การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนวัดบางปลา(สมุทรวันราษฎร์ บำรุง) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร

 

ชื่อเรื่อง การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนวัดบางปลา(สมุทรวันราษฎร์ บำรุง) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร
ชื่อผู้วิจัย ฐิติพร  ทานา
สาขาวิชา การบริหารการศึกษา
อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิรันดร์  สุธีนิรันดร์
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ดร.พนัส  จันทร์ศรีทอง
ปีการศึกษา 2560

บทคัดย่อ

   การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนวัดบางปลา(สมุทรวันราษฎร์บำรุง) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ใน 3 ด้าน 1) ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ 2) สภาพแวดล้อมทางวิชาการ 3) สภาพแวดล้อมทางการบริหาร จัดการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า มี 5 ระดับตามแนวคิดของ ลิเคิร์ท และแบบตรวจสอบรายการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่าการจัดสภาพแวดล้อมของโรงโรงเรียนวัดบางปลา (สมุทรวันราษฎร์บำรุง) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครโดยรวมใน 3 ด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ด้านสภาพแวดล้อมทางวิชาการสูงสุด รองลงมา คือ ด้านสภาพแวดล้อมทางการบริหารจัดการ ส่วนด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด
คำสำคัญ : การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียน

 


 

Title The Environmental Management of Watbangpla (samutwanratbumroong) School under Samutsakhon Primary Educational Service Area Office
Author Thitiphorn Tana
Program Educational Administration
Major Advisor Assistant Professor Dr.Niran Suteeniran
Co-Advisor Dr.Panus Jansrithong
Academic Year 2017

 

ABSTRACT

   The purpose of this study was to the environmental management of Watbangpla (samutwanratbumroong) under Samutsakhon Primary Educational Service Area Office in 3 aspects : 1) physical environment 2) academic environment 3) management environment The population of this research was 38 teachers and educational personnel the scales are five levels according to the concept of Kirk the statistical items used for data analysis were percentage, mean and standard deviation.

The findings were as follows : the environment management of Watbangpla (samutwanratbumroong) School under Samutsakhon Primary Educational Service Area Office in a very high level. When considering each item, it was found that the highest academic environment was themanagement environment, the physical environment has the lowest mean.
Keyword : School Environmental Management

การจัดการความรู้ของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดสมุทรสาคร

 

ชื่อเรื่อง การจัดการความรู้ของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดสมุทรสาคร
ชื่อผู้วิจัย อรุณวรรณ แสงทอง
สาขาวิชา การบริหารการศึกษา
อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ดร. พนัส  จันทร์ศรีทอง
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์ ดร.มณี  เหมทานนท์
ปีการศึกษา 2560

 

บทคัดย่อ

             การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งศึกษาระดับการจัดการความรู้ของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสมุทรสาคร ใน 7 ด้าน คือ 1) ด้านการบ่งชี้ความรู้ 2) ด้านการสร้างและแสวงหาความรู้ 3) ด้านการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ 4) ด้านการประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5) ด้านการเข้าถึงความรู้ 6) ด้านการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และ 7) ด้านการเรียนรู้ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหาร ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และอัตราจ้าง สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 110 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบตรวจสอบรายการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 

ผลการวิจัยพบว่า ระดับการจัดการความรู้ของบุคลากรสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสมุทรสาคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการสร้างและแสวงหาความรู้ ด้านการเรียนรู้ ด้านการบ่งชี้ความรู้ ด้านการเข้าถึงความรู้ ด้านการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ ด้านการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และด้านการประมวลและกลั่นกรองความรู้

คำสำคัญ : การจัดการความรู้

 


 

Title The Knowledge Management of Personnel under Samutsakhon Provincial Office of Non-Formal and Informal Education
Author Arunwan Saengthong
Program Educational Administration
Major Advisor Dr. Panus Junsrithong
Co-Advisor Associate Professor Dr.Manee Hemthanon
Academic Year 2017

 

ABSTRACT

             The purpose of this research was to study The Knowledge Management of Personnel under Samutsakhon Provincial Office of Non-Formal and Informal Education in 7 aspects.
1) Knowledge Identification 2) Knowledge Creation and Acquisition 3) Knowledge Organization 4) Knowledge Codification and Refinement 5) Knowledge Access 6) Knowledge Sharing and 7) Learning. The population consisted of 110 person including administrators, government officers, permanent employees, government employees, and temporary employees in Samutsakhon Provincial Office of Non-Formal and Informal Education. Data were collected using 5 – point rating scale questionnaire and checklist and was statistically analyzed in percentage, arithmetic mean, and standard deviation.

