ชื่อผลงานทางวิชาการ : สันติภาพศึกษา
ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือประกอบการเรียนการสอนวิชาสันติภาพศึกษา
ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2555
ข้อมูลเพิ่มเติม : สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : ศรีมงคล เทพเรณู ตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ สังกัดคณะครุศาสตร์
บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : สันติภาพพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสันติภาพ (Education about peace) และอีกลักษณะหนึ่ง หมายถึง การศึกษาเพื่อดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับสันติภาพ (Peace Activities) หรือสันติภาพ หมายถึง การพัฒนาหรือการขจัดความอยุติธรรม ความเสื่อมของระดับชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจ การขจัดความอิจฉาริษยา ไม่ไว้วางใจกัน หรือหมายถึง การจัดหาปัจจัยทางสังคมที่จำเป็น เช่น อาหาร การศึกษา การดูแลสุขภาพ การจ้างงานหรือการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงครามและผู้อพยพที่ยากจน
จากรูปแบบและเนื้อหาสาระของสันติภาพเน้นที่ปัญหาและการอยู่รอดของมนุษย์เป็นสำคัญและเน้นความร่วมมือ การอยู่ร่วมกันเป็นหลักสำคัญของการศึกษา ดังนั้นควรปลูกฝังนิสิต / นักศึกษาในด้านการค้นหาและทำความเข้าใจกับความขัดแย้งในชีวิต และความสามารถในการร่วมมือกันให้เกิดความตระหนัก ซาบซึ้งในความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมครอบคลุมไปถึงปัญหาการลดอาวุธนิวเคลียร์ด้วย ดังนั้นการศึกษาเพื่อสันติภาพ หมายถึง การศึกษาที่แสดงวิสัยทัศน์ในทางต่อต้านสงคราม พยายามที่จะหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่าสงครามเป็นเรื่องปกติธรรมดาและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งยังพยายามสร้างความเชื่อว่ายังมีชีวิตที่ไม่รุนแรงในการยุติความขัดแย้ง
การมีส่วนร่วมขององค์ประกอบทุกประการในสังคม เรื่องการศึกษาเพื่อสันติภาพ วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพในปัจจุบัน ได้แก่ ครอบครัว บุคคล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศาสนาและรัฐ ได้มีส่วนร่วม สันติภาพทั้งภายในและภายนอกจะเกิดจากเงื่อนไขสำคัญ คือ ทัศนคติที่เชื่อมั่นในวัฒนธรรมที่ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาได้ แต่กระแสความขัดแย้งและความรุนแรงในภูมิภาคต่างๆ ของโลกก็เกิดขึ้นเสมอความรุนแรง ได้แก่ ความต้องการมีชีวิตอยู่ ต้องการความเป็นอยู่ที่ดี ต้องการเสรีภาพและต้องการอัตลักษณ์หรือความหมายของชีวิต ระดับความขัดแย้งมี 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับองค์กรและระดับประเทศ ผลของความขัดแย้งกำหนดโดยพลวัตรของปฏิสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ความรุนแรงที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมในปัจจุบัน คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ประวัติความเป็นมาของการศึกษาปรัชญาสันติภาพในโลกตะวันตก แบ่งเป็นระยะๆ ได้แก่ ระยะที่หนึ่ง คือ การศึกษาสันติภาพเชิงลบและการศึกษาสันติภาพในแง่มุมของการศึกษาสงครามในบริบทวิทยาศาสตร์ ระยะที่สอง คือ ระยะที่สันติภาพถูกนำมารวมไว้กับการพัฒนา มีการพัฒนาด้านต่างๆ เกิดขึ้น ระยะที่สาม คือ ระยะที่ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการลดอาวุธให้ความสำคัญเรื่องเพศเท่าเทียมกัน ระยะที่จะก้าวสู่อนาคต คือ ตั้งแต่ปัจจุบันเป็นต้นไป ปัจจุบันมีการขยายกรอบการศึกษาครอบคลุมแนวความคิดที่หลากหลายในมุมของสังคมวิทยา
