Author Archives: Ploy

การผลิตน้ำนมหมักจากน้ำนมข้าวเจ้าหอมนิล

ชื่อเรื่อง“ การผลิตน้ำนมหมักจากน้ำนมข้าวเจ้าหอมนิล  ”

โดย อาจารย์ทิพรักษ์  วงษาดีและคณะ
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร

ความเป็นเลิศด้านการผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง

               จุดเด่นของบทความวิจัยนี้คือ :-

     บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา:-

  1. การผลิตน้ำนมหมักจากน้ำนมข้าวเจ้าหอมนิล
  2. กระบวนการผลิตที่เหมาะสมในการผลิตน้ำนมหมักจากข้าวหอมนิลได้แก่ อัตราส่วนข้าวหอมนิลต่อน้ำ 1 : 5 เหมาะสมในการทำเป็นน้ำนมหมักมากที่สุด
  3. น้ำนมหมักจากน้ำนมข้าวเจ้าหอมนิลที่ใช้น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานมีผลทำให้จุลินทรีย์ผลิตกรดแลกทิกได้มากกว่าการใช้น้ำเชื่อมซูโครสและไม่เติมสารให้ความหวานที่ระยะเวลาการหมักเดียวกัน
  4. การเติมน้ำผึ้งในน้ำนมหมักข้าวเจ้าหอมนิลสามารถปรับปรุงคุณภาพทางประสาทสัมผัสของน้ำนมหมักข้าวเจ้าหอมนิลได้ โดยได้รับการยอมรับมากกว่าการเติมน้ำเชื่อมซูโครส
  5. บทความวิจัยนี้สามารถนำความรู้ไปสู่ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ท้องถิ่นจะได้นำความรู้ไปแปรรูปทำน้ำนมจากข้าวต่างๆให้มีคุณค่าทางโภชนาการและสามารถนำไปจำหน่ายได้ งานวิจัยนี้สามารถนำไปต่อยอดทำ Business Unit ได้เป็นอย่างดี
View Fullscreen

แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา : บ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

ชื่อผลงานทางวิชาการ : แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา : บ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

ปีที่พิมพ์ : 2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทีทัศน์วัฒนธรรม สำนักศิลปวัฒนธรรม  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 (มกราคม – ธันวาคม) 2560

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ : อาจารย์สุเนตร ทวีถาวรสวัสดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทความวิจัย เรื่อง  แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม กรณีศึกษา : บ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น Guideline for the development of cultural tourism  amphoe chonnabot ,  khonkaen province ผู้ศึกษาคือ อาจารย์สุเนตร ทวีถาวรสวัสดิ์ และนักศึกษา ชื่อ เทียนวัน แนบตู้ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะของการท่องเที่ยวและสภาพปัญหาของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มคณะบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้นำชุมชน และ กลุ่มชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านโนนข่า

จุดเน้นของบทความนี้ จะกล่าวถึง

๑. สิ่งดึงดูดสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของหมู่บ้าน ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นทั้งแบบวิถีชนบทและประเพณีวัฒนธรรมที่ควรจะส่งเสริมการอนุรักษ์เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

๒. แหล่งท่องเที่ยววิถีชีวิตชาวชนบทของบ้านโนนข่ามีเอกลักษณ์ความโดดเด่นด้านการทอผ้าไหม การทอเสื่อ การสานสวิง การสานกระติบข้าว เพื่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาพื้นบ้าน วัฒนธรรมท้องถิ่น ให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว

๓. แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมประเพณี ตั้งแต่เดือน มกราคม – ธันวาคม ของบ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

๔.  สภาพปัญหาของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของบ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

ประโยชน์ที่ได้รับบทความวิจัยนี้

๑. ทราบถึงแนวทางและสภาพปัญหาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท   จังหวัดขอนแก่น

๒. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนสามารถนำเอาข้อมูลที่ได้จากการวิจัย ใช้ในการวางแผนปรับปรุง และพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า  ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ที่ยังคงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ทั้งแบบวิถีชนบทและประเพณีวัฒนธรรม ที่ควรจะส่งเสริมการอนุรักษ์เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป

 

แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม

กรณีศึกษา : บ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

 Guideline for the development of cultural tourism 

amphoe chonnabot ,  khonkaen province

สุเนตร ทวีถาวรสวัสดิ์ / Sunate Thaveethavornsawat[1]

เทียนวัน แนบตู้ / Tienwon  Nabtu[2]

บทคัดย่อ

             การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น และศึกษาถึงสภาพปัญหาของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมด้วยการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคณะบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้นำชุมชน และ กลุ่มชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านโนนข่า และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการสามเส้า

             ผลการศึกษาพบว่า การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านโนนข่า มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี การทอผ้าไหม การทอเสื่อ การสานสวิง การสานกระติบข้าว และการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาพื้นบ้านวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ให้ความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม ลักษณะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านโนนข่ามีการท่องเที่ยวแบบวิถีชนบทกับการท่องเที่ยวแบบประเพณีวัฒนธรรม ปัจจุบันการท่องเที่ยวของชุมชนบ้านโนนข่า ทำให้คนในชุมชนได้รับรายได้เสริมจากการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ภายในชุมชนของตนซึ่งเป็นธุรกิจอีกอย่าง ได้แก่ การทอผ้าด้วยเส้นใยไหม การทอเสื่อ การสานสวิง และการสานกระติบข้าว กิจกรรมดังกล่าวทำให้นักท่องเที่ยวชื่นชอบในวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนในชุมชนทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวซ้ำอีกครั้ง แต่การท่องเที่ยวของชุมชนยังไม่มีการจัดการการท่องเที่ยว เพราะปัญหาการการคมนาคมไม่สะดวกในการเดินเข้ามาเที่ยวชม รวมถึงคนภายนอกไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวภายในชุมชน ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่กลับมาเที่ยวซ้ำอีกครั้ง เป็นนักท่องเที่ยวคนเดิมๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวคนใหม่ๆ นอกจากนี้พบว่าปัญหาที่สำคัญของการท่องเที่ยวในบ้านโนนข่าคือด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ที่พัก สถานที่จอดรถ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าที่ระลึก ห้องสุขาสำหรับนักท่องเที่ยว และศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว

             จากผลการศึกษานี้ได้แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านโนนข่า คือ สิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของหมู่บ้านโนนข่านั้นมีแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นทั้งแบบวิถีชนบทและประเพณีวัฒนธรรมที่ควรจะส่งเสริมการอนุรักษ์เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และควรพัฒนาเรื่องการคมนาคมการเข้าถึงหมู่บ้านได้อย่างสะดวก ควรจัดตั้งคณะกรรมการการท่องเที่ยวของหมู่บ้านที่ช่วยจัดการเรื่องการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมด้วย

คำสำคัญ :  แนวทางการพัฒนา, การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม, อำเภอชนบท

[1] อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

[1] นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

Abstract

 

             The purpose of this research is to study the cultural tourism at Ban Nonka, Wangsang subdistrict, Chonnabot district, Khon Kaen province and to examine the problems in cultural tourism by conducting qualitative research which collects information from three main groups; Subdistrict Administrative Organization officers, community leaders, and the locals. The data collected is analyzed by triangulation method.

             The study shows that the cultural tourism at Ban Nonka is eminent in the preservation of traditional culture, e.g. silk weaving, mat weaving, hand net making, bamboo rice container plaiting, and the conception of folk wisdom to pass on knowledge and experience to tourists. The cultural tourism of Ban Nonka consists of countryside tourism and heritage tourism. Nowadays, locals at Ban Nonka benefit from the tourism and income distribution from their trades which are silk weaving, mat weaving, hand net making, bamboo rice container plaiting. Tourists enjoy these activities and local way of life; therefore, they revisit the place. However, there have not been tourism management at the moment due to inconvenient transportation. In addition, the local tourism is not widely known to the public. As a result, there are not many new tourists to the region. Additionally, the main problem of tourism at Ban Nonka is the lack of facilities such as accommodations, car park, restaurants, souvenir shops, toilets, and tourist information center

             The guideline for the development of cultural tourism at Ban Nonka is formed from the finding. Firstly, the attraction of cultural tourism of Ban Nonka is the countryside tourism and heritage tourism which should be preserved in order to encourage cultural tourism. Secondly, the transportation to the village should be improved. Lastly, a local tourism board should be established to oversee tourism management.

Keywords : Guideline for the development, Cultural tourism, Chonnabot district

 

บทนำ

             ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่ง ที่มีศักยภาพด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลาย ทั้งด้านของทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทรัพยากรการท่องเที่ยวของประเทศไทยสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙  มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนประเทศไทยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๙.๓๕ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๔๕,๕๗๘,๒๖๙ คนแต่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ มีนักท่องเที่ยวจำนวน ๑๕๙,๑๙๑,๓๕๒  คน (กรมการท่องเที่ยว, ๒๕๕๙, ออนไลน์) นอกจากนี้การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่สร้างความโดดเด่นทางด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และกิจกรรมที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ความโดดเด่นของแต่ละพื้นที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม สามารถสร้างภาพลักษณ์และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ปัจจุบันแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ พัฒนากันอย่างต่อเนื่องเพื่ออรองรับกับการท่องเที่ยวของประเทศ (จุฑามาศ คงสวัสดิ์, ๒๕๕๐: ๑)

             บ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เป็นอีกพื้นที่หนึ่งของประเทศไทยที่มีการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งมีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่สืบต่อกันมานาน มีการประกอบอาชีพเกษตร การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษมาเป็นเวลาหลายร้อยปีนับเป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่น และมีขนบธรรมเนียมประเพณี นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ศาลาไหมไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตชุมชน (ศูนย์บริการข้อมูลอำเภอ, ๒๕๕๙)  แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบได้กับบ้านโนนข่าก็คือ ยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวที่บ้านโนนข่าไม่มากนัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับไม่มากและมีการประชาสัมพันธ์น้อย จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เคยมาเยี่ยมเยือนแล้วไม่กลับมาอีก อีกทั้งในบ้านโนนข่ายังไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐที่จะจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ดังนั้นผู้วิจัยได้เห็นถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของ บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง จังหวัดขอนแก่น และจากศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวที่ควรจะมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้เป็นการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดขอนแก่นได้  จึงศึกษาหาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อนำข้อมูลที่ได้นี้พัฒนาบ้านโนนข่าให้มีการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศอีกต่อไป

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

๑. เพื่อศึกษาลักษณะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

๒. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบท  จังหวัดขอนแก่น

ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับ

๑. ทราบถึงแนวทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ในบ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบทจังหวัดขอนแก่น

๒. ทราบถึงสภาพปัญหาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม บ้านโนนข่า ตำบลวังแสง อำเภอชนบทจังหวัดขอนแก่น

๓. สามารถนำเอาข้อมูลที่ได้จากแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ในบ้านโนน ข่าตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

วิธีดำเนินการวิจัย

             การศึกษาวิจัยครั้งนี้คัดเลือกประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญจากกลุ่มตัวอย่าง ๓ กลุ่มโดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) และ เก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก (In deph – Interview) จากกลุ่มคณะบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบล  ผู้นำชุมชน และกลุ่มชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านโนนข่าจัดเก็บข้อมูลที่อ้างอิงจากใช้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับลักษณะที่สำคัญของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ๙ ประการ ได้แก่ การอนุรักษ์ การสืบถอด จุดดึงดูด ผลกระทบ จิตสำนึก การมีส่วนร่วม การบริการ ความพึงพอใจ และ  ความปลอดภัย ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การตรวจสอบความเชื่อถือได้ของข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) ซึ่งเป็นการตรวจสอบข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวบมาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งทั้งการศึกษาจากเอกสาร การสังเกต และการสัมภาษณ์เพื่อใช้วิเคราะห์ตีความ เปรียบเทียบเพื่อจัดหาคุณสมบัติร่วมกันในประเด็นต่างๆ ที่ต้องการศึกษา  (สุภางค์  จันทวานิช, ๒๕๕๖:๓๒)

             ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูล โดยเก็บข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ และสังเกตผู้ให้ข้อมูลแต่ละคนแล้วนำมาหาประเด็นหลักและข้อสรุปร่วม จากนั้นทำการจำแนกข้อมูลตามประเด็นต่างๆ แล้วนำข้อมูลมาทำการเปรียบเทียบกันและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาเพื่อตอบปัญหาการวิจัย

ผลการศึกษา

๑. ลักษณะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของบ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

๑.๑ แหล่งท่องเที่ยววิถีชีวิตชาวชนบทของบ้านโนนข่ามีเอกลักษณ์ความโดดเด่นด้านการทอผ้าไหม การทอเสื่อ การสานสวิง การสานกระติบข้าว เพื่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาพื้นบ้าน วัฒนธรรมท้องถิ่น ให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว

             การทอผ้าไหมการนำเอาไหมดิบที่จะใช้เป็นเส้นพุ่งและเส้นยืนมาล้างเพื่อทำความสะอาดสิ่งแปลกปลอมให้หลุดออกจากส่วนของเส้นใยโดยการนำเส้นไหมดิบ ไปต้มในน้ำเดือดเพื่อลอกกาวไหมออกโดยใช้สารเคมีการย้อมสีไหมเริ่มต้นจากการนำเอาไหมที่ผ่านการฟอกขาวแล้วนำมาย้อมสี หลังจากย้อมเสร็จแล้วนำเส้นไหมไปซักล้างในน้ำร้อนและน้ำเย็นให้สะอาดนำไปตากให้แห้ง ใช้เวลารอประมาน ๑ -๒ วัน แล้วนำมาผ้ามาใส่กี่กระตุกเพื่อการทอผ้าไหม โดยใช้เส้นไหมยืน ๑ ชุด และไหมพุ่ง ๑ ชุด โดยการใช้เส้นไหมพุ่งสอดเข้าไประหว่างเส้นยืนที่ถูกแยกออกเป็นช่องด้วยการเหยียบตะกอแล้วใช้ฟันฟืมกระทบ   เส้นไหมพุ่งให้ติดกันทีละเส้นจนกลายเป็นผืนผ้า

ภาพที่ ๑ การทอผ้าไหม

(ที่มา: สุเนตร ทวีถาวรสวัสดิ์, ๒๕๖๐)

             การทอเสื่อ นำต้นกกมากรีดออกเป็นเส้นไปตากแดดประมาณ ๑ อาทิตย์ เมื่อแห้งแล้วนำมาย้อมสีตามต้องการ จากนั้นนำเชือกไนลอนหรือเชือกเอ็นขึงที่โฮมทอเสื่อ ให้เป็นเส้นตามโฮมและฟืม แล้วนำต้นกกสอดเข้ากับไม้สอดเพื่อที่จะสอดเข้ากับโฮมทอเสื่อ เมื่อสอดต้นกกเข้าไปแล้วผลักฟืมเข้าหาตัวเองให้ต้นกกแน่นติดกัน เป็นลายต่าง ๆ ลายเสื่อที่ทอเป็นประจำและเป็นที่นิยมคือ ลายมัดหมี่ ลายธรรมดา ลายกระจับ จากนั้นก็นำเสื่อที่ทอแล้วมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เสื่อพับ หมอนสามเหลี่ยม

ภาพที่ ๒ การทอเสื่อ

(ที่มา: สุเนตร ทวีถาวรสวัสดิ์, ๒๕๖๐)

             การสานสวิง นำด้ายไนล่อนมาใส่ไว้ในไม้กีม คล้ายกับลักษณะของกระสวยทอผ้า แต่วิธีการนั้น แตกต่างกันนิดหน่อย ซึ่งเรามักจะเรียกจอมนี้ว่าปมเพื่อให้ฐานแข็งแรงจะต้องให้ได้ขนาด ๒ – ๓ นิ้ว จากนั้นก็สานไปเรื่อยๆ จนได้ความลึกประมาณ ๕๐ – ๖๐ เซนติเมตรหรือได้ตามขนาดที่ต้องการ นำไม้ไผ่มาเหลาให้ได้ ๒ อัน อันแรกเป็นด้ามสวิงส่วนอันที่สองเหลาให้มีขนาดเล็กพอประมาณ นำไปสอดกับสวิงที่สานไว้และใช้เป็นตัวกำหนดขนาดของช่องแล้วนำไม้ไผ่อันแรกที่เหลาแล้วมาเฉือนปลายสองด้านให้ได้รูปและนำมาประกบกันจนเป็นทรงกลม จากนั้นก็มัดด้วยเชือกฟางไว้ก่อน แล้วค่อยตอกตะปูเข็มให้แน่น เสร็จแล้วนำสวิงที่สานเสร็จเรียบร้อยมาสอดกับไม้ไผ่อันที่สองที่เหลาไว้และนำมามัดติดกับไม้ไผ่อันแรกด้วยเชือกฟาง หลังจากนั้นก็เย็บติดกับขอบไม้ไผ่ด้วยการตอกตะปูเข็มอย่างประณีต เรียบร้อยแล้ว ก็นำมีดมาตัดเอาเชือกฟางออก พร้อมทั้งเก็บลายละเอียดของสวิงเล็กน้อย

              การสานกระติบข้าว กระติบข้าวสามารถทำได้จากวัสดุหลายอย่าง เช่น ใบจาก ใบตาล ใบลาน แต่ที่นิยมใช้ทำมาก และมีคุณภาพดีที่สุดต้องทำจากไม้ไผ่บ้าน หรือไม้ไผ่ใหญ่ อายุประมาณ ๑๐ เดือน ถึง ๑ ปี เพราะมีปล้องใหญ่และปล้องยาว เนื้อไม้เหนียวกำลังดี ไม่เปราะง่าย ทำเป็นเส้นตอกสวย ขาว วัตถุดิบที่นำใช้คือ ปล้องไม้ไผ่มาตัดหัวท้าย ตัดเอาข้อออก ผ่าเป็นซีกทำเส้นตอกกว้างประมาณ ๒-๓ ม.ม. ขูดให้เรียบและบางจากนั้นนำเส้นตอกที่ได้มาสานเป็นรูปร่างกระติบข้าว หนึ่งลูกมี ๒ ฝา มาประกอบกัน แล้วกระติบข้าวที่ได้มาพับครึ่งให้เท่า ๆ กัน เรียกว่า ๑ ฝา ทำฝาปิด โดยจักเส้นตอกที่มีความกว้าง ๑ นิ้ว สานเป็นลายตามะกอก และลายขัดนำฝาปิดหัวท้ายมาตัดเป็นวงกลม มาใส่เข้าที่ปลายทั้งสองข้าง ใช้ด้ายไนล่อน และเข็มเย็บเข้าด้วยกันรอบฝาปิดหัวท้ายนำก้านตาลที่ม้วนไว้มาเย็บติดกับฝาล่าง ที่เป็นตัวกระติบข้าว นำกระติบข้าวที่ได้ไปรมควันจากฟางข้าว เพื่อกันแมลงเจาะ และเพื่อความสวยงาม ทนทาน ไม่เกิดราดำ จากนั้นนำไม้มาเหลาเป็นเส้นตอก กลมยาวเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ ม.ม. ความยาวรอบบางเท่ากับฝากระติบพันด้วยด้ายไนล่อน แล้วเย็บติดฝาขอบบน เมื่อเสร็จแล้วเจาะรูที่เชิงกระติบข้าว ด้วยเหล็กแหลม   ๒ รู ให้ตรงข้ามกัน แล้วทำหูที่ฝาด้านบน ตรงกับรูที่เจาะเชิงไว้ ใช้ด้ายไนล่อนสอดเข้าเป็นสายไว้สะพายไปมาได้สะดวก จะได้กระติบข้าวที่สำเร็จเรียบร้อย สามารถนำมาใช้และจำหน่ายได้

