม่กระทำงานเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจอารมณ์และสังคมของมนุษย์

จรรยาบรรณ ข้อที่ 5 : ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากลูกศิษย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและไม่ใช้ศิษย์ กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ

จรรยาบรรณ ข้อที่ 6 : ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจสังคม และการเมืองอยู่เสมอ

จรรยาบรรณ ข้อที่ 7 : ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครูและเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ

จรรยาบรรณ ข้อที่ 8 : ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์

จุดเด่น / ความน่าสนใจและการนำไปใช้ประโยชน์ : หนังสือเรียนเล่มนี้มีจุดเด่น คือ การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครูโดยอาศัยปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาของครูอาจารย์ทุกระดับชั้น จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่ดีงาม

สำหรับการนำเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไปใช้ประโยชน์นั้น สถาบัน องค์กรผลิตครู ควรนำเนื้อหาของความเป็นครูไปสอนนิสิต / นักศึกษา ที่จะออกไปประกอบอาชีพครูมีความมั่นใจในบุคลิกภาพของตนเองเบื้องต้น และพัฒนาปรับปรุงปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ดีให้สังคมยอมรับ นั้นคือ บุคลิกภาพภายในและภายนอก โดยการสร้างศรัทธาในอาชีพครูตามหลักพุทธศาสนา คือ ฉันทะ เมตตาและกัลยาณมิตร เพื่อการพัฒนาจิตสำนึกและวิญญาณครูในขณะเดียวกัน ซึ่งความศรัทธาประกอบด้วย 3 มิติ ได้แก่ ศรัทธาต่อตนเอง ศรัทธาต่อครู และศรัทธาต่อองค์กรวิชาชีพครู

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กำเนิดจากฝึกหัดครู -> วิทยาลัยครู -> สถาบันราชภัฏ  และมหาวิทยาลัยราชภัฏ นั้น ปัจจุบันก็ยังผลิตนิสิตนักศึกษาสายวิชาชีพครู ควรพิจารณาผู้สอนวิชาความเป็นครูให้มีประสบการณ์ทางการเป็นผู้ผลิตครู และเป็นต้นแบบที่ดีทั้งด้านบุคลิกภาพภายในและภายนอก

การภาษีอากร ๒

การภาษีอากร 2 (Taxation 2)

         การภาษีอากร 2 (TAXATION 2) เป็นหนังสือที่เขียนขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาการภาษีอากร 2 และผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเตรียมตัวทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร เนื้อหาในหนังสือ ประกอบด้วย 8 บท แต่ละบทจะกล่าวถึง  เนื้อหา บทสรุป พร้อมทั้งแบบฝึกหัดอย่างครบถ้วน เกี่ยวกับหลักการและโครงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบัญชีภาษีอากร การบัญชีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การบัญชีภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม การบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเน้นเนื้อหาความแตกต่างระหว่างเกณฑ์การรับรู้ รายได้และค่าใช้จ่ายตามหลักการบัญชีและหลักการภาษีอากร เพื่อปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชีให้กำไรสุทธิทางภาษีอากรและคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร   ซึ่งผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ มีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อวิชาชีพบัญชีและด้านภาษีอากร ดังรายละเอียด ดังนี้

บทที่ 1 เป็นเรื่อง หลักการและโครงสร้างของภาษีอากร ประกอบด้วย ความหมายของภาษีอากร วัตถุประสงค์ โครงสร้าง การจำแนกประเภทของภาษีอากร หลักการจัดเก็บภาษีอากรที่ดี  ภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร หน้าที่ของผู้เสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร รวมทั้งผลกระทบของการจัดเก็บภาษีอากร การหลบหนีและการหลบหลีกภาษี หน่วยงานของรัฐทีทำหน้าที่จัดเก็บภาษี เป็นต้น

บทที่ 2 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบัญชีภาษีอากร ประกอบด้วย ความรู้ทั่วไป ความหมายของการบัญชีและการบัญชีการเงินและการบัญชีภาษีอากร การจัดทำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี การจัดทำบัญชีตามประมวลรัษฎากรและตามกฎหมายอื่น เป็นต้น

บทที่ 3 การบัญชีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย  ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ หน้าที่ ประเภท การคำนวณภาษี ณ ที่จ่าย การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและการจัดทำบัญชีพิเศษ เป็นต้น

บทที่ 4 การบัญชีภาษีธุรกิจเฉพาะ ประกอบด้วย ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ กิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ฐานภาษี การคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมทั้งหน้าที่ของผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ และการขอคืนภาษี การบันทึกรายการ  เป็นต้น

บทที่ 5 ภาษีมูลค่าเพิ่ม  ประกอบด้วย ความหมาย กิจการที่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องเสียภาษี ความรับผิดชอบในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี  รายการที่ต้องมีในใบกำกับภาษี  การจัดทำใบกำกับภาษี รวมทั้งภาษาซื้อต้องห้าม เป็นต้น

บทที่ 6 การบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม ประกอบด้วย ฐานภาษี อัตราภาษี การคำนวณ การบันทึกรายการที่เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม การจัดทำรายการ แบบแสดงรายการ ระยะเวลาที่ต้องจัดเก็บรายงาน รวมทั้งตัวอย่างการบันทึกบัญชี เป็นต้น