จุดเริ่มต้นของทฤษฎีสันติภาพ เป็นทฤษฎีที่ยอมรับว่าสงครามในฐานะมาตรการหนึ่งในการรักษาสันติภาพการแสวงหาคุณูปการจากทฤษฎีเพราะมีประโยชน์ต่อการสร้างทฤษฎีสันติภาพ จึงจำเป็นต้องศึกษาทฤษฎีสงครามให้เข้าใจ เพราะทฤษฎีสันติภาพมีลักษณะบางอย่างสอดคล้องกับทฤษฎีสงครามในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับวิธีการของทฤษฎีสันติภาพ 3 ประเด็น ได้แก่ สันติภาพไม่ใช่การยุติสงคราม การทำสงครามเป็นการศึกษาเฉพาะเรื่องกลยุทธ์วิธีการเท่านั้น และสงครามเป็นเรื่องของการกระทำในสภาพการขัดแย้ง เครื่องมือสำหรับการสร้างสันติภาพ สามารถจำแนกตามภารกิจ ดังนี้ การทูตแบบถาวร วิธีการจัดการกับความขัดแย้งแบบไม่เป็นทางการ มาตรการทางการทหาร มาตรการทางเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนาทางการเมืองและมาตรการทางการบริหารจัดการ มาตรการความยุติธรรมและกฎหมายและมาตรการการสื่อสารและการศึกษา
สังคมนิยมเป็นความหวังใหม่แห่งสันติภาพ แสดงออกมา 2 ลักษณะ คือ แสดงออกทางความสิ้นหวัง กับปฏิกิริยาของประชาชนมีแนวโน้มจะส่งเสริมการเกิดกระแสมิจฉาทิฐิและโมหะจริต ยึดมั่นในแนวคิดของตนโดยไม่สนใจใคร การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเพื่อสันติภาพ เกิดจากการประชุมสำคัญที่เกิดขึ้นโดยกลุ่มนักวิชาการและนักธุรกิจ มีข้อสรุป 2 ประเด็น ได้แก่ จุดจำกัดของการเจริญเติบโต (The Limits to Growth) กับจุดเปลี่ยนของมนุษย์ (Mankind at the Turning Paint) ทางกฎหมายและการเมืองให้ความสำคัญของสันติภาพและต้องการให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น กรณีเกิดข้อพิพาททางกฎหมาย อาจใช้ระบบและบุคลากรที่เป็นทางการ ทางกฎหมายและทนาย เช่น ศาล ฯลฯ เป็นต้น กระบวนการการสร้างสันติวิธีมี 2 ขั้นตอน คือ พยายามป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นพยายามแก้ไขความขัดแย้งและรักษา เยียวยาภายหลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง
สภาพการณ์และสันติภาพของประเทศไทย พบว่าเกิดความรุนแรงทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย สันติภาพในประเทศไทยจะนึกถึงความขัดแย้งหรือการปะทะกันระหว่างชาติ ประเทศไทยเกิดแรงเหวี่ยงทางสังคมไทย (Social Momentum) เกิดจากปัจเจกชนนิยมการยึดมั่น ถือมั่น การปรับตัวของปัจเจกชนมี 5 แบบ ได้แก่ พวกทำตาม (ปฏิบัติตาม) พวกแหวกแนว พวกเจ้าระเบียบ พวกหนี้โลกและพวกขบถ ทั้งหมดนี้เป็นผลทำให้เกิดปัญหาความล้าหลังของวัฒนธรรมซึ่งเกิดจากวัฒนธรรมอื่นแตกต่างจากวัฒนธรรมเดิม เกิดภาวการณ์ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่น ปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ เป็นต้น การวิเคราะห์สภาพอาชญากรรมในประเทศไทย เช่น สาเหตุอาชญากรรมที่เกิดจากภาวะความตึงเครียด เกิดจากการถี่ตรงและด้านประชากร การศึกษา เป็นต้น ฯลฯ
สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : ทฤษฎีสันติภาพและสันติวิธี ได้แก่
1. ทฤษฎีสันติภาพของอาดัม เคิร์ล เสนอวิธีศึกษาสันติภาพ โดยการพิจารณาความสัมพันธ์ที่ไม่สันติและความสัมพันธ์ที่สันติ
2. ทฤษฎีสันติภาพของโยฮัน กัลตุง ได้เสนอทางเลือกใหม่ให้กับสังคม คือ สิ่งที่เรียกว่าสันติภาพเชิงโครงสร้าง โดยได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสันติภาพ เพราะเป็นสันติภาพในสังคมให้ศึกษาในแง่ของศาสนาและพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ เช่น ต้องการดำรงชีวิต ต้องการความเป็นอยู่ที่ดี เป็นต้น