The findings revealed that The Knowledge Management of Personnel under SamutsakhonProvincial Office of Non-Formal and Informal Education was generally at the high level. After item analysis, all of them could be rearranged by mean score in descending as follows : Knowledge Creation and Acquisition, Learning, Knowledge Identification, Knowledge Access, Knowledge Organization,  Knowledge Sharing, and Knowledge Codification and Refinement.

Keyword : Knowledge Management

กลยุทธ์การจัดการศึกษา ของส่วนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอ เมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี

 

ชื่อเรื่อง กลยุทธ์การจัดการศึกษา ของส่วนการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอ เมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี
ชื่อผู้วิจัย สกุนต์พงษ์  ศรีวรนาถ
สาขาวิชา การบริหารการศึกษา
อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ดร. พนัส  จันทร์ศรีทอง
อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์ ดร.มณี  เหมทานนท์
ปีการศึกษา 2559

 

บทคัดย่อ

              การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการใช้กลยุทธ์การจัดการศึกษาของ ส่วนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอเมืองเพชรบุรี  จังหวัดเพชรบุรี 4 ด้าน ดังนี้1) ด้านงบประมาณ2) ด้านวัสดุ อุปกรณ์3) ด้านบุคลากร 4) ด้านการบริหารจัดการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหาร และบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมืองเพชรบุรี จำนวน 63คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับและแบบตรวจสอบรายการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การจัดการศึกษาของส่วนการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านบุคลากร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการบริหารจัดการ ส่วนด้านวัสดุ อุปกรณ์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด

คำสำคัญ: กลยุทธ์, การจัดการศึกษา

 


 

Title Strategy in Educational Management of the Religion and Culture Division under Local Administrative Organization in Muang District of  Phetchaburi Province
Author Sakunpong  Sriworanat
Program Educational Administration
Major Advisor Dr. Panus Junsrithong
Co-Advisor Associate Professor Dr.Manee Hemthanon
Academic Year 2016

 

ABSTRACT

              The purpose of this research was to study the implementation of strategy in educational management of the Religion and Culture Division under Local Administrative Organization in Muang District of Phetchaburi Provincein 4 aspects: 1) budget  2) equipment  3) personnel and  4) management. The population included 63 executives and staff. Data were collected using 5-point rating scale questionnaire and checklist and were statistically analyzed in percentage, mean, and standard deviation.

The findings showed thatthe implementation of strategy in educational management of the Religion and Culture Division under Local Administrative Organization in Muang District of Phetchaburi Provincein 4 aspectswas generally found at the high level. After item analysis,personnel was rated with the highest mean followed bymanagementand equipment.

Keywords: Strategy, Educational Management

ประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการศูนย์ความเป็นเลิศ ครั้งที่ 1/2562

 

โครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จัดประชุมคณะกรรมการดำเนินงานโครงการศูนย์ความเป็นเลิศ ครั้งที่ 1/2562

ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ห้องประชุม A.C.Carter (อาคาร 6 ชั้น 5)



ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

 

ชื่อผลงานทางวิชาการ : ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ประเภทผลงานทางวิชาการ : ตำรา
ปีที่พิมพ์ : 1 สิงหาคม 2561
ข้อมูลเพิ่มเติม : พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ด้วยทุนส่วนตัวของผู้เขียนเอง)
ชื่อเจ้าของผลงาน : รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์คเรศ ประกอบผล

เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษามีความสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอน  การศึกษาทุกระดับ ตื่นตัวที่จะนำเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเข้ามาใช้ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนจากที่เคยเป็นอยู่ไปสู่การสอนแนวใหม่ ที่สามารถสร้างคุณลักษณะของผู้เรียนให้เป็นไปตามแนวทางที่พึงประสงค์ในยุคไทยแลนด์4.0ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตำราเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน  ในรายวิชาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา รหัสวิชา 1104101ระดับปริญญาตรี ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และใช้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของ นิสิต  นักศึกษา  รวมทั้งผู้ที่สนใจทางการศึกษาทั่วไป

สาระสำคัญของเนื้อหาภายในเล่มแบ่งออกเป็น 4 ตอน ประกอบด้วย

ตอนที่ 1 : พื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นเรื่องของความหมาย

ความสำคัญ องค์ประกอบ พัฒนาการ ของเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา และแนวคิดทางการศึกษากับการใช้เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

ตอนที่ 2 : หลักการ ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นเรื่องของหลักการและทฤษฎีที่สำคัญที่เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาได้แก่ หลักการ ทฤษฎี เกี่ยวกับการรับรู้ การเรียนรู้ สื่อการสอน การสื่อสาร และวิธีระบบ

ตอนที่ 3 : แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นเรื่องของการนำเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษามาใช้ในลักษณะ คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา   เว็บเพื่อการศึกษา และการศึกษาทางไกล

ตอนที่ 4 : การประเมินเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นเรื่องของวิธีการประเมินนวัตกรรมที่ผลิตขึ้น ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพตามแนวทางการประเมินแบบบูรณาการ

 

 

จุดเด่น/ความน่าสนใจจากสาระสำคัญของผลงานวิชาการนั้นๆ / การนำไปใช้ประโยชน์

จุดเด่นของตำราเล่มนี้ เป็นการปูพื้นฐานความรู้ให้กับ นิสิต นักศึกษา รวมทั้งผู้ที่สนใจทางการศึกษาทั่วไป    ได้ทำความรู้จักความหมาย ความสำคัญ องค์ประกอบ พัฒนาการ ของเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา สามารถนำ แนวคิด หลักการ ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียน    การสอน และสามารถนำเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาสมัยใหม่มาพัฒนาการศึกษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถประเมินเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาได้

 

ปก/คำนำ/สารบัญบทที่ 1บทที่ 2บทที่ 3บทที่ 4บทที่ 5บทที่ 6บทที่ 7บทที่ 8บทที่ 9บทที่ 10บทที่ 11บรรณานุกรม

การถ่ายภาพดรามาติก

 

รศ.ดร.ศักดิ์คเรศ ประกอบผล


 

การถ่ายภาพดรามาติก เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านที่รักในการถ่ายภาพ ได้ทาความรู้จักการ ถ่ายภาพดรามาติกว่าเป็นการถ่ายภาพลักษณะใด มีหลักการและแนวคิดในการถ่ายอย่างไร เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานการถ่ายภาพ ดรามาติกให้แพร่หลายต่อไป

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรก“การถ่ายภาพดรามาติก”เป็นการปูพื้นฐานเพื่อให้ผู้อ่านรู้ความหมายของการถ่ายภาพดรามาติก รู้หลักการและแนวคิดในการถ่ายภาพดรามาติก ตอนที่สอง “ภาพถ่ายดรามาติก (แนวคิดในการถ่าย)” เป็นการนำเสนอ แนวคิดและเทคนิคในการสร้างสรรค์ ผลงานภาพถ่ายดรามาติกของแต่ละภาพที่ผู้เขียนนำมาเสนอให้ดู ซึ่งเป็นภาพถ่ายขนาดใหญ่ดูเต็มตา ภาพถ่ายเหล่านี้ผู้เขียนเป็นผู้ถ่ายเองและใช้เวลาในการคัดสรรเก็บรวบรวมมานานหลายปี

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ“การถ่ายภาพดรามาติก”เล่มนี้คงจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านหันมาสนใจและคดิสร้างสรรค์ ผลงานภาพถ่ายดรามาติกอย่างมีความสุขตลอดไป

 

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์คเรศ ประกอบผล

กุมภาพันธ์ 2562

 

View Fullscreen

โครงการสรรหา “กุลบุตรและกุลธิดากาชาด”

ชื่อการแข่งขัน : โครงการสรรหา “กุลบุตรและกุลธิดากาชาด” ประจำปี ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒

ชื่อผู้เข้าร่วมประกวดแข่งขันนายณัฏฐพันธ์  แสงคำ

วัน / เวลา / สถานที่ : ๒ – ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ / ห้องประชุมชั้น ๑๒ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ประเภท (เดี่ยว/ทีม) : เดี่ยว

รางวัลที่ได้รับ : กุลบุตรกาชาด

 

โครงการสรรหา “กุลบุตรและกุลธิดากาชาด” ประจำปี ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒ สำนักกิจการนักศึกษาได้ดำเนินการคัดเลือกนักศึกษาผู้เป็นตัวแทนในการประกวด โดยการใช้กิจกรรม “การประกวดทูตกิจกรรม ประจำ ๒๕๖๐” มาเป็นเครื่องมือ ที่มุ่งเน้นการเฟ้นหานักศึกษาที่มีคุณสมบัติทางด้านบุคลิกภาพที่ดี ไม่เพียงภายนอกเท่านั้นแต่หมายรวมถึงบุคลิกภาพภายในที่สามารถนำเสนอผ่านสายตา การพูด ไหวพริบการตอบคำถาม และจิตใจที่ตรงตามอัตลักษณ์สของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

       ในการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีทางสำนักกิจการนักศึกษาได้ดำเนินการตามหลักการที่นางสาวอรชา จันทร์นุ่ม ได้กล่าวไว้ในหัวข้อ “การเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีต้องการพื้นฐานในการส่งเสริมอย่างไร” ว่า

1.การที่บุคคลมีความเข้าใจและรู้จักตนเองได้ดีนั้น ย่อมหมายถึงว่าบุคคลได้สามารถประสานสัมพันธ์ระหว่างการมองตนเอง และประสบการณ์แห่งความเป็นจริงที่มีอยู่ได้ ทำให้บุคคลไม่เกิดความขัดแย้งในตนเอง บุคลิกภาพที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะของการที่ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อ สังคม แต่ในทางตรงข้าม ถ้าบุคคลไม่สามารถที่จะมองตนเองได้สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้ว ก็จะเกิดความขัดแย้งในตนเอง ทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อลดความขัดแย้งในตนด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเหตุให้บุคคลเกิดบุคลิกภาพในด้านของการต่อต้านสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความนับถือตนเอง ดังนั้น การสร้างเสริมบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องที่จะเน้นเกี่ยวกับการให้บุคคลมีการรับ รู้ตนเองได้ตามความเป็นจริง (self perception) เพื่อบุคคลจะได้มีการมองตนเอง (self concept) อย่างถูกต้อง ซึ่งจะได้พัฒนาบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมต่อไป

2.ปฏิสัมพันธ์ในสังคม (social interaction) ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาพลวัตได้กล่าวไว้ว่าการที่บุคคลจะเกิดมีบุคลิกภาพอย่างไรนั้น เป็นผลของการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม ซึ่งจะทำให้บุคคลได้พบกับลักษณะของความด้อย-ความเด่น ตลอดจนการมีครรลองชีวิตที่เป็นของตนเอง ปฏิสัมพันธ์ในสังคมจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเพราะทำให้บุคคลได้มี โอกาสรับรู้ตนเองจากภาพการมองของผู้อื่น ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาฉายภาพตัวตนของบุคคลออกมาได้ชัดเจนกว่าการที่บุคคล มองตนเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีอคติสำหรับตนเองด้วยในบางครั้งหรือบ่อยครั้ง การรับรู้ตนเองอย่าง ถูกต้องจะทำให้บุคคลสามารถแสดงออกซึ่งบทบาทที่เหมาะสมและเกิดบุคลิกภาพที่ พึงประสงค์ตามมาด้วย ความเด่น-ความด้อย และครรลองชีวิตของบุคคลจะมีผลในการสร้างรูปแบบของบุคลิกภาพทั้งทางที่สังคม พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการสร้างเสริมบุคลิกภาพในบุคคลก็ควรจะได้คำนึงถึงความสำคัญของปฏิ สัมพันธ์ในสังคมประกอบด้วยอีกประการหนึ่ง

3.การเรียนรู้ทางสังคม (social learning)ทฤษฎี การเรียนรู้ทางสังคมได้ให้แนวคิดพื้นฐานสำคัญว่าการเรียนรู้ทางสังคมนั้น เป็นกระบวนการที่บุคคลไดรับข้อมูลต่างๆ จากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม โดยจะมีกระบวนการจำ และนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามต่อไป นักจิตวิทยาได้เน้นความสำคัญในแนวคิดนี้ด้วยว่า การเรียนรู้และการแสดงออกเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกัน คือการเรียนรู้ใช้เพียงการสังเกตเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่การแสดงออกเป็นพฤติกรรมนั้นจะต้องมีการใช้ทั้งแบบอย่างที่ได้รับมาจากการ สังเกตและ กระบวนการที่จะเลือกแบบอย่างที่เหมาะสมมาใช้ ดังนั้นจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมจะช่วยทำให้เราได้ทราบว่า บุคลิกภาพของบุคคลที่เกิดขึ้นมานั้น ต้องอาศัยทั้งการที่บุคคลมีความจำในแบบอย่างของพฤติกรรมของผู้อื่น แล้วนำมาเข้ากระบวนการเลือกสรร แล้วจึงแสดงออกเป็นบุคลิกภาพที่ปรากฏให้เห็น ฉะนั้นถ้าหากจะให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมแล้ว การสร้างเสริมบุคลิกภาพก็ควรจะมีขั้นตอนของการให้บุคคลได้สังเกตแบบอย่างพฤติกรรมที่เหมาะสม แล้วนำไปใช้ในกระบวนการเลือกสรรเพื่อพัฒนาเป็นบุคลิกภาพของตนเอง

4.ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ลักษณะนี้ค่อนข้างจะเป็นพื้นฐานของบุคลิกภาพที่ปรากฎทางกายและสมองบางอย่าง ซึ่งบุคคลที่เกิดมาแล้วจะเลือกหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นคนเตี้ย โดยพ่อแม่ทั้งสองคน ถึงแม้จะได้รับอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักโภชนาการก็จะมีการเติบโตเพิ่มมากกว่าพ่อแม่บ้าง แต่ก็คงจะไม่เหมือนกับคนที่มีพันธุกรรมเป็นคนสูงทั้ง ครอบครัว หรือโรคบางอย่างที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น สติปัญญาอ่อน ตาบอดสี ก็คงจะยากที่จะได้รับการแก้ไข ดังนั้นจึงจะเป็นเรื่องของการปรับตัวต่อสภาพทางพันธุกรรมที่มีอยู่มากกว่า แก้ไขให้หมดไป การเสริมสร้าง บุคลิกภาพตามพื้นฐานประการนี้ก็น่าจะเป็นการสร้างและเสริมบุคลิกภาพให้ดีตาม ลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล มากกว่าการเปรียบตนเองกับบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ ล้วนมีอิทธิพลต่อการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่เหมาะสมทั้งสิ้น ซึ่งในการสร้างเสริมบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคมนั้น ก็จะได้อาศัยปัจจัยเหล่านี้ในการกำหนดวิธีการในการสร้างและเสริมบุคลิกภาพ ต่อไปในการสร้างและเสริมบุคลิกภาพของบุคคลนั้น ควรที่จะต้องแยกพิจารณาเป็น 2 ประเด็น คือ การสร้างบุคลิกภาพ และการเสริมหรือการปรับปรุงบุคลิกภาพ การสร้างบุคลิกภาพ หมายถึง กระบวนการที่จะทำให้เกิดบุคลิกภาพขึ้นในตัวของบุคคลซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น ที่จะต้องเริ่มสร้างสมมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงจะทำให้เกิดบุคลิก ภาพที่พึงประสงค์ของสังคมได้ สถาบันทางสังคม

          บุคลิกภาพนั้นนอกจากจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้บุคคลแต่ละคน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวของแต่ละบุคคลแล้ว ยังสามารถมีส่วนช่วยในการ เลือกอาชีพ ให้เหมาะสมกับตัวคุณได้อีกด้วย ดังที่ปรากฏใน “ทฤษฎีการเลือกอาชีพ” ของของ John L. Holland ซึ่งเชื่อว่าบุคลิกภาพของคนจะสะท้อนผ่านการเลือกอาชีพของตน โดยเหตุผลในการเลือกอาชีพนั้นเกิดจากการผสมผสานความคิดต่อตัวเอง และความเข้าใจต่ออาชีพที่เลือก นั่นคือ คนที่เลือกอาชีพได้สอดคล้องกับบุคลิกภาพของตนมากที่สุด จะมีความพึงพอใจในอาชีพและส่งผลให้ประสบความสำเร็จในอาชีพนั้นๆ ได้

บุคลิกภาพ คือ ลักษณะโดยรวมของพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายในของแต่ละบุคคลซึ่งรวมถึงความสามารถ ความถนัด ความสนใจและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นของบุคคลนั้น อันส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมและลักษณะนิสัยเฉพาะของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันไป

ดังนั้น เมื่อผู้ฝึกสอนสามารถดำเนินการพัฒนานักศึกษาทางด้านบุคลิกภาพในลักษณะรวมทั้งพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายในของแต่ละบุคคล จะทำให้ผู้ที่ได้รับการฝึกสอนมีแนวทางในการสร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาในทางที่เหมาะ เป็นที่สนใจ และเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้ที่พบเห็น

 

 


 

บรรณานุกรม

อรชา จันทร์นุ่ม. (2556). การเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีต้องการพื้นฐานในการส่งเสริมอย่างไร. ที่ตั้งเว็บไซต์https://sites.google.com/site/orachajannum/8-1.[เข้าค้นหาเมื่อวันที่ 11กรกฎาคม 2560].

 

 

 

Solo dance competition (สรุปบทความวิชาการ)

 

ผู้เขียน   อาจารย์ ดร.ธนกร สรรย์วราภิภู

จากงาน Solo dance competition

วันที่ : ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ / ๑๕.๐๐ น.
สถานที่ : ห้างสรรพสินค้าดิเอ็มควอเธียร์

อาจารย์ฝึกสอน : ดร.ธนกร สรรย์วราภิภู

ผู้ประกวด : นาย ณัฐวุฒิ หลวงขวา
ประเภท : เต้นเดี่ยว (นาฏยศิลป์ร่วมสมัย)

 

รายละเอียดเชิงวิชาการ/ทฤษฎี ที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเข้าประกวด


การสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย

รูปภาพที่  1 Merce Cunningham
ที่มา: http://media2.fdncms.com

        ความหมายของคำว่านาฏยศิลป์ร่วมสมัย (Contemporary Dance) Maria del Pilar Naranjo Rico นักวิจัยและนักสร้างสรรค์การเต้นชาวโคลัมเบียที่เป็นผู้เขียนหนังสือ The handy e-book of Contemporary Dance History (2011) ที่ให้ข้อมูลได้ชัดเจนในหัวข้อ Merce Cunningham โดยกล่าวไว้ว่า “Merce Cunningham ถือได้ว่าเป็นผู้เปิดประตูของนาฏยศิลป์ร่วมสมัยเพราะเป็นผู้นำเสนอความคิดใหม่เกี่ยวกับการเต้น โดยมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมของความเป็นไปได้ในการสร้างมิติ ให้งานแสดงนาฏยศิลป์   กระบวนการสร้างสรรค์นาฏยศิลป์ร่วมสมัย เทคนิคในการแปลสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกมาสู่การ เคลื่อนไหวรวมถึงการใช้ดนตรีในรูปแบบที่ไม่เป็นข้อกำหนด ในการเต้นไปจนถึงหลักปรัชญา (Andre Lepecki. 2012: 44) หากว่ากันตามตรง  Merce  Cunningham คือ นักสร้างสรรค์ การเต้นคนแรกในนาฏยศิลป์ร่วมสมัย เนื่องจากได้ทำการต่อต้านแนวความคิดของนาฏยศิลป์สมัยใหม่และพัฒนาให้  นาฏยศิลป์ร่วมสมัยมีความอิสระมากยิ่งขึ้นซึ่งได้สร้าง หลักการ ไว้ดังนี้

 

  • นามธรรม Merce Cunninghamเชื่อว่าการเคลื่อนไหวคือการขยายความที่เพียงพอ
    แล้วไม่มีความ จำเป็นต้องบอกเรื่องราวหรือสะท้อนอะไร
  • ถูกออกแบบในพื้นที่และเวลาโดยไม่มีเป้าหมายของการสร้างสรรค์เพราะเป้าหมาย นั้นอาจจะเป็น กรอบในการบีบบังคับผลงานทำให้ไม่สามารถเกิดสิ่งใหม่ได้
  • ความนิ่งหรือความเงียบคืออีกหนึ่งสุนทรียภาพ
  • มิติของเพลง
  • ความอิสระไม่กำหนดกรอบซึ่งกันและกันระหว่างเพลงกับนาฏยศิลป์
  • ไม่มีลำดับชั้นของนักเต้น
  • ผู้ชมมีอิสระในการชม
  • ไม่อยู่แต่ภายในโรงละคร สามารถแสดงได้ทุกที่
  • ลำดับของการเต้นจะอยู่บนโครงสร้างที่ไม่สามารถคาดเดา เนื้อหาที่ไม่มั่นคง ไม่จำเป็น ต้องมีตรรกะ
  • เทคนิคของการตีความ ความคิดเชิงปรัชญาที่มีมิติ
  • ความคิดอิสระ

(Maria del Pilar Naranjo Rico.  2016.  Merce Cunningham: online)

นอกจากนั้นมีผู้ให้ความเห็นที่น่าสนใจไว้ว่า “นาฏยศิลป์ร่วมสมัยคือ นาฏยศิลป์ที่ พัฒนาตามช่วงเวลา ตามยุคตามสมัยซึ่งโมเดิร์นแดนซ์เคยเป็นนาฏยศิลป์ร่วมสมัยเช่นกันแต่เมื่อมาถึงปัจจุบันบริบทของสังคมและ
แนวคิดทางศิลปะเปลี่ยนไป นาฏยศิลป์ร่วมสมัยจึงมีแนว คิดที่เปลี่ยนไปจากเดิมแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคง
เหมือนเดิมคือ การใช้เครื่องมือและกระบวนการสร้างสรรค์ที่แน่นอน” (วรารมย์ ปัจฉิมสวัสดิ์. สัมภาษณ์: 2559)

จากข้อมูลข้างต้นผู้ศึกษาจึงสรุปว่า นาฏยศิลป์ร่วมสมัย คือ รูปแบบนาฏยศิลป์ที่มี ความอิสระมากโดยมุ่งสู่การตอบคำถามบริบททางสังคมเป็นนาฏยศิลป์ที่ถูกพัฒนามาจากแนว คิดของนาฏยศิลป์สมัยใหม่ มีการนำการแสดงละครหรือเทคโนโลยีเข้ามาปราศจากลำดับขั้นของ นักเต้น สามารถแสดงได้ทุกที่ และควรเกิดจากการทดลองเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สร้างสรรค์ทั้งใน รูปแบบของการเคลื่อนไหว แนวความคิด หรือ องค์ประกอบในการ สร้างสรรค์  มีอิสระในการตี ความทั้งต่อตัวผู้สร้างสรรค์ผลงานและผู้ชม

 

บรรณานุกรม

Maria del Pilar Naranjo Rico. (2011). The handy e-book of Contemporary Dance History. Available from http://www.contemporary-dance.org. [accessed Date of Access 14th July, 2015].

วรารมย์ ปัจฉิมสวัสดิ์. (2559, 7 มีนาคม).  สัมภาษณ์โดย ธนกร สรรย์วราภิภู ที่สถาบัน Dance Center.

 

มบส.คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ1 การแข่งขันเชียร์ลีดดิ้งชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ 14 (TNCC 2018) ประเภท CHEER DANCE TEAM

การแข่งขันเชียร์ลีดดิ้งชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ 14 (TNCC 2018)

รายชื่อนิสิต นักศึกษา และคณาจารย์ที่เข้าร่วมการประกวดแข่งขัน

(วัน / เวลา / สถานที่) : ๒ ธันวาคม ๒๕๖๑ / ๑๙.๐๐น. / มหาวิทยาลัยรังสิต

ผู้ฝึกสอน : อาจารย์ ดร.ธนกร สรรย์วราภิภู

ประเภท : ทีม CHEER DANCE TEAM

นางสาว มนัญญา มีวัฒนา
นางสาว ธนาภรณ์ มังกรแก้ว
นาย ทรงภพ วุฒิวิกัยการ
นาย ณัฐวุฒิ หลวงขวา
นาย ณฐ์ชญา ฟ้ากลาง
นางสาว ธรรมสรณ์ บรรดา
นางสาว สุทธิดา สว่างศรี
นางสาว อริสรา ชวนจิตร
นาย สุรชัย นิลขลัง
นาย นครินทร์ เลิศจามีกร
นางสาว อรพิมล ทองทิพย์

 

ประเภท : คู่ CHEER DOUBLE DANCE TEAM

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1

นาย ณัฐวุฒิ หลวงขวา
นางสาว ธรรมสรณ์ บรรดา

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4

นางสาว ธนาภรณ์ มังกรแก้ว
นางสาว สุทธิดา สว่างศรี

 


 

ประเภท CHEER DANCE TEAM

🏆 ได้รับรางวัลชนะเลิศ (ที่1) ได้รับถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ

และ

ประเภท CHEER DOUBLE DANCE TEAM

🥈 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (ที่2)
🎖 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4 (ที่5)

 

 


 

ผู้สร้างสรรค์ใช้แนวความคิดของเอ็มมานูเอลคานท์ที่มีอิทธิพลทางด้านการรับรู้สุนทรียะอย่างมากต่อตัวศิลปินและผู้บริโภคผลงานทาง ศิลปะในยุคนั้น ที่มองว่าความเข้าใจทำให้มนุษย์เข้าใจในความงามของวัตถุนั้น ๆ ให้เห็นความงามในแบบที่เป็น และจินตนาการที่จะช่วยส่งเสริมให้มนุษย์ทั้งในการมอง การสัมผัส และสะท้อนความคิดของตนเองออกมาซึ่งเหล่านี้คือกรอบความคิดที่พัฒนาศิลปะสมัยใหม่รวมถึงนาฏศิลป์ตะวันตกสมัยใหม่สามารถเห็นได้ชัดจากนักออกแบบการเต้นที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้บุกเบิกทีในช่วงเวลานี้

          อิสดอร่า ดันแคน  เจ้าของทัศนคติจิตวิญญาณแห่งความอิสระ (Free Spirit) การแสดงเป็นไปอย่างไม่เป็นระบบและมีท่าที่ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยครั้ง งานของเธอมีลักษณะที่เรียบง่าย เครื่องแต่งกายการแสดงคล้ายชุดกรีกโบราณ เต้นด้วยเท้าเปล่าซึ่งผู้ชมในสมัยนั้นต่างไม่เคยเห็นมาก่อน ในงานของเธอเป็นการแสดงลีลาการแสดงออกของอารมณ์ อิสดอร่า ดันแคนเป็นผู้ที่เปิดรับในอิสรภาพทางความคิดของสตรีที่มีต่อเรื่องความรักและยังให้การสนับสนุนการเรียกร้องสิทธิสตรีในเรื่องสิทธิการปกครองบุตร ธิดา (นราพงษ์ จรัสศรี. 2548: 109-110)อิสดอร่า ดันแคนถือเป็นผู้บุกเบิกการเต้นสมัยใหม่ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในอเมริกาและแพร่ขยายความนิยมออกไปทั่วยุโรป ท่ามกลางยุคสมัยที่ผู้ชมในฝั่งซีกโลกตะวันตกกำลังเบื่อหน่ายกับการเต้นบัลเล่ต์ (ศิริมงคล นาฏยกุล.2557: 27)

รูปภาพที่ ๑: Isadora Duncan, http://seenthis.net/

          รุท เซนต์เดนนิส  คืออีกผู้หนึ่งที่หลงใหลในวัฒนธรรมของโลกตะวันออก ผลงานการแสดงทั้งหมด จะเน้นการผสมผสานการเต้นในแบบตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันถือเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นและแสดงแนวความคิดความหลงใหลในตัวตนของศิลปินเอง ถึงแม้ว่าการแสดงในรูปแบบนาฏศิลป์ตะวันออกเธอดูไม่ลึกซึ้งแต่คนดูชื่นชอบในงานของเธอเนื่องจากมีรสชาติของความลึกลับเสมือนมีเวทย์มนต์ และแฝงไปด้วยตัณหาราคะ (นราพงษ์ จรัสศรี. 2548: 111)

รูปภาพที่ ๒ : Ruth St. Denis, http://eastiseverywhere.tumblr.com/

          มาธา เกรแฮม. ผู้คิดค้นเทคนิคการเค้นใหม่การคอนเทรกชั่น (Contraction) และรีลีส (Release) เทคนิคการเต้นที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยเป็นมาโดยเน้นที่การหายใจ จนถึงการเล่าเรื่องราวการแสดงโดยถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทั้งทางสีหน้าและร่างกาย เพื่อกระตุ้นอารมณ์ความ รู้สึกของผู้ชมให้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการแสดงมากยิ่งขึ้น งานส่วนใหญ่จะแสดงออกถึงความรู้สึกทุกข์ทรมานจากภายในซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นในการแสดง ความสุขความสนุกและมีชีวิตชีวา ความเกลียดชัง ความรัก ความริษยา ความคลั่งไคล้ ความรู้สึกที่ปิดบังอีกต่อไปไม่ได้ (นราพงษ์ จรัสศรี. 2548: 111)

รูปภาพที่ ๓: Martha Graham, https://onlineonly.christies.com/

          จากความสำเร็จของนักออกแบบการเต้นสมัยใหม่ทั้ง3คน สะท้อนถึงค่านิยมของผู้บริโภคในยุคสมัยใหม่ที่เกิดความเบื่อหน่ายกับการแสดงนาฏศิลป์ในรูปแบบเดิม การค้นพบและแสดงตัวตนของนักออกแบบทั้ง 3สะท้อนคุณค่าความเป็นธรรมชาติและความเป็นมนุษย์ของตนเอง ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงรสนิยมและตัดสินในผลงานของตนเองในรูปแบบเฉพาะตัว หากสังเกตข้อความและบริบทข้างต้นจะพบว่าแนวความคิดยุคสมัยใหม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับนาฏศิลป์ตะวันตก นักออกแบบการเต้นค้นหาวิธีที่แสดงถึงความเป็นตนเอง ลักษณะเฉพาะในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อผู้บริโภค และเทคนิคการเต้นเฉพาะตัวที่ส่งผลในการพัฒนาศาสตร์นาฏศิลป์ตะวันตกจนมาถึงปัจจุบัน

ผู้สร้างสรรค์มุ่งเน้นแนวคิดที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของการสร้างสรรค์ผลงานนาฏยศิลป์สำหรับการประกดวเชียร์ลีดดิ้งที่ไม่ซ้ำรูปแบบกับผู้อื่น และมุ่งการมีส่วนร่วมในการแบ่งปันความคิด ประสบการณ์ที่นักแสดงหรือนักเต้นต้องแบ่งปันพร้อมฝึกฝนมากกว่าเทคนิคการเต้นแบบเดิม ๆ สู่ความเชื่อและความรู้สึกภายในที่แสดงออกมา อันจะทำให้การแสดงนั้น ๆ มีคุณค่ามากขึ้นกว่าการร่ายรำด้วยท่วงท่าเพียงเท่านั้น

 


 

 

บรรณานุกรม

เกษม เพ็ญภินันท์.(สัมภาษณ์, 1 มีนาคม 2559)

นราพงษ์ จรัสศรี. (2548). ประวัติศาสตร์นาฏศิลป์ตะวันตก. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ศิริมงคล นาฏยกุล. (2557).นาฏยศิลป์ตะวันตกปริทัศน์.มหาสารคาม: หจก.โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.

นศ.สาขาวิชานาฏยศิลป์ ได้รับทุนการศึกษาเรียนเต้นนาฏยศิลป์ตะวันตกที่ประเทศอิตาลี และทุนจากสถาบันแดนเซนเตอร์ จากการแข่งขัน Solo Dance Competition ในงาน International Dance Festival 2018

 

ผู้เขียน   อาจารย์ ดร.ธนกร สรรย์วราภิภู

 


นายณัฐวุฒิ หลวงขวา นักศึกษาสาขาวิชานาฏยศิลป์ (4ปี) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้รับทุนการศึกษาเรียนเต้นนาฏยศิลป์ตะวันตกที่ประเทศอิตาลี

ชื่อการแข่งขัน ประเภท (เดี่ยว/ทีม) รางวัลที่ได้รับ
Solo Dance Competition เดี่ยว ทุนเล่าเรียนจากประเทศอิตาลี
Solo Dance Competition เดี่ยว ทุนเล่าเรียนจากสถาบันแดนซ์เซนเตอร์