บทที่ 7 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ประกอบด้วย ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ฐานภาษี อัตราภาษี รอบระยะเวลาบัญชีของนิติบุคคล การคำนวณภาษีเงินได้ฯ การคำนวณกำไรสุทธิฯ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการจำหน่ายหนี้สูญ และการคำนวณรายจ่ายอื่นๆ เป็นต้น

บทที่ 8 การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล  ประกอบด้วย ฐานกำไรสุทธิครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีฯ การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี สถานที่ยื่นแบบฯ การปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชีฯ หลักเกณฑ์การตีราคาทรัพย์สินและหนี้สิน เงื่อนไขรายได้และรายจ่าย รวมทั้งตัวอย่างการปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชีฯ เป็นต้น


ผู้แต่ง

  อาจารย์วรางคนางค์ สกุลวงศ์ ลี หยาน อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พิมพ์ครั้งที่ 1 (สิงหาคม 2558) พิมพ์ครั้งที่ 2 (ปรับปรุง กรกฎาคม 2559)   มี 254 หน้า  ราคาเล่มละ 250 บาท    

  สำนักพิมพ์   PROTEXTS.COM   บริษัท แดเน็กซ์   อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น จำกัด

  ISBN : 978-616-413-899-5   สนใจติดต่อ โทร.084-8603919    02-4737000 ต่อ 4107

ปัจจุบัน

อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การศึกษา

บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การบัญชี) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

บัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

Certificate of English, Proficiency in English Language (PEL). Mauritius.

Certificate of French, Basic in French Language, Mauritius.

ประสบการณ์

อาจารย์ประจำคณะการบัญชี สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน

Management Accountant, Mauritours, Mauritius


การบริหารเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital Management)

       บทความทางวิชาการ เรื่อง  การบริหารเงินทุนหมุนเวียน ของรองศาสตราจารย์ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา นี้ เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่น  ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของธุรกิจที่ผู้บริหารจะละเลยไม่ได้ หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพิจารณาสภาพคล่อง ระดับของความเสี่ยงและกำไรในระดับที่ยอมรับได้ กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม  โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง  กำไรสูง  แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง  ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ ซึ่งหลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งด้านส่วนประกอบและปริมาณที่เหมาะสม โดยพิจารณาระดับของความเสี่ยง (risk) และผลตอบแทนหรือกำไร(profit) ในระดับที่เหมาะสม กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม  โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง  กำไรสูง  แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง  ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นการบริหารให้มีประสิทธิภาพในประเภทและขนาดที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพราะหากมีมากเกินไปก็จะทำให้กิจการสูญเสียกำไรจากการลงทุน   ในขณะเดียวกัน หากธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยเกินไป ก็จะทำให้ธุรกิจมีปัญหาด้านการดำเนินงาน  ดังนั้น การบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไร และสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไร และสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้   ในขณะที่การบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ 3 ลักษณะ คือเงินทุนหมุนเวียนเป็นศูนย์ (zero position)  เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position)  และเงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position)  เเต่ละลักษณะจะมีผลต่อสภาพคล่องสูง   ความเสี่ยงต่ำ และความสามารถในการทำกำไร ที่แตกต่างกัน ในขณะที่ธุรกิจแต่ละประเภท จะมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และส่วนประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนแตกต่างขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยง   ประเภทของธุรกิจขนาดและปริมาณขายของนโยบายของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภาวการณ์แข่งขันทางการตลาดและ สภาวะแวดล้อม การจัดการและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของกิจการจะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินของผู้บริหารแต่ละคน โดยผู้บริหารที่ระมัดระวัง (Conservative) ผู้บริหารที่กล้าเสี่ยง (Aggressive)และผู้บริหารที่ยึดสายกลาง (average)ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยงจะทีผลทำให้กิจการแต่ละแห่งมีการจัดการหรือการบริหารเงินทุนที่แตกต่างกันออกไป   นอกจากนี้กิจการควรมีการวิเคราะห์ระดับเงินทุนหมุนเวียนเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่ามีกำไร จากการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ ดังรายละเอียดของบทความที่ปรากฏ


รศ.ปรียานุช  กิจรุ่งโรจน์เจริญ*

บทนำ

       การที่ธุรกิจจะสามารถดำเนินงานและอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบันนั้น  จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ  เนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนของกิจการเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องจักรที่จะช่วยให้ธุรกิจดําเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสําหรับการใช้จ่ายในแต่ละวัน และสามารถชําระหนี้ได้เมื่อถึงกําหนด  ผู้บริหารการเงินต้องให้ความสนใจและควบคุมและติดตามการบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง    เนี่องจากการจัดการหรือการบริหารเงินทุนหมุนเวียน  จะมีผลต่อสภาพคล่อง ความเสี่ยงและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ

       เงินทุนหมุนเวียน (Working capital) หมายถึง เงินทุนที่ธุรกิจจัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมดหักด้วยหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด หรือเรียกว่าเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ  (Net working capital)    ซึ่งผู้เขียนขออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกับ สินทรัพย์หมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียนดังนี้

       สินทรัพย์หมุนเวียน (Current assets) หมายถึง สินทรัพย์ที่ธุรกิจสามารถเปลี่ยนให้เป็นเงินสดได้ภายในรอบระยะเวลาการดำเนินงานปกติหรือภายในระยะเวลา 1 ปี ได้แก่ เงินสด เงินฝากธนาคาร หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ตั๋วเงินรับ หรือที่นักบัญชีเรียกว่าสินทรัพย์สภาพคล่อง

       หนี้สินหมุนเวียน (Current liability)  หมายถึง หนี้สินที่มีระยะเวลาการชําระคืนภายใน 1 ปี ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีธนาคาร   เงินกู้ยืมระยะสั้น   เจ้าหนี้การค้า  ตั๋วเงินจ่าย   ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายและรายได้รับล่วงหน้า

       การที่สินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนเป็นสินทรัพย์ที่มีความคล่องตัวสูง มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทําให้ผู้บริหารจำเป็นต้องใส่ใจและดูแลอย่างใกล้ชิด หากเพิกเฉยหรือละเลยอาจส่งผลกระทบถึงสภาพคล่องของกิจการ และกำไรจนอาจทําให้ธุรกิจล้มละลายได้การบริหารเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital Management) จึงเป็น การบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยทั่วไปกิจการจะมีสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนไม่น้อย กว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ทั้งหมด  นอกจากนี้ยังพบว่า  การขยายตัวและการเจริญเติบโตของธุรกิจ  ทำให้ความต้องการในจำนวนเงินลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น

       หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งด้านส่วนประกอบและปริมาณที่เหมาะสม โดยพิจารณาระดับของความเสี่ยง (risk) และผลตอบแทนหรือกำไร(Profit) ในระดับที่เหมาะสม กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม  โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง  กำไรสูง  แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง  ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นการบริหารให้มีประสิทธิภาพในประเภทและขนาดที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพราะหากมีมากเกินไปก็จะทำให้กิจการสูญเสียกำไรจากการลงทุน เช่น การถือเงินสดมากเกินความจำเป็นจะทำให้ธุรกิจเสียโอกาสในการลงทุนที่ให้กำไรสูงกว่า   หรือการมีลูกหนี้ที่เก็บไม่ได้จำนวนมาก  ก็จะทำให้เกิดเงินทุนจมในตัวลูกหนี้และความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้สูญมากขึ้น เกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บหนี้มากขึ้น  และหากกิจการมีสินค้าคงเหลือมาก  ก็จะทำให้เกิดเงินทุนจมในสินค้า สินค้าอาจเสื่อมสภาพหรือล้าสมัยจนไม่สามารถขายได้ และเกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้ามากขึ้นในขณะเดียวกัน หากธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยเกินไป ก็จะทำให้ธุรกิจมีปัญหาด้านการดำเนินงาน เช่น การถือเงินสดน้อยเกินไป ก็จะมีผลทำให้การดำเนินงานติดขัดไม่ราบรื่น เพราะมีเงินสดไม่เพียงพอในการจ่ายชำระหนี้  ไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหรือหากกิจการเก็บหนี้ให้เร็วขึ้นด้วยการเร่งรัดชำระหนี้ อาจมีผลทำให้ทำให้ยอดขายลดลง เพราะลูกค้าเปลี่ยนการตัดสินใจไปซื้อสินค้าจากรายอื่นที่ให้เครดิตนานกว่า  และหากมีสินค้าคงเหลือน้อยเกินไปอาจทำให้สินค้าขาดมือจนทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลง

       ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไรและสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้  และโดยทั่วไปพบว่า ปัญหาในเรื่องของการขาดเงินทุนหมุนเวียน หรือสภาพคล่องของธุรกิจ เกิดขึ้นจากสาเหตุหลายประการ เช่น การไม่สามารถเก็บหนี้จากลูกหนี้ได้ตามกำหนดเวลา สินค้าจำหน่ายไม่ได้ ทำให้เงินจมในสินค้า ผลกระทบตามมาก็คือกิจการขาดเงินทุนหมุนเวียนที่จะชำระหนี้สินและใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งธุรกิจอาจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการหาแหล่งเงินจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาจ่ายชำระหนี้ให้ทันกำหนด เช่น การหาแหล่งเงินทุนระยะสั้น เช่น การกู้ยืมเงินจากธนาคาร วิธีการดังกล่าวสามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดก็จริง  แต่จะไม่สามารถทำให้สภาพคล่องของกิจการดีขึ้นแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันจะทำให้กิจการมีปัญหาสภาพคล่องมากขึ้นกว่าเดิม  ทั้งนี้เพราะการหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาชำระหนี้นั้น จะมีผลทำให้อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน(Current Ratio)เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลดลง ดังตัวอย่างบริษัท ก.

       จากข้างต้น  หากกิจการมีหนี้สินระยะสั้นที่ถึงกำหนดชำระ (เจ้าหนี้การค้า) 200 บาท และกิจการจัดหาเงินทุนจากการก่อหนี้ระยะสั้นจำนวน 400 บาท เพื่อนำไปชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าเดิม จะมีผลทำให้งบดุล และ Current ratio ปรากฏดังนี้

       แต่ถ้ากิจการสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน (เงินสด) ด้วยวิธีการเร่งรัดชำระหนี้ และนำเงินที่ได้ไปจ่ายชำระหนี้แทน จะมีผลทำให้งบดุลและ Current ratio ปรากฏดังนี้

       จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การก่อหนี้ใหม่เพื่อนำไปจ่ายชำระหนี้เดิมนั้น จะมีผลทำให้สภาพคล่องของกิจการลดลง วิธีที่จะทำให้อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนดีขึ้นก็คือ พยายามเปลี่ยนสภาพสินทรัพย์หมุนเวียนคือลูกหนี้การค้าด้วยการเร่งรัดชำระหนี้ และพยายามขายสินค้าที่มีอยู่ให้เร็วขึ้น ก็จะทำให้กิจการได้เงินสด และนำไปจ่ายชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้การค้าให้ทันตามกำหนดเวลา  เช่นนี้จึงจะทำให้กิจการมีสภาพคล่องที่แท้จริง ซึ่งแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่สำคัญที่ผู้บริหารของธุรกิจมักจะไม่ได้พิจารณาก็คือ เครดิตการค้า ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินทุนอัตโนมัติที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย เพราะเป็นแหล่งเงินทุนที่เกิดจากธรรมเนียมปกติทางการค้า  เครดิตการค้า จึงเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้นที่สามารถลดภาระในการจัดหาแหล่งเงินทุนของธุรกิจได้อย่างมาก นอกจากนี้หากผู้ขายสามารถเร่งรัดชำระหนี้และเก็บหนี้ได้ทันกับระยะเวลาที่ถึงกำหนดการชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่ตกลงกันไว้  ก็จะทำให้กิจการมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

       จะเห็นได้ว่า การบริหารเงินทุนหมุนเวียน ก็คือการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน ให้เกิดความสมดุลกันระหว่าง สภาพคล่อง ความสามารถในการทำกำไร และความเสี่ยงซึ่งจากการบริหารดังกล่าว สามารถจำแนกการบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ 3 ลักษณะ ดังนี้

       1. เงินทุนหมุนเวียนเป็นศูนย์ (zero position) เป็นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่สินทรัพย์หมุนเวียนเท่ากับหนี้สินหมุนเวียน  ผลคือ จะทำให้กิจการมีสภาพคล่อง กำไรและความเสี่ยงในระดับปานกลาง

เงินทุนหมุนเวียน(สุทธิ) =   สินทรัพย์หมุนเวียนหนี้สินหมุนเวียน  = 

       2. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position) เป็นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน มีผลทำให้กิจการมีสภาพคล่องสูง   ความเสี่ยงต่ำ และความสามารถในการทำกำไรลดลง

เงินทุนหมุนเวียน(สุทธิ) =   สินทรัพย์หมุนเวียนหนี้สินหมุนเวียน  =  +(บวก)

       3. เงินทุนหมุนเวียนเป็นลบ(negative position)เป็นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียน  มีผลทำให้กิจการมีสภาพคล่องต่ำ  ความเสี่ยงสูงขึ้น  แต่กำไรสูงกว่า

เงินทุนหมุนเวียน(สุทธิ) =   สินทรัพย์หมุนเวียนหนี้สินหมุนเวียน  =  -(ลบ)

ตัวอย่าง งบดุลของบริษัท  การจัดการธุรกิจ จำกัด เพื่อแสดงให้เห็นถึงการบริหารเงินทุนของกิจการ

การจัดทำงบดุลตามวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เงินทุนที่ธุรกิจจัดหามาจากแหล่งต่าง ๆ

งบดุล

บริษัท การจัดการธุรกิจ จำกัด

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557

       จากตัวอย่างเป็นการจัดทำงบดุลให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ คือเป็นการจัดวางรายการทางการเงิน ให้อยู่ในรูปที่สามารถวิเคราะห์เงินทุนหมุนเวียน ที่ธุรกิจจัดหามาจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาลงทุนในสินทรัพย์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นั่นคือแหล่งเงินทุนของธุรกิจ จะมาจาก 2 แหล่ง ด้วยกัน

1. แหล่งเงินทุนภายใน อันได้แก่ กำไรสะสม ซึ่งเป็นผลกำไรที่สะสมมาหลังจากจ่ายเงินปันผล

2. แหล่งเงินทุนจากภายนอก ได้แก่ แหล่งเงินทุนที่ธุรกิจยืมจากภายนอก หรือแหล่งเงินทุนที่ระดมจากภายนอก ซึ่งอาจเป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้น, แหล่งเงินทุนระยะปานกลาง และแหล่งเงินทุนระยะยาว

       จากการวิเคราะห์งบดุลของบริษัทจัดการธุรกิจ เงินทุนที่ธุรกิจหามาจากแหล่งเงินทุนต่างๆ ก็จะถูกจัดสรรเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ของธุรกิจตามความจำเป็นและเหมาะสม  โยกิจการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะสั้น จำนวน 73,000 บาท เพื่อจัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนบางส่วน ฉะนั้นสินทรัพย์หมุนเวียนที่เหลือจำนวน 145,000 – 73,000 = 72,000 บาท คือเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ ที่ต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาว เนื่องจากแหล่งเงินทุนที่หามาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นนั้นไม่เพียงพอ  อีกทั้งสินทรัพย์ถาวรและเงินลงทุนระยะยาวที่เหลืออีก  354,000 บาท  ที่กิจการต้องจัดหาเงินทุนมาเพื่อลงทุนนั้น ก็จัดหามาจากแหล่งเงินทุนระยะยาว  คือ เงินทุนระยะยาว +  ส่วนของผู้ถือหุ้น

      ดังนั้น สินทรัพย์ส่วนที่ต้องลงทุนโดยการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาว = สินทรัพย์หมุนเวียนจำนวน 72,000 บาท + เงินลงทุนระยะยาวและสินทรัพย์ถาวร จำนวน 354,000 บาท = 72,000 + 354,000  =426,000  บาทซึ่งจะเห็นได้ว่า กิจการได้จัดหาแหล่งเงินทุนระยะยาว คือ เงินกู้ยืม  ระยะยาว และส่วนของผู้ถือหุ้น =77,000 + 349,000 =  426,000 บาท เท่ากับสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนพอดี

       จะเห็นได้ว่าบริษัท การจัดการธุรกิจ จำกัด  บริหารเงินทุนในลักษณะเป็นบวก(positive position) มีลักษณะการบริหารเงินทุนที่ค่อนข้างมีความระมัดระวัง คือการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่จัดหาเงินจากแหล่งเงินทุนระยะสั้น เพื่อลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงบางส่วน และจะนำเงินทุนระยะยาวไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนบางส่วนด้วย อันจะทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ กำไรก็จะลดลง

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อปริมาณและส่วนประกอบของเงินทุนหมุนเวียน

       ธุรกิจแต่ละประเภท จะมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และส่วนประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนโยบายและความต้องการในการรักษาสภาพคล่องและความสามารถในการทำกำไร  นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่

       1. ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยง   การจัดโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของกิจการจะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินของผู้บริหารแต่ละคน โดยผู้บริหารที่ระมัดระวัง (Conservative) จะมองว่า การลงทุน ด้วยการก่อหนี้ทําให้กิจการมีต้นทุนทางการเงิน และมีความเสี่ยงที่จะทําให้กิจการ ขาดสภาพคล่องได้ หากไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด ในขณะที่ผู้บริหารที่กล้าเสี่ยง (Aggressive) กลับมองว่า การลงทุนด้วยการก่อหนี้เป็นโอกาสในการสร้างกำไรให้กับกิจการได้มากกว่า  เพราะต้นทุน ทางการเงินที่เกิดจากการจ่ายดอกเบี้ยนั้น สามารถนําไปลดหย่อนภาษีได้เมื่อกิจการมีกําไร

       2. ประเภทของธุรกิจ ธุรกิจแต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ธุรกิจให้บริการ มีวิธีการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ทำให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งธุรกิจประเภทเดียวกันที่มีลักษณะต่างกัน ก็ยังมีความต้องการในเงินทุนหมุนเวียนต่างกัน เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์กับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ธุรกิจอุตสาหกรรมผู้ผลิตย่อมใช้เงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากกว่าสำหรับสินค้าและลูกหนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวแทนจำหน่ายซึ่งใช้เงินทุนหมุนเวียนไม่มากนัก หรือธุรกิจที่ให้บริการจะใช้เงินทุนหมุนเวียนลูกหนี้เท่านั้น ไม่ต้องลงทุนในสินค้าคงเหลือ เนื่องจากไม่มีสินค้าที่ต้องจำหน่าย

       3. ขนาดและปริมาณขายของธุรกิจ โดยปกติแล้วพบว่าปริมาณความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของแต่ละธุรกิจ มักเป็นสัดส่วนเดียวกับยอดขาย ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มียอดขายมากย่อมมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ลูกหนี้ หรือสินค้าคงเหลือ ส่วนธุรกิจขนาดเล็กที่มีปริมาณขายน้อยกว่า ก็ย่อมมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่า เว้นแต่จะมีผลกระทบจากภายนอกที่ทำให้ยอดขายสูงขึ้น เช่นฤดูกาลที่ทำให้ยอดขายสินค้าสูงขึ้น ก็ย่อมต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงขึ้น

       4. นโยบายของธุรกิจ นโยบายของธุรกิจที่แตกต่างกันย่อมมีผลต่อความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนไม่เท่ากัน เช่น นโยบายการให้สินเชื่อแก่ลูกค้า นโยบายการเก็บสินค้าขั้นต่ำเพื่อความปลอดภัย (Safety stock) นโยบายการเก็บเงินสดขั้นต่ำ เป็นต้น นโยบายของแต่ละธุรกิจอาจแตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณเงินทุนหมุนเวียนและส่วนประกอบสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น ธุรกิจที่กำหนดระยะเวลาการให้สินเชื่อแตกต่างกัน ย่อมมีเงินทุนหมุนเวียนในลูกหนี้ที่แตกต่างกัน เป็นต้น

       5. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี่ย่อมมีผลต่อระดับการผลิตของแต่ละอุตสาหกรรม การผลิตโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ย่อมสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากกว่าอุตสาหกรรมที่ใช้กรรมวิธีการผลิตแบบเดิม ดังนั้นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ย่อมกระทบต่อปริมาณวัตถุดิบและปริมาณสินค้า  ซึ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องการใช้มากขึ้น

       6. ภาวะการแข่งขันทางการตลาด ภาวะการแข่งขันทางการตลาด ทำให้ผู้ผลิตและผู้ขายต้องมีนโยบายในการเพิ่มยอดขาย เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด เช่น การให้สินเชื่อแก่ลูกค้าจาก 30 วันเป็น 45 วัน ซึ่งมีผลทำให้ต้องใช้เงินลงทุนในลูกหนี้เพิ่มขึ้น การแจกของแถมแก่ลูกค้าก็มีผลทำให้กิจการต้องลงทุนในสินค้าที่จะเป็นของแถมเพิ่มขึ้น

       7. สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมอันได้แก่เศรษฐกิจ การเมือง นโยบายและข้อบังคับของรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมมีผลกระทบต่อความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของ กิจการ เช่นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนขาดอำนาจซื้อ

       การจัดโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ จะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินทุนหมุนเวียน ของผู้บริหารแต่ละคน     เนื่องจากทัศนคติของฝ่ายบริหารต่อระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันย่อมมีผลต่อการจัดโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ(ปริมาณและส่วนประกอบ) ดั้งนั้น ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงลักษณะทัศนคติของฝ่ายบริหารต่อระดับความเสี่ยง ซึ่งจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะคือ

       1. ผู้บริหารที่ชอบความเสี่ยง (aggressive) ผู้บริหารลักษณะนี้มักจะใช้เงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นมาลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนชั่วคราวทั้งหมด และบางส่วนก็จะลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนถาวรด้วย ทั้งนี้เพราะแหล่งเงินทุนระยะสั้นมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการจัดหาต่ำกว่าแหล่งเงินทุนระยะยาว  แต่แหล่งเงินทุนระยะสั้นมีข้อจำกัด ในเรื่องของระยะเวลาในการชำระหนี้ ที่ต้องชำระหนี้ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งหากธุรกิจไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทัน  ก็จะทำให้ธุรกิจเกิดความเสี่ยงในการรักษาสภาพคล่อง ที่จะต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาวมาจ่ายชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นกว่าเดิมดังนั้น หากผู้บริหารมีระดับความเสี่ยงสูง ก็มักจะนำเงินทุนระยะสั้นบางส่วนไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนถาวร โดยคาดว่าจะมีผลทำให้กำไรสูงขึ้น แต่กิจการก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วย เนื่องจากสภาพคล่องต่ำ

       2. ผู้บริหารที่ยึดหลักความปลอดภัย (conservative) เป็นผู้บริหารที่ระมัดระวัง ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง ยึดความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะแหล่งเงินทุนระยะสั้นแม้ว่าต้นทุนของเงินทุนจะต่ำ แต่มีความเสี่ยงสูงหากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามระยะเวลา ดังนั้น ผู้บริหารลักษณะนี้มักจะนำเงินทุนที่ได้จากแหล่งเงินทุนระยะยาวมาลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนถาวร และในสินทรัพย์หมุนเวียนชั่วคราวบางส่วนด้วย วิธีการนี้จะทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงต่ำมากหรืออาจไม่มีเลย เนื่องจากแหล่งเงินทุนระยะยาวมีระยะเวลาการชำระหนี้ที่นานกว่า

       3. ผู้บริหารที่ยึดสายกลาง (average) เป็นผู้บริหารที่ยึดหลักของการจัดทำกำไรและระดับความเสี่ยงที่สมดุลกัน คือเงินทุนที่จะจัดหามาเพื่อลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท ควรจัดหามาจากแหล่งเงินทุนที่สอดคล้องกัน กับระยะเวลาการใช้งานของสินทรัพย์นั้นๆ โดยผู้บริหารจะจัดหาเงินทุนระยะยาว เพื่อลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนถาวร และจัดหาเงินทุนระยะสั้นสำหรับลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนส่วนชั่วคราว  ผู้บริหารที่ยึดสายกลางจะทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงปานกลาง และกำไรที่ได้รับก็จะอยู่ในระดับปานกลาง

       สิ่งที่จะต้องพิจารณาในการเงินทุนของกิจการ ก็คือ เงินทุนได้มาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นและระยะยาวปริมาณมากน้อยเพียงใด และมีการจัดสรรเพื่อนำไปลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมหรือไม่ โดยทั่วไป เงินทุนที่จัดหามาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้น เช่น เงินกู้ระยะสั้น เจ้าหนี้การค้า ควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน ได้แก่ ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ในขณะที่เงินทุนที่ได้มา จากแหล่งเงินทุนระยะยาว เช่น เงินกู้ระยะยาว การออกจำหน่ายหุ้นทุนก็ควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้แก่ ที่ดิน อาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับหลักการบริหารการเงิน อย่างไก็ดีในทางปฏิบัติ การบริหารสัดส่วนเงินทุนของกิจการมักขึ้นอยู่กับการคาดคะเนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นๆ และทัศนคติของผู้บริหารระดับความเสี่ยง หลักของการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการกําหนดระดับของเงินทุนหมุนเวียนและการเลือกที่จะนําเงินทุนจากแหล่งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อมาใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสม  โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกันระหว่าง ระยะเวลาในการชําระคืนกับระยะเวลาที่ต้องการในการใช้เงินลงทุนในสินทรัพย์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายในการดําเนินงานของแต่ละกิจการว่า ต้องการได้รับกำไรและยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับใด   นอกจากนี้ กิจการควรมีการวิเคราะห์ระดับเงินทุนหมุนเวียนเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่ามีกำไร จากการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ รวมถึงสภาพคล่องและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น หากผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  กิจการจําเป็นต้องกลับไปทบทวน เพื่อพิจารณาถึงแนวทางในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดําเนินอยู่ และอาจต้องปรับเปลี่ยนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีความเหมาะสม มากยิ่งขึ้น

บทสรุป

       เงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจนั้น เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่น  ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของธุรกิจที่ผู้บริหารจะละเลยไม่ได้ หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพิจารณาสภาพคล่อง ระดับของความเสี่ยงและกำไรในระดับที่ยอมรับได้ กล่าวคือการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม  โดยหลักทางการเงิน พบว่า หากลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน จะมีผลทำให้สภาพคล่องต่ำ ความเสี่ยงสูง  กำไรสูง  แต่หากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์ถาวร จะมีผลทำให้สภาพคล่องสูง  ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ

       ดังนั้นการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยดุลยพินิจในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนว่าจะอยู่ในระดับใดที่เหมาะสม จึงจะทำให้ธุรกิจมีกำไร และสภาพคล่อง ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้   ในขณะที่การบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ 3 ลักษณะ คือเงินทุนหมุนเวียนเป็นศูนย์ (zero position)  เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position)  และเงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (positive position)  เเต่ละลักษณะจะมีผลต่อสภาพคล่องสูง   ความเสี่ยงต่ำ และความสามารถในการทำกำไร ที่แตกต่างกัน ในขณะที่ธุรกิจแต่ละประเภท จะมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน และส่วนประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนแตกต่างขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยง   ประเภทของธุรกิจ ขนาดและปริมาณขายของ นโยบายของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภาวการณ์แข่งขันทางการตลาดและ สภาวะแวดล้อม การจัดการและการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของกิจการจะขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารการเงินของผู้ริหารแต่ละคน โดยผู้บริหารที่ระมัดระวัง (Conservative) ผู้บริหารที่กล้าเสี่ยง (Aggressive)และผู้บริหารที่ยึดสายกลาง (average)ทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อความเสี่ยงจะทีผลทำให้กิจการแต่ละแห่งมีการจัดการหรือการบริหารเงินทุนที่แตกต่างกันออกไป   นอกจากนี้กิจการควรมีการวิเคราะห์ระดับเงินทุนหมุนเวียนเป็นระยะๆ เพื่อให้ทราบว่ามีกำไร จากการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่

……………………………………………………….

บรรณานุกรม

คณาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์การบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.(2532).การเงินธุรกิจ.พิมพ์ครั้งที่2.  กรุงเทพฯ : คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ชนะใจ   เดชวิทยาพร.  (2540). การจัดการด้านการเงิน.  กรุงเทพฯ : เอดิสัน เพรส โพรดักส์.

ธงชัย  สันติวงษ์และชัยยศ  สันติวงษ์. ( 2541). การเงินธุรกิจ.  กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

นภาพร   นิลาภรณ์กุล. (2551). การบริหารการเงิน. กรุงเทพฯ : บริษัททริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั่น.

นภาพร   นิลาภรณ์กุลและคณะ. (2551). การเงินธุรกิจ. กรุงเทพฯ : กรุงเทพฯ : ทริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั่น.

เบญจวรรณ   รักษ์สุธี. (2540).  การเงินธุรกิจ. พิมพ์ครั้งที่ 8.  กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ์.

ปรียานุช  กิจรุ่งโรจน์เจริญ. (2557). การเงินธุรกิจ. พิมพ์ครั้งที่ 4.  กรุงเทพฯ :  สหายบล็อก.

เพชรี ขุมทรัพย์.วิเคราะห์งบการเงิน.(2540).กรุงเทพฯ : คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

เริงรัก  จำปาเงิน. (2543). การเงินธุรกิจ. กรุงเทพฯ : บุ๊คเน็ท.

ศิริพร เพชรคง .  การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เรื่องง่ายที่ไม่ควรมองข้าม ค้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2558. http://202.183.190.2/FTPiWebAdmin/knw_pworld/image_content.

สุมาลี   จิวมิตร.  การบริหารการเงิน. (2549) .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อัมพร   เที่ยงตระกูล. (2548). การเงินธุรกิจ.  กรุงเทพฯ : ภาควิชาการเงินและการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต.

Prinches, George E.(1996). Essentials of Financial Management.  5 th ed.  New York : Harper Collins College Publishers.

Van Horne James.(2001). Financial Management and Policy.12 th.ed.New Delhi: Prentice – Hall.

Weston, J. Fred and Copeland, Thomas. E.(1992).Managerial Finance)  9 th ed.  Fort Worth TX : The Dryden Press.

ผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกข้าวเหนียว กข๖ กรณีศึกษาตำบลงิ้ว อ.เมือง จังหวัดเชียงราย

งานวิจัย เรื่อง ผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกข้าวเหนียว กข 6 ตำบลงิ้ว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย

(The return of investment from Glutinous Rice RD 6 of farmers in Ngew sud-district Thoeng district, Chiang Rai Province)

       งานวิจัย เรื่อง ผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกข้าวเหนียว กข 6 ตำบลงิ้ว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย The return of investment from Glutinous Rice RD 6 of farmers in Ngew sud-district. Thoeng district, Chiang Rai Province  โดย สมาพร ปัญญาวรายุทธ  ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้เสนอผลงานวิจัยระดับชาติในการประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ครั้งที่ 2 (เล่มที่ 4) ร่วมกับสมาคมนักวิจัย  การกีฬาแห่งประเทศไทย มรภ.จันทรเกษม มรภ.สวนสุนันทา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา “สหวิทยางานวิจัย เพื่อพัฒนาสู่อาเซียน The symposium on Interdisciplinary Research for Development toward ASEAN : BTU-SIREA  เรื่อง “งานวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสู่วิถีประชาคมอาเซียน” The Innovation-Creating Research for the ASEAN Ways of Living    เมื่อวันที่ 10  พฤษภาคม 2557  ณ อาคาร 14 มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี   

ประโยชน์ของการวิจัยฉบับนี้ เกษตรกรสามารถนำผลการวิจัย ในการคำนวณอัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกข้าวเหนียว  กข 6  อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุกน อัตราส่วนยอดขายต่อการลงทุนความสามารถในการทำกำไร และกำไรส่วนที่เหลือ ไปใช้ในการประกอบอาชีพ เสริมสร้างรายได้เพิ่มขึ้นต่อไป ดังรายละเอียดของบทคัดย่อ ดังนี้

บทคัดย่อ

       การวิจัยเรื่อง ผลตอบแทนจากการลงทุนปลูกข้าวเหนียว กข 6 ตำบลงิ้ว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยถึงอัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุน วิจัยโดยการ แบบสอบถามและสัมภาษณ์เกษตรกร จำนวน 82 ครัวเรือน

       ผลวิเคราะห์ทางการเงินของการลงทุนปลูกข้าวเหนียว กข 6 ซึ่งสินทรัพย์ที่นำมาคำนวณไม่รวมที่ดิน พบว่า อัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนจำนวน 1-5ไร่ เท่ากับ 0.11 % อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 0.16 % อัตราส่วนยอดขายต่อการลงทุนเท่ากับ 0.81 % กำไรสุทธิเท่ากับ 8,993.48 บาท อัตราส่วนความสามารถในการหากำไรเท่ากับ 14.23 % และกำไรส่วนที่เหลือเท่ากับ -14,521.51 บาท อัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุน จำนวน 6-10 ไร่ เท่ากับ 1.02 % อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 0.90 % อัตราส่วนยอดขายต่อการลงทุนเท่ากับ 2.17 % กำไรสุทธิเท่ากับ 401,845.44 บาท อัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนจำนวน 10 ไร่ ขึ้นไป เท่ากับ 6.86 % อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 1.11 % อัตราส่วนยอดขายต่อการลงทุนเท่ากับ 12.99 % กำไรสุทธิเท่ากับ 2,676,642.4 บาท อัตราส่วนความสามารถในการหากำไรเท่ากับ 52.82 % และกำไรส่วนที่เหลือเท่ากับ 2,559,675.9 บาท

คำสำคัญ : ผลตอบแทนจากการลงทุน  ข้าวเหนียว กข6

Abstract

       The objective of this research was to study the return of investment from Glutinous Rice RE 6 of farmers in Ngew sud-district, Thoeng district, Chiang Rai province.  The date for research was collected from questionnaires and interviews with farmers 82 households.

       The financial analysis of the investment Glutinous Rice RE 6 which asset calculated excluding land.  The farmers size 1-5 rai was found the return on investment rations 0.11 %, benefit – Cost Ratio (BCR) 0.16 %, investment turnover 0.81% , profit 8,993.48 baht, profitability ratio 14.23% and residual income -14,521.51 baht.  The farmers size 6- 10 rai was the return on investment 1.02%, benefit – Cost Ratio (BCR) 0.90%, rate, investment turnover 2.17%, profit 401,845.44 baht, profitability ratio 47.38% and residual Income 284,604.84 baht and the return on investment of farmers size more than 10 rai was 6.86%, benefit – Cost Ratio (BCR) 1.11% , investment turnover 12.99%, profit 2,676,642.4 baht profitability ratio 52.82% and residual income 2,559,675.9 baht.

Keyword : return of investment, Glutinous Rice RD 6

ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านจำนวน ความสามารถด้านเชาวน์ปัญญากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วนของพหุนาม

ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านจำนวน ความสามารถด้านเชาวน์ปัญญา กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วนของพหุนาม

(Relationships between Numerical Ability, Intelligence Ability and the Fractional Polynomial Learning Achievement)

 


 

กำจร มุณีแก้ว

สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ

 

 

จำนวนแบบออยเลอร์

 

จำนวนแบบออยเลอร์ (Eulerian Numbers)

 


 

กำจร มุณีแก้ว

สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ

 

185-3.รศ.กำจร

ลำดับประเภทที่สอง

 

ลำดับประเภทที่สอง (A Second Type of Sequences)

 


 

กำจร มุณีแก้ว*

สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ

 

185-2.รศ.กำจร