3. ทฤษฎีสันติภาพของท่านพุทธทาสภิกขุ ให้ความสำคัญของสันติภาพ เพราะครอบครัวต้องการสันติภาพ จำแนกสันติภาพเป็นระดับบุคคล ระดับสังคมและระดับโลก ประกอบด้วยด้านสังคม ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัตถุ และด้านจิตใจ จะเห็นว่าจากทักษะเรื่องสันติภาพของพระธรรมปิฎก มุ่งเน้นการสร้างสันติภาพจากภายในอันเป็นหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา ให้สำรวจกิเลสของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องภายในและเป็นบ่อเกิดจากการขาดสันติภาพภายในจิตใจ
แนวความคิดของสมาคมนักการศึกษานานาชาติเพื่อสันติภาพของโลก (NGO ของUN) วิเคราะห์สันติภาพออกเป็น 9 ระดับ ได้แก่ สันติภาพภายในบุคคล ระหว่างบุคคล หมู่คณะ และภายในเผ่าพันธุ์ ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นจากทฤษฎีสันติภาพข้างต้นนั้น การสร้างสันติภาพ คือ การปรับเปลี่ยนความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์และสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสันติภาพ การสร้างสันติภาพทำให้โลกมีความปลอดภัย เพราะฉะนั้นการศึกษาสันติภาพ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยทางจิตวิทยาเข้ามามีส่วนร่วม เพราะธรรมชาติในการสร้างมนุษย์ให้มีความแตกต่าง เนื่องจากจิตวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมหรืออาการกระทำต่างๆ ของมนุษย์และสัตว์ เกี่ยวกับพฤติกรรมปรุงแต่ง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นจะถูกการควบคุมและจำกัดโดยสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว มนุษย์มีความเชื่อ คือความเชื่อมโยงโดยอัตนัยของบุคคลระหว่างที่หมายของความเชื่อกับลักษณะคุณสมบัติ
การสร้างสันติภาพ แบ่งตามความเชื่อหรือหลักการปฏิเสธความรุนแรง 6 ประเภท โดยเฉพาะประเภทที่ 2 ตกลงประนีประนอม ซึ่งมีลักษณะดังนี้
ลักษณะของความรุนแรง | ระดับความรุนแรง | |||
ระดับโลก | ระดับประเทศ | ระดับสังคม | ระดับบุคคล | |
ความรุนแรงทางตรง | สงครามปกตินิเคลียร์ละเมิดสิทธิมนุษยชน | สงครามกลางเมือง | การต่อต้าน | การฆ่าตัวตาย |
ความรุนแรงทางโครงสร้าง | ความยากจน ความไม่เท่าเทียมกัน ความเอาเปรียบ | ความไม่เท่าเทียมกันในระดับประเทศ | ความยากจน | การหมดกำลังใจ |
ความรุนแรงทางวัฒนธรรม | การข่มเหงทางวัฒนธรรม การเอาเปรียบทางเชื้อชาติ | การแบ่งชนชั้น | การเอาเปรียบซึ่งกันและกัน | การรู้สึกแบ่งแยก |
ความรุนแรงทาง สิ่งแวดล้อม | สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สงครามเคมี สงครามนิวเคลียร์ การใช้ทรัพยากรดิน | สิ่งแวดล้อมในประเทศ ป่าไม้ | สิ่งแวดล้อมชุมชน ป่าไม้ ภูเขา | การบริโภคเกินความจำเป็น |
แนวทางการส่งเสริมสันติภาพตามแนวท่านพุทธทาสภิกขุ จัดว่าเป็นทางเลือกสำหรับมนุษย์ 2 ส่วน คือ ปัจเจกบุคคลกับส่วนของสังคม
แนวทางส่งเสริมปัจเจกบุคคล คือ ส่งเสริมให้มีการศึกษาดีถูกต้องสมบูรณ์ ทั้งด้านวิชาชีพ ศีลธรรมที่ถูกต้อง ส่วนทางด้านส่งเสริมทางสังคม ให้มีระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องมีการศึกษาที่ถูกต้อง สำหรับด้านเศรษฐกิจการเมืองหรือเศรษฐศาสตร์เป็นความพยายามของมนุษย์ที่จะค้นหา สร้างรูปแบบ การดำเนินชีวิต แม้แต่การปรองดอง (Hamony) ทั้งกายและใจ ในปัจจุบันที่มีการค้นพบวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เน้นด้านคุณธรรมในการสร้างความมั่นคง พิทักษ์ประโยชน์ เกิดกระแสการค้นคว้าวิถีชีวิตด้านการผลิตแบบใหม่ เรียกว่า “สังคมนิยม” ที่มีผลมาจากการแสดงออกทางสิ้นหวังกับกระแสมิจฉาทิฐิ โมหะจริต ยึดมั่นในความคิดของตนจึงเกิดการต่อต้านและต้องการเอกภาพในวิธีการและแนวทางการดำเนินชีวิตในประเทศสังคมนิยม
ปัญหาสันติภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้พยายามหาทางวิธีการ มาตรการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความปรารถนาสร้างสรรค์สังคมสันติสุขพร้อมๆ กัน จึงเกิดความพยายามใช้แนวทางต่อสู้แบบสันติวิธี 3 อย่าง ได้แก่ สันติวิธีในการสร้างประชาธิปไตยและเสรีภาพ และคนกลุ่มใดชอบใช้ความรุนแรง ฯลฯ เป็นต้น จึงมีการมอบรางวัลโนเบล คือ บุคคลที่มีผลงานในทางบุกเบิกความสัมพันธ์ที่ดีในการอยู่ร่วมกัน โดยให้มีสันติภาพเกิดขึ้นมีการปรองดองแบบประชาธิปไตย มีสิทธิมนุษยชนเท่าเทียมกัน อาทิเช่น ฌอง อองรี ดูนองค์ (Jean Henri Dunant) ผู้ก่อตั้งสภากาชาดและการประชุมเจนีวาสิทธิมนุษยชน นางอองซาน ซูจี ต่อสู้ไม่รุนแรงในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนและบารัค โอบามา ใช้ความเข้มแข็งในการสร้างความเข้มแข็งให้กับการทูตระหว่างประเทศและความร่วมมือระหว่างผู้คนทั่วโลก ฯลฯ เป็นต้น
สภาพการณ์และสันติภาพของประเทศไทยเป็นวิธีการไม่ใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น ต่อสิ่งอื่น ต่อตนเอง และต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความรุนแรงทางโครงสร้าง พบว่าระบบการศึกษาของไทย ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษามีลักษณะแบ่งชนชั้น โดยวัฒนธรรมไทยบางส่วนก็เป็นเรื่องการเกิดสันติภาพยากมาก เพราะสังคมไทยแบ่งคนที่มีอำนาจมีอิทธิพลเหนือคนอื่น
จากปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมีการปรับตัวใหม่ การปรับตัวของปัจเจกชนมี 5 แบบ ได้แก่ พวกทำตาม (ปฏิบัติตาม) พวกแหวกแนว พวกเจ้าระเบียบ พวกหนี้โลกและพวกขบถ
พฤติกรรมเบี่ยงเบน |
เป้าหมายทางวัฒนธรรม |
บรรทัดฐานของสังคม |
พวกทำตาม |
+ |
+ |
พวกแหกแนว |
+ |
– |
พวกเจ้าระเบียบ |
– |
+ |
พกหนีโลก |
– |
– |
พวกขบถ |
+ / – |
+ / – |
ประเทศไทยความเบี่ยงเบนต่างๆ เป็นผลของปัญหาความขัดแย้ง ล้าหลังของวัฒนธรรม เกิดภาวการณ์ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ได้และไม่ปฏิบัติตามระเบียบ จึงเกิดปัญหา เช่น ปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ เป็นต้น สาเหตุการเกิดอาชญากรรมบนพื้นฐานการดำรงชีวิตในปัจจุบัน เช่น การพัฒนาประเทศจากสังคมชนบทไปสู่สังคมเมือง พัฒนาอาชีพจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม การวิเคราะห์สภาพอาชญากรรมในประเทศไทย ได้แก่
1. สาเหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากภาวะตึงเครียด
2. เกิดจากการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและการสมาคมกับกลุ่มแตกแยก
3. เกิดการตีตรา
4. ทางด้านประชากรการศึกษา
จุดเด่น/ความน่าสนใจของหนังสือ : จากเนื้อหาสาระของหนังสือที่กล่าวถึง
ประเด็นที่ 1 ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็วในเอเชีย ประเทศขาดการบริหารจัดการที่ดีทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องขอกู้เงินจากกองทุน IMF (กองทุนระหว่างประเทศ เงื่อนไขสำคัญ รัฐบาลต้องสร้างหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นแนวคิดธรรมาภิบาล จากเหตุผล
1. อันเนื่องมาจากความจำเป็นจากสาเหตุปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
2. รัฐบาลไทยต้องรับแนวคิดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย
ทั้ง 2 กรณีนำไปสู่การผสมผสานผลประโยชน์ที่หลากหลายและขัดแย้งกัน โดยมีองค์ประกอบจำเป็นต้องมี 4 มิติ จะต้องเชื่อมโยงระหว่างทั้ง 4 องค์ประกอบ ได้แก่
1. Accountability คือ ความรับผิดชอบและมีเหตุผลที่อธิบายได้
2. Paricipation คือ ต้องมีการมีส่วนร่วมของประชาชน
3. Predictability คือ จะต้องมีการคาดการณ์ได้