                         ๑.๒ แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมประเพณี มีการจัดประเพณีขึ้นในทุก ๆ เดือนและมีบางเดือนที่มีช่วงเวลาสำคัญ เช่น ๒๙ เดือนพฤศจิกายน ถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี มีการจัดงานเทศกาลไหม เป็นงานที่จังหวัดขอนแก่นได้จัดขึ้นทุกปีเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๒ จนถึงปัจจุบัน โดยมีประเพณีที่สำคัญดังต่อไปนี้

                         เดือนมกราคม (เดือนยี่) ทำบุญขึ้นปีใหม่  ในวันที่ ๑ ของเดือนมกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตกบาตรและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก ไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป และจะเตรียมทำความสะอาดบ้านเรือนที่พักอาศัย

                         เดือนกุมภาพันธ์ (เดือนสาม) ทำบุญข้าวจี่,บุญข้าวกุ้มข้าวใหญ่  บุญข้าวจี่ เป็นงานบุญประเพณี ของชาวอีสานที่กระทำกันในเดือนสาม จนเรียกว่า บุญเดือนสาม บุญข้าวจี่เป็นบุญประเพณีสำคัญ ที่มีกำหนดอยู่ในฮีตสิบสอง ดังรู้จักกันทั่วไปว่า เดือนสามคล้อยจั่วหัวปั้นข้าวจี่ เดือนสี่คล้อยจัวน้อยเทศน์มะที (มัทรี)  ข้าวจี่ คือ ข้าวเหนียวนึ่งให้สุกแล้วนำมาปั้นเป็นก้อนทาเกลือเคล้าให้ทั่ว เอาไม้เสียบย่างไฟเหมือนไก่ย่าง เมื่อข้าวสุกเกรียมแล้วก็เอาไข่ซึ่งตีไว้แล้วทาแล้วย่างซ้ำอีกกลายเป็นไข่เคลือบข้าวเหนียว เสร็จแล้วถอดไม้ออกเพื่อถวายพระเณรฉันตอนเช้า บุญข้าวกุ้มข้าวใหญ่ หรือบุญคูนลาน เป็นประเพณีทำบุญที่ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้วจะนำมานวดที่ลาดนวดข้าว ก่อนนำข้าวไปเก็บในยุ้งฉาง เรียกว่า บุญคูนลาน โดยเชิญญาติพี่น้องมาร่วมทำบุญเพื่อร่วมบูชาแม่โพสพ โดยนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ โยงด้ายสายสิญจน์รอบกองข้าว ถวายอาหาร บิณฑบาต เลี้ยงญาติมิตร พระสงฆ์อนุโมทนาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ผู้ร่วมพิธีตลอดจนประพรมลาดข้าว วัว ควาย เจ้าของนาเพื่อเป็นศิริมงคล

                         เดือนมีนาคม (เดือนสี่) บุญผะเหวด หรืองานบุญมหาชาติ คืองานมหากุศลให้รำลึกถึงการบำเพ็ญบุญความดีที่ยิ่งยวดอันมีการสละความเห็นแก่ตัวเพื่อผลประโยชน์สุขอันไพศาลของมวลชนมนุษย์ชาติ เป็นสำคัญ ดังนั้นบรรพชนชาวไทยอีสานแต่โบราณจึงถือเป็นเทศกาลที่ประชาชนทั้งหลาย พึงสนใจร่วมกระทำบำเพ็ญและได้อนุรักษ์สืบทอดเป็นวัฒนธรรมสืบมา จนถึงอนุชนรุ่นหลังที่ควรเห็นคุณค่าและอนุรักษ์เป็นวัฒนธรรมสืบไป นอกจากนี้ยังเป็นการสังสรรค์ ระหว่างญาติพี่น้องจากแดนไกลสมกับคำกล่าวที่ว่า “กินข้าวปุ้น เอาบุญผะเหวด ฟังเทศน์มหาชาติ”

                         เดือนเมษา (เดือนห้า) บุญสงกานต์ เป็นประเพณีการสงน้ำพระพุทธรูป มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อขอพรจากญาติผู้ใหญ่ และมีการทำบุญตักบาตรก่อทรายภายในวัด

                     เดือนพฤษภาคม (เดือนหก) บุญบั้งไฟประจำปี เป็นการจัดขบวนแห่บั้งไฟ และการจุดบั้งไฟตามวิถีความเชื่อ ของชาวบ้านที่ว่า ผาแดงนางไอ่  พระยาคันคาก  ล้วนกล่าวถึงการจุดบั้งไฟ ถวายแด่พญาแถน  เพื่อเป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล

                         เดือนมิถุนายน  (เดือนเจ็ด) บุญชำฮะ คือการชำระล้าง สิ่งสกปรก รกรุงรังให้สะอาดหมดจด เมื่อถึงเดือน ๗ ชาวบ้านจะรวมกันทำบุญโดยยึดเอา “ผาม หรือศาลากลางบ้าน” เป็นสถานที่ทำบุญ ชาวบ้านจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียน โอน้ำ ฝ้ายใน ไหมหลอด ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายมารวมกันที่ผามหรือศาลากลางบ้าน ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ตอนเช้าถวายอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทุกคนจะนำน้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายของตนกลับบ้าน นำน้ำมนต์ไปรดลูกหลาน ทรายนำไปหว่านรอบบ้าน ฝ้ายผูกแขนนำไปผูกข้อมือลูกหลานเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลตลอดปี ถ้ามีการเจ็บไข้ได้ป่วยต้องมีการสวดถอด

                     เดือนกรกฎาคม  (เดือนแปด) บุญเข้าพรรษา เป็นประเพณี ทางพุทธศาสนาคล้ายคลึง กับทางภาคกลาง คือจะมีงานทำบุญตักบาตร การถวายผ้าอาบน้ำฝน สงบ จีวรและเทียนพรรษา มีการประกวดความสวยงามของเทียนจากแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งตกแต่งสลักเสลาเทียนเป็นลวดลาย เรื่องราวทางพุทธศาสนาอย่างสวยงาม เมื่อแห่เทียนมาถึงวัด ชาวบ้านจะรับศีล รับพรฟังธรรม ตอนค่ำจะเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ

                         เดือนสิงหาคม (เดือนเก้า) บุญข้าวประดับดิน บุญข้าวประดับดิน คือ บุญที่ทำในวันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนเก้าประมาณเดือนสิงหาคมเป็นการนำข้าวปลาอาหารคาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อย่างละเล็กอย่างละน้อยแล้วห่อด้วยใบตองทำเป็นห่อเล็กๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เป็นการทำบุญที่ชาวบ้านจัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

                         เดือนกันยายน (เดือนสิบ) บุญข้าวสาก คือบุญที่ให้พระเณรทั้งวัด จับสลากเพื่อจะรับปัจจัยไทยทาน ตลอดจนสำรับกับข้าวที่ญาติโยมนำมาถวายและบุญนี้จะทำกันในวันเพ็ญเดือนสิบ จึงเรียกชื่ออีกอย่างว่า บุญเดือนสิบ

                         เดือนตุลาคม (เดือนสิบเอ็ด) บุญออกพรรษา เป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันได้ พระภิกษุสงฆ์สามารถเดินทางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยี่ยมถามข่าวคราว ญาติพี่น้องได้ และภิกษุสงฆ์สามารถหาผ้ามาผลัดเปลี่ยนได้ เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตั้งแต่เช้ามืดจะมีการตีระฆังให้พระสงฆ์ไปรวมกันที่โบสถ์แสดงอาบัติเช้า จบแล้วมีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ว่ากล่าวตักเตือนกันได้

                         เดือนพฤศจิกายน   (เดือนสิบสอง) บุญมหากฐิน เป็นการใช้ผ้าที่ใช้สดึง ทำเป็นกรอบเย็บจีวร เรียกว่าผ้ากฐิน ผู้ใดศรัทธา ปรารถนาจะถวายผ้ากฐิน ณ วัดใดวัดหนึ่งให้เขียนสลาก (ใบจอง) ไปติดไว้ที่ผนังโบสถ์หรือศาลาวัด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้อื่นจองทับ เมื่อถึงวันกำหนดก็บอกญาติโยมให้มาร่วมทำบุญ มีมหรสพสมโภช และฟังเทศน์ รุ่งเช้าก็นำผ้ากฐินไปทอดถวายที่วัดเป็นอันเสร็จพิธี

                         เดือนธันวาคม (เดือนอ้าย) งานประเพณีลอยกระทง จัดขึ้นเพื่อขอขมาเจ้าแม่คงคา และปล่อยสิ่งที่ไม่ดีให้ลอยไปกับน้ำ

                         แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมและประเพณีเป็นการจัดงานประเพณีของจังหวัดขอนแก่นที่จัดขึ้นในช่วงเดือนต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมได้ นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจของบ้านโนนข่า ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านโนนข่า ที่ได้เปิดการเรียนรู้ในรูปแบบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย

 

๑. สภาพปัญหาของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

ในการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของบ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่นนี้ยังพบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าไปท่องเที่ยวในหมู่บ้านมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเพื่อที่จะซื้อผ้าไหม เนื่องจากได้ทราบถึงชื่อเสียงของการทอผ้าไหม จึงแวะเข้ามาเที่ยวชมการทอผ้าและทอเสื่อ ดังนั้นหากต้องการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็ต้องพิจารณาถึงปัญหาดังนี้

๑.๑ ปัญหาการคมนาคมไม่สะดวก การเดินทางเข้ามาเที่ยวชมจึงค่อนข้างยากลำบาก        การกระจายไฟฟ้าในบางส่วนยังเข้ามาไม่ถึง จึงยังไม่มีการจัดที่พักอาศัยสำหรับนักท่องเที่ยว

๑..๒ นักท่องเที่ยวไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวภายในชุมชน เพราะไม่มีสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลการท่องเที่ยวของชุมชน ไม่มีบุคคลเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ในการท่องเที่ยว จึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อย และไม่มีป้ายโฆษณาหรือชักชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชม

๑.๓ ความปลอดภัยในการเดินทางมีความเสี่ยงสูงเพราะการเดินทางเข้ามามีป่าทึบและขาดแสงไฟตลอดเส้นทาง หากนักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวชมต้องมาในเวลากลางวัน

๑.๔ ปัญหาขยะเพิ่มมากขึ้นชุมชนเนื่องจากมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจึงต้องมีการจัดเก็บขยะทุกอาทิตย์โดยเก็บขยะอาทิตย์ละ ๑ – ๓ วัน

 

การอภิปรายผล

ได้พบประเด็นข้อมูลที่สำคัญดังนี้

๑. ลักษณะการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ได้แก่ การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่เที่ยวชมถึงวิถีชีวิตได้แก่ การทอผ้าด้วยเส้นใยไหม การทอเสื่อ การสานสวิง และการสานกระติบข้าว ซึ่งวิถีชีวิตความเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของหมู่บ้านในเรื่องการทอผ้าไหมที่มีลวดลายสวยงามกว่าที่หมู่บ้านอื่น และการทอเสื่อที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นประกอบกับการสานสวิงและกระติบข้าวที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเรียนรู้และซึมซับกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอีสานที่สำคัญ รวมถึงงานประเพณีที่ทางจังหวัดได้จัดขึ้นทุกเดือนอีกด้วย กิจกรรมดังกล่าวทำให้นักท่องเที่ยวชื่นชอบในวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตของคนในชุมชน จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้น จะส่งผลกับชุมชนที่จะได้รับรายได้เสริมจากการท่องเที่ยว และก่อให้เกิดการกระจายรายได้ภายในชุมชนของตน สามารถทำเป็นธุรกิจของชุมชนที่สำคัญ แต่การท่องเที่ยวของชุมชนนี้เมื่อศึกษาแล้วพบว่า ไม่มีกระบวนการจัดการการท่องเที่ยวในชุมชนนี้โดยเฉพาะกับรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของหมู่บ้าน ซึ่งปัญหาหนึ่งที่สำคัญในองค์ประกอบของการท่องเที่ยวคือ ปัญหาการเข้าถึงในแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากมีการคมนาคมที่ไม่สะดวก นักท่องเที่ยวมีความยากลำบากกับเดินทางเข้ามาเที่ยวชม รวมถึงเรื่องของการประชาสัมพันธ์กับคนภายนอก ทำให้ไม่ค่อยได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนและการท่องเที่ยวภายในชุมชน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพื่อนำผ้าไหมไปจำหน่าย มีนักท่องเที่ยวที่ได้ยินชื่อเสียงจากการทอผ้าไหมจึงแวะเข้ามาเที่ยวชม นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ จะมีน้อยที่ได้เข้ามาเที่ยวชมในบ้านโนนข่าและไม่มีความพร้อมของบุคคลากรที่รองรับการท่องเที่ยวในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ (ภูสวัสดิ์ สุขเลี้ยง, ๒๕๔๕) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาการแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม: กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยโป่งผาลาด อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย พบว่าพื้นที่มีศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับการพัฒนาทางการท่องเที่ยว แต่ต้องปรับปรุงในด้านความพร้อมของบุคลากร และสอดคล้องกับงานวิจัยของ (ประพัทธ์ชัย ไชยนอก, ๒๕๕๓) ศึกษาเรื่อง แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: กรณีศึกษาบ้านด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ที่พบว่า สภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบ้านด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยมีการท่องเที่ยวดังนี้ ๑) ด้านสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว บ้านด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ทั้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และสถานที่สำคัญต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่เช่น พระธาตุศรีสองรัก วัดป่าเนรมิตปัสสนา วัดโพนชัย และ พิพิธภัณฑ์ผีตา มีวัฒนธรรมและประเพณีบางอย่างที่ได้มีปฏิบัติสืบต่อกัน เช่น ประเพณีฮิตสิบสองคลองสิบสี่ ประเพณีบุญหลวง ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัว และงานประเพณีแห่ผีตาโขน เป็นต้นเหมาะสมกับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ ในพื้นที่บ้านโนนข่าเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่เหมาะกับการดำเนินการเรื่องการท่องเที่ยว แต่ประสบปัญหาในหลายด้านที่ต้องพัฒนาให้รองรับกับการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อพัฒนาในปัญหาด้านต่างๆ แล้ว พื้นที่บ้านโนนข่าก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจของจังหวัดขอนแก่น

๒. ปัญหาท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมบ้านโนนข่า อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น พบว่า ปัญหาการคมนาคมไม่สะดวกสอดคล้องกับงานวิจัยของ (อรวิชญ์ กันตะยา, ๒๕๕๖) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในหมู่บ้านธาตุสบแวน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา พบว่า การที่หมู่บ้านมีเส้นทางคมนาคมที่ดีสามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งท่องเที่ยวแห่งอื่น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย และนักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจในระดับมากดังนั้นถ้าจะให้หมู่บ้านโนนข่านี้มีการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต้องพัฒนาเรื่องการคมนาคมการเข้าถึงหมู่บ้านได้อย่างสะดวก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ (ภูสวัสดิ์ สุขเลี้ยง, ๒๕๔๕) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาการแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม: กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยโป่งผาลาด อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย พบว่าพื้นที่มีศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับการพัฒนาทางการท่องเที่ยว แต่ต้องปรับปรุงในด้านความพร้อมของบุคลากรและด้านสาธารณูปโภค เช่น ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าที่ระลึก ห้องสุขาสำหรับนักท่องเที่ยว และศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว โดยผู้วิจัยได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ ดำเนินการทางการท่องเที่ยวภายในหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนาหมู่บ้านให้เป็นไปตามแนวทางการพัฒนาท่องเที่ยว และให้หน่วยงานของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และวางแผน ดังนั้นบ้านโนนข่าจะพัฒนาการท่องเที่ยวโดยใช้แนวทางจากงานวิจัยนี้ดังกล่าวจะช่วยให้พัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในหมู่บ้านได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพที่จะนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

 

ข้อเสนอแนะ

๑. ข้อเสนอแนะจากการวิจัย

 ๑.๑ ด้านสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของหมู่บ้านโนนข่านั้นมีแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นทั้งแบบวิถีชนบทและประเพณีวัฒนธรรมที่ควรส่งเสริมให้มีอนุรักษ์เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม

๑.๒ ควรพัฒนาเรื่องการคมนาคมการเข้าถึงหมู่บ้านได้อย่างสะดวก เนื่องจากการศึกษาพบว่าเส้นทางการคมนาคมยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน

๑.๓ ควรจัดตั้งคณะกรรมการการท่องเที่ยวภายในหมู่บ้านโนนข่า เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีความพร้อมทั้งทรัพยากรทางการท่องเที่ยวซึ่งประกอบด้วย วัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม และวิถีการดำเนินชีวิต มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เพียงพอสามารถให้บริการนักท่องเที่ยวและไม่มีศักยภาพในด้านคุณค่าทางการศึกษา ความปลอดภัย สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และไม่มีศักยภาพของพื้นที่ในด้านคุณค่าทางการศึกษา ความปลอดภัย สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และไม่มีศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับการพัฒนาทางการท่องเที่ยวและไม่มีศักยภาพในด้านความพร้อมของบุคลากร

๑.๔ ควรมีการปรับปรุง นอกจากนี้ต้องการเพิ่มเติมศักยภาพทางด้านสาธารณูปโภคขั้นสูงในสิ่งต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าที่ระลึก ห้องสุขาสำหรับนักท่องเที่ยว และศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว

๒. ข้อเสนอแนะการทำวิจัยครั้งต่อไป

จากการศึกษาวิจัยผู้วิจัยควรเก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวในเรื่องของการท่องเที่ยวด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของหมู่บ้านโนนข่าอย่างยั่งยืน

 

เอกสารอ้างอิง

 

กรมการท่องเที่ยว. (๒๕๕๙). สถิตินักท่องเที่ยวภายในประเทศไทยปี พ.ศ.๒๕๕๘. ค้นเมื่อวันที่ ๒๕

พฤศจิกายน ๒๕๕๙. จาก  http://tourism2.tourism.go.th/home/details/11/221/25767.

จุฑามาศ  คงสวัสดิ์. (๒๕๕๐). การศึกษาแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัด

       นครปฐม.  นครปฐม :  ภาควิชาพื้นฐานทางการศึกษา.  มหาวิทยาลัยศิลปากร.

ประพัทธ์ชัย  ไชยนอก. (๒๕๕๓). แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กรณีศึกษา

       อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย.  วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต.  บัณฑิตวิทยาลัย.

มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.

ไทยตำบลดอดคอม. (๒๕๕๘). กลุ่มสตรีทอผ้าไหม.  ออนไลน์  สืบค้นเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐.

จาก http://www.thaitambon.com/shop/02516102414

หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงชุมชนต้นแบบบ้านโนนข่า. (๒๕๖๐).  รูปการทอผ้าไหมและทอเสื่อ.  ออนไลน์

สืบค้นเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐. จาก https://www.facebook.com/%E0%B8%AB%

%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B

ภูสวัสดิ์  สุขเลี้ยง. (๒๕๔๕). การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม :  กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วย

       โป่งผาลาด อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย.  การค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต

สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว. บัณฑิตวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ศูนย์บริการข้อมูลอำเภอ. (๒๕๕๗). ที่ทำการปกครองอำเภอชนบท.  ค้นเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน

๒๕๕๙. จาก http://www.amphoe.com/menu.php?mid=1&am=63&pv=5.

สุภางค์  จันทวานิช. (๒๕๕๖). การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ. กรุงเทพฯ :

โครงการตำราพื้นฐานคณะรัฐศาสตร์.  สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อรวิชญ์  กันตะยา. (๒๕๕๖). แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของหมู่บ้าน

       ธาตุสบแวน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา.  การค้นคว้าโดยอิสระ  บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต

สาขาวิชาบริหารธุรกิจ. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.

การจัดซื้อในโซ่อุปทาน

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การจัดซื้อในโซ่อุปทาน 

ประเภทผลงานทางวิชาการ : ตำรา

ปีที่พิมพ์ : 2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : เป็นตำราที่ผ่านการพิจารณาขอตำแหน่งทางวิชาการผู้ช่วยศาสตราจารย์

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ :  ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิตยา มณีวงศ์  สาขาวิชาการจัดการโลจีสติกฺส์   คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

          …………………………………………………………………………….

          ตำรา เรื่อง “ การจัดซื้อในโซ่อุปทาน”  เรียบเรียงขึ้น โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์นิตยา มณีวงศ์   สาขาวิชาการจัดการโลจีสติกฺส์   คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นตำราที่ใช้ในการเรียนการสอนที่เป็นวิชาเอกบังคับ รายวิชา การจัดซื้อในโซ่อุปทาน ให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาและสำหรับผู้สนใจทั่วไป  จุดเน้นของตำรานี้ สำหรับศึกษาหาความรู้เบื้องต้นของการจัดซื้อ ที่เป็นกิจกรรมของโลจิสติกส์อันดับแรกในโซ่อุปทาน  นักจัดซื้อที่ดีต้องมีความรู้ ทักษะ ความเข้าใจในวัตถุดิบ สินค้าที่แสวงหาความต้องการเพื่อตอบสนองให้แก่ผู้ใช้ในองค์กรและผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มสุดท้าย สำหรับเนื้อหาในตำราเล่มนี้จะครอบคลุมภาพรวมของจัดซื้อเบื้องต้น มีทั้งหมด 10 บท  ประกอบด้วย แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ จัดซื้อในโซ่อุปทาน วิธีปฏิบัติในการจัดซื้อ การจัดองค์กรจัดซื้อ การจัดซื้อในภาครัฐ การบริหารงานจัดซื้อ            คุณภาพของวัตถุดิบ สินค้า บริการ การสร้างความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ กลยุทธ์การจัดซื้อ และการเจรจาต่อรอง  ซึ่งในแต่ละบทจะมีภาพและตารางแสดงข้อมูลเพื่อความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปที่ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการจัดซื้อในโซ่อุปทานเบื้องต้นและนำประยุกต์ใช้ในแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละองค์กร หรือประกอบกิจการของตนเอง ดังรายละเอียดสรุปของแต่ละบทดังนี้

 

บทที่  1

แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดหา

          การจัดซื้อ  จัดหา  ถือว่าเป็นกิจกรรมแรก  (Inbound Logistics)   ในโลจิสติกส์ และโซ่อุปทาน ฝ่ายจัดซื้อ จัดหา ต้องทราบความต้องการของผู้ใช้ที่อยู่ทั้งภายในและลูกค้าภายนอก การให้ความสำคัญของทั้งสองกลุ่มถือว่าเป็นการรับผิดชอบเบื้องต้น การจัดซื้อ มีความสำคัญต่อธุรกิจภาคเอกชนและองค์กรของรัฐ ระบบการบริหารงานด้านการจัดซื้อ มีผลที่ดีต่อการสร้างกำไรให้แก่รัฐและองค์กรภาคเอกชน วัตถุประสงค์ของการจัดซื้อ เพื่อทราบแนวทางและให้ตรงกับวัตถุประสงค์ ตามด้วยนโยบายการจัดซื้อที่กล่าวถึง เช่น คุณภาพ ราคาที่เหมาะสม ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้  เป้าหมายของการจัดซื้อจัดหาในด้านวัตถุดิบหรือบริการที่ประกอบด้วย ความถูกต้องของลักษณะวัตถุดิบ สินค้า ปริมาณที่ถูกต้อง สถานที่ถูกต้อง ราคาถูกต้อง เวลาถูกต้อง ผู้ขายที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการซื้อ การบริการที่ถูกต้อง  นอกจากนี้  การจำแนกสินค้าที่มีการซื้อ ทั้งที่เป็นสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าอุตสาหกรรม รูปแบบของการจัดซื้อและสุดท้ายเป็นการเข้าใจวงจรชีวิตของวัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูป ที่ทำให้นักจัดซื้อได้เข้าใจ วางแผน และตัดสินใจอย่างเหมาะสมในเรื่องของช่วงชีวิตของวัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูปในปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม

 

บรรณานุกรม

ทวีศักดิ์ เทพพิทักษ์.  (2550).  การจัดการลอจิสติกส์.  กรุงเทพฯ : เอ็กซปอร์เน็ท.

ปราณี ตันประยูร.  (2556).  การจัดซื้อเบื้องต้น.  ค้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2558  จาก

http://www.nsru.ac.th/e-learning/sonthaya/lesson% 208/lesson%208.html.

รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์.  (2557).  ปลัดคลังเผยใต้โต๊ะพุ่ง 30% ดันกฎหมาย จัดซื้อจัดจ้าง สกัด

คอร์รัปชั่น.  ค้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2558 จาก  www.tdir.orth/tag/รังสรรค์-ศรีวรศาสตร์/

วิทยา สุหฤทดำรง.  (2546).  งานบริหารงานโลจิสติกส์อุปทานและอุปสงค์การจัดการวัสดุการส่ง

          บำรุง. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.

สุมนา อยู่โพธิ์.  (2540).  การซื้อและการบริหารพัสดุ.  กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

หทัยวรรณ ทวีเมือง.  (2540).  แนวทางการจัดซื้อ.  ค้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2558.  จาก

http:/thawimumng.blog.com/2008/09/blog-post_9821.html.

________.  (2556).  ผลิตภัณฑ์ – Marketing.  สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2557 จากข้อมูล

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ elearning.bu.ac.th/mua/course/mk212/ch7.htm MK212: chapter 7.

________.  (2555).  แนวคิดเกี่ยวกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์.  สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2557 จาก

ข้อมูล  www.stou.ac.th/stouonline/data/sms/market/Unit 4/…/U431-1.htm

Betts, S.C. and Taran, Z.  (2003).  Leveraging  Brand Equity: A Life cycle Approach to

          sharing   Economic Rents,  International Business & Economics Research journal

2(7). 67-70.David J. ( 2007).   International Thomson Publishing.  สืบค้นเมื่อวันที่ 14

เมษายน 2557 จาก ข้อมูล

https://plus.google.com/105946574826885250469/…/Xbbn6uQc4v1  QFD

Jim Pregler, C.P.M,. (2003).  Specification Development: An Overview, NIGP Technical

Bulletin4.

Monczka, et al.  (2555).  Purchasing.  สืบค้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558  จาก

www.logisticscorner.com/index.php?option=com_conten&view=artical&id=194:-

purchasing-process & catid=37:procurement&Itemid=88).

Pooler H. Victor & Pooler.  (2012).  Purchasing and Supply Management: Creating the

          Vision.  Springer, Softcover.

 

 

บทที่ 2

โซ่อุปทานกับงานจัดซื้อ

          การได้เข้าใจภาพรวมของโซ่อุปทาน เห็นการเชื่อมโยงของการทำงานทุกฝ่ายเพื่อการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพทั้งภายในองค์การและภายนอกองค์กร ด้วยการใช้บริการภายนอกในเรื่องการขนส่ง คลังสินค้า การใช้เทคโนโลยีมาประสานข้อมูลข่าวสารทั่วองค์กรธุรกิจเกิดความสมบูรณ์แบบมากขึ้น  การเข้าใจในเรื่องของความสำคัญการจัดซื้อที่มีการจำแนกเป็นกลุ่มวัตถุดิบ กลุ่มอะไหล่สำรอง กลุ่มสินค้าซื้อมาขายไป กลุ่มบริการ และที่จะนำพาให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น ต้องเข้าใจการทำงานทั้งกระบวนการของโซ่อุปทานที่ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพในด้านการจัดซื้อ และบุคคลในกลุ่มจัดซื้อที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญในแต่ละส่วนได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงโซ่คุณค่า เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ตั้งแต่เริ่มดำเนินการ จากกิจกรรมพื้นฐานที่ประกอบด้วย โลจิสติกส์ขาเข้า (Inbond Logistics) การปฏิบัติการ (Operations) โลจิสติกส์ขาออก (Outbound Logistics) การตลาด&การขาย (Marketing and Sales)  บริการ (Service)  และกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะสนับสนุนการทำงานของกิจกรรมหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานขององค์กร การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดซื้อจัดหาปัจจัยการผลิต เพื่อประโยชน์สูงสุด มิใช่เรื่องของกำไรของแต่ละกิจกรรมแต่เป็นการได้กำไรให้องค์กรทั้งหมด

 

บรรณานุกรม

ธนัญญา วสุศรี.  (2550).  การจัดการโซ่อุปทาน: กรณีศึกษา ปฏิบัติการจากภาคธุรกิจ (พิมพ์ครั้งที่ 1)

กรุงเทพฯ: ไอทีแอล เทรด มีเดีย.

ยรรยง ศรีสม.  (2011).  ห่วงโซ่คุณค่า ในงานโลจิสติกส์.  สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2557.  จาก https://ifuselife.wordpress.com/2011/05/12.

วสันต์ กาญจนมุกดา. (2555).  แบบจำลองโซ่คุณค่า (Value Chain Model). สืบค้นเมื่อวันที่  25

วิศวกรรมอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์.

เอกกมล เอี่ยมศรี.  (2555).  การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า: Value Chain Analysis.  สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2557.  จาก :http://www.oknation.net/blog/print.php?id=887739.

__________.  (2557).   สำนักพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558. จาก http://www.bu.ac.th/knowledgecenter/epaper/jan_june2016/pdf/ac06.pdf.

Benton W.C.  (2007).  Purchasing and Supply Management.  McGraw-Hill International

Edition.

Murray Martin.  (2011).  Introduction To Supply Chain Management.  สืบค้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2559.  จาก http://Logisitics/Supply Chain.about.com.

Michael E. Porter. (1985).  Competitive Advantage.  สืบค้นหาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559. จาก

Logitics.about.com./od/supply chain introduction/a/ainto_scm.htm.

 

บทที่ 3

วิธีปฏิบัติในงานจัดซื้อ

          การดำเนินงานของแผนกจัดซื้อ มีผลต่อการลดต้นทุนและสร้างกำไรให้กับองค์กรธุรกิจ เนื่องด้วย แผนกจัดซื้อเป็นผู้ที่อำนวยความสะดวกในการคัดเลือก คัดสรรวัสดุ วัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูป ฯลฯ ให้กับผู้ใช้ทุกแผนกในองค์กร  และถือว่าเป็นกิจกรรมแรกในการลำเลียงวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต หรือสินค้าซื้อและขายไปก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ดี การสื่อสารที่เข้าใจตรงกันระหว่างแผนกจัดซื้อและแผนกต่าง ๆ ในองค์กร ยิ่งทำให้องค์กรได้เปรียบต่อการแข่งขัน หน้าที่รับผิดชอบของแผนกจัดซื้อ ในเรื่องของความเข้าใจในความต้องการ การกำหนดคุณสมบัติเฉพาะ การเลือกแหล่งขาย การกำหนดราคา การออกคำสั่งซื้อ การติดตามคำสั่งซื้อ การตรวจสอบการเรียกเก็บเงิน การดำเนินกรรมวิธีที่เกี่ยวกับการปฏิเสธ การรับของ การยกเลิกคำสั่ง การบันทึกของผลการจัดซื้อ การทำวิจัย การดำเนินการในเอกสารทั่วไปที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดหา ทำให้ได้รู้กระบวนการดำเนินการจัดซื้อเป็นลำดับขั้นตอน แบบฟอร์มของการจัดซื้อ และสุดท้ายคือเงื่อนไขในการซื้อขายที่จะระบุไว้ในด้านหลังของใบสั่งซื้อที่มีความสำคัญต่อการซื้อขายกับซัพพลายเออร์ด้วยเช่นกัน

 

บรรณานุกรม

จุลศิริ ศรีงามเมือง.  (2536).  การจัดองค์การและการบริหารงานอุตสาหกรรม (พิมพ์ครั้งที่ 1).

กรุงเทพฯ : ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี

พระจอมเกล้าธนบุรี.

สรวิช รัตนพิไชย.  (2554).  กระบวนการจัดซื้อ. บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม สาขาการ

จัดการโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี.  สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม

  1. จาก www.logisticscorner.com.

 

สุมนา อยู่โพธิ์.  (2538).  การจัดซื้อและบริหารพัสดุ.  กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ชวนพิมพ์.

____________.  ความสัมพันธ์ของโซ่อุปทาน.  สืบค้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2558. จาก

http:///www.slidesshare.net และ www.pantavanij.com

อดุลย์ จาตุรงคกุล.  (2547).  การจัดซื้อ.  ปรับปรุงครั้งที่ 6.  โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

___________ . ใบขอซื้อ.  สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559.  จาก http:///

www.freesampletemplages.com.

_______________ . ใบสั่งซื้อ.  สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559.  จาก

http://www.mindphp.com/forums/viewtopic.php?f=140&t=27672.

วิวัฒน์ อภิสิทธิ์ภิญโญ. (2558).  การจัดการต้นทุน.  วารสารข่าวสารเพื่อการปรับตัวก้าวทัน

เทคโนโลยีอุตสาหกรรม.  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน.

 

 

บทที่ 4

การจัดองค์กรในจัดซื้อ

            การจัดองค์การฝ่ายจัดซื้อ ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะการทำงานเป็นทีม ประสานงานให้เข้ากับฝ่ายต่าง ๆ ได้ดี มีการแบ่งงานกันทำตามความถนัด การกระจายอำนาจหน้าที่เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โครงสร้างองค์การฝ่ายจัดซื้อ แบ่งความรับผิดชอบการบริหารเป็น 3 ระดับ ที่เป็นผู้บริหารระดับต้น กลาง และระดับสูง พร้อมทั้งได้เข้าใจ โครงสร้างของฝ่ายจัดซื้อขนาดเล็ก      ที่มีบุคลกรเพียง 2 – 4 คนในการดูแลเรื่องจัดซื้อ แต่ละบุคคลมีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้านและรายงานตรงกับหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อ โครงสร้างขนาดกลางเกิน 2 – 4 คน จะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามแต่ละสินค้าของแต่ละองค์กร และอาจมีรับผิดชอบย่อย ๆ กว่านี้อีก ส่วน โครงสร้างฝ่ายจัดซื้อขนาดใหญ่ จะมีลักษณะการกระจายอำนาจมากขึ้น เพราะมีขนาดการจัดซื้อที่ใหญ่กว่า นอกจากนี้การดำเนินงานของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่มีภาระหน้าที่ความสามารถ การวางแผน การประสานงาน การเจรจาต่อรอง การติดตามงานและยังต้องมีความถี่ในการติดต่อประสานงานกับฝ่ายอื่น ๆ เป็นทั้งที่เป็นไตรมาส เดือน สัปดาห์และวัน ด้วย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงระบบการจัดซื้อแบบกระจายอำนาจ แบบรวมอำนาจที่ขึ้นอยู่กับการนำไปประยุกต์ใช้แต่ละองค์กรแต่ปัจจุบันได้ปรับมาใช้เป็นการผสมผสานระหว่างระบบแบบกระจายสินค้าและแบบรวมอำนาจ

 

บรรณานุกรม

คำนาย อภิปรัชญาสกุล.  (2553).  หลักการจัดซื้อ. กรุงเทพฯ : โฟกัสมีเดีย แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด.  ธิดารัตน์ ภัทราดุลย์. (2555).   เกณฑ์การตัดสินใจในการจัดซื้อ (Criteria in purchasing

               Decisions).    สืบค้นเมื่อวันที่  20 ตุลาคม 2555.  แหล่งที่มา

http://www.logisticscorner.com/index.php/2009- 05-25-00-45- 43/procurement/1426อดุลย์ จาตุรงคกุล. (2547). การจัดซื้อ.  (ปรับปรุงครั้งที่ 4).    กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์.

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

อรุณ บริรักษ์.  (2550) กรณีศึกษา: การบริหารงานจัดซื้อในประเทศไทย.  (พิมพ์ครั้งที่ 1).

กรุงเทพฯ:ไอทีแอล เทรด มีเดีย.

Arjan J. Van Weele,  (2005).   Purchasing & Supply Chain Management: Analysis, Strategy

Planning  and Practice.  (4 th ed.).   Thomson, London.

Michiel R. Leenders, P. Fraser Johnson, Anna E. Flynn and Harold E. Fearon, 2006.

Purchasing and Supply Management with 50 Supply Chain Cases. (13 th ed).

McGraw-Hill,  Singapore.

 

บทที่ 5 การจัดซื้อภาครัฐ

          การจัดซื้อภาครัฐ     เป็นการบริหารพัสดุ  (วัสดุ ครุภัณฑ์)  สิ่งก่อสร้าง     กระบวนการบริหารพัสดุนั้น ประกอบด้วย การกำหนดความต้องการพัสดุ การจัดทำงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง  การควบคุมพัสดุ การจำหน่ายพัสดุ วงจรของการบริหารพัสดุที่วางแผนของการจัดโครงการ แล้วดำเนินข้อกำหนดความต้องการพัสดุที่สอดคล้องกับการบริหารพัสดุ นอกจากนั้นยังกล่าวถึงวิธีการจัดซื้อของภาครัฐ ประกอบด้วย 6 วิธี 1) วิธีตกลงราคา ไม่เกิน 100,000 บาท 2) วิธีสอบราคา เป็นการกำหนดที่เกิน 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท 3) วิธีประกวดราคา ต้องเกิน 2,000,000 บาท 4) วิธีพิเศษ ต้องเกิน 100,000 บาท เฉพาะกรณี ตามข้อ 23 5) วิธีกรณีพิเศษ เป็นการซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการหน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจในกรณีตามข้อ 26  6) วิธีประมูลด้วยระบบอีเล็กทรอนิกส์ที่เกินกว่า 2,000,000 บาท  นอกนั้น จะกล่าวถึง ลักษณะของดำเนินงานแบบ  e- Procurement ที่ปัจจุบันองค์กร    ต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจไม่ต่างกับการประมูลสินค้าและการบริการออนไลน์ ที่ผู้ใช้และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและเข้าใจมากขึ้น เปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ตามมา

 

บรรณานุกรม

เกศอนงค์ ยืนยงชัยวัฒน์.  (2557).  การพัฒนาระบบติดตามการจัดซื้อภาครัฐ.  วิทยาศาสตร์บัณฑิต

สาขาวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ภาควิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะ           เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

คำนาย อภิปรัชญาสกุล.  (2558).  หลักการจัดซื้อ.  กรุงเทพฯ : โฟกัสมีเดีย แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด.

พรวิลัย เดชอมรชัย.  ( 2556).   เอกสารการอบรม เรื่องแนวทางการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ. สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง.

วนิดา วรรณรัตน์.  (2548).   ปัญหาการปฏิบัติงานบัญชีขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขต

หนองบัวลำภู. การค้นคว้าอิสระ บธ.ม. (การบริหารธุรกิจ).  เชียงใหม่:มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

สิริเกียรติ์ บุญวรเศรษฐ์.  (2547).  การจัดซื้อเชิงกลยุทธ์.  วารสาร logistics Thailand, 2(17), 50-52.

สุนันทา บุญญกิตติกุล.  (2547).  การศึกษาเปรียบเทียบระบบการจัดซื้อจัดจ้างแบบเดิมกับระบบ e-       Procurement.  สารนิพนธ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต.

อดุลย์ จาตุรงคกุล. (2547).  การจัดซื้อ, ปรับปรุงครั้งที่ 4.  กรุงเทพฯ :มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

อรุณ บริรักษ์.  (2550).  กรณีศึกษา: การบริหารงานจัดซื้อในประเทศไทย (พิมพ์ครั้งที่ 1).

กรุงเทพฯ :ไอทีแอล เทรด มีเดีย.

 

 

บทที่ 6

การบริหารงานจัดซื้อ

          ทุกองค์กรได้ให้ความสนใจ การบริหารจัดซื้อในเรื่องของการสั่งซื้อวัตถุ เพื่อการผลิต หรือการสั่งซื้อเพื่อการบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า การที่ทำให้ลูกค้าพอใจได้นั้น เกิดจากหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายจัดซื้อ ประกอบด้วย ผู้ใช้ ผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้จำหน่ายและบัญชี ต้องประสานงานกันในเรื่องข้อมูลต่าง ๆ อันส่งผลให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ นอกจากนี้ 7Rs’ เป็นหัวใจสำคัญของการจัดซื้อที่ต้องคำนึง คุณภาพตรงความต้องการ (Right Quality) ปริมาณที่เหมาะสม/ต้องการ (Right Quantity) การส่งของได้ถูกสถานที่ (Right Place) ต้องมีการคำนึงถึงส่วนของการขนส่งหลายรูปแบบที่เหมาะสม การได้ในเวลาที่ต้องการ (Right Time) ตามความต้องการด้านการผลิตและตามความต้องการของลูกค้า การซื้อจากแหล่งเชื่อถือได้ (Right Source) ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีการประเมินผู้ขายว่าไว้ใจได้อย่างไร ด้วยราคาที่ดีที่ยุติธรรม (Right Price) เรื่องราคาเป็นส่วนที่กระทำได้ยากที่สุด เนื่องจากนักจัดซื้อต้องการซื้อในราคาที่ถูกที่สุดต่อหน่วยหรือต่อปริมาณ แต่ไม่ได้คำนึงถึงมองภาพรวมของต้นทุนทั้งหมด และการส่งให้ลูกค้าที่ถูกต้อง (Right Service/Customer) เป็นส่วนปลายทางที่มีผลต่อการจัดซื้อที่จะทำให้ลูกค้าประทับใจด้วยการส่งให้ถูกต้อง  และต้องไม่ลืมว่านักจัดซื้อต้องให้ความสำคัญทั้งลูกค้าภายในและภายนอก

 

บรรณานุกรม

เชี่ยวชาญ ชำนาญการ.  (2551).  ทำอย่างไรจึงจะลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืน.  เอกสารการเรียนรู้เคล็ด

ลับการจัดซื้อสืบค้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2557 (www.thai.org/amc) สืบค้นเมื่อวันที่ 25            เมษายน 2557.

บูรณะศักดิ์ มาดหมาย.  (2552).  ซัพพลายเชนในกระบวนการเติมเต็มสินค้าคงเหลือให้เพียงพอ ตลอดเวลา.  ไทยแลนด์อินดัสตรี้ดอทคอม.

นงลักษณ์ บุญสุข.  (2557).  ผู้ที่เกี่ยวข้องในงานจัดซื้อ.  สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2559.  จาก

http:///factoryguide.com.

พรธิภา องค์คุณารักษ์.  (2553).  การจัดการโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเกษตรเบื้องต้น.  กรุงเทพฯ:

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

สุชาติ ศุภมงคล.  (2552).  Lean Organization by reduced Inventory Cost.

ThailandIndustry.com

สุชาติ ศุภมงคล.  (2009).  การหาค่าของการสั่งซื้อ (Cost of Order).  ไทยแลนด์อินดัสตรี้ดอทคอ

หทัยวรรณ ทวีเมือง.  การจัดซื้อ.  สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559.  จาก       http://thawimuang.blogspot.com/2008/09/blog-post_9821.html.
Alen Rushton, John Oxley, PhillCrocher.  (2000).  The Handbook of Logistics and Distribution

Arjan J. Van Weele.  (2005).  Purchasing& Supply Chain Management: Analysis Strategy,          Planning and Practice. 4thed.  London: Thomson Learning.

Daniel Hultreng. (2014).  The B2B Pricing & Sales Blog.  สืบค้นเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559.

จาก http:///www.pricingleadership.com

Deming, Juran, Crosby, Feigenbaum, Ishikawa.  (2010).  A reflection of different TQM Approaches: Deming, Juran, Crosby, Feigenbaum, and Ishikawa. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558.  จาก http:///www.twostepaheadtoday.com.

Michiel R Leenders, and others.  (2006).  Purchasing and Supply Management with 50 Supply           Chain Cases. 13th ed. Singapore: McGraw-Hill.

 

บทที่ 7

คุณภาพของวัตถุดิบสินค้าและบริการ

          นักจัดซื้อต้องให้สำคัญ คุณภาพของวัตถุดิบ สินค้า และบริการ องค์ประกอบของคุณภาพที่ดีคือ มีข้อกำหนดของสเปค (Conform to Spec.) และความเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์ (Fit for Purpose) บทบาทของฝ่ายจัดซื้อในการออกข้อกำหนด ต้องได้รับความร่วมมือกับผู้ใช้ทุกแผนกขององค์กร  การใช้เครื่องมือ เทคนิค วิธีปฏิบัติสำหรับนักจัดซื้อในโซ่อุปทาน ที่มิได้มองเฉพาะแค่ในองค์กรแต่ต้องมองในภาพรวมทั้งภายในและภายนอกที่มีผลต่อการดำเนินงานของโซ่อุปทาน เช่น การจัดการเรื่อง การใช้เงินในการจัดซื้อ (Spend Analysis) และการใช้ กฎ 20/80 และการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ ABC เพื่อรับทราบการใช้เงินของกลุ่มจัดซื้อและการบริการจัดการ ตามกลุ่มงบประมาณของแต่ละซัพพลายเออร์ รวมถึงการเขียนข้อกำหนดของการบริการที่ยากต่อการเขียนเพราะที่ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขได้ เพราะอาศัยความรู้สึกของผู้ใช้และลูกค้า ประเภทของการให้บริการจำแนกตามความสำคัญของการบริการในฐานะที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงาน และตามระดับความคาดหวังของผู้รับบริการ

 

บรรณานุกรม

กิตติกร โชติสกุลรัตน์. (2550).  การศึกษาและการจัดการข้อมูลรายจ่าย (Spend Analysis) วารสาร

อิเล็กทรอนิกส์ ฉบับที่ 41 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ www.pantavanij.com.

รวีวรรณ โปรยรุ่งโรจน์. (2551).  จิตวิทยาการบริการ. กรุงเทพฯ :โอเดียนสโตร์, หน้า 15-18.

สมวงศ์ พงศ์สถาพร. (2550). เคล็ดไม่ลับการตลาดบริการ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ:ยูบีซีแอลบุ๊คส์        Prepareto principles: http://iamia.wordpress.com.

Gelderman, C. J., & Van Weele, A. J. (2003).  Handling measurement issuesand strategic

            directions in Kraljic’s purchasing portfolio model. Journal of purchasing and supply          management, 9(5), 207-216.

Juran J.M.  (1998).  Juran’sQuality.  Handbook: McGraw Hill.

Kraljic, P. (1983). Purchasing must become supply management. Harvard business review, 61(5), 109-117.

Kotler, P., &Aderson, A.R. (1987).  Strategic Marketing of Behavior: A Meta Analysis of the            Empirical Literature.  “ Personally and Social Psychology Bulletin 21 (No. 1, January)

Render B, Stair Jr R, Hanna M.E.  (2015). Quantitative Analysis for Management (12/E).

Prentice Hall.

Zeithaml, V.A. Parasuraman, &Berry. (1985).  Problem and Strategic in Service Marketing. Journal of Marketing 49 (6) ,12 – 14.

 

บทที่ 8

ความสัมพันธ์ระหว่างจัดซื้อกับซัพพลายเออร์

          การบริหารความสัมพันธ์ซัพพลายเออร์ (Supplier Relationship Management) ที่ผู้บริหารต้องให้ความสนใจเพราะเป็นการสร้างความมั่นใจและร่วมมือการทำงานระหว่างองค์กรและคู่ค้า ในดำเนินการด้วยความราบรื่น แต่การสร้างความสัมพันธ์นั้นจะขาดไม่ได้คือ ต้องมีการจัดกลุ่มพัสดุ สินค้า บริการ (Supply Position Model) เพื่อได้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติงานของแต่ละกลุ่มการทำงานได้อย่างเหมาะสม ในขณะเดียวกันยังต้องเข้าใจระดับความน่าสนใจในสายตาของซัพพลายเออร์ (Supply Perception Model) ที่พิจารณาถึงองค์กรฯ จัดซื้อในด้านชื่อเสียง ขนาดของบริษัท การสั่งซื้อสม่ำเสมอ การชำระเงินด้วยความยุติธรรม ฯลฯ นอกจากนั้น ระดับความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรจัดซื้อกับซัพพลายเออร์ที่ต้องพิจารณาเข้าใจ และการพัฒนาซัพพลายเออร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร

 

บรรณานุกรม

เชี่ยวชาญ รัตนามนัทธนะ.  (2557).  เจาะลึกกลุยทธ์ของนักจัดซื้อมืออาชีพ.  เอกสารประกอบการ

บรรยาย ในวันที่ 12 กันยายน 2557.  ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 15 โรงแรมเมเปิล บางนา.

ไชยยศ ไชยมั่นคง.  (2556).  กลยุทธ์โลจิสติกส์และซัพพลายเชนเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก.

(พิมพ์ครั้งที่ 7).  นนทบุรี: ดวงกมลสมัย.

ชนิดา พงษ์พานารัตน์.  (2554).  การพัฒนาและทดสอบความตรงของตัวชี้วัดกระบวนการบริหาร

ซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมบริการ.  สถาบันวิจัยและคำให้ปรึกษา

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ธนัญญา วสุศรี.  (2550).  การจัดการโซ่อุปทาน กรณีศึกษาปฏิบัติการภาคธุรกิจ.  Logistics Book.

กรุงเทพฯ: น. 80.

ธนิต โสรัตน์.  (2550).  การประยุกต์ใช้โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน.  กรุงเทพ: ประชุมทอง พริ้นติ้ง

กรุ๊ป.

วีรวิชญ์ เลิศไทยตระกูล.  (2553).  Supplier Relationship Management.เอกสารประกอบการสอน

สถาบันไทย-เยอรมัน www.east.spu.ac.th/business/depart…/Open_knowledge_count.php?

อดุลย์ จาตุรงคกุล.  (2552).  การจัดซื้อ.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

Bernard Burnes & Barrie Dale.  (1998).  Working in Partnership.  Sloan Management Review         Summer.

Fitzgerald, Kevin R.,  (2000).  Purchasing Occupies Key Position in Supply Chain, Supply

            Chain   Yearbook 2000. Cahners: New York.

Kraljic, P. (1983).  Purchasngmus become supply management.  Harvard Business Review.

Tennyson, R. & Wilde L.  (2000). The guiding hand: brokering partnerships for sustainable        development (ed. S. McManus).  United Nations Department of Public Information.

 

บทที่ 9

กลยุทธ์การจัดซื้อ

          ในการดำเนินต่างๆ ของการวางแผนกลยุทธ์จัดซื้อ ต้องทราบขั้นตอนการเนินการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ การเตรียมความพร้อม ดำเนินการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ การประเมินผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อดำเนินการตามการวางแผนกลยุทธ์จัดซื้อแล้ว ต้องพิจารณาถึง กลยุทธ์จัดซื้อที่จะนำมาใช้  ประกอบด้วย กลยุทธ์เชิงปริมาณ กลยุทธ์เชิงต้นทุน และกลยุทธ์เชิงคุณภาพ การดำเนินกลยุทธ์ใดก็ตามขึ้นอยู่กับนโยบายขององค์กรและปัจจัยที่เกื้อหนุนการดำเนินการ เพราะกลยุทธ์ที่นำประยุกต์มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน จะมีประโยชน์ต่อการบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ แต่ไม่สามารถกล่าวว่าประยุกต์ใช้กลยุทธ์ใดที่ดีที่สุด และที่สำคัญการวางแผนกลยุทธ์ที่ดีนั้น ต้องทราบถึงกลยุทธ์ด้านราคาของผู้ขายเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งการวางแผนกลยุทธ์การจัดซื้อและกลยุทธ์ด้านราคาขายของซัพพลายเออร์

 

บรรณานุกรม

โทมัส, ที. เอ็น.  (2551).  กลยุทธ์การตั้งราคา [The Strategy and Tactics of Pricing]

(สุวินัย ต่อศิริสุข, ผู้แปลและเรียบเรียง).  กรุงเทพฯ: :ซีเอ็ดยูเคชั่น.

ธวัชชัย มงคลสกลฤทธิ์.  (2550).  คัมภีร์การตั้งราคาสินค้า: Power pricing.

กรุงเทพฯ: ไอ เอ็ม บุ๊คส์.

ธิดา ชีวศรีพฤฒา.  (2548).  การเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรด้วยการจ้างงานภายนอก กรณีศึกษาเทศโก้ โลตัส

ภาคนิพนธ์ (ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.

สุมนา  อยู่โพธิ์, 2538.  การจัดซื้อและบริหารพัสดุ.  กรุงเทพฯ: ชวนพิมพ์.

Pantavanij.  (2550).  วารสารอิเล็กทรอนิคส์. ฉบับที่ 44 ประจำเดือนพฤษภาคม 2550.  สืบค้น 21

มิถุนายน 2559.  จาก http://www.pantavanij.com.

อรุณ บริรักษ์.  (2550).  กรณีศึกษาการบริหารงานจัดซื้อ ในประเทศไทย.  เล่มที่ 2: 134-136

กรุงเทพฯ : ไอทีแอล เทรด มีเดีย.

Michael E. Porter.  (1985).  Competitive Advantage: Creating and Sustaining

Performer อ้างใน การจัดการเชิงกลยุทธ์กรณีศึกษา จาก ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ.

กรุงเทพฯ:ธรรมสาร ปี 2546.

Robert E. Speakman  & Michiel R. Leenders.  (2550).  Purchasing  Strategies

(1st ed.). McGraw-Hill.pp.

 

บทที่ 10

การเจรจาต่อรอง ข้อตกลงเกี่ยวกับกฎหมายและจรรยาบรรณของนักจัดซื้อ

                ในกระบวนการทำงานด้านการจัดซื้อ วิธีการซื้อ เป็นสิ่งสำคัญที่นักจัดซื้อต้องแสวงหาแหล่งขายที่สามารถตอบสนองความต้องการและได้ประโยชน์สูงสุด วิธีการจัดซื้อที่นิยมมากที่สุด คือ การเจรจาต่อรองรวมถึงเงื่อนไขต่าง ๆ กับผู้ขาย  และนักจัดซื้อต้องมีทักษะในการเจรจาต่อรองอย่างชาญฉลาดด้วยความเข้าใจหลักการ เพิ่มทักษะ และความมีเหตุผลการเจรจาต่อรอง ผู้เจรจาต่อรองต้องรู้จักการพูด การฟัง ต้องศึกษาข้อมูลทั้งสองฝ่ายให้มาก รู้ต่อรอง อย่ารีบร้อนหรือตัดสินใจเร็ว ไม่เปิดเผยความลับหรือจุดอ่อนของตนเอง มีความยืดหยุ่น มีข้อมูลหลายประเภท รวมทั้งมีพื้นฐานในเรื่องของกฎหมายลักษณะการซื้อขายหลักฐานเพื่อการฟ้องร้องบังคับคดีและเรื่องจรรยาบรรณในการซื้อขาย

 

บรรณานุกรม

กองบรรณธิการ.  (2553).  Winning Negotiation. กรุงเทพฯ: ไอ เอ็มบุ๊คส์.

กอบกาญจน์ วิเศษรัมย์.  (2556).  ทักษะเพื่อการสื่อสาร.  (พิมพ์ครั้งที่ 5).  กรุงเทพฯ:

โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์.

เกียรติกศักดิ์ วัฒนศักดิ์.  (2553).  การเจรจาต่อรอง.  วารสารนักบริหาร 30 (1): 74-75. มหาวิทยาลัย

กรุงเทพ.

ขนบพันธุ์ เอี่ยมโอกาส.  (2543).  การจัดการบริการลูกค้า.  (พิมพ์ครั้งที่ 2).  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ณัฏฐ์ชุดา วิจิตรจามรี.  (2558). การสื่อสารในองค์กร. (พิมพ์ครั้งที่ 3).  กรุงเทพฯ:   มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

ไพโรจน์ บาลัน.  (2549).  การเจรจาต่อรอง.  กรุงเทพฯ: เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด.

สร้อยตระกูล อรรถมานะ.  (2541).  พฤติกรรมองค์การ: ทฤษฏีและการประยุกต์.  กรุงเทพฯ:    มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หน้า 201 -205.

วารุณี ผสมบุญ.  (2553).  การเจรจาต่อรองของหัวหน้าหอผู้ป่วยและพยาบาลประจำการ

            โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์.  การศึกษาค้นคว้าอิสระ.  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

วิชัย ปิติเจริญธรรม.  (2548).  การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ.  กรุงเทพฯ: วันเนส มีเดีย.

เคน ลองดอน.  (2551).  การเจรจาต่อรองทางธุรกิจ[Succeed of Negotiation].วรินดา อลอนโซ,

ผู้แปลและเรียบเรียง).  กรุงเทพฯ: กู๊ดมอร์นิ่ง.

AkanitSamitabindu.  (2558).  Essential Knowledge for Purchasing Professional #1.

Purchasing and Supply Chain Management Association of Thailand.

Prinkley, Robin L.  (1990).  Dimension of conflict frame: Disputant interpretations of

            conflict.  Journal of Applied Psychology, Vol 75(2), Apr 1990: 117.

 

สนใจติดต่อ

ผศ.นิตยา  มณีวงศ์  สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โทร.062-1985669

การสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด “การอยู่ร่วมกัน” 

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด “การอยู่ร่วมกัน”

ปีที่พิมพ์ : 2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทีทัศน์วัฒนธรรม สำนักศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาปีที่ 16 ฉบับที่ 1 (มกราคม – ธันวาคม 2560)

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ : อาจารย์ ธนกร สรรย์วราภิภู  อาจารย์ประจำสาขาวิชานาฏยศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

 

          บทความวิจัย เรื่อง  การสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด “การอยู่ร่วมกัน ”The creation of contemporary dance from the question of creation to contemporary dance composition “Kan Yuu Ruam Gun” ผู้ศึกษา คือ อาจารย์ธนกร สรรย์วราภิภู  อาจารย์ประจำสาขาวิชานาฏยศิลป์  คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย จากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย  การอยู่ร่วมกัน ของกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาขงจื้อ โดยต้องคำนึงถึงการออกแบบโครงเรื่องการแสดง การออกแบบการเคลื่อนไหว การออกแบบเสียงและดนตรีประกอบ การออกแบบเครื่องแต่งกาย และการออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง  กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านแขกมุสลิมบ้านสมเด็จ

          สาระสำคัญของบทความวิจัยนี้ 

          การดำเนินการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด เราอยู่ร่วมกัน มีการคำนึงถึงการออกแบบโครงเรื่องการแสดงที่นำลักษณะเด่นของคำสอน  ด้านการอยู่ร่วมกันมาใช้วางโครงเรื่อง การคำนึงถึงการออกแบบการเคลื่อนไหว ผู้วิจัยได้ให้ความสำคัญ ในการเลือกใช้ท่าทางที่สามารถสื่อความหมายของโครงเรื่องที่ได้ถูกวางไว้ให้เกิดความชัดเจนมากที่สุด  ตามข้อมูลที่ได้ศึกษา การคำนึงถึงการออกแบบเสียงและดนตรีประกอบ ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นจินตนาการและสร้างบรรยากาศการแสดงให้ผู้ที่ได้รับชมเกิดความคล้อยตามทางอารมณ์ การคำนึงถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายสอดคล้องกับแนวคิดทางศาสนา และการคำนึงถึงการออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดงที่สามารถนำมาใช้พัฒนา สนับสนุนการแสดงให้เกิดรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย

          การนำไปใช้ประโยชน์

          เห็นได้ว่าการตั้งประเด็นคำถามในแต่ละองค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานมีเป้าหมายในการดำเนินการ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้วิจัยในการศึกษาหาข้อมูลที่จะมุ่งเน้นไปยังประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการสร้างสรรค์ให้เกิดผลงานที่มีลักษณะเฉพาะและมีความแตกต่างออกไปจากการแสดงนาฏยศิลป์ชิ้นอื่น ๆ

 

 

การสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด “การอยู่ร่วมกัน”

The creation of contemporary dance from the question of creation to contemporary dance composition “Kan Yuu Ruam Gun”

ธนกร สรรย์วราภิภู / Tanakorn Sunvaraphiphu[1]

บทคัดย่อ

          ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยมีแนวความคิดที่จะสะท้อนคุณค่าทางผลงานการสร้างสรรค์ที่ปรากฏให้เห็นถึงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การเข้าร่วมกิจกรรมของผู้คนในชุมชน และใช้แนวคิดในการหาข้อมูลเฉพาะพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏยศิลป์ร่วมสมัยที่เป็นปัจจุบัน เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์      ร่วมสมัยโดยเลือกกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มประชากรในชุมชนบ้านแขกมุสลิมบ้านสมเด็จใช้วิธีการศึกษาข้อมูลเชิงเอกสาร สัมภาษณ์จากประชากรในชุมชน และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) ในการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์สำหรับจัดวางองค์ประกอบทางการแสดงอย่างมีเหตุผล จากการดำเนินงานทำให้ได้องค์ประกอบการแสดงต่าง ๆ สู่ผลงานการแสดงนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด “การอยู่ร่วมกัน” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ

คำสำคัญ: นาฏยศิลป์ร่วมสมัย, องค์ประกอบ, การสร้างสรรค์

 

Abstract

          Contemporary dance works have the concept to reflect on the value of creative work that is reflected in the promotion of art and culture. The participation in community activities and use the concept of site-specific research to create contemporary dance work in present time to find a way to create contemporary dance work from the question of creation to contemporary dance compositions by selecting the target from population in Bansomdej Islamic Communities, document, interview, and non-participant observation non-participatory observation. To create contemporary dance works by setting the dictation question for the production of theatrical compositions. From this performance, the elements of the show are transformed into a unique contemporary dance performance “Kan Yuu Ruam Gun”.

Keywords: Contemporary dance, Composition, Creative

 

บทนำ

          บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยเรื่อง “การยอมรับบุคคลภายนอกชุมชนบ้านแขกสะท้อนผ่านนาฏยศิลป์ร่วมสมัย” ผู้วิจัยค้นคว้าข้อมูลพร้อมได้รับคำสัมภาษณ์ถึงปัญหาว่า “คนทั่วไปมักเหมากลัวรวมคนอิสลามโดยไม่สามารถแยกแยะวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นได้ ส่งผลให้ชาวมุสลิมบางคนถูกมองว่าเป็นบุคคลน่ากลัวไม่น่าเข้าใกล้” (ชนัญรักฒ์ สุวรรณวัฒน์, ๒๕๖๐) ผู้วิจัยเห็นว่าจากกรณีดังกล่าวอาจส่งผลไม่ดีโดยตรงต่อผู้คนในชุมชนบ้านแขกมุสลิมบ้านสมเด็จที่ก่อตั้งอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาถูกมองเป็นที่ไม่ยอมรับและเป็นหวาดกลัวต่อผู้คนภายนอกชุมชนเนื่องจากผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนี้เป็นชาวมุสลิมร้อยละ ๙๐ ของประชากรทั้งหมดในชุมชน อาจเกิดเกิด “โรคหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia)” เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นสำหรับผู้ที่ต่อต้านชาวมุสลิมและนับวันจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Faliq, ๒๐๑๐ : ๖) ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นปัญหาสําคัญที่จําเป็นจะต้องแสดงให้เห็นว่าผู้คนภายในชุมชนบ้านแขกเป็นมิตรและพร้อมที่จะต้อนรับบุคคลภายนอกชุมชนที่จะเข้ามาชื่นชมตามหลักคำสอนในศาสนาเช่นเดียวกับความเชื่อในศาสนาอื่น ๆ ผ่านการวิจัยที่ผู้วิจัยได้ศึกษาและรวบรวมเก็บข้อมูลโดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพและรูปแบบการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มประชากรในชุมชนบ้านแขกมุสลิมบ้านสมเด็จใช้วิธีการศึกษาข้อมูลเชิงเอกสาร สัมภาษณ์จากประชากรในชุมชน และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) จากนั้นตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยในการกำหนดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบการแสดงเพื่อให้ได้ข้อมูลการสร้างสรรค์ตามหลักเหตุและผลของการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยมีแนวความคิดที่จะสะท้อนคุณค่าทางผลงานการสร้างสรรค์ที่ปรากฏให้เห็นถึงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การเข้าร่วมกิจกรรมของผู้คนในชุมชน และใช้แนวคิดในการหาข้อมูลเฉพาะพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานทางนาฏยศิลป์ร่วมสมัยที่เป็นปัจจุบัน

 

วัตถุประสงค์

          เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย

 

วิธีการดำเนินงานวิจัย

          ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการดำเนินงานวิจัยตามขั้นตอน โดยเลือกประชากรและกลุ่มตัวอย่างใช้เครื่องมือในการวิจัยโดยการสำรวจข้อมูลเชิงเอกสาร สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สำรวจข้อมูลภาคสนาม จากนั้นเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูล และสู่กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ในการค้นหาแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยร่วมกับการค้นคว้าหาข้อมูลสำหรับการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้แนวคิดด้านความแตกต่างทางความเชื่อของผู้คนที่นับถือศาสนาอิสลาม        ในชุมชนซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนมากที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านแขกกับผู้ที่นับถือศาสนาที่แตกต่างออกไป และบุคคลภายนอกชุมชนในการอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ผู้วิจัยจึงได้ตั้งประเด็นคำถามตามองค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด การอยู่ร่วมกัน ดังต่อไปนี้

          การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์

                    ผู้วิจัยได้คำถามในการวิจัยโดยยึดตามผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ นราพงษ์    จรัสศรี ได้ให้ความเห็นว่า “การสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ควรประกอบด้วยองค์ประกอบ ๗ ประการ คือ โครงเรื่องการแสดง การเคลื่อนไหว เครื่องแต่งกาย เสียงและดนตรีประกอบ อุปกรณ์ประกอบการแสดง พื้นที่และฉากการแสดง และแสง ถึงแม้ว่าจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่กล่าวมาหากผู้สร้างสรรค์เล็งเห็นว่าองค์ประกอบใดมีความสำคัญที่น้อยผู้สร้างสรรค์ผลงานสามารถนำไปไว้ในส่วนท้ายของลำดับการสร้างสรรค์ได้ เนื่องจากการสร้างสรรค์ทางนาฏยศิลป์ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว สามารถดำเนินงานได้ตามบริบทที่ผู้สร้างสรรค์เห็นสมควร” (นราพงษ์ จรัสศรี, ๒๕๖๐) ผู้วิจัยได้จำแนกออกตามองค์ประกอบของนาฏยศิลป์เพื่อสรุปให้เห็นถึงหลักคิด พื้นฐานการออกแบบ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ ลักษณะของการแสดงเพื่อหาคำตอบในการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยในการวิจัยฉบับนี้

  1. การคำนึงถึงการออกแบบโครงเรื่องการแสดง
  2. การคำนึงถึงการออกแบบการเคลื่อนไหว
  3. การคำนึงถึงการออกแบบเสียงและดนตรีประกอบ
  4. การคำนึงถึงการออกแบบเครื่องแต่งกาย
  5. การคำนึงถึงการออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง

เห็นได้ว่างานวิจัยฉบับนี้ผู้วิจัยไม่ได้ใส่หัวข้อการคำนึงถึงการออกแบบพื้นที่ และแสง เนื่องจากงานวิจัยฉบับนี้เป็นงานวิจัยภาคสนามที่ลงพื้นที่ชุมชน เพื่อเก็บข้อมูลจากชุมชนบ้านแขกมุสลิม     บ้านสมเด็จ โดยเก็บข้อมูล และนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัย ได้เล็งเห็นว่า       การแสดงชุด “การอยู่ร่วมกัน” เป็นการแสดงเฉพาะพื้นที่ที่ถูกสร้างสรรค์จากประเด็นปัญหาที่ผู้วิจัยสนใจ     ในพื้นที่ชุมชนบ้านแขกมุสลิมบ้านสมเด็จ ดังนั้น การแสดงสร้างสรรค์จึงมีความเหมาะสมในการแสดงเฉพาะพื้นที่ซึ่งสอดคล้องกับการออกแบบแสงที่มุ่งเน้นการใช้แสงจากธรรมชาติ

 

          การคำนึงถึงการออกแบบโครงเรื่องการแสดง

          มีการดำเนินการแสดง โดยแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนแรก จะแสดงถึงสัญลักษณ์ของแต่ละศาสนา เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างของแต่ละศาสนา ขั้นตอนที่สอง นำเสนอหลักคำสอนของแต่ละศาสนา ขั้นตอนที่สาม นำเสนอการอยู่ร่วมการของทุกศาสนาโดยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

          ขั้นตอนแรก เป็นการนำท่ารำเข้ามาผสมผสานกัน และนำสัญลักษณ์ของแต่ละศาสนามาใช้ในการแสดง

          ขั้นตอนที่สอง นำเสนอหลักคำสอนของแต่ละศาสนา โดยแบ่งออกเป็น ๔ ศาสนา อันได้แก่

ศาสนาอิสลาม ห้ามกระทำความชั่ว ห้ามเอาเปรียบผู้อื่นทั้งกายและใจ

ศาสนาพุทธ ใช้หลักธรรมเพื่อดำเนินชีวิต คือ อิทธิบาท 4 ได้แก่ ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ (ความเพียร) จิตตะ(ความคิดฝักใฝ่) วิมังสา (การสอบสวนตรวจตรา) พรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา คือความปรารถนาดี กรุณา คือความสงสาร มุทิตา คือชื่นชมยินดี อุเบกขา คือความวางใจเป็นกลาง

ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ สอนให้รักทุกคน และอภัยแก่ผู้ทำผิด

ลัทธิขงจื้อ ให้ตอบแทนความชั่วด้วยความดี

          ขั้นตอนที่สาม เป็นการรวมทุกศาสนาเข้ามาอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สะท้อนวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนบ้านแขก

 

          การคำนึงถึงการออกแบบการเคลื่อนไหว

          เลือกจากท่าพื้นฐานทางนาฎยศิลป์ไทยและนาฏยศิลป์สากล โดยใช้แนวคิด        จากผลการวิจัยแนวคิดในการออกแบบนาฏยศิลป์จากประสบการณ์การแสดงประกอบกับแรงบันดาลใจของอาจารย์สุวรรณี ชลานุเคราะห์ โดยใช้หลักการออกแบบการเคลื่อนไหว ๔ ประการได้แก่ ๑) ใช้หลักการจินตนาการ ๒) ใช้หลักการตีบทผสมผสานท่าทางธรรมชาติ ๓) ใช้หลักการนำท่ารำเก่ามาพัฒนาใหม่ ๔) ใช้หลักการสร้างสรรค์กระบวนท่ารำใหม่ในรูปแบบการรำตีบทตามคำร้องและทำนองเพลง (ณัฏฐนันท์           จันนินวงศ์, ๒๕๕๖ : ออนไลน์) อภิธรรม กำแพงแก้ว ได้กล่าวเสริมว่า ความสามารถในการเป็นนักออกแบบ  ท่าเต้นจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ กระบวนการคิดและการนำเสนอ อาจเป็นหนทางที่นำไปทดลองเพียงให้ตระหนักว่างานการแสดงประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้สร้างงานและของผู้รับชม ที่สำคัญที่สุดคือ    ความลงตัวที่เกิดขึ้นต่อผลงานการออกแบบท่าเต้น (อภิธรรม กำแพงแก้ว, ๒๕๔๔ : ๒๑-๒๘) การสร้างงานทางด้านนาฏยศิลป์มีกระบวนการสร้าง  แบ่งออกเป็น  ๓  แนวทาง  คือ  ๑) สร้างขึ้นจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา  ๒) ดัดแปลงจากงานของผู้อื่น  ๓) จินตนาการท่ารำขึ้นใหม่ ซึ่งท่าที่ใช้ในการแสดงมีท่าหลักของแต่ละศาสนาดังต่อไปนี้

ภาพที่ ๑ ท่าทางแสดงสัญลักษณ์ของแต่ละศาสนา

(ที่มา : ผู้วิจัย)

ท่าที่ ๑ การพนมมือไหว้แสดงถึงศาสนาพุทธ นำมาจาก ท่าทางการไหว้ของชาวพุทธในประเทศไทย

ท่าที่ ๒ การนำมือทั้งสอง ประกบกันบริเวณหน้าผาก และผายมือที่ด้านหน้าของตนเอง เป็นท่าการละหมาด ที่ผู้สร้างสรรค์แสดงถึงศาสนาอิสลาม นำมาจากท่าทางการละหมาดของชาวอิสลาม

ท่าที่ ๓ การมือทั้งสองข้างผสานกันที่บริเวณหน้าอกแสดงถึงศาสนาคริสต์ นำมาจากท่าทางการสวดอ้อนวอนขอพรพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาคริสต์

ท่าที่ ๔ การนั่งคุกเขาและนำมือประสานกันบริเวณด้านหน้าพร้อมก้มศรีษะแสดงถึงลัทธิขงจื้อ นำมาจากท่าทางการเคารพบรรพชนหรือเทพเจ้าในศาลเจ้า

          การออกแบบท่า คือ การนำท่าทางนาฏยศิลป์ไทยที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์ใช้ร่วมกับท่าทางนาฏยศิลป์สากล เพื่อให้เกิดท่าขึ้นใหม่และสื่อถึงการแสดงที่นำเสนอ ซึ่งมีหลักการในการออกแบบท่าส่วนหนึ่งมาจากทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ ของ ผุสดี หลิมสกุล ดังเช่นภาพต่อไปนี้

          ผู้วิจัยนำรูปร่างของรูปหัวใจที่แสดงถึงความรักในศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นโครงสร้างในการออกแบบท่าทาง โดยให้นักเต้นทั้งสองผสานกันและขยายออกโดยมีช่วงตัวที่ซ้อนกัน

ภาพที่ ๒ การออกแบบท่าทางแสดงแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาคริสต์

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          ผู้วิจัยนำท่าทางการรำของภาคใต้เข้ามาใช้ในช่วงการแสดงอิสลามเนื่องจากภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีประชากรชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมการพันผ้าในรูปแบบของหญิงสาวชาวมุสลิม

ภาพที่ ๓ การออกแบบท่าทางแสดงแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาอิสลาม

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          ผู้วิจัยนำท่าทางการละหมาด จัดรูปแบบที่มีระดับไม่เท่ากันซึ่งแสดงให้เห็นถึงระดับชั้นในสังคมพร้อมกับให้หน้ามาหาผู้ชมและแสดงความเคารพโดยใช้ท่าละหมาด ผู้วิจัยต้องการแสดงให้ผู้ชมเห็นว่าชาวอิสลามถูกสอนให้รักและเคารพทุกคนไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ระดับใดก็ตาม

ภาพที่ ๔ การออกแบบท่าทางแสดงแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาอิสลาม

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          ผู้วิจัยได้นำผ้าวางไว้สามผืน และเลือกให้นักเต้นชายเดินบนผืนกลางเนื่องจากหลักคำสอนของชาวพุทธที่ยึดถือปฏิบัติคือการเดินทางสายกลาง ส่วนนักเต้นที่เหลือแสดงให้เห็นถึงความเคารพในศาสนาของตน

ภาพที่ ๕ การออกแบบท่าทางแสดงแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาพุทธ

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          ผู้วิจัยนำผ้าไขว้กันในแนวตั้ง ออกแบบให้ได้สัญลักษณ์ไม้กางแขนที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์

ภาพที่ ๖ การออกแบบท่าสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          ผู้วิจัยออกแบบให้นักเต้นยืนซ้อนกันและเห็นเพียงมือที่มีมากมาย ตามแบบรูปปั้นในลัทธิขงจื้อ

ภาพที่ ๗ การออกแบบท่าทางแสดงแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิขงจื้อ

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          การคำนึงถึงการออกแบบเสียงและดนตรีประกอบ

          การใช้ดนตรีเพื่อค้นหาการเคลื่อนไหว อาศัยประสบการณ์เพื่อความเข้าใจในเครื่องดนตรี เสียง และจังหวะ ดนตรีถือเป็นเครื่องกระตุ้นวัตถุดิบการเคลื่อนไหวให้ออกมาได้เป็นอย่างดี “ดนตรีเป็นส่วนสำคัญสำหรับตนเองที่จะกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและรูปแบบการสร้างสรรค์การสร้างเคลื่อนไหว”      (ธนกร สรรย์วราภิภู, ๒๕๕๘ : ๒๒)

          การคำนึงถึงการออกแบบเครื่องแต่งกาย

          การแต่งกายจะเป็นชุดสีขาวรัดสะเอวด้วยผ้าสีเหลืองอ่อน มัดข้อมือด้วยผ้าสีเหลืองอ่อนเช่นกัน และใช้ผ้าชีฟองสีเหลืงอ่อน แสดงสื่อถึงเรื่องราวที่นำจะเสนอผ่านรูปแบบนาฏยศิลป์ร่วมสมัย โดยใช้หลักการใช้สี ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ อัจฉรา สโรบล โดยสีสามารถแสดงถึงอารมณ์และความรู้สึกได้เช่น สีแดง สีส้ม สีเหลือง จะให้ ความรู้สึกถึงความกระตือรือร้น ความตื่นเต้น ทําให้เกิดความรู้สึก สดใส แจ่มใส ส่วนสีนํ้าเงิน สี เขียว สีม่วง ทําให้มีความรู้สึกสุขุม เคร่งขรึม สงบสบาย ความรู้สึกและคุณภาพของสีมีความสําคัญต่อการวางแผนตกแต่งบ้านหรือที่ ทํางาน และเช่นเดียวกับการเลือกสีเกี่ยวกับเสื้อผ้าด้วย เช่น ในห้องอาหารหรือฟาสท์ฟู๊ด ( fast – food )  ส่วนมากจะใช้สีที่สดใส สบาย ๆ เพื่อจะชักชวนให้ลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารและทานอาหารได้ มาก ๆ  ส่วนสีที่ออกไปทางนํ้าเงินหรือสีเขียว ส่วนมากจะใช้กับที่ที่ต้องการจะให้ความรู้สึกสบาย ๆ พักผ่อน  ร้านหมอหรือโรงพยาบาล ส่วนมากจะเป็นสีขาวหรือสีอ่อน ๆ ให้ความรู้สึกว่าสะอาด       นักธุรกิจในระดับผู้บริหารชั้นผู้ใหญ่ ส่วนมากจะใช้เสื้อสูทสี deep blue หรือสีนํ้าเงินเข้มเพราะดูแล้วจะมีลักษณะน่าเกรงขาม สุขุม

          สำหรับการแสดงชุดนี้ เป็นการแสดงที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่อยู่ร่วมกันในชุมชนบ้านแขก จึงเลือกใช้ชุดสีขาวซึ่งเป็นสีที่มองแล้วรู้สึกเงียบสงบ และใช้ผ้าสีไข่ให้เกิดความแตกต่างยึดสีที่มองแล้วเรียบกลมกลืนกับชุดสีขาวเพื่อให้เกิดความลงตัว ซึ่งประกอบด้วยชุดการแสดงมีดังต่อไปนี้

  • เสื้อแขนยาวสีขาว
  • กางเกงแม้วสีขาว
  • ผ้าคาดเอวสีเหลืงอ่อน

 

เครื่องแต่งกาย  

          เครื่องแต่งกายผู้วิจัยเลือกใช้โทนสีขาว เนื่องจากนำความหมายจากสีขาวในธงชาติไทยเป็นหลักในการเลือกสี โดยให้ความหมายไว้ว่าสีขาวคือสีแทนศาสนา ความบริสุทธิ์ โดยผู้วิจัยได้เลือกใช้เครื่องแต่งกาย ดังนี้

  • เสื้อแขนยาวสีขาว เพื่อมุ่งเน้นสีขาวมากกว่าผิวกายของผู้แสดง
  • กางเกงแม้วสีขาว ให้ความรู้สึกในวัฒนธรรมของเอเชีย เนื่องจากการแสดงนาฏยศิลป์ร่วมสมัยในครั้งนี้มีการใช้ท่าทางประกอบการแสดงที่นำมาจากวัฒนธรรมจากภูมิภาคเอเชียเป็นส่วนมาก
  • ผ้าคาดเอวสีเหลืงอ่อน เพื่อเน้นสรีระของนักเต้นไม่ให้ดูแข็งจนเกิดไปและเลือกใช้สีไข่ไก่เพื่อให้เกิดมิติในการแต่งกายไม่เป็นสีเดียวกันไปทั้งหมด

ภาพที่ ๘ : เครื่องแต่งกาย

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

          การคำนึงถึงการออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง

          ผู้วิจัยนำผ้าชีฟองสีเหลืองเข้ามาประกอบการแสดงเนื่องจากผ้าชีฟองให้ความรู้สึกที่เบา สบายสอดคล้องกับความเชื่อในศาสนาที่ไม่ข้องเกี่ยวกับความรุนแรง และสามารถเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นผู้วิจัยเลือกใช้สีเหลืองเนื่องจากการรวบรวมข้อมูลพบว่าชาวบ้านในชุมชนและนอกชุมชนจะเข้าร่วมทำกิจกรรมร่วมกันในวันพ่อ โดยในขณะนั้นสีประจำพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ คือสีเหลือง อีกทั้งผู้วิจัยต้องการสร้างลักษณะที่แตกต่างในแต่ละศาสนาโดยการนำมาพันกายในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

ภาพที่ ๙ อุปกรณ์ประกอบการแสดง

(ที่มา : ผู้วิจัย)

 

ศาสนาอิสลาม

          ผู้หญิงในศาสนาอิสลาม จะมีการโพกผ้าคลุมศรีษะหรือที่เรียกว่าการ “คลุมฮิญาบ”เปรียบเสมือนเครื่องหมายที่บ่งบอกความเป็นมุสลิม โดยมีความเชื่อในการปิดร่างกายให้มิดชิดโดยเฉพาะในผู้หญิงมุสลิม

ภาพที่ ๑๐ การแต่งกายศาสนาอิสลาม

(ที่มา : ด้านซ้าย ผู้วิจัย, ด้านขวา http://darkroom.baltimoresun.com/wp-content/uploads/2013/07/AFPGetty-521239254.jpg)

ศาสนาพุทธ

          ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการพันผ้าสไบของผู้หญิงไทยเข้ามาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อแสดงออกถึงศาสนาพุทธ

 

ภาพที่ ๑๑ การแต่งกายศาสนาพุทธ

(ที่มา : ด้านซ้าย ผู้วิจัย, ด้านขวา http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/ 2009/02/O7514399/O7514399-11.jpg)

 

ศาสนาคริสต์

          ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการคล้องผ้าด้านหน้าให้อยู่บริเวณหน้าอกและปล่อยชายทั้งสองไว้ด้านหลัง จากภาพจิตรกรรมในโบสถ์ของศาสนาคริสต์

ภาพที่ ๑๒ การแต่งกายศาสนาคริสต์

(ที่มา : ด้านซ้าย ผู้วิจัย, ด้านขวา https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons /9/98/Aachen_cathedral_009.JPG)

 

ลัทธิขงจื้อ

          ผู้วิจัยได้ออกแบบให้นำผ้าคล้องไว้ที่บริเวณข้อพับแขน โดยปล่อยชายผ้าทั้งสองด้านไว้ด้านหน้า ผู้วิจัยได้รับการคล้องผ้าในรูปแบบนี้จากจิตรกรรมภาพวาดในศิลปะจีน

 

ภาพที่ ๑๓ การแต่งกายลัทธิขงจื๊อ

(ที่มา : ด้านซ้าย ผู้วิจัย, ด้านขวา https://www.adssell.net/storage/content_image/ 58/287222/287222_4_2075536657.jpg)

สรุป

          การดำเนินการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย ชุด เราอยู่ร่วมกัน ผู้วิจัยได้ดำเนินการค้นหา            แนวทางการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยจากการตั้งประเด็นคำถามในการสร้างสรรค์สู่องค์ประกอบ     การสร้างสรรค์การแสดงนาฏยศิลป์ร่วมสมัยตามแนวทางของผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยในด้านต่าง ๆ ทั้งการคำนึงถึงการออกแบบโครงเรื่องการแสดงที่นำลักษณะเด่นของคำสอนด้าน      การอยู่ร่วมกันมาใช้วางโครงเรื่อง การคำนึงถึงการออกแบบการเคลื่อนไหวที่ผู้วิจัยได้ให้ความสำคัญ            ในการเลือกใช้ท่าทางที่สามารถสื่อความหมายของโครงเรื่องที่ได้ถูกวางไว้ให้เกิดความชัดเจนมากที่สุดตามข้อมูลที่ได้ศึกษา การคำนึงถึงการออกแบบเสียงและดนตรีประกอบที่มุ่งเน้นการกระตุ้นจินตนาการและสร้างบรรยากาศการแสดงให้ผู้ที่ได้รับชมเกิดความคล้อยตามทางอารมณ์ การคำนึงถึงการออกแบบเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายสอดคล้องกับแนวคิดทางศาสนา และการคำนึงถึงการออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดงที่สามารถนำมาใช้พัฒนา สนับสนุนการแสดงให้เกิดรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย เห็นได้ว่าการตั้งประเด็นคำถามในแต่ละองค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์ร่วมสมัยเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานมีเป้าหมายในการดำเนินการ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้วิจัยในการศึกษาหาข้อมูลที่จะมุ่งเน้นไปยังประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการสร้างสรรค์ให้เกิดผลงานที่มีลักษณะเฉพาะและมีความแตกต่างออกไปจากการแสดงนาฏยศิลป์ชิ้นอื่น ๆ

 

เอกสารอ้างอิง

ชนัญรักฒ์ สุวรรณวัฒน์.  (๒๕๖๐, ๑๗ กุมภาพันธ์).  อาจารย์ ประจำสาขาธุรกิจอิสลามศึกษา

                    คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.  สัมภาษณ์.

ณัฏฐนันท์ จันนินวงศ์. (๒๕๖๐). การออกแบบลีลานาฏยศิลป์ไทยของอาจารย์สุวรรณี ชลานุเคราะห์ ศิลปินแห่งชาติ

                    ปี พ.ศ.๒๕๓๓. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ธนกร สรรย์วราภิภู.  (๒๕๕๘). กระบวนการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์,

                    (๒), ๑๗-๒๙.

นราพงษ์ จรัสศรี. (๒๕๖๐, ๗ กุมภาพันธ์).  ศาสตราจารย์ ประจำภาวิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์

                    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  สัมภาษณ์.

อภิธรรม กำแพงแก้ว. (๒๕๔๔). งานออกแบบท่าเต้น. วารสารศิลปกรรมศาสตร์, (๑), ๒๑-๒๘.

Abdullah Faliq. (2010). Islamophobia and Anti-Muslim. Hatred: Causes&Remedies.

                    Arches Quarterly.  London: The Cordoba Foundation.

การลดสัญญาณรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ขับหลอด แอลอีดี

ชื่อเรื่อง “ การลดสัญญาณรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ขับหลอดแอลอีดี ”
โดย อาจารย์พีรวัจน์ มีสุขและคณะ
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเครื่องกลการผลิต

ความเป็นเลิศด้านการผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
จุดเด่นของบทความวิจัยนี้คือ:-
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เป็นการศึกษาการลดสัญญาณรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ขับหลอดแอลอีดี ผลการวิจัยพบว่าวงจรลดสัญญาณรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถลดสัญญ
าณรบกวนให้หลอดแอลอีดีชนิด A และ B มีค่าสัญญาณรบกวนผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนชนิด C สามารถลดสัญญาณรบกวนได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่สามารถลดสัญญาณรบกวนให้ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและวงจรภายในของอุปกรณ์ขับหลอด ประโยชน์ของบทความวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในวงการแพทย์ เพื่อผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่ให้มีสัญญาณรบกวนในการตรวจวัดผู้ป่วย หรือใช้ในการสื่อสารไม่ให้มีสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องบิน บทความวิจัยนี้นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งช าติฉบับที่ 12 เพื่อนำไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 และสามารถนำไปประยุกต์วิจัยต่อยอดได้เป็นอย่างดี

View Fullscreen

การประกวด ไอโออิ ไวรัล วิดีโอ คอนเทส

ชื่อผลงานทางวิชาการ การประกวด ไอโออิ ไวรัล วิดีโอ คอนเทส

ข้อมูลเพิ่มเติม : ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 (ที่ 3)  ณ โรงภาพยนตร์เซนจูรี่ (อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) ในวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ : อาจารย์ณัฏฐ์ เดชะปัญญา สาขาวิชาการการโฆษณาและธุรกิจบันเทิง คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บ้านสมเด็จฯ คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 (ที่ 3)  ไอโออิ ไวรัล วิดีโอ คอนเทส จากการประกวด ไอโออิ ไวรัล วิดีโอ คอนเทส  “Aioi Viral Video Contestในวันศุกร์ที่  17 พฤศจิกายน 2560  ณ โรงภาพยนตร์เซนจูรี่ (อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) รายละเอียดของคลิปวิดีโอ(หนังสั้น) นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประกันภัยใส่ใจความสุข เป็นรางวัลแห่งชัยชนะ ความภาคภูมินี้ สำเร็จได้ ต้องขอชมเชย อาจารย์ณัฏฐ์ เดชะปัญญาและทีมงาน อาจารย์สาขาวิชาการโฆษณาและธุรกิจบันเทิง คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ปรึกษา ได้ส่งทีมนักศึกษาในสาขาเข้าประกวดหลายทีม และทีมที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 (ที่ 3) คือ ทีม “ไฟลอยคอยรัก” ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท ประกอบด้วย

  1. 1. นายพงศกร เปี่ยมสะอาด
  2. 2. นายเอกชัย เรืองศรีเต้ย
  3. 3. นายธิติสรร ชุณหะชา

อนึ่ง ในการประกวดครั้งนี้ อาจารย์ณัฏฐ์ เดชะปัญญา ได้ทุ่มเทสรรพทั้งกำลังกาย กำลังใจ เสียสละเวลา  เพื่อถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ รวมทั้งฝึกปฏิบัติทีมที่เข้าประกวดอย่างเข้มข้น จนได้รับรางวัลรองชนะเลิศในครั้งนี้ ถือเป็นเกียรติประวัติอันนำชื่อเสียงมาสู่อาจารย์ผู้สอน ที่ปรึกษา สาขาวิชา  คณะ     และมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

การประกวด ไอโออิ ไวรัล วิดีโอ คอนเทส ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ของประเทศ

ติดตามรายละเอียดได้ที่  

https://www.facebook.com/NuttNexus/media_set?set=a.10210943016391156.1073741833.1225794799&type=3

 

การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษา ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษา ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิจัย

ปีที่พิมพ์ : 2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสนเทศ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีที่ 16    ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) 2560

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : อาจารย์ ดร.จริยาภรณ์ เจริญชีพ   สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

    บทความวิจัย เรื่อง การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษา ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี THE PARTICIPATION IN THE MANAGEMENT OF SUSTAINABLE TOURISM: A CASE STUDY OF THAM RONG SUB-DISTRICT BAN LAT DISTRICT PHETCHABURI PROVINCE ผู้ศึกษา คือ อาจารย์ ดร.จริยาภรณ์ เจริญชีพ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้ข่าวสารต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2) เพื่อศึกษาระดับของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้ข่าวสารกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 4) เพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน  กลุ่มตัวอย่าง คือ คนในชุมชนตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี  จำนวน 359 คนและตัวแทนผู้ที่เกี่ยวข้องในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยว  โดยใช้วิธีการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus group) เพื่อหาแนวทางจากระดับหัวหน้าส่วนต่างๆ  12 คน

สาระสำคัญของบทความวิจัยนี้

  1. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นอย่างดี
  2. ด้านการรับรู้ข่าวสารต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่ อยู่ในระดับบ่อยครั้ง และการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์อยู่ในระดับปานกลาง โดยผู้ตอบแบบสอบถามที่มีเพศ สถานภาพแตกต่างกัน จะมีส่วนร่วมของชุมชนในการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ไม่แตกต่างกัน
  3. คนในชุมชนมีการริเริ่มจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว  มีการรณรงค์ให้ประชาชนในท้องถิ่น มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระบวนการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโดยให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น  จะทำให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น บางพื้นที่ไม่สามารถมีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยวที่จะนำเข้ามาร่วมวางแผนในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชนได้ จึงมีการแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ลงตัว

การนำไปใช้ประโยชน์

  1. คนในชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของในทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมของตน
  2. หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในท้องถิ่นทำงานร่วมกันเพื่อจัดการท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับชุมชน อันนำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนต่อไป
  3. ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสามารถนำข้อมูลในการส่งเสริมและออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเส้นทางท่องเที่ยว เชื่อมโยงไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ได้
  4. นักท่องเที่ยวทั่วไปได้แหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ที่น่าสนใจ และน่าเรียนรู้ ซึ่งนำมาซึ่งประสบการณ์นันทนาการและการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพต่อไป

 

การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษา ตำบลถ้ำรงค์อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี

THE PARTICIPATION IN THE MANAGEMENT OF SUSTAINABLE TOURISM: A CASE STUDY OF THAM RONG SUB-DISTRICT BAN LAT DISTRICT PHETCHABURI PROVINCE

 

จริยาภรณ์ เจริญชีพ

สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

JARIYAPORN CHAROENSHEEP

Social Sciences for Development   Faculty of Humanities and Social Sciences

Bansomdejchaopraya Rajabhat University

บทคัดย่อ

      การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้ข่าวสารต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2) เพื่อศึกษาระดับของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้ข่าวสารกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 4) เพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

      โดยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (mixed method) ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 359 คน ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐาน โดยค่า t-test การวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว (One Way Analysis of Variance) และการสัมภาษณ์โดยการสนทนากลุ่ม (Focus group) เพื่อหาแนวทางจากระดับหัวหน้าส่วนต่างๆ จำนวน 12 คน โดยใช้การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation)

     ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนมาก มีความรู้ ความเข้าใจ ในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารบ่อยครั้งในเรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่วนระดับของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X = 3.08)  กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ แตกต่างกันมีความรู้ ความเข้าใจ การรับรู้ข่าวสาร และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 มีการเสนอให้จัดตั้งกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนด้านการท่องเที่ยวและศึกษาดูงาน ร่วมกับเครือข่ายสถาบันการศึกษาในพื้นที่

ABSTRACT

     The purposes of this research were 1) to study knowledge understanding and information  exposure of public participation in sustainable tourism management 2) to study level of public participation in sustainable tourism management 3) to compare individual, knowledge, understanding and information exposure factor with public participation in sustainable tourism management 4) to submit an appropriated proposal in public participation in sustainable tourism management.

    This research was quantitative mixed method research and qualitative research. There were  359 samples. Data was collected using questionnaire. Data was statistically analyzed in percentage, arithmetic mean, standard deviation, t-distribution, one way analysis of variance and focus group discussion with 12 sector head by using triangulation data check.

    The finding revealed that almost samples have knowledge understanding in public participation in sustainable tourism management. They always get information exposure in public participation in sustainable tourism management. Public participation in sustainable tourism management in generally was in middle level (X=3.08). Samples at difference in aged educational level career and income had difference knowledge understanding information exposure and public participation in sustainable tourism management as significant statistic at 0.05 0.01 level. Suggestions were to establish community enterprise in tourism and filed trip with network of educational institution in the area.

คำสำคัญ : การมีส่วนร่วม การจัดการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน

Keywords : THE PARTICIPATION THE MANAGEMENT SUSTAINABLE

 

บทนำ

     ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งของโลกที่จัดว่ามีทรัพยากรการท่องเที่ยวหลากหลายประเภท กระจายอยู่ในภูมิภาค ทั้งที่เป็นแหล่งธรรมชาติ กึ่งธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งเก่าและใหม่ จนกล่าวได้ว่าเป็นมรดกทางการท่องเที่ยว (Tourism Heritage) อันมีคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์อยู่เป็นจำนวนมาก ในความหลากหลายมีทรัพยากรการท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง ซึ่งมีศักยภาพสูง และเหมาะสมที่สามารถจะนำมาพัฒนาและจัดการเพื่อการท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ (Alternative Tourism) ที่มีการอนุรักษ์การท่องเที่ยวสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชนในท้องถิ่นนั้น

     การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มีการนำเสนอโครงการปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือแนวคิด 7 Greens Concept ซึ่งหมายถึงแนวคิดที่สื่อถึงการท่องเที่ยวที่ใส่ใจ หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นนโยบายหลักของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่นำมาใช้เป็นหลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งประกอบด้วย Green Heart, Green Logistics, Green Attraction, Green Community, Green Activity, Green Service และGreen Plus โดยเน้นให้เกิดการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมสามารถนำไปปฏิบัติได้ สอดคล้องกับหลักการของการพัฒนาที่ยั่งยืน และการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การการท่องเที่ยวโลก (WTO) และสอดรับนโยบายที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เน้น Green Tourtism ให้ผู้คนตระหนักและส่งเสริมกิจกรรมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม (หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์, 2553)

     การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลให้ความสำคัญเนื่องจากมีความสำคัญต่อการสร้างรายได้ เพื่อพัฒนาประเทศอย่างมาก และยังเป็นรายได้อันดับต้นๆ ของประเทศ และมีการกระจายไปในหลายภาคอย่างค่อนข้างชัดเจน เช่น การเดินทาง ที่พัก การซื้อของที่ระลึก ภัตตาคาร ร้านค้าต่างๆ จึงมีการประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมขยายมากขึ้น เช่น การเพิ่มขึ้นของสถานที่พักทั้งโรงแรมขนาด 5 ดาวไปถึงที่พักแบบพื้นบ้านที่เรียกว่า โฮมสเตย์ การเพิ่มขึ้นของร้านอาหารและบริการอื่นๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ มีการขยายตัวไปในแทบทุกภูมิภาคของไทยก่อให้เกิดการ ตื่นตัว เพราะมองว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะมีรายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวที่มีผู้มาซื้อสินค้า แต่จากการที่ทรัพยากรการท่องเที่ยวมีจำกัดไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นซึ่งผู้ดูแลหรือเป็นเสมือนเจ้าของก็คือประชาชนที่อยู่ในชุมชนนั้นๆ  ว่าจะมีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวได้อย่างไร เพราะทรัพยากรทุกอย่างต้องมีข้อจำกัดในการใช้ ทั้งนี้ ซึ่งจากนโยบายการพัฒนาประเทศที่ผ่านมาโครงการพัฒนาหลายโครงการเป็นโครงการที่ดี แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากมองที่โครงการเป็นตัวตั้งไม่ได้มองที่ประชาชน ดังนั้นการให้บทบาท และความสำคัญของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของอันเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาที่ยั่งยืน (พจนา สวนศรี, 2546, น.178-179)

  แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะก่อประโยชน์มากมาย แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนในท้องถิ่น ทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรม รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเกิดจากการแสวงหารายได้ของการท่องเที่ยวของผู้ประกอบการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ตามมา เช่น ปัญหาขยะมูลฝอยที่เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยว ปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยวเป็นต้น โดยมีสาเหตุมาจากขาดการวางแผน  ที่ดี มาตรฐาน คุณภาพ รูปแบบที่เหมาะสม ขาดความรู้ความเข้าใจ และที่สำคัญที่สุดคือ การมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่นของตนเองมากยิ่งขึ้น โดยการส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงดูแลรักษา และจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ควบคู่ไปกับความเจริญเติบโตของแหล่งท่องเที่ยว   ในพื้นที่เพื่อที่จะคงสภาพความสมบูรณ์ต่อไป

     ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงให้ความสนใจที่จะศึกษา การมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ศึกษาภาพรวมของความรู้ความเข้าใจและการรับรู้ข่าวสาร เกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โดยคาดว่าผลจากการศึกษาที่ได้ในครั้งนี้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น และเพื่อให้ได้แนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวในตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพต่อไป

 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 

  1. เพื่อศึกษาความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้ข่าวสารต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  2. เพื่อศึกษาระดับของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  3. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านความรู้ ความเข้าใจ และการรับรู้ข่าวสาร กับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  4. เพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

 

ขอบเขตของการวิจัย   

          1.1   ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

     ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้วิเคราะห์จากกลุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอ     บ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 3,428 คน มีจำนวน 6 หมู่บ้าน  ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านท่ามะเฟือง   หมู่ที่ 2 บ้านม่วงงาม หมู่ที่ 3 บ้านถ้ำรงค์ หมู่ที่ 4 บ้านไร่กระท้อน หมู่ที่ 5 บ้านดอนตะโก หมูที่ 6 บ้านหนองช้างตาย (องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์, 2558)

        กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย  (งานวิจัยเชิงปริมาณ)

      กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของคนในชุมชนตำบลถ้ำรงค์ได้จำนวน 359 คน โดยคำนวณ กลุ่มตัวอย่างจากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane, 1960, p.1088-1089 อ้างถึงในพิสณุ  ฟองศรี,  2549, น.110)

   ผู้ให้ข้อมูลหลักสำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพ  ตัวแทนผู้ที่เกี่ยวข้องในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยว  โดยใช้วิธีการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus group) เพื่อหาแนวทางจากระดับหัวหน้าส่วนต่างๆ  12 คน

          1.2   ขอบเขตเนื้อหา

แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมของชุมชน การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ความรู้ความเข้าใจ ข้อมูลทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์

          1.3   ขอบเขตพื้นที่

ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี

 

วิธีดำเนินการวิจัย

     1.1   เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

     เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม (Questionnaires) การสร้างเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยการศึกษาเอกสาร ตำราวิชาการ และผลวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ

     ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ลักษณะคำถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) จำนวน 6 ข้อ

     ตอนที่ 2 แบบสอบถามปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ

1.) ความรู้ ความเข้าใจ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ของชุมชนในด้านการท่องเที่ยว เป็นลักษณะคำถามประเภทปลายปิด โดยให้เลือกเป็นตอบแบบ ถูก ผิด จำนวน    10 ข้อ

2.) การรับรู้ข่าวสาร ซึ่งมีลักษณะเป็นลักษณะแบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ตามมาตรวัดแบบลิเคิร์ท (Likert Scale อ้างอิงในชิดชนก เชิงเชาว์, 2539, น.163-164) จำนวน 5 ข้อ

     ตอนที่ 3 แบบสอบถามข้อมูลการมีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามลำดับ การมีส่วนร่วมในขั้นต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ตามมาตรวัดแบบ      ลิเคิร์ท (Likert Scale อ้างอิงในชิดชนก เชิงเชาว์, 2539, น.163-164) จำนวน 35 ข้อ

  1. การทดสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การทดสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยการทดสอบความเที่ยงตรงของ เนื้อหา (Content Validity Test) และการทดสอบความน่าเชื่อถือ (Reliability Test) ของแบบสอบถาม (Questionnaire) มีวิธีการดังนี้

1.) การทดสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity Test) การวิจัยนี้จะนำ แบบสอบถามที่สร้างเสร็จแล้วมอบให้กับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องของ เนื้อหาและทำการแก้ไขตามข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการวิจัย

2.) การทดสอบความน่าเชื่อถือ (Reliability Test) เมื่อผู้วิจัยได้แก้ไขแบบสอบถามตามที่ ผู้ทรงคุณวุฒิระบุเรียบร้อยแล้ว จะต้องนำแบบสอบถามมาทำการทดสอบความน่าเชื่อถือโดยทำการแจกกับกลุ่มตัวอย่างที่มีความเป็นสภาพความเป็นกลุ่มตัวอย่างซึ่งได้แก่ ประชาชนที่มีภูมิลำเนาตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 30 คน แล้วนำผลมาวิเคราะห์หาค่าความน่าเชื่อถือ (Reliability) โดยการหาค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’Alpha Coefficient) โดยกำหนดให้แบบทดสอบที่มีค่า 0.75 ขึ้นไป จึง เป็นความน่าเชื่อถือที่ยอมรับได้ ผลการทดสอบความน่าเชื่อถือได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า เท่ากับ 0.97 แสดงว่าแบบทดสอบสามารถนำไปใช้ได้

 

1.2   การเก็บรวบรวมข้อมูล

ผู้วิจัยดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้

1.2.1) แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ได้จากการศึกษาค้นคว้าจากข้อมูลที่มีผู้รวบรวมไว้ทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชนดังนี้

1.2.1.1) หนังสือทางวิชาการ บทความ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

1.2.1.2) เอกสารเผยแพร่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

1.2.1.3) จุลสาร วารสารต่างๆ

1.2.1.4) ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

     1.2.2) แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ได้จากการเก็บแบบสอบถาม เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 359 คน ในชุมชนตำบลถ้ำรงค์ โดยแบ่งเป็น หมูที่ 1 บ้านท่ามะเฟืองจำนวน 56 คน หมู่ที่ 2 บ้านม่วงงามจำนวน 70 คน หมู่ที่ 3 บ้านถ้ำรงค์จำนวน 33 คน หมู่ที่ 4 บ้านไร่กระท้อนจำนวน 50 คน หมู่ที่ 5 บ้านดอนตะโกจำนวน 88 คน หมู่ที่ 6 บ้านหนองช้างตายจำนวน 62 คน

1.3   การวิเคราะห์ข้อมูล

     1.3.1) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research)

          1.3.1.1) การรายงานผลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้เกณฑ์สมบูรณ์ (Absolute Criteria) ของวัน เดชพิชัย (2532, น.11)

          1.3.1.2) สถิติ T-Test ใช้ในการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงกลุ่มกับตัวแปรเชิงปริมาณ หรือทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 2 กลุ่มตัวอย่าง

          1.3.1.3) สถิติ One-Way Anova ใช้ในการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงกลุ่มกับตัวแปรเชิงปริมาณหรือทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 3 กลุ่มตัวอย่างขึ้นไป เพื่อคำนวณหาค่า F-Test

          1.3.1.4) การรายงานผลด้วยสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) โดยมีสถิติการวิจัยดังนี้

          1) สมมุติฐาน สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติ T-Test ใช้ในการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงกลุ่มกับตัวแปรเชิงปริมาณ หรือทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 2 กลุ่มตัวอย่าง และสถิติ One-Way Anova  ใช้ในการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงกลุ่มกับตัวแปรเชิงปริมาณหรือ ทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 3 กลุ่มตัวอย่างขึ้นไป เพื่อคำนวณหาค่า  F-Test

     1.3.2) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)

     ระเบียบวิธีวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก โดยประเด็นคำถามได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและนำมาถอดประเด็นเพื่อตั้งเป็นแนวคำถาม ตัวแทนผู้ที่เกี่ยวข้องในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยใช้วิธีการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) เพื่อหาแนวทางจากระดับหัวหน้าส่วนต่างๆ 12 คน

     เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

     คณะผู้วิจัยใช้เครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพที่ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลต่างๆ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ และใช้เครื่องมือบันทึกเสียงและกล้องถ่ายรูปเป็นเครื่องมือช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้

      1.) การสัมภาษณ์ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เป็นการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) ซึ่งคำถามจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่าง ยั่งยืนในตำบลถ้ำรงค์ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางในการปฏิบัติที่เหมาะสม

     การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแบบสามเส้า (Triangulation) ด้วยการจัดหมวดหมู่ ข้อมูลที่ได้จากข้อสัมภาษณ์ การถอดเทป แยกตามประเด็น และแหล่งข้อมูล หลังจากนั้นจึงวิเคราะห์และประเมินความหมายของข้อมูลนั้นตามกรอบบริบทของแหล่งข้อมูลนั้นๆ

ผลการวิจัย

  1. ข้อมูลทั่วไป ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชายมีจำนวน 199 คน คิดเป็นร้อยละ 55.4 และเป็นเพศชายจำนวน 159 คน คิดเป็นร้อยละ 44.6 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี มีจำนวน 82 คนคิดเป็นร้อยละ 22.8  สถานภาพสมรสมีจำนวน 214 คน คิดเป็นร้อยละ 59.6  การศึกษาอยู่ระดับมัธยมศึกษา/ปวช.หรือต่ำกว่า มีจำนวน 159 คน คิดเป็นร้อยละ 44.3 อาชีพเกษตรกรมจำนวน 140 คนคิดเป็นร้อยละ 39.0 รายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 5,000-10,000 บาท จำนวน 151 คน คิดเป็นร้อยละ 42.1
  2. ข้อมูลสำรวจปัจจัยที่มีผลต่อการศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในภาพรวมมีดังนี้

     1) การรวมกลุ่มกันของคนในชุมชนถือเป็นการริเริ่มการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 322 คน (ร้อยละ 89.7) และตอบไม่ใช่ จำนวน 37 คน (ร้อย ละ 10.3)

     2) การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวของคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณแหล่ง ท่องเที่ยวไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ตอบใช่ จำนวน 265 คน (ร้อยละ 73.8) และตอบไม่ใช่ จำนวน 94 คน (ร้อยละ 26.2)

     3) การจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจแก่ชุมชนและ ท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 313 คน (ร้อยละ 87.2) และตอบไม่ใช่ จำนวน 46 คน (ร้อยละ 12.8)

     4) การจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต้องให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมด้วย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 304 คน (ร้อยละ 84.7) และตอบไม่ใช่ จำนวน 55 คน (ร้อย ละ 15.3)

     5) การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นภายในแหล่งท่องเที่ยวไม่นับเป็นผลที่สืบเนื่องจาก การจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 255 คน (ร้อยละ 71.0) และตอบไม่ใช่จำนวน 104 คน (ร้อยละ 29.0)

     6) การจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 192 คน (ร้อยละ 53.5) และตอบไม่ใช่ จำนวน 167 คน (ร้อยละ 46.5)

     7) การจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวควรมีการร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ เอกชน และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 255 คน (ร้อยละ 71.0) และ ตอบไม่ใช่ จำนวน 104 คน (ร้อยละ 29.0)

     8) การรณรงค์ให้ประชาชนในท้องที่มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของรัฐฝ่ายเดียว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 217 คน (ร้อยละ 60.4) และตอบไม่ใช่ จำนวน 142 คน (ร้อยละ 39.6)

     9) หลังจากการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงผู้เดียว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 211 คน (ร้อยละ 58.8) และตอบ ไม่ใช่ จำนวน 148 คน (ร้อยละ 41.2)

     10) การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบใช่ จำนวน 222 คน (ร้อยละ 61.8) และตอบไม่ใช่ จำนวน 137 คน (ร้อยละ 38.2)

     ด้านการรับรู้ข่าวสาร ชุมชนรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการประชุม และจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน จากหอกระจายข่าวหมู่บ้าน (X=3.97) มีตัวแทนจากชุมชนแจ้งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ให้ทราบ (X=3.56) อยู่ในระดับการรับรู้บ่อยครั้ง มีการจัดการประชุมเพื่อแจ้งข่าวสารแก่ประชาชน (X=3.50) ชุมชนรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการประชุม และจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น (X=3.35) มีเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนให้ทราบ (X=3.25) อยู่ในระดับการรับรู้บางครั้ง

     การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหา และประเด็นปัญหาร่วมกันมีส่วนร่วมในการสำรวจ เก็บข้อมูลของชุมชน (X=3.21) ชุมชนมีส่วนร่วมในการศึกษาสาเหตุของปัญหาชุมชน (X=3.14) ชุมชนมีส่วนร่วมในการช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน (X=3.10) ชุมชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาและกำหนดประเด็นปัญหาขึ้น (X=3.09) ชุมชนมีส่วนร่วม ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการค้นหาปัญหาของชุมชน (X=43.07) ชุมชนได้ร่วมประเมินความเป็นไปได้ในการดำเนินการต่างๆ ของชุมชน      (X=3.03)  อยู่ในระดับปานกลาง ตามลำดับ

     การมีส่วนร่วมในการวางแผนร่วมกัน มีส่วนร่วมในการวางกฎระเบียบข้อบังคับของแต่ละกิจกรรม (X=3.17) ชุมชนช่วยสนับสนุนด้านอุปกรณ์ต่างๆ ในการวางแผนของชุมชน (X=3.10) ชุมชนช่วยอำนวยความสะดวกในการวางแผนกิจกรรมต่างๆ (X=3.08) ชุมชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในการวางแผน (X=3.07) ชุมชนช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการวางแผนชุมชน (X=3.06) ชุมชนมีส่วนร่วมในการเขียนและจัดทำแผนกิจกรรมต่างๆ (X=2.98) อยู่ในระดับปานกลาง ตามลำดับ

     การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานร่วมกัน ช่วยอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติกิจกรรม (X=3.12) ชุมชนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามแผนหรือกิจกรรมของชุมชน (X=3.11) ชุมชนชักชวนผู้อื่นให้เข้าร่วมกิจกรรมชุมชน (X=3.11) ชุมชนช่วยประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการดำเนินกิจกรรมของชุมชน (X=3.08) ชุมชนให้การสนับสนุนงบประมาณวัสดุหรืออุปกรณ์ต่างๆ กับชุมชน (X=2.95) ชุมชนช่วยจัดหางบประมาณในการปฏิบัติงานชุมชน (X=2.78)  อยู่ในระดับปานกลางตามลำดับ

     การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ชุมชนร่วมตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน (X=3.10)ชุมชนร่วมกำหนดแผนงานหรือโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชน (X=3.05) ชุมชนร่วมเลือกกิจกรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยว (X=3.00) ชุมชนร่วมกำหนดคัดเลือกบุคลากรในการปฏิบัติกิจกรรมของชุมชน (X=2.96)  ชุมชนร่วมตัดสินใจวางกฎระเบียบของกิจกรรมต่างๆ (X=2.92) ชุมชนร่วมตัดสินใจในการสรุปผลการดำเนินงานของชุมชน (X=2.92) อยู่ในระดับปานกลางตามลำดับ

     การมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผลร่วมกัน ชุมชนมีส่วนร่วมควบคุมกฎเกณฑ์และมาตรการด้านการท่องเที่ยวของชุมชน (X=2.98) ชุมชนมีส่วนร่วมอำนวยความสะดวกและให้การสนับสนุนการประเมินผลชุมชน (Χ=2.96) ชุมชนร่วมติดตามและหาแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานชุมชน (X=2.94) ชุมชนมีส่วนร่วมในการประเมินผลการปฏิบัติงานตามแผนในรอบปีที่ผ่านมา (X=2.94) ชุมชนมีส่วนร่วมวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคในการดำเนินงานของชุมชน (X=2.94) ชุมชนร่วมประเมินผลกิจกรรมของชุมชน (X=2.92) อยู่ในระดับปานกลางตามลำดับ

     การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ชุมชนได้รับการกระตุ้นให้เกิดความภาคภูมิใจในมรดกของท้องถิ่นและของชาติทำให้เกิดความใส่ใจในการอนุรักษ์ (X=3.51) อยู่ในระดับมาก ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะเวลาคือการส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเป็นรายได้เสริมของชุมชน (X=3.49) ชุมชนได้เรียนรู้คุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อรายได้ (X=3.41) ชุมชนได้รับประโยชน์จากการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงระบบสาธารณสุขและการขนส่ง (X=3.34) ชุมชนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว (X=3.29) อยู่ในระดับปานกลางตามลำดับ

  1. การทดสอบสมมติฐาน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า

     3.1) ยอมรับสมมติฐานเป็นจริง

          3.1.1) กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ความแตกต่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01

          3.1.2)  กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาความแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนใน การจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการรับรู้ข่าวสารและ ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01

          3.1.3) กลุ่มตัวอย่างที่มีอาชีพแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01

          3.1.4) กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสาร ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05

     3.2) ปฏิเสธสมมติฐาน

          3.2.1) กลุ่มตัวอย่างที่มีเพศแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่แตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ไม่มีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ 0.05 ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

          3.2.2) กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่แตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

          3.2.3) กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่แตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการ มีส่วนร่วมของชุมชน ไม่มีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ 0.05 ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

          3.2.4) กลุ่มตัวอย่างที่มีอาชีพแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่แตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

          3.2.5) กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ไม่แตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ และด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนไม่มีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ 0.05 ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้

  1. การสนทนากลุ่ม พบว่า

     4.1) คนในชุมชนมีการริเริ่มจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ ประชาชนเป็นผู้รับผลประโยชน์นั้น

     4.2) มีการรณรงค์ให้ประชาชนในท้องถิ่นมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐฝ่ายเดียว

     4.3) กระบวนการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโดยให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมใน การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น  จะทำให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น บางพื้นที่ไม่สามารถมีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยวที่จะนำเข้ามาร่วมวางแผนในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชนได้ จึงมีการแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ลงตัว

อภิปรายผล

     จากผลการศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษา ตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี สามารถอภิปรายได้ดังนี้

  1. ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

   1.1) จำแนกตามเพศแตกต่างกัน พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่แตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กุลจิรา เสาวลักษณ์จินดา (2555) ทำการศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยว : กรณีศึกษา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี พบว่า อายุ ระดับ การศึกษา และอาชีพ ที่แตกต่างกันมีผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวแตกต่างกัน ส่วนเพศ สถานภาพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกัน   มีผลต่อการมี  ส่วนร่วมในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวไม่ต่างกัน

   1.2) จำแนกตามอายุที่แตกต่างกัน พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสาร และด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศิณี    มรนนท์ (2555) ทำการศึกษาเรื่องศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี ผลการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมมีค่าเฉลี่ยจากมากมาถึงน้อย ดังนั้นการดำเนินการพัฒนามีค่าเฉลี่ยสูงสุด ขั้นการประเมินผลการพัฒนา ขั้นผลการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา ขั้นการริเริ่มการพัฒนา และขั้นการวางแผนตามลำดับ ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ เวลา และปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมด้านการรับรู้ข่าวสารที่ แตกต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมโดยรวมแตกต่างกัน

  1.3) จำแนกตามสถานภาพที่แตกต่างกัน พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการ ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่แตกต่างกัน ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กุลจิรา เสาวลักษณ์จินดา (2555) ทำการศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยว : กรณีศึกษา อำเภออินทร์บุรี จังหวัด สิงห์บุรี พบว่า อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ที่แตกต่างกันมีผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวแตกต่างกัน ส่วน เพศ สถานภาพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีผลต่อ การมีส่วนร่วมในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวไม่แตกต่างกัน

     1.4) จำแนกตามระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศิณี มรนนท์ (2555) ทำการศึกษาเรื่องศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใน ตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี ผลการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใน ตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมมีค่าเฉลี่ยจากมากมาถึงน้อย ดังนั้นขั้นการดำเนินการพัฒนา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ขั้นการประเมินผลการพัฒนา ขั้นผลการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา ขั้นการริเริ่มการพัฒนา และขั้นการวางแผนตามลำดับ ปัจจัยด้าน ประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ เวลา และปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมด้านการรับรู้ข่าวสารที่แตกต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมโดยรวมแตกต่างกัน ส่วนปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ รายได้ และปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม ด้านความรู้ ความเข้าใจ ที่แตกต่างการกันมีระดับการมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 0.05

     1.5) จำแนกตามอาชีพที่แตกต่างกัน พบว่า มีอาชีพแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสารและด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศิณี มรนนท์ (2555) ทำการศึกษาเรื่องศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี ผลการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมมีค่าเฉลี่ยจากมากมาถึงน้อยดังนี้ ขั้นการดำเนินการพัฒนา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ขั้นการประเมินผลการพัฒนา ขั้นการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา ขั้นการริเริ่มการพัฒนา และขั้นการวางแผนตามลำดับ ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ เวลา และปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมด้านการรับรู้ข่าวสารที่แตกต่างกัน       มีระดับการมีส่วนร่วมโดยรวมแตกต่างกัน

     1.6) จำแนกตามรายได้ต่อเดือนที่แตกต่าง พบว่า มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกันจะมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแตกต่างกัน ด้านการรับรู้ข่าวสาร ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกศิณี    มรนนท์  (2555)  ทำการศึกษาเรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใน ตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมด้านการรับรู้ข่าวสารที่แตกต่างกัน มีระดับการมีส่วนร่วมโดยรวมแตกต่างกัน ส่วนปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ รายได้ และปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมด้าน ความรู้ ความเข้าใจ ที่แตกต่างกันมีระดับการมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 0.05

  1. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

     2.1) อภิปรายตามวัตถุประสงค์ข้อแรกของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คือ เพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จากการศึกษาการทดสอบความรู้ความเข้าใจของกลุ่มตัวอย่างในท้องถิ่นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พบว่า ในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จากแบบสอบถาม จำนวน 10 ข้อ มีผู้ตอบ 359 คน ซึ่งมีความรู้ ความเข้าใจ อยู่ในระดับมากหรือที่ตอบว่าใช่มากกว่าไม่ใช่ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ศลิษา หมัดลัง (2549) พบว่า คนในชุมชนบ้านคลองสนกิ่ง อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด ได้กล่าวถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พบว่า ชาวบ้านคลองสนยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอยู่ในระดับมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ทุกชุมชนมีความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับดี เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้จากการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้มีการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยว และการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่การได้รับผลประโยชน์ที่ยั่งยืนจาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จึงจำเป็นที่ชาวบ้านต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี และด้านการรับรู้ข่าวสารต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พบว่า ในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จากแบบสอบถาม จำนวน 5 ข้อ ผู้ตอบแบบสอบถาม 359 คน ส่วนใหญ่มีการรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับบ่อยครั้ง ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของรัตนวดี จุลพันธ์ (2547) ที่ได้ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของประชาชนในท้องถิ่น กรณีศึกษา เกาะล้าน จังหวัดชลบุรี ได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับ ปัจจัยต่างๆ ของลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า อาชีพ ประสบการณ์ในการอบรมกิจกรรม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการรับรู้ผลกระทบที่เกิดจากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สถานภาพทางสังคม และการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ระยะเวลาที่อยู่อาศัยในชุมชน ความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการให้คุณค่าต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพราะว่าลักษณะทางประชากรศาสตร์ของคนในชุมชนแตกต่างกัน จึงทำให้มีความคิดเห็นหรือระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนแตกต่างกัน และเหมือนกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาพแวดล้อมของท้องถิ่นนั้นๆ มีส่วนทำให้มีระดับ การมีส่วนร่วมมากหรือน้อย

     2.2) อภิปรายตามวัตถุประสงค์ข้อที่สองของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน  เพื่อศึกษาระดับของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์อยู่ในระดับปานกลาง การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและประเด็นปัญหาร่วมกันอยู่ในระดับปานกลาง การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานร่วมกันอยู่ระดับปานกลาง การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอยู่ในระดับปานกลาง และการมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผลร่วมกันอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ อารีย์ นัยพินิจ และคณะ (2551) ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวหมู่บ้านบุไทรโฮมสเตย์ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ชุมชนมีส่วนร่วมโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการนำเสนอความคิดอยู่ในระดับมากที่สุด มีส่วนร่วมในการลงมติหรือลงความคิดเห็นที่ช่วยกันในการจัดการการท่องเที่ยวทุกครั้งที่มีการประชุมในหมู่บ้าน และการเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและรับผลประโยชน์ตอบแทน ได้รับผลประโยชน์จาการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของแหล่งท่องเที่ยว การมีส่วนร่วมในการวางแผนอยู่ในระดับมาก มีการประชุมวางแผนจัดสถานที่บริเวณหมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีการเข้าร่วมการตัดสินใจในกิจกรรมรณรงค์รักษาความสะอาด ความสวยงาม และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน การมีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล โดยรวมอยู่ในระดับมาก และการได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะการได้รับข่าวสารการท่องเที่ยวภายนอกชุมชนจากสื่อต่างๆ

     2.3) อภิปรายตามวัตถุประสงค์ข้อที่สามของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน  เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อปัจจัยด้านความรู้ ความเข้าใจ และด้านการรับรู้ข่าวสารกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีเพศ สถานภาพแตกต่างกัน จะมีส่วนร่วมของชุมชนในการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ  กุลจิรา เสาวลักษณ์จินดา (2555) ทำการศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยว : กรณีศึกษา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี พบว่า อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ที่แตกต่างกันมีผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการแหล่ง ท่องเที่ยวแตกต่างกัน  ส่วนเพศ  สถานภาพ  และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกันมีผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวไม่แตกต่างกัน

ข้อเสนอแนะ

จากผลการศึกษาเรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้

ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในครั้งต่อไป

1.1) ในการวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาในด้านความคาดหวังและศึกษาในด้านของนักท่องเที่ยว เพื่อจะได้ทราบว่าปัจจุบันนักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจในการจัดการการท่องเที่ยวมากน้อยเพียงใด เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป

1.2) ควรศึกษาแนวทางการบริหารจัดการ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว ให้ตรงกับความต้องการ และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว

1.3) ควรมีการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบระหว่างชุมชนเพื่อให้ทราบถึงชุมชนหรือพื้นที่ใดที่มีส่วนร่วมต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากกว่ากัน เพื่อที่จะได้ส่งเสริมได้ถูกต้อง

1.4) ควรศึกษาแบบการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมทั้งแนวทางการ ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น และรูปแบบการส่งเสริมและพัฒนาฝีมือกลุ่มสินค้าพื้นบ้าน สินค้างานฝีมือต่างๆ และสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละตำบล

1.5) ควรมีการทำวิจัยเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการทำแผนงานการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมในแหล่งท่องเที่ยว

1.6) ควรมีการศึกษาเรื่องเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เพื่อเตรียมการรองรับกระแสนิยมของการเดินทางท่องเที่ยวทั้งจากภายในและนอกประเทศ

บรรณานุกรม

กุลจิรา  เสาวลักษณ์จินดา. (2555).  การมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยว:  

               กรณีศึกษา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี. ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต

วิชาเอกการจัดการทั่วไป คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.

เกศิณี  มรนนท์. (2555).  ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดทำแผนพัฒนาแหล่ง

               ท่องเที่ยวใน ตำบลแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต

สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยนเรศวร.

ชิดชนก เชิงเชาว์ (2539). วิธีวิจัยทางการศึกษา. ปัตตานี: ฝ่ายเทคโนโลยีทางการศึกษา

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.

พจนา  สวนศรี. (2546).  คู่มือการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน.กรุงเทพมหานคร : โครงการ

ท่องเที่ยวเพื่อชีวิตและธรรมชาติ.

พิสณุ ฟองศรี. (2549). วิจัยทางการศึกษา “แนวคิดทฤษฎี”. พิมพครั้งที่ 2. กทม. เทียมฝาการพิมพ.

รัตนวดี  จุลพันธุ์. (2547). การมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของประชาชนใน

               ท้องถิ่น กรณีศึกษา เกาะล้าน จังหวัดชลบุรี.วิทยานิพนธ์สังคมศาสตรมหาบัณฑิต,

               สาขาวิชาสิ่งแวดล้อม. คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.

วัน  เดชพิชัย. (2532). “แบบประเมินตนเองสำหรับผู้บริหาร” ศึกษาศาสตร์, คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย

               สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. 5(ตุลาคม 2531 – มกราคม 2532), 1-12.

ศลิษา หมัดลัง. (2549). การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กรณีศึกษา

               ชุมชนบ้านคลองสน กิ่งอำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต).            กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์. (2553).  7 Greens Concept ไม่รู้จัก ไม่อินเทรนด์. สืบค้นเมื่อ

14 ธันวาคม 2555, จาก http:// www.thaipost.net.

องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์. (2558). ข้อมูลทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์  

              อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี. เพชรบุรี: ส่วนสวัสดิการสังคม.

อารีย์  นัยพินิจ และ ฐิรชญา มณีเนตร. (2551).  การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการ ท่องเที่ยว

               หมู่บ้านบุไทรโฮมสเตย์ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา.

คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

การจัดการระบบสาธารณสุขชายแดนประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา

ชื่อเรื่อง “  การจัดการระบบสาธารณสุขชายแดนประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ”

 โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรรณรา  ชื่นวัฒนา

สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์

ความเป็นเลิศด้านการผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ

จุดเด่นของบทความวิจัยนี้คือ :-

บทความวิจัยนี้ได้ศึกษาการจัดการระบบสาธารณสุขชายแดนประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัญหาการให้บริการด้านสาธารณสุขของประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาและเป็นแนวทางการจัดการระบบการให้บริการด้านการสาธารณสุขที่เหมาะสมชายแดนประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา บทความวิจัยนี้นับว่ามีประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคตลอดจนด้านสาธารณสุขทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้รัฐบาลจะได้วางแผนนโยบายด้านสาธารณสุข เช่นกำหนดแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการแพทย์ทางเลือก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ชายแดนได้เป็นอย่างดี

View Fullscreen

การตรวจวินิจฉัยการแตกทำลายเม็ดเลือดจากหมู่เลือดระบบ ABO ของทารกแรกคลอด

ชื่อเรื่อง “ การตรวจวินิจฉัยการแตกทำลายเม็ดเลือดจากหมู่เลือดระบบ ABO ของทารกแรกคลอด ”
โดย อาจารย์ประมูล อรุณจรัสและคณะ
สาขาวิชาเทคนิคการแพทย์
ความเป็นเลิศด้านการผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ
จุดเด่นของบทความวิจัยนี้คือ :-

บทความวิจัยนี้เป็นการตรวจวินิจฉัยการแตกทำลายเม็ดเลือดจากหมู่เลือดระบบ ABO ของทารกแรกคลอด ซึ่งเป็นงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์และทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้กระบวนการวิจัยสามารถนำไปต่อยอดด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพได้เป็นอย่างดีและสามารถนำความรู้นี้ไปพัฒนาการเรียนการสอนตลอดจนให้ความรู้แก่ชุมชนในแต่ละท้องถิ่นซึ่งมีประโยชน์มากในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า

View Fullscreen

การทดสอบการผลิตพลังงานไฟฟ้าของเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูล

ชื่อเรื่อง “ การทดสอบการผลิตพลังงานไฟฟ้าของเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูล ”
โดย อาจารย์พีรวัจน์ มีสุขและคณะ
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเครื่องกลการผลิต

ความเป็นเลิศด้านการผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง
จุดเด่นของบทความวิจัยนี้คือ :-
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการทดสอบการผลิตพลังงานไฟฟ้าของเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูล เพื่อทดสอบหาการผลิตแรงดันไฟฟ้าสูงสุดจากผลต่างระหว่างอุณหภูมิด้านความร้อนและอุณหภูมิด้านความเย็นของเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูล ผลการทดลองพบว่าการผลิตพลังงานไฟฟ้าของเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูลนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูลมีผลทำให้แรงดันไฟฟ้าเพิ่ม
ขึ้นประโยชน์ของบทความวิจัยนี้คือนำไปใช้ในงานด้านอุตสาหกรรมและด้านการแพทย์ตลอดจนด้านอื่นๆที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ลดค่าใช้จ่ายจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล

View Fullscreen