4. Transparency คือ จะต้องมีความโปร่งใส
ธรรมาภิบาลตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี จึงเรียกว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งมีหลักการพื้นฐานสำคัญ 6 กรอบ ได้แก่ หลักนิติธรรม (Rule of Law) หลักคุณธรรม (Ethics) หลักความโปร่งใส (Transparency) หลักการมีส่วนร่วม (Participation) หลักความสำนึกรับผิดชอบ (Accountability) และหลักความคุ้มค่า (Value of Money)
สถาบันพระปกเกล้า เสนอว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้สร้างระบบริหารกิจการบ้านเมือง (Good Governance) โดยมีเป้าหมาย 3 ประการ ประกอบด้วย
1. การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ เพื่อให้งานภาครัฐมีคุณภาพ ได้มาตรฐานตามที่ประชาชนต้องการมีความโปร่งใส ในการตัดสินใจและในกระบวนการทำงาน
2. การปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานของภาครัฐ เน้นงานหน้าที่หลัก คือ การกำหนดนโยบาย บังคับใช้กฎหมาย ให้ความเสมอภาค เป็นธรรม บริหารอย่างอิสระและประชาชนมีส่วนร่วม
3. การบริหารแบบพหุภาคี คือ การบริหารที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย ตัดสินใจหรือร่วมปฏิบัติงานโดยไม่ผูกขาดหรือรวมศูนย์อำนาจ
ดังนั้นในการสร้างธรรมรัฐให้เกิดขึ้นในสังคมไทยต้องให้หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบและหลักความคุ้มค่า องค์ประกอบของการมีธรรมาภิบาลสำคัญ 9 ประการตามความหมายของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชน กฎหมายที่ยุติธรรม ความเปิดเผยโปร่งใส การมีฉันทานุมัติร่วมในสังคม กลไกการเมืองที่ชอบธรรม ความเสอมภาค ประสิทธิภาพและประสิทธิผล พันธะความรับผิดชอบต่อสังคมและความมีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์
ประเด็นที่ 2 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของโลกมีผลนำไปสู่การทำรัฐประหารของฝ่ายขวา เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองภายในภูมิภาคต่างๆ คือ ชัยชนะของกลุ่มคอมมิวนิสต์ การถอนทหารอเมริกันออกจาภูมิภาค ได้สร้างปัญหาเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ เกิดภัยคุกคามการเมืองจากค่ายคอมมิวนิสต์ จึงเป็นแรงกดดันและเกิดการแยกขั้วระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา และวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในตะวันออกกลาง ทำให้การเมืองขาดประสิทธิภาพ จึงมีการนำเทคโนโลยี โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์มาใช้ทำงานตามลักษณะการทำงานและนำไปประยุกต์ใช้งานด้านต่างๆ เช่น การศึกษา กราฟฟิค การค้าปลีก พลังงาน กำหมาย การขนส่ง การเงิน เกษตรกรรม รัฐบาล ที่อยู่อาศัย สุขภาพและการแพทย์ หุ่นยนต์ วิทยาศาสตร์ การสื่อสาร การฝึกอบรมและงานเอกสาร เป็นต้น
ประเด็นที่ 3 กฎหมายลิขสิทธิ์ที่ทุกคนควรทราบ ลิขสิทธิ์ คือ ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง โดยให้เจ้าของลิขสิทธิ์ถือสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว รูปแบบของการละเมิดลิขสิทธิ์ อาจเกิดจาก
1. การทำสำเนาโดยผู้ใช้
2. การติดตั้งซอฟแวร์ลงในฮาร์ดดิสก์
3. การปลอมแปลงสินค้า
4. การละเมิดลิขสิทธิ์
5. การขายลิขสิทธิ์ผิดประเภท
ทั้ง 5 รูปแบบจัดเป็นประเภทการละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ประเด็นที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศไทย เป็นโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ พัฒนาบุคลากรทางด้านสารสนเทศและปฏิรูปภาครัฐ โดยใช้เทคโนโลยีสาสนเทศ ประเทศไทยประกาศใช้กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการกำหนดภารกิจที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศแห่งชาติที่เสมอภาค
2. การลงทุนในด้านการศึกษาที่ดีของพลเมืองและบุคลากรด้านสารสนเทศ
3. การปรับปรุงบทบาทภาครัฐเพื่อบริการที่ดีขึ้นและสร้างรากฐานอุตสาหกรรมสารสนเทศที่แข็งแกร่ง
อื่นๆ ตามความเหมาะสม : จากเนื้อหาสาระของหนังสือสันติภาพศึกษา พบว่า ยังมีบทวิเคราะห์เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้สันติภาพศึกษา เริ่มจากการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่ มีการจัดการศึกษาที่มุ่งมั่นไปที่การสืบค้น สำรวจภายในตัวเอง การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ โดยตรงและการฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ซึ่งจะนำไปสู่การตระหนักหยั่งรู้ความเปิดกว้าง ความเคารพในความเป็นมนุษย์และการยอมรับในความแตกต่าง
ความจำเป็นต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือ การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใครครวญ โดยมีแนวทางการให้การศึกษา ดังนี้
1. Citicality-Based คือ สอนให้มองโลกในแง่ดี ให้มีความคิดวิจารณญาณ รู้จักวิเคราะห์หาเหตุผล
2. Creativity-Based คือ สอนให้พัฒนาตนเองให้เต็มที่ตามศักยภาพ รู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่
3. Productivity-Based คือ สอนให้มองที่ผลงาน ให้รู้จักสร้าง ผลิต คิดอะไรใหม่ๆ
4.Responsibility-Based คือ สอนให้รู้จักตนเอง เสียสละ ให้ผลักดันสังคมให้ก้าวหน้า ด้วยมือของตนเอง
การเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษา มีการฝึกการใช้ชีวิตทั้งฐานกาย ฐานใจและฐานปัญญา เช่น ฝึกทั้งการโต้แย้ง มองอย่างพินิจพิจารณา ตามหลักศาสนา เปรียบเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านหลายสาขา กิจกรรมจิตตปัญญามี 4 ขั้นตอน คือ ย้อนพิจารณาถึงประสบการณ์หรือกิจกรรมที่ผ่านมาการน้อมนำสู่ใจ การใครครวญด้วยใจและการนำไปพัฒนาให้ดีขึ้น สำหรับการฝึกให้มีจิตสาธารณะนั้น สอนให้เกิดความสำนึกต่อส่วนร่วมซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของจิตสาธารณะ การแสดงออกของพฤติกรรมจิตสาธารณะมี 3 องค์ประกอบ คือ การหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจหรือการกระทำที่ทำให้เกิดความชำรุดเสียหายต่อส่วนรวมที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม การถือหน้าที่ที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาของส่วนรวมในวิสัยที่สามารถทำได้และการเคารพสิทธิในการใช้ขอส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม
ความสำคัญของการมีจิตตสาธารณะเพื่อสร้างสันติภาพ การที่คนมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ในรูปแบบการพึ่งพากัน การพัฒนาจิตสาธารณะต้องเกิดจากการฝึกอบรมตั้งแต่วันเด็ก และพัฒนาไปเรื่องๆ จนถึงเป็นผู้ใหญ่ ทำได้โดยการพัฒนาพฤติกรรม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากแผนภาพนี้แสดงว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมภายนอก ส่งผลต่อกระบวนการทางปัญญาที่มีผลต่อพฤติกรรม สามารถเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้และมาจากการเปลี่ยนแปลงทางปัญญา
ในการพัฒนาจิตสาธารณะสู่สันติภาพการศึกษาสามารถทำได้หลายวิธี อาทิเช่น
1. การใช้แบบสมมติกับตัวแบบ
2. การใช้สถานการณ์จำลองผสานกับเทคนิคการประเมินผลจากสภาพจริง
3. การใช้ตัวแบบสัญลักษณ์ผ่านสื่อ หนังสือเรียนเชิงวรรณกรรม
4. การสอนตัวแบบผ่านภาพการ์ตูน
5. การใช้วีดีทัศน์ ละครหุ่นเชิดเป็นตัวแบบ
รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร