Author Archives: writer3

ทฤษฎีการออกแบบ

ทฤษฎีการออกแบบ

นางสาวกุลนิษก์ สอนวิทย์

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของผลงานทางวิชาการ : หนังสือวิชาทฤษฎีการออกแบบเล่มนี้ มีเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนหรืออาชีพการออกแบบ อาทิเช่น

บทที่ ๑. กล่าวถึง ความหมายการออกแบบว่าเป็นการออกแบบซึ่งเป็นความพยายามของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการทั้งด้านความงามและประโยชน์ใช้สอย การออกแบบแฝงอยู่ในงานทุกประเภท ทั้งนี้เพราะการออกแบบเป็นกระบวนการในการแก้ปัญหาด้วยความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ การออกแบบมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องโดยลำดับ ดังนี้

๑. การออกแบบยุคประวัติศาสตร์

๒. การออกแบบยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม

๓. การออกแบบยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม

๔. การออกแบบยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

๕. การออกแบบยุคสมัยใหม่

๖. การออกแบบยุคหลังสมัยใหม่

๗. การออกแบบยุคปัจจุบัน

บทที่ ๒. ประเภทของการออกแบบ การออกแบบสองมิติ ได้แก่ การออกแบบสร้างสรรค์ ได้แก่ งานออกแบบจิตรกรรม งานออกแบบภาพพิมพ์และการออกแบบภาพถ่าย

การออกแบบตัวอักษร ได้แก่ ประเภทตัวอักษรมี ๒ ประเภท คือ ตัวอักษรเพื่อการเรียงพิมพ์หรืออักษรเรียงพิมพ์ ตัวอักษรประดิษฐ์ รูปแบบและลักษณะเฉพาะของตัวอักษร ได้แก่ รูปแบบของตัวอักษร ลักษณะของตัวอักษร โครงสร้างของตัวอักษร ขนาดของตัวอักษร การเว้นระยะห่าง

การออกแบบสัญลักษณ์และเครื่องหมาย ได้แก่ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย สัญลักษณ์และเครื่องหมายมีลักษณะที่หลากหลาย คือ เครื่องหมายสัญลักษณ์ เครื่องหมายภาพ เครื่องหมายอักษร เครื่องหมายภาษา เครื่องหมายผสมและเครื่องหมายการค้า

การออกแบบสามมิติเป็นการออกแบบที่แสดงปริมาตรของรูปทรง มีความกว้าง ความยาวและความหนา การออกแบบสามมิติ ได้แก่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ ต้องคำนึงถึงหน้าที่ใช้สอย ความสวยงามน่าใช้ ความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย ความแข็งแรง ราคา วัสดุ กรรมวิธีการผลิต การบำรุงรักษาและซ่อมแซมและการขนส่ง

บทที่ ๓. องค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบ มีเส้นในทางเรขาคณิตเกิดจากจุดจำนวนมากที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ ส่วนเส้นทาง ศิลปะเกิดจากการขีดเขียน ขูด ลาก ระบายด้วยเครื่องมือชนิดต่างๆ และเกิดจากความคิด ได้แก่ เส้นที่เกิดขึ้นจริง เส้นเชิงนัย เส้นที่เกิดจากขอบ เส้นสมมติ

คุณลักษณะของเส้น ได้แก่ เส้นตรง เส้นโค้ง เส้นคตและเส้นประ เส้นเป็นองค์ประกอบมูลฐานที่สำคัญของงานออกแบบ หลายรูปแบบ ได้แก่ เส้นแสดงโครงสร้างภายนอก เส้นแสดงสัญลักษณ์ เส้นแสดงทิศทาง เส้นแสดงขอบเขต เส้นแสดงน้ำหนักและเส้นแสดงลักษณะพื้นผิว

การเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและรูปทรง มีแนวทางดังนี้ รูปร่างและรูปทรงเดิม รูปร่างรูปทรงต่อเติม รูปร่างและรูปทรงลดส่วน รูปร่างและรูปทรงกลวง ฯลฯ เป็นต้น

สิ่งที่เกิดจากลักษณะความเข้มของแสงที่ปรากฏแก่สายตาผ่านกระบวนการรับรู้แล้วส่งภาพไปยังสมอง สีแบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ สีจากแสง สีจากเนื้อสี หลักการใช้สีให้เหมาะสมมีแนวทางดังนี้ สีคู่ประกอบ สีคู่ประกอบเยื้องกัน สีคู่ประกอบ ๓ สี สีเอกรงค์และสีข้างเคียง สีกับการออกแบบมีแนวทางดังนี้

๑. การใช้สีในงานทัศนศิลป์

๒. การใช้สีในการออกแบบตกแต่ง

๓. การใช้สีในงานออกแบบกราฟฟิก

ลักษณะพื้นผิวกับงานออกแบบสามมิติ ดังนี้ ลักษณะพื้นผิวในงานประติมากรรม ลักษณะพื้นผิวในงานสถาปัตยกรรม ลักษณะพื้นผิวในงานออกแบบตกแต่งและลักษณะพื้นผิวในงานออกแบบเสื้อผ้า

บทที่ ๔. ทฤษฎีการออกแบบ การสร้างดุลยภาพในงานศิลปะและงานออกแบบ เป็นหลักในการจัดองค์ประกอบในภาพให้เกิดเอกภาพ ดุลยภาพมี ๔ ลักษณะ ดังนี้

๑) ดุลยภาพแบบสมมาตร (Symmetrical Balance)

๒) ดุลยภาพแบบอสมมาตร (Asymmetrical Balance)

๓) ดุลยภาพแบบคล้ายคลึงกัน (Approximate Symmetry Balance)

๔) ดุลยภาพแบบรัศมี (Radial Balance)

องค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบกับทฤษฎีดุลยภาพมีแนวทางดังนี้ คือ เส้นกันดุลยภาพ รูปร่างและรูปทรงกับดุลยภาพ สีกับดุลยภาพ ลักษณะพื้นผิวกับดุลยภาพ บริเวณว่างกับดุลยภาพและแสงและเงากับดุลยภาพ

ทฤษฎีสัดส่วน (Proportion) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับงานออกแบบทุกประเภท เพราะสัดส่วนมีความเกี่ยวข้องกับขนาด และระยะที่สัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีความใกล้เคียงกับความจริงหรือสภาพแวดล้อม มีความเหมาะสมในการใช้งานและเกิดความสวยงาม ดังนั้น ทฤษฎีสัดส่วน หมายถึง ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบที่ปรากฏในผลงาน ซึ่งมีขนาด รูปร่าง รูปทรง ที่เหมาะสมกลมกลืนกันทั้งในตัววัตถุเองและสภาพแวดล้อม รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับการใช้งานสัดส่วนมีลักษณะ ๓ ประการ คือ สัดส่วนที่เหมือนกันเท่ากันไม่แสดงความแตกต่างขององค์ประกอบในภาพหรือที่เรียกว่า การซ้ำกัน (Repetition) ให้ความรู้สึกสงบเงียบ สัดส่วนที่แตกต่างกันซึ่งอาจเป็นไปตามกฎของสัดส่วนหรือแตกต่างในลักษณะอื่น ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวนำสายตาไปยังจุดสนใจและสัดส่วนที่ตัดกัน โดยแสดงความแตกต่างกันขององค์ประกอบในภาพอย่างชัดเจน สร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดี

ทฤษฎีความกลมกลืนและความขัดแย้ง ความกลมกลืน หมายถึง การนำองค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าเป็นเส้น สี รูปร่าง ลักษณะพื้นผิว บริเวณว่าง แสงและเงา มาใช้ในการออกแบบได้อย่างเหมาะสมลงตัว เกิดความประสานสอดคล้องกันอย่างพอเหมาะพอดี

ทฤษฎีจังหวะ จังหวะ หมายถึง การซ้ำกันอย่างต่อเนื่องขององค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบ ได้แก่ เส้น รูปร่างและรูปทรง สี ลักษณะพื้นผิว บริเวณว่าง แสงและเงาที่มีลักษณะเหมือนกันหรือการสลับไปมาขององค์ประกอบที่แตกต่างกันตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไป อย่างต่อเนื่องเป็นระเบียบ เกิดเป็นลวดลายให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ

ทฤษฎีการเน้น การเน้น หมายถึง การทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของผลงานมีความโดดเด่นกว่าส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งสามารถรับรู้ได้จากการมอง เพื่อสร้างจุดสนใจให้เกิดขึ้นในผลงาน จุดเด่นที่เน้นควรมีเพียงจุดเดียว โดยพิจารณาจากเนื้อหาเรื่องราวหรือความหมายที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้ดูและการจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม รูปแบบของการเน้น คือ การเน้นด้วยความแตกต่าง ด้วยความโดดเด่นและด้วยการจัดวาง

ทฤษฎีเอกภาพ เอกภาพ หมายถึง การนำองค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบไม่ว่าจะเป็นเส้น รูปร่าง รูปทรง สี ลักษณะพื้นผิว บริเวณว่าง แสงและเงา มาจัดวางลงบนพื้นภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความประสานกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับการรับรู้ของมนุษย์ในการมองภาพ แล้วเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ ให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ

ทฤษฎีแกสตัลท์ เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ โดยมีแนวคิดหลักว่า ส่วนรวมสำคัญกว่าส่วนย่อยเพราะมนุษย์จะรับรู้สิ่งต่างๆ ที่มองเห็น ในลักษณะรูปทรงโดยรวมก่อน ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้น จากนั้นจึงแยกแยะ ส่วนย่อยต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นรูปทรงโดยรวมทั้งนี้ต้องอาศัยประสบการณ์เดิมและการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลที่อาจแตกต่างกันด้วย ดังนั้นมนุษย์จะรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี เมื่อมีโอกาสเห็นภาพรวมทั้งหมดของสิ่งนั้นก่อน เมื่อเกิดภาพรวมทั้งหมดแล้ว การรับรู้รายละเอียดต่างๆ จะเกิดขึ้น

บทที่ ๕. กระบวนวิธีการออกแบบ การออกแบบจะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ เกิดจากความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ได้แก่ ความเชื่อในแนวคิดที่แตกต่างกัน ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ การคิดค้นวัสดุและเทคนิคใหม่ๆ ทำให้เกิดแนวคิด วิธีการ รูปแบบและประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกันไปจากเดิม รวมทั้งการขยายตัวของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งขนาดและคุณภาพ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว แนวทางการออกแบบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสรุปได้ดังนี้

๑. การออกแบบที่เกิดจากการปรับปรุงและพัฒนา

๒. การออกแบบที่เป็นการสร้างสรรค์ใหม่

กระบวนการการออกแบบขั้นพื้นฐาน มีทั้งแบบสองและสามมิติ ย่อมมีขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จของผลงาน โดยที่กระบวนการออกแบบ (Design Process) ของงานศิลปะหรืองานออกแบบแต่ละประเภท อาจแตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของผลงาน ได้แก่ กระบวนการออกแบบของคอเบิร์กและเบกนอล แบ่งการออกแบบ ๗ ขั้นตอน คือ การรับรู้สถานการณ์ การวิเคราะห์ การกำหนดขอบเขต การจินตนาการ การคัดเลือก การทำให้สมบูรณ์และการประเมินสำหรับกระบวนการออกแบบของดารัก มี ๔ ขั้นตอน คือ การสรุปแผนงานก่อนปฏิบัติ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินผล ฯลฯ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่ากระบวนการออกแบบตามแนวคิดของนักวิชาการแต่ละคน มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่มีความสอดคล้องกัน ดังการเปรียบเทียบ

 

แสดงการเปรียบเทียบกระบวนการออกแบบ

ขั้นตอนที่ คอเบิร์ก , เบกนอล ดารัก ครอส นวลน้อย น้อยวงษ์
๑. การับรู้สถานการณ์ การสรุปแผนงานก่อนปฏิบัติการ การสำรวจ การกำหนดขอบเขตของปัญหา
๒. การวิเคราะห์ การวิเคราะห์ การผลิต การค้นคว้าหาข้อมูล
๓. การกำหนดขอบเขต การสังเคราะห์ การประเมินผล การวิเคราะห์
๔. การจินตนาการ การประเมิน การสื่อความคิด การสร้างแนวความคิดหลัก
๕. การคัดเลือก     การออกแบบร่าง
๖. การทำให้สมบูรณ์     การคัดเลือก
๗. การประเมินผล     การออกแบบรายละเอียด
๘.       การประเมินผล

 

การออกแบบแต่ละประเภทมีขั้นตอนที่สำคัญ ๕ ขั้นตอน คือ การศึกษาค้นคว้า (Information) การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) การนำเสนอผลงาน (Presentation) และการประเมินผลงาน (Evaluation)

บทที่ ๖. แนวคิดในการออกแบบ เกิดจากความต้องการของมนุษย์ทางด้านจิตใจ หลักเกณฑ์การพิจารณางานออกแบบ ได้แก่ ประโยชน์ใช้สอย ความงาม การเลือกใช้วัสดุและคุณภาพการผลิต ความเหมาะสมทางการตลาด ความถูกต้องตามกฎระเบียบ ระบบและการคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ความก้าวหน้าทางการปฏิบัติคิดค้น และการเปรียบเทียบคุณสมบัติ

 

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : ผลงานเล่มนี้มีสาระสำคัญที่เน้นเกี่ยวกับการออกแบบทางศิลปะมาก อาทิเช่น

ประเด็นที่ ๑. ความสำคัญของการออกแบบ เป็นกิจกรรมที่อยู่คู่กับชีวิตมนุษย์มาโดยตลอด เริ่มจากการที่มนุษย์ต้องการเอาชนะธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด จึงพยายามคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการดำรงชีวิต โดยการดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่หรือสร้างขึ้นใหม่ การออกแบบจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ ดังนั้นคุณค่าของการออกแบบจึงสามารถสรุปได้ดังนี้

๑.๑ คุณค่าของการออกแบบต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ คุณค่าทางกาย ทางอารมณ์ความรู้สึก และคุณค่าทางทัศนคติ

๑.๒ คุณค่าของการออกแบบต่อสังคม ได้แก่ งานออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอย เพื่อการติดต่อสื่อสารและเพื่อการออกแบบเป็นคุณค่าของความงาม

ประเด็นที่ ๒. การออกแบบสิ่งพิมพ์ (Publication Design) เป็นการเตรียมรูปแบบของสิ่งพิมพ์ก่อนเข้าสู่กระบวนกรผลิต เพื่อเพิ่มความสวยงามน่าสนใจ สร้างความประทับใจและความทรงจำแก่ผู้อ่าน และช่วยให้อ่านทำความเข้าใจได้ง่ายสิ่งพิมพ์มีหลายประเภท ได้แก่

๒.๑ หนังสือ (Book)

๒.๒ หนังสือพิมพ์ (Newspaper)

๒.๓ นิตยสาร (Magazine)

๒.๔ สิ่งพิมพ์เฉพาะกิจหรือสิ่งพิมพ์เบ็ตเตล็ด (Miscellaneous Publication)

นอกจากนี้ยังมีสิ่งพิมพ์อื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น ธนบัตร เช็ค บัตรอวยพร แสตมป์ ปฏิทิน สมุดบันทึก ซองและกระดาษเขียนจดหมาย นามบัตร แผนที่ ปกซีดีเพลง ปกดีวีดี ภาพยนตร์ ฉลากสินค้า ซอง ถุง กล่อง เป็นสิ่งพิมพ์มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การออกแบบสิ่งพิมพ์ มีปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา เพื่อให้การออกแบบสิ่งพิมพ์มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน คือ ประเภทและลักษณะเนื้อหาของสิ่งพิมพ์ วัตถุประสงค์ในการจัดทำ กลุ่มเป้าหมาย ขนาดและรูปแบบมาตรฐานของสิ่งพิมพ์ ฯลฯ เป็นต้น

ประเด็นที่ ๓. รูปแบบของผลิตภัณฑ์ มีมากมายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน รวมทั้งความนิยมของผู้บริโภคในช่วงเวลานั้น รูปแบบที่นำมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์มีแนวทางดังนี้

๓.๑ รูปแบบมาก่อนประโยชน์ใช้สอย

๓.๒ ประโยชน์ใช้สอยมาก่อนรูปแบบ

๓.๓ การตลาดมาก่อนออกแบบ

๓.๔ อารมณ์ความรู้สึกมาก่อนรูปแบบ

๓.๕ รูปแบบนิยมความน้อย

๓.๖ รูปแบบอนาคตกาล

สำหรับการออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging Design) เป็นการกำหนดรูปทรง ขนาด ปริมาตร น้ำหนัก ประเภทของวัสดุรวมทั้งลักษณะภายนอก ภาพ สีสัน ข้อความ ให้สามารถคุ้มครองผลิตภัณฑ์ การเก็บรักษา ความสะดวกในการขนส่ง การวางจำหน่าย การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย การแสดงเอกลักษณ์เฉพาะงานเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค จึงจำเป็นต้องศึกษารายละเอียด ดังนี้ คือ ประเภทของบรรจุภัณฑ์ เช่น รูปทรงแข็งตัว รูปทรงกึ่งแข็งตัวและรูปทรงยืดหยุ่น

แนวคิดในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ สามารถทำได้ดังนี้

๑. การแสดงนวัตกรรม

๒. ความชัดเจน

๓. ความพึงพอใจ

๔. ความดึงดูดใจ

ประเด็นที่ ๔. บริเวณว่าง คือ การกำหนดระยะห่างหรือว่างภายในหรือภายนอกรอบๆ วัตถุหรือภาพ ทำให้เกิดเป็นบริเวณว่าง (Space) ที่สามารถรับรู้ได้ และยังเกิดความงาม ความน่าสนใจ บริเวณว่างจึงเป็นองค์ประกอบมูลฐานทางการออกแบบที่จะปรากฏขึ้นเมื่อมีองค์ประกอบอื่นมาแสดงตัวหรือแทนที่ ทั้งในลักษณะสองและสามมิติ การนำบริเวณว่างมาใช้ในการออกแบบควรศึกษาเกี่ยวกับปริมาตรหรือวัตถุหรือรูปทรงกินเนื้อที่อยู่ อากาศที่โอบรอมรูปทรงอยู่ ระยะระหว่างรูปทรง ปริมาตรของความว่างที่ถูกล้อมรอบด้วยขอบเขต ฯลฯ เป็นต้น

ลักษณะของบริเวณว่างที่ถูกกำหนดให้มีขอบเขตและความหมายตามวัตถุประสงค์ที่ศิลปินและนักออกแบบต้องการบริเวณว่างจึงมีหลายลักษณะ คือ

๔.๑ บริเวณว่างจริงและบริเวณว่างลวงตา

๔.๒ บริเวณว่างสองมิติและสามมิติ

๔.๓ บริเวณว่างบวก , ลบและว่างสองนัย

๔.๔ บริเวณว่างปิดละบริเวณว่างเปิด

ประเด็นที่ ๕. องค์ประกอบมูลฐานของการออกแบบกับทฤษฎีจังหวะ เพื่อให้ผลงานการออกแบบมีผลต่อการรับรู้ของมนุษย์ มีแนวทาง ดังนี้

๕.๑ เส้นกับจังหวะ

๕.๒ รูปร่างและรูปทรงกับจังหวะ

๕.๓ สีกับจังหวะ

๕.๔ ลักษณะพื้นผิวกับจังหวะ

๕.๕ บริเวณว่างกับจังหวะ

๕.๖ แสงและเงากับจังหวะ

ประเด็นที่ ๖. การศึกษาค้นคว้าและการวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบทุกประเภท ย่อมมีกระบวนการของการทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อเป็นแนวทางให้การทำงานบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้จำเป็นต้อง

๖.๑ การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับบทบาทของข้อมูลในการออกแบบมี ๓ ระยะ คือ ก่อนการออกแบบ ระหว่างการออกแบบและหลังการออกแบบ

๖.๒ การส่งข้อมูลทั้งข้อมูลทุติยภูมิและปฐมภูมิ

๖.๓ การจำแนกประเภทข้อมูล จากเนื้อหาของข้อมูล คือ ข้อมูลทั่วไปกับข้อมูลเฉพาะและการจำแนกคุณภาพของข้อมูล

๖.๔ ปัจจัยที่มีผลต่อข้อมูลการออกแบบ คือ ด้านวัฒนธรรม สังคมและจิตวิทยา

การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาความสัมพันธ์ของข้อมูล แล้วนำมาแยกแยะเป็นระบบ การวิเคราะห์ข้อมูลมี ๒ ลักษณะ ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการออกแบบที่เน้นการคิดค้นสิ่งใหม่ คำนึงถึงหน้าที่ใช้สอย หน้าที่หลักโดยรวม การเปลี่ยนแปลง ฯลฯ เป็นต้น

การสังเคราะห์ เป็นการทำงานที่ได้จากการวิเคราะห์มาใช้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาด้วยเทคนิค วิธีการต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของการใช้งาน ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์งานออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะตัว โดยการสร้างแนวความคิดหลัก การออกแบบร่าง การออกแบบรายละเอียด

ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ แบ่งได้เป็น ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับที่ ๑ ความคิดสร้างสรรค์ประเภทการลอกเลียน ระดับที่ ๒ ความคิดสร้างสรรค์ประเภทต่อเนื่อง ระดับที่ ๓ ความคิดสร้างสรรค์ประเภทการสังเคราะห์ และระดับที่ ๔ ความคิดสร้างสรรค์ประเภทสร้างนวัตกรรม องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ คือ ต้องเป็นสิ่งใหม่ ต้องใช้การได้และต้องมีความเหมาะสม

 

จุดเด่นและความน่าสนใจของผลงานทางวิชาการ :  เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้มีจุดเด่นและความน่าสนใจหลายประเด็น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออาชีพครูสอนศิลปะและวิชาชีพการออกแบบทางศิลปะ ได้แก่

จุดเด่นที่ ๑. แนวคิดในการเลือกใช้สื่อโฆษณา ณ จุดซื้อ เพื่อกระตุ้นความสนใจและช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภค ดังนี้

๑.๑ การใช้ข้อมูล (Information)

๑.๒ การเตือนความจำ (Reminding)

๑.๓ การสร้างความจูงใจ (Persuading)

๑.๔ การทำหน้าที่ในการขาย (Merchandising)

แนวทางการออกแบบสื่อโฆษณา ณ จุดซื้อ จะต้องมีลักษณะดังนี้ คือ ขนาดและรูปแบบที่ถูกต้องเหมาะสมกับสินค้า เนื้อที่ของชั้นโชว์สินค้าและบริเวณพื้นที่จัดแสดงทั้งหมด ง่ายและสะดวกในการตกแต่ง สวยงาม สะดุดตาของผู้บริโภคที่ตาเห็น มีความเป็นกันเอง สะดวกแก่การหยิบชมและทดลองสินค้า เหมาะสมกับฤดูกาลหรือความจำเป็นในการใช้สินค้าและมีรูปแบบที่น่าสนใจ

จุดเด่นที่ ๒. เทคนิคการให้แสงและเงาในงานสองมิติ ในการเขียนภาพและสามมิติบนระนาบสองมิติต้องให้แสงและเงาอย่างถูกต้อง ซึ่งมีเทคนิคการเขียนภาพ ๒ ลักษณะ คือ

๒.๑ การวาดเส้น (Drawing) การทำให้เกิดแสงและเงา โดยการวาดเส้น เรียกว่าการแรเงา มี ๒ วิธี คือ การแรเงาแบบเส้น โดยการกำหนดค่าน้ำหนักบนวัตถุในภาพ ด้วยการใช้เส้นตรงหรือเส้นโค้งขีดทับกันในลักษณะคล้ายตาข่ายให้มีน้ำหนัก อ่อน-เข้ม โดยเพิ่มจำนวนเส้นที่ทับกันให้ได้ค่าน้ำหนักตามที่ต้องการและการแรเงาแบบเกลี่ยเรียบ โดยการแรเงาค่าน้ำหนักที่ต่างกันแล้วเฉลี่ยให้เรียบกลมกลืนกันตามลำดับ โดยไม่เห็นร่องรอยของเส้นดินสอ

๒.๒ การเขียนภาพระบายสี (Painting) เป็นการเขียนภาพเพื่อแสดงให้เห็นค่าน้ำหนักของแสงและเงาด้วย สีชนิดต่างๆ โดยมีน้ำหนักว่าถ้าแสงสว่างมากเงาก็จะมีความชัดเจนมากและสีของเงานั้นจะเป็นสีที่ต้องผสมด้วยสีตรงข้ามของสีวัตถุนั้นมากขึ้น แต่ถ้าแสงน้อยเงาของวัตถุก็จะมีน้ำหนักสีใกล้เคียงกับน้ำหนักสีของวัตถุนั้น

 

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : หนังสือทฤษฎีการออกแบบเล่มนี้ยังปรากฏว่าเนื้อหาสาระที่สามารถนำไปเป็นประโยชน์กับอาชีพอื่นๆ นอกจากศิลปะแล้ว เช่น อาชีพการทำธุรกิจ หรืออาชีพครูสอนหนังสือด้วย ได้แก่

เทคนิคการสร้างสรรค์ งานศิลปะและงานออกแบบมีขั้นตอนการทำงานของความคิด โดยใช้เทคนิคต่างๆ ในการแสวงหาแนวคิดใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การค้นพบทางออกของปัญหา ซึ่งมีข้อเสนอแนะ สรุปได้ดังนี้

๑. การหาความคิดใหม่ที่หลากหลาย การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นการหาความคิดใหม่ด้วยการระดมสมองจากกลุ่มบุคคล เกิดเป็นความคิดหลากหลาย ความคิดสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปแก้ไขข้อบกพร่องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาให้ดีขึ้น โดยเลือกกลุ่มบุคคลที่มีความคิดหลากหลายเพื่อได้มุมมองต่างกัน แล้วเลือกความคิดที่เหมาะสมหรือนำมาผสมผสานกัน เลือกให้ตรงกับวัตถุประสงค์ได้มากที่สุด

๒. ทำของเก่าให้เป็นของใหม่ ด้วยแผ่นตรวจสอบของออสปอรัน (Osborn) นักคิดสร้างสรรค์ มีลักษณะเป็นแผ่นที่บรรจุแนวทางกระตุ้นความคิดในแง่มุมต่างๆ เพื่อหาความเป็นไปได้หรือช่วยให้เกิดความคิดในมุมมองใหม่ๆ มี ๙ แนวทาง อาทิเช่น เอาไปใช้อย่างอื่นได้หรือไม่? (Put to other user ?) ปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ ? (Modify) ฯลฯ เป็นต้น

๓. ขยายขอบเขตปัญหาจากรูปธรรมสู่นามธรรมแล้วค่อยคิด พยายามถอดกรอบโครงสร้างความคิดที่จำกัดไปสู่จินตนาการนอกขอบเขตอย่างอิสระ กระตุ้นให้เกิดการออกแบบใหม่ๆ ใช้ร่วมกับการระดมสมอง เป็นกระบวนการความคิดเชิงปฏิบัติการ

๔. ปรับสภาพแวดล้อมและเวลาให้เหมาะสมกับการคิดจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกใหม่ เกิดอารมณ์ใหม่และเกิดความคิดนอกกรอบเดิมได้ อาจต้องอาศัยเวลาด้วย เช่น การกำจัดเวลาในการคิด เป็นต้น

๕. กลับสิ่งที่คิดแล้วลองคิดในมุมกลับ เป็นการช่วยให้หลุดพ้นจากกรอบความคิดเดิมและสามารถคิดในมุมมองใหม่ได้ คือ การคิดในมุมกลับ

๖. จับคู่ตรงข้าม เพื่อหักมุมสู่สิ่งใหม่คล้ายกับเทคนิคการคิดในมุมกลับ แต่เปลี่ยนเป็นหาสิ่งที่อยู่ตรงข้ามในลักษณะขัดแย้ง (Conflict) เพื่อให้เกิดการหักมุมความคิดที่คาดว่าจะเป็น อาจช่วยให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งกับส่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และสามารถพัฒนาความคิดต่อกลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ที่ใช้การได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

๗. คิดแหวกวงความน่าจะเป็น ย้อนกลับมาหาความเป็นไปได้ การกลัวที่จะแหวกม่านประเพณีทางความคิด ความเชื่อ การปฏิบัติตามความเคยชิน ด้วยการคิดแหวกวงความน่าจะเป็นแล้วค่อยย้อนกลับมาหาความเป็นไปได้ โดยการดัดแปลงความคิดนั้นให้สามารถปฏิบัติได้จริง

๘. หาสิ่งไม่เชื่อมโยงเป็นตัวเขี่ยความคิดสร้างสรรค์เป็นการพิจารณารายละเอียดของสิ่งของต่างๆ ที่ไมเกี่ยวข้องกัน ไม่คล้ายคลึงกัน แล้วพยายามเชื่อมโยงกัน เพื่อเป็นตัวเขี่ยความคิดให้เกิดการค้นพบสิ่งใหม่ที่เป็นทางออกของปัญหาที่สร้างสรรค์และปฏิบัติได้จริง ใช้แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม

๙. ใช้เทคนิคการสังเคราะห์ส่วนประกอบ ลักษณะหรือแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่ต้องการตอบแล้วเขียนไว้แกนหนึ่ง จากนั้นเขียนรายการของแนวคิดที่เกี่ยวกับอีกลักษณะหนึ่งขอสิ่งที่ต้องการตอบ จะช่วยให้สามารถสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ ได้อีกมากมาย

๑๐. ใช้การเปรียบเทียบเพื่อกระตุ้นมุมมองใหม่ เป็นแนวทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เรียกว่า ซินเนคติกส์ (Synectics) หรือการใช้อุปมาเป็นตัวกระตุ้นให้เห็นมุมมองใหม่ที่แตกต่างกันไปจากเดิม โดยเป็นการรวมกันของตัวประกอบที่แตกต่างกันและไม่เกี่ยวข้องกัน ลักษณะเทียบเคียงหรือ อุปมาอุปมัย แนวคิดว่า ปัญหาที่ไม่คุ้นเคยจะถูกทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุ้นเคย จะทำให้เห็นภาพชัดเจน

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการคูณทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสน โดยใช้แบบฝึกทักษะ

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการคูณทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสน โดยใช้แบบฝึกทักษะ

View Fullscreen

บทที่  1 บทนำ

บทที่  1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบช่วยให้คาดการณ์วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆคณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข  (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 50)

เนื่องจากการศึกษาไทยการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในแต่ละปีมีเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำกว่าระดับมาตรฐาน  ซึ่งสังเกตได้จากผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) ปี 2557 พบว่า ในวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 29.65  จากผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในปี 2557 นี้จะเห็นได้ว่า ในวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนในแต่ละชั้นปียังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าระดับมาตรฐานและเป็นวิชาที่นักเรียนทำคะแนนได้ต่ำสุดของปีนี้ ซึ่งก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวมของระดับการศึกษาไทยที่จะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นไป (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2557, ออนไลน์)

ในปัจจุบันมีการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป โดยอาจจะแบ่งตามลักษณะของตัวผู้เรียน หรือแบ่งตามความสามารถของผู้เรียนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ครู และนักเรียนเป็นหลัก เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและสามารถนำไปใช้ได้มากที่สุด

แบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้นทำให้การสอนของครูและการเรียนของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ (สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2550,  น. 53)

จากเหตุดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการสร้างแบบฝึกทักษะการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว มาใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่องการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้ดีขึ้น และเพื่อนำผลที่ได้มาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้น่าสนใจและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

  1. เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 60/60
  2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน

สมมติฐานของการวิจัย

  1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 60/60
  2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

ขอบเขตของการวิจัย

ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา เขตราษฎร์บูรณะ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำนวน 4 ห้องเรียน รวมจำนวนทั้งหมด 91 คน

กลุ่มตัวอย่าง

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา เขตราษฎร์บูรณะ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 23 คน เนื่องจากผลการเรียนของนักเรียนค่อนข้างต่ำกว่าเกณฑ์ในภาคเรียนที่ 1

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย อยู่ในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  ปีการศึกษา 2558 ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้

  • สมบัติของการเท่ากัน
  • การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
  • โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

ตัวแปรที่ศึกษา

  1. ตัวแปรอิสระ คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
  2. ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

นิยามศัพท์เฉพาะ

  1. แบบฝึกทักษะ หมายถึง  แบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้ทำแบบฝึกเสริมทักษะเรื่องการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยจะเริ่มจากการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวจากง่ายไปหายาก เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความคุ้นเคยและมีความสามารถในการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวที่ดีขึ้น
  2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ
    วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก มีทั้งหมด 20 ข้อ
  3. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 60/60 จำแนกเป็น
    60  ตัวแรก  หมายถึง  ประสิทธิภาพของกระบวนการแบบฝึกทักษะ
    60  ตัวหลัง  หมายถึง  ประสิทธิภาพของผลสัมฤทธิ์แบบทดสอบหลังเรียน
  1. นักเรียน หมายถึง ผู้ที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา เขตราษฎร์บูรณะ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กรุงเทพมหานคร
  2. วิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ค 21102 เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

  1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
    วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60
  2. นักเรียนมีทักษะกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบแบบแผนมากขึ้น
  3. ครูผู้สอนสามารถนำปัญหาที่พบในการจัดการเรียนรู้เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้น
    ตัวแปรเดียวไปปรับปรุงแก้ไขในการจัดการเรียนรู้หัวข้อต่อไปได้
  4. ผู้วิจัยได้ทราบรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับทักษะกระบวนการคิดของนักเรียน เพื่อเป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะในเรื่องอื่นๆ

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา

 

View Fullscreen

บทที่ 1 บทนำ

บทที่ 1 บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

          คณิตศาสตร์สามารถใช้ในการพัฒนาคน พัฒนาเทคโนโลยี เนื่องจากคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล มีความคิดที่เป็นระบบ เป็นคนริเริ่มสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่มีความยุ่งยาก และสลับซับซ้อนหลายอย่าง เช่น การผลิตเครื่องจักรกล การสำรวจดวงดาว การสร้างอาคารฯลฯ จะสำเร็จลงได้ก็ต้องใช้ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (นวลนภา บรรพตาธิ, 2553, น.1) นอกจากนี้อุไรวรรณ สระกระวี, อุษาวดี จันทรสนธิ และกัญจนา ลินทรัตนศิริกุล (2554, ออนไลน์) ได้กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการคิด และการใช้สติปัญญาของมนุษย์ เป็นวิธีที่นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ สามารถใช้อธิบายสิ่งต่างๆ และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ การที่รัฐบาลได้จัดให้มีการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จึงเป็นการวางพื้นฐานในเรื่องการคิดคำนวณซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต และเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในการศึกษาต่อ แต่การเรียนการสอนคณิตศาสตร์นั้นยังประสบปัญหาหลายประการ

          จากความสำคัญที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ แต่ในสภาพปัจจุบัน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเกณฑ์ จะเห็นได้จากผลสอบ O-NET ของวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ย 41.95 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งเป็นวิชาที่มีคะแนนเฉลี่ยที่ยังต่ำกว่าเกณฑ์อยู่ในปี 2556 (สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ, 2556) จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นจะสะท้อนให้เห็นว่า การเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ยังคงเป็นปัญหา และจำเป็นต้องมีการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

          สิ่งสำคัญคือ ผู้เรียนส่วนใหญ่ไม่ประสบผลสำเร็จโดยผู้เรียนคิดว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยาก ประกอบกับครูส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการสอนตามแบบเรียนเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้เรียนไม่สนใจเรียน ซึ่งสมวงษ์  แปลงประสพโชค, สมเดช บุญประจักษ์ และจรรยา ภูอุดม (2552, น.21)ได้สำรวจความคิดเห็นของครูและนักเรียนเกี่ยวกับสาเหตุเด็กไทยอ่อนคณิตศาสตร์พบว่า มีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับคุณลักษณะของครู และนักเรียนโดยครูโทษนักเรียนว่านักเรียนไม่ชอบคิดไม่ชอบแก้ปัญหาขาดการฝึกฝน และทบทวนบทเรียนส่วนนักเรียนก็โทษครูว่าเพราะครูสอนไม่ดี มีวิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ

          กนกพร  พั่วพันธ์ศรี (2555, น.4) ได้ศึกษาแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งพิจารณาแล้วว่าแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เป็นสื่อการเรียนอย่างหนึ่งที่น่าจะสามารถใช้ในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน และผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า แบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนได้มีทักษะเพิ่มขึ้น โดยการทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความสนใจ และพอใจหลังจากนักเรียนได้เรียนรู้เรื่องนั้นๆมาบ้างแล้วถ้านักเรียนได้ทำแบบฝึกหลายครั้งหลายหนพฤติกรรมของนักเรียนจะเปลี่ยนไปคือทำได้คล่องแคล่วรวดเร็วขึ้นทำได้ถูกต้องแม่นยำขึ้นทำได้อย่างเป็นอัตโนมัติช่วยให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง เป็นการฝึกด้วยการกระทำจริง จึงทำให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดี และนำไปแก้ไขปัญหาในสถานการณ์เดียวกันได้ เพราะได้รับประสบการณ์ตรงมาแล้วทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น เพราะแบบฝึกทักษะจะเป็นเครื่องมือทบทวนความรู้ที่นักเรียนได้เรียน และทำให้เกิดความชำนาญคล่องแคล่วในเนื้อหายิ่งขึ้นทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน ซึ่งจะช่วยให้ครูสามารถปรับปรุง เนื้อหา วิธีการสอน และกิจกรรมในแต่ละบทเรียนตลอดจนสามารถช่วยนักเรียนให้เรียนได้ดีที่สุดตามความสามารถ ฝึกให้นักเรียนมีความเชื่อมั่น และสามารถประเมินผลงานของตนเองได้ และยังฝึกให้นักเรียนได้ทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายให้ได้ฝึกใช้ความคิดเชิงคณิตศาสตร์ เข้าใจวิธีการคิดคำนวณและดำเนินการแก้ปัญหาต่างๆ ได้

          การสอนคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องที่ผู้วิจัยเลือกจะทำการศึกษาก็คือ เรื่อง การหาร ในเรื่องการหารนักเรียนยังมีความบกพร่อง และสับสนในเรื่องตัวหารกับผลหาร และมักจะนำเอาตัวหารมาเป็นคำตอบ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชุดฝึกทักษะของ มัทนา  สีแสด (2552, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการคิดคำนวณ เรื่องการหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 มีจำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 90.00 และคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 72.57 และสอดคล้องกับผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้แบบฝึกทักษะของ ทองจันทร์  ปะสีรัมย์ (2555, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องผลการใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการบวก และการลบเศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า การเปรียบเทียบผมสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ค่าเฉลี่ยผลการเรียนรู้ของนักเรียนหลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ มีคะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

          ดังนั้น ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับผลของชุดฝึกทักษะที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2โรงเรียนวัดบางประกอก โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่อง การหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งผลการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นแนวทางในการปรับปรุงวิธีการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

คำถามของการวิจัย

ชุดฝึกทักษะจะส่งผลอย่างไรต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ ไว้ดังนี้

  1. เพื่อหาสร้างชุดฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ คือ E1/E2 เท่ากับ 70/70
  2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา เรื่อง การหาร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี   ที่ 2 ก่อนเรียน และหลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ

สมมติฐานของการวิจัย

  1. ชุดฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ E1/E2 เท่ากับ 70/70
  2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ

ขอบเขตของการวิจัย

ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย
          ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดบางปะกอก สำนักงานราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จำนวน 7 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 245 คน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย
          กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่  2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดบางปะกอก สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 35 คน โดยวิธีการสุ่มเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 6 มีผลการเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด

ตัวแปรที่ศึกษา

ตัวแปรต้น คือชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร
ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการหาร
เนื้อหา
          เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยเป็นเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง การหาร ชั้นประถมศึกษาปี   ที่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
          ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ทําการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2558 โดยกําหนดเวลาทําการทดลองจํานวน 11 คาบ (คาบละ 50 นาที) ซึ่งแบ่งเป็นการดําเนินกิจกรรม การเรียนการสอนเรื่องการหาร จํานวน 9 คาบ และทดสอบก่อนเรียน 1 คาบ ทดสอบหลังเรียน 1 คาบ

นิยามศัพท์เฉพาะ

  1. นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนที่กำลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางปะกอก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558
  2. ชุดฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกทักษะเรื่อง การหาร ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นให้นักเรียนได้ศึกษาและฝึกทักษะด้วยตนเองเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมโดยการทําแบบฝึกหัดอย่างเป็นลําดับขั้นจนเกิดความชํานาญ ชุดฝึกทักษะมีหัวข้อดังนี้
    2.1 ชื่อชุดฝึกทักษะ
    2.1.1 ชุดฝึกทักษะที่ 1 เรื่องการหารลงตัว
    2.1.2 ชุดฝึกทักษะที่ 2 เรื่องการหารไม่ลงตัว
    2.2 คําชี้แจง อธิบายวิธีการใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่องการหารลงตัว และการหารไม่ลงตัว
    2.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
    2.4 การประเมินผลเป็นแบบทดสอบหลังการใช้ชุดฝึกทักษะให้นักเรียนได้ประเมินความรู้ความสามารถของตนเองซึ่งเป็นแบบทดสอบที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
  3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถในการเรียน โดยใช้ชุดฝึกทักษะเรื่อง การหาร ซึ่งวัดได้จากคะแนนการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนจากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
  4. เรื่องการหาร หมายถึง เนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอน และเป็นเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
  5. ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะ หมายถึง การนําชุดฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไขพัฒนาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70
  6. เกณฑ์มาตรฐาน 70/70 หมายถึง 70 ตัวแรก คือ ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบระหว่างเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะเรื่อง การหาร ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และ70 ตัวหลัง คือ ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทําแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะเรื่องการหารไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

กรอบแนวคิดในการวิจัย

     การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะเรื่อง การหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางปะกอก

 

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

          การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัย เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางปะกอก ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนิน และเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาค้นคว้า โดยมีขั้นตอนดำเนินงานดังนี้

  1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  2. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ
  3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
  4. การวิเคราะห์ข้อมูล
  5. สถิติที่ใช้ในการวิจัย

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

     ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย
          ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดบางปะกอก สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จำนวน 7 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 245 คน

     กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย
          กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวัดบางปะกอก สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ห้องเรียนรวมทั้งสิ้น 35 คน โดยวิธีการสุ่มเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ห้อง 6 มีผลการเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ

  1. ชุดฝึกทักษะ เรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ชุดฝึกทักษะ เรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งมีทั้งหมด 2 ชุด
    ชุดที่ 1 การหารลงตัว
    ชุดที่ 2 การหารไม่ลงตัว
  1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน-หลังเรียน เรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แบบปรนัยชนิดตัวเลือก 3 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ
  2. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 11 แผน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้

  1. ขั้นตอนการสร้างแผนจัดการเรียนรู้เรื่อง การหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีทั้งหมด 11 แผน 11 คาบ
    1.1. แผนจัดการเรียนรู้ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยศึกษาเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 25511.2. เขียนแผนการจัดการเรียนรู้เป็นรายชั่วโมง โดยกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด, สาระสำคัญ, สาระการเรียนรู้, จุดประสงค์การเรียนรู้, สมรรถนะสำคัญ, คุณลักษณะอันพึงประสงค์,กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล ดังนี้
           1.2.1 จัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การหาร จำนวน 11 แผน 11 คาบ
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ทดสอบก่อนเรียน (การหาร)
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การหารลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การหารลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 4 การหารลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 5 การตรวจสอบผลหารลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 6 การหารลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 7 การหารไม่ลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 8 การหารไม่ลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 9 การตรวจสอบผลหารไม่ลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 10 การหารไม่ลงตัว
                    – แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ที่ 11 ทดสอบหลังเรียน (หารหาร)1.3 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตนิพนธ์เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข้

    1.4 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบคุณภาพขอแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยตอบแบบประเมินคุณภาพซึ่งเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในระดับดีมาก แล้วนำไปปรับปรุงแก้ ไขตามคำแนะนำ โดยพิจารณาความเหมาะสม และการแปลความหมายของค่าเฉลี่ยตาม บุญชม ศรีสะอาด(2554, น.82) ดังนี้

กำนดเกณฑ์การพิจารณา

5 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมาก
4 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี
3 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง
2 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับพอใช้
1 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปรับปรุง

การแปลความค่าเฉลี่ย

คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 1.00 – 1.50 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับต้องปรับปรุง
คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 1.51 – 2.00 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับพอใช้
คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 2.01 – 3.50 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปลานกลาง
คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 3.51 – 4.50 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี
คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 4.51 – 5.00 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมาก

   1.5 นำแบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปวิเคราะห์ข้อมูลแล้วนำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่แก้ไขสมบูรณ์ตามคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตนิพนธ์อีกครั้งก่อนนำไปทดลองกลุ่มตัวอย่าง

  1. ขั้นตอนการสร้างชุดฝึกทักษะเรื่อง การหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีทั้งหมด 2 ชุด ดังนี้
    2.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดฝึกทักษะ

    2.2 สร้างชุดฝึกทักษะโดยในชุดฝึกทักษะมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
    2.2.1 ชื่อชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร
           2.2.2 คําชี้แจงเป็นการอธิบายวิธีการใช้ชุดฝึกทักษะ
           2.2.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
           2.2.4 ใบความรู้และใบงาน

    2.3 การประเมินผลเป็นแบบทดสอบหลังการใช้ชุดฝึกทักษะ ให้นักเรียนได้ประเมินความรู้ความสามารถของตนเอง

    2.4 นำชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจคุณภาพของชุดฝึกทักษะโดยตอบแบบประเมินคุณภาพซึ่งเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในระดับดีมาก แล้วนำไปปรับปรุงแก้ ไขตามคำแนะนำ โดยพิจารณาความเหมาะสม และการแปลความหมายของค่าเฉลี่ยตาม บุญชม ศรีสะอาด (2554, น.82) ดังนี้

    กำนดเกณฑ์การพิจารณา

    5 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมาก
    4 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี
    3 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง
    2 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับพอใช้
    1 หมายถึง    มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปรับปรุง

    การแปลความค่าเฉลี่ย

    คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 1.00 – 1.50 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับต้องปรับปรุง
    คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 1.51 – 2.00 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับพอใช้
    คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 2.01 – 3.50 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปลานกลาง
    คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 3.51 – 4.50 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี
    คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 4.51 – 5.00 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมาก

  2. ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน-หลังเรียนเรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบปรนัยจำนวน 15 ข้อ 3 ตัวเลือก ดังนี้

    3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสำหรับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
    3.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการหารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2 จำนวน 15 ข้อ
    3.3 นำแบบทดสอบทั้ง 15 ข้อ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคําแนะนําและตรวจสอบประเมินความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบรายข้อกับมาตรฐานการเรียนรู้
    โดยกำหนดเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ (นพพร ธนะชัยขันธ์ 2555, น. 319)

    ให้คะแนน   -1 หมายถึง  ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้
              ให้คะแนน    0 หมายถึง  ไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้
              ให้คะแนน    1 หมายถึง  สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้

    3.4 คำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตามสูตรของ อำภารัตน์ ผลาวรรณ์ (2556, น.116) และคัดเลือกแบบทดสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 10 ข้อ
    3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการหารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ไปใช้ในการเก็บรวบรวมคะแนนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง

การเก็บรวบรวมข้อมูล

  1. ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการหาร 1 คาบ
  2. ดำเนินการจัดการเรียนรู้กับกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร เวลา 9 คาบ คาบละ 50 นาที
  3. เมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้แล้ว ทำการทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการหาร 1 คาบ
  4. นำคะแนนจากการเก็บระหว่างเรียน และคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การหาร มาตรวจสอบสมมติฐานโดยใช้วิธีการทางสถิติต่อไป

การวิเคราะห์ข้อมูล

  1. หาคุณภาพของเครื่องมือวิจัยโดยหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard Deviation) และค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
  2. หาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะ เรื่องการหาร โดยใช้ สูตรการหาประสิทธิภาพ E1/E2
  3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากคะแนนการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่องการหาร โดยใช้ (t – test for Dependent Sample)

สถิติที่ใช้ในการวิจัย

  1. สถิติพื้นฐาน
    1.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) โดยคำนวณจากสูตร (อำภารัตน์ ผลาวรรณ์, 2556, น.115)

    1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คำนวณโดยใช้สูตร (นพพร ธนะชัยขันธ์, 2555, น.18)

  2. สถิติที่ใช้ในการตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
    2.1 สถิติที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพของชุดฝึกทักษะ, แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการหาร
    2.1.1 การหาความเที่ยงตรงของเนื้อหา (อำภารัตน์ ผลาวรรณ์ 2556, น.116)

  3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
    3.1 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานข้อที่ 1 ชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ E1/E2 เท่ากับ 70/70

    หาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะเรื่องการหารตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 ใช้สูตร E1/E2 ดังนี้ (เบญจวรรณ ใจหาญ, 2552, น.73)

    70 ตัวแรก คือ ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบระหว่างเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

    70 ตัวหลัง คือ ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทําแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยคำนวณจากสูตร ดังนี้ (เบญจวรรณ  ใจหาญ, 2552, น.73)

    สูตรที่ 1

    สูตรที่ 2

    3.2 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานข้อที่ 2 ชุดฝึกทักษะเรื่องการหาร ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ โดยใช้      t-test for dependent sample มีสูตรที่ใช้ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2554, น.149)

     

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

          การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะเรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางปะกอก ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินการวิจัย โดยแยกเป็นหัวข้อ ดังนี้

  1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
    1.1 สารและมาตรฐานการเรียนรู้
    1.2 ตัวชี้วัด และ สาระการเรียนรู้
  2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์
    2.1 ความหมายของคณิตศาสตร์
    2.2 ความสำคัญของคณิตศาสตร์
    2.3 โครงสร้างของคณิตศาสตร์
    2.4 หลักการสอนคณิตศาสตร์
  3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการหาร
    3.1 ความหมายของการหาร
    3.2 ความสำคัญของการหาร
    3.3 วิธีการพัฒนาทักษะการหาร
  4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกทักษะ
    4.1 ความหมายของชุดฝึกทักษะ
    4.2 หลักจิตวิทยาและหลักการสอนที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกทักษะ
    4.3 หลักการสร้างชุดฝึกทักษะ
    4.4 ลักษณะของชุดฝึกทักษะที่ดี
    4.5 ประโยชน์ของชุดฝึกทักษะ
    4.6 ทักษะการสร้างสื่อการสอน
  5. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์
    5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
  6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

          กระทรวงศึกษาธิการ (2555, น. 3-5) ได้กล่าวถึงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์

          กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้กำหนดสาระ และมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ และปฏิบัติได้เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐานไว้ดังนี้

สาระที่ 1  จำนวนและการดำเนินการ
มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวน และการใช้จำนวนในชีวิตจริง
มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจถึงผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของจำนวน และความสัมพันธ์ระหว่างการดำเนินการต่าง ๆ และใช้การดำเนินการในการแก้ปัญหา
มาตรฐาน ค 1.3 ใช้การประมาณค่าในการคำนวณ และแก้ปัญหา
มาตรฐาน ค 1.4 เข้าใจระบบจำนวน และนำสมบัติเกี่ยวกับจำนวนไปใช้

สาระที 2  การวัด
มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัด และคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด
มาตรฐาน ค 2.2 แก้ปัญหาเกี่ยวกับการวัด

สาระที่ 3  เรขาคณิต
มาตรฐาน ค 3.1 อธิบาย และวิเคราะห์รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ
มาตรฐาน ค 3.2 ใช้การนึกภาพ (visualization) ใช้เหตุผลเกี่ยวกับปริภูมิ (spatial reasoning) และใช้แบบจำลองทางเรขาคณิต (geometric model) ในการแก้ปัญหา

สาระที่ 4  พีชคณิต
มาตรฐาน ค 4.1 เข้าใจ และวิเคราะห์แบบรูป (pattern) ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน
มาตรฐาน ค 4.2 ใช้นิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ (mathematical model) อื่นๆ แทนสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนแปลความหมาย และนำไปใช้แก้ปัญหา

สาระที่ 5  การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น
มาตรฐาน ค 5.1 เข้าใจ และใช้วิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
มาตรฐาน ค 5.2 ใช้วิธีการทางสถิติ และความรู้เกี่ยวกับความน่าจะเป็นในการคาดการณ์ ได้อย่างสมเหตุสมผล
มาตรฐาน ค 5.3 ใช้ความรู้เกี่ยวกับสถิติ และความน่าจะเป็นช่วยในการตัดสินใจ และแก้ปัญหา

สาระที่ 6  ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหาการให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ และมีความ คิดริเริ่มสร้างสรรค์

ตัวชี้วัด
ค 6.1 ป.4/1      ใช้วิธีการที่หลากหลายแก้ปัญหา
ค 6.1 ป.4/2      ใช้ความรู้ ทักษะ และกระบวนการทางคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
ค 6.1 ป.4/3      ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และสรุปผลได้อย่างเหมาะสม
ค 6.1 ป.4/4      ใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร การสื่อความหมาย และนำเสนอได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม
ค 6.1 ป.4/5      เชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ในคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์

  1. ความหมายของคณิตศาสตร์
              ลำดวน  บำรุงศุภกุล (2551, ออนไลน์) ได้ให้ความหมายว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ เป็นวิชาที่เน้นในด้านความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเลข และเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผลใช้ในการสื่อความหมาย เป็นประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน          ปราณี  จิณฤทธิ์ (2552, น.10) ได้ให้ความหมายว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับจำนวนตัวเลข การคิดคำนวณ การวัด เรขาคณิต พีชคณิต และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เพื่อพิสูจน์หาเหตุผล และสามารถนำเหตุผลนั้นไปใช้กับวิชาอื่น หรือการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน          มัทนา  สีแสด (2552, น.14) ได้ให้ความหมายว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยการคำนวณโดยอาศัยจำนวนตัวเลข ปริมาตร ขนาด รูปร่าง และสัญลักษณ์ เป็นสื่อในการสร้างความเข้าใจ ความคิดที่เป็นระบบ มีเหตุผล มีวิธีการ และหลักการที่แน่นอน เป็นศาสตร์ และศิลป์ในการพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจัดให้มีความสัมพันธ์กัน และคำนึงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน          ไข่มุก  มณีศรี (2554, น.25) ได้ให้ความหมายว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับพื้นฐานทางจำนวนตัวเลข การคำนวณ และการจัดโดยสัมพันธ์กับตัวเลข และสัญลักษณ์ (Symbols) แทนจำนวนเพื่อสื่อความหมาย และเข้าใจกันได้ เป็นเครื่องมือที่แสดงความคิดเห็นเป็นระเบียบแบบแผน ที่ประกอบไปด้วยเหตุผล ซึ่งมีวิธีการ และหลักเกณฑ์ที่แน่นอน เพื่อสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาภายในชีวิตประจำวันได้           จากที่กล่าวมาข้างต้นจะสรุปได้ว่า ความรู้ และทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเรียน เป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เด็กรู้จักแก้ปัญหา มีความสามารถในการคิดคำนวณ ซึ่งช่วยให้เด็กพร้อมที่จะคิดคำนวณในขั้นต่อๆไป ช่วยสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่สอดคล้องเป็นลำดับจากง่ายไปหายาก มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต เพราะในการดำเนินชีวิตตลอดจนการศึกษาสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
  2. ความสำคัญของคณิตศาสตร์
              มัทนา  สีแสด (2552, น.15) กล่าวถึง ความสำคัญของคณิตศาสตร์ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญ ทั้งในการพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักใช้ความคิด มีเหตุผล รู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ และเป็นทักษะที่สำคัญที่ต้องใช้ทั้งในชีวิตประจำวันของทุกคนทั้งในด้านการประกอบอาชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนช่วยปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีของการเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดี ในการดำเนินชีวิตทางสังคมให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ           ลักขณา  ภูวิลัย (2552, น.12) กล่าวว่า คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระเบียบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหา และสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ทำให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
  3. โครงสร้างของคณิตศาสตร์
    3.1. อนิยาม (Undefined Terms) หมายถึง คำที่ไม่ต้องให้ความหมายหรือ คำจำกัดความ แต่เมื่อกล่าวถึงต้องมีความเข้าใจตรงกัน  เนื่องจากมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวเอง เป็นคำที่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงสิ่งใด โดยอาจจะใช้วิธีการยกตัวอย่างหรือใช้ความเข้าใจด้วยปฏิภาณ ตัวอย่างของอนิยามในคณิตศาสตร์ เช่น จุด เส้นตรง เท่ากัน มากกว่า น้อยกว่า ค่าคงที่ เซต ระนาบ3.2. นิยาม (Definition or Defined Terms) หมายถึง คำหรือข้อความที่มีการให้ความหมาย หรือคำจำกัดความไว้ชัดเจน โดยการนำอนิยามมาอธิบายหรือกำหนดคุณลักษณะของสิ่งเหล่านั้น เช่น มุมฉาก หมายถึง มุมที่มีขนาด 90 องศา หรือ คำว่า “เส้น” ไปนิยามคำว่าเส้นตรง เส้นขนาน3.3. สัจพจน์ ( Axioms) หรือ ข้อตกลงเบื้องต้น (Assumption) หมายถึง ข้อความที่ตกลงหรือยอมรับว่าเป็นจริง โดยไม่ต้องพิสูจน์ มักจะแสดงความสัมพันธ์ของนิยามหรืออนิยาม ที่เป็นพื้นฐานมากจนไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เช่น เส้นขนานย่อมไม่ตัดกันเลย3.4. ทฤษฎีบท (Theorems) หมายถึง ผลสรุปที่ได้จากข้อมูลชุดหนึ่ง สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง ทุกกรณี การพิสูจน์ทฤษฎีจะใช้วิธีการให้เหตุผลทางตรรกศาสตร์ โดยการนำเอานิยาม สัจพจน์หรือทฤษฎีบทที่ได้พิสูจน์แล้วไปสนับสนุนให้เป็นเหตุเป็นผล เพื่อแสดงว่าทฤษฎีเป็นจริง ความเป็นจริงในทุกกรณีของทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสมเหตุสมผล ไม่ได้หมายถึงข้อเท็จจริง แต่ความสมเหตุ สมผล อาจจะตรงกับข้อเท็จจริงทุกกรณีก็ได้ ขึ้นอยู่กับกติกาที่ใช้เป็นฐานของทฤษฎีนั้น ถ้ากติกาตรงกับข้อเท็จจริง ทฤษฎีที่พิสูจน์โดยใช้กติกานั้นอ้างอิงเป็นเหตุเป็นผลย่อมเป็นจริง ตรงกับข้อเท็จจริงด้วย เช่น เส้นตรง สองเส้นตัดกัน มุมตรงข้ามย่อมเท่ากัน ชนิดา เพ็ชรโรจน์ (2552, ออนไลน์‎)
  4. หลักการสอนคณิตศาสตร์
              ลักขณา  ภูวิลัย (2552, น.45) กล่าวว่า การสอนคณิตศาสตร์นั้นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน จัดเนื้อหาให้ต่อเนื่อง เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก ความต้องการ และความสนใจของผู้เรียน มีเทคนิคในการสอน ใช้สื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ เน้นให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ จนสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข          ทองจันทร์  ปะสีรัมย์ (2555, น.29) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนที่จะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในคณิตศาสตร์นั้น ครูผู้สอนควรยึดหลักโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล การสอนแต่ละครั้งต้องมีจุดประสงค์ที่แน่นอน จัดการเรียนการสอนไปตามลำดับขั้น โดยเริ่มจากประสบการณ์ที่ง่ายๆ สอนจากรูปธรรมนำไปสู่นามธรรม ให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้อย่างสนุกสนาน ไม่เครียด ให้นักเรียนสามารถตรวจเช็คคำตอบได้ด้วยตนเอง มีการปลูกฝัง  เจตคติที่ดี ทำให้เด็กมีความพอใจ และสนใจในการเรียนรู้มากขึ้น           จากที่กล่าวมา จะสรุปได้ว่า การสอนคณิตศาสตร์นั้นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน จัดเนื้อหาให้ต่อเนื่อง เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก ให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการศึกษาค้นคว้าเรียนรู้อย่างสนุกสนาน ไม่เครียด ให้นักเรียนสามารถตรวจเช็คคำตอบได้ด้วยตนเอง

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการหาร

          การหารเป็นการกระทำของจำนวนที่แตกต่างจากการบวก แต่เป็นวิธีกลับของการคูณและสัมพันธ์กับการลบ

    1. ความหมายของการหาร
                มีผู้กล่าวถึงความหมายของการหารไว้หลายประการ แต่สรุปแล้วมี 2 ประการ ดังนี้
      ประการที่หนึ่ง การหารหมายถึง การแบ่งจำนวนหนึ่งออกเป็นหมู่ๆ โดยกำหนดจำนวนหมู่ให้แล้วให้แบ่งหมู่ละเท่าๆ กัน เช่น การแบ่ง 15 เป็น 3 หมู่ หมู่ละเท่าๆ กัน จึงได้หมู่ละ 5 เป็นต้น
      ประการที่สอง การหารหมายถึง การลบออกจากจำนวนใดจำนวนหนึ่งตามที่กำหนดให้ครั้งละเท่าๆ กัน หลายๆ ครั้ง เช่น มีส้ม 16 ผล ลบออกครั้งละ 4 หลายๆ ครั้ง จนหมดหรือจนไม่สามารถลบต่อไปได้อีก (สมบูรณ์  พรมท้าว, 2552, น.35)
    2. ความสำคัญของการหาร
      ประโรม  กุ่ยสาคร (2552, น.39) กล่าวว่าการหารเป็นวิธีการกลับกันกับการคูณความ    สำคัญของการหารจึงเหมือนกับการคูณซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

      1. การหารใช้สำหรับแบ่งสิ่งของให้เท่าๆ กัน
      2. การหารใช้สำหรับแจกสิ่งของให้เท่ากันด้วยความยุติธรรม
      3. การหารใช้สำหรับการรวมสิ่งของให้เป็นกลุ่มๆ ที่มีประมาณเท่ากัน

      สมบูรณ์ พรมท้าว (2552, น.35) กล่าวว่า การหาร เป็นวิธีการกลับกันของการคูณดังกล่าวแล้ว ความสำคัญของการหารจึงเหมือนการคูณ และอาจมีนอกจากการคูณดังนี้

      1. การหาร เป็นเครื่องมือสำคัญทางวิทยาศาสตร์
      2. การหาร เป็นทักษะที่สัมพันธ์กับทักษะ การบวก การลบ และการคูณ ดังนั้น ถ้านักเรียนมีทักษะการหารดีแล้ว จะทำให้ทักษะอื่นๆ ดีไปด้วย
      3. การคำนวณเรื่องต่างๆ เช่น การหาพื้นที่ การก่อสร้าง และอื่นๆ ต้องอาศัยทักษะการหารเป็นเครื่องมือทั้งสิ้น
    3. วิธีการพัฒนาทักษะการหาร
                ประโรม  กุ่ยสาคร (2552, น.40) กล่าวว่า การพัฒนาทักษะการคูณการหาร ต้องอาศัยทักษะการบวกการลบเป็นพื้นฐาน นักเรียนต้องท่องสูตรคูณให้แม่นยำ การฝึกทักษะการคูณการหารจะต้องเรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก ฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดก่อน และฝึกทักษะให้สัมพันธ์กัน          มัทนา  สีแสด (2552, น.55) ได้สรุปไว้ว่า การพัฒนาทักษะการหาร ต้องอาศัยทักษะการลบเป็นพื้นฐาน นักเรียนต้องท่องสูตรคูณได้แม่นยำ การฝึกทักษะการหารจะต้องเรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก ฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดก่อนและฝึกทักษะให้สัมพันธ์กัน          จากที่กล่าวมา จะสรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะการหาร ต้องอาศัยทักษะการลบเป็นพื้นฐาน นักเรียนต้องท่องสูตรคูณได้แม่นยำ และฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดก่อน และฝึกทักษะให้สัมพันธ์กัน

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกทักษะ

  1. ความหมายของชุดฝึกทักษะ
              สุคนธ์  สินธพานนท์ (2553, น.96) ได้ให้ความหมายของชุดฝึกทักษะว่า สื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมที่เป็นการทบทวนหรือเสริมเพิ่มเติมความรู้ให้แก่นักเรียน หรือให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการเรียนรู้หลายๆรูปแบบเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ          ศันสนีย์ สื่อสกุล (2554, น.24) งานหรือกิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมายให้นักเรียนทำเพื่อฝึกทักษะและทบทวนความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วให้เกิดความชำนาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถนำความรู้ไปแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ          จากความหมายของชุดฝึกทักษะข้างต้น สรุปได้ว่า ชุดฝึกทักษะเป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนความรู้ที่ได้เรียนไปหรือเป็นการเสริมความรู้ให้กับนักเรียนเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ชำนาญ
  2. หลักจิตวิทยาและหลักการสอนที่เกี่ยวข้องกับการทำชุดฝึกทักษะ
              สุคนธ์  สินธพานนท์ (2553, น.98-100) ได้กล่าวว่า ในการสร้างชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ที่เหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องนำหลักจิตวิทยาและหลักการสอนมาเป็นพื้นฐานในการจัดทำด้วย2.1. ทฤษฎีการสอนของบรูเนอร์ (Bruner’s Instruction Theory) กล่าวว่าการที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนนั้น จะต้องพิจารณาหลักการ 4 ประการ คือ          2.1.1 แรงจูงใจ (Motivation) ซึ่งมีทั้งแรงจูงใจที่เกิดจากภายในตัวนักเรียนเอง จะทำให้เกิดความปรารถนาที่จะเรียนรู้ และความต้องการความสำเร็จ นอกจากนั้นยังมีแรงจูงใจที่ต้องการเข้าร่วมงานกับผู้อื่น และรู้จักทำงานด้วยกัน กล่าวได้ว่าครูจะต้องทำให้นักเรียนเกิดความปรารถนาที่จะรู้ โดยการจัดการทำให้นักเรียนมีแรงจูงใจมากขึ้น เพื่อนักเรียนจะได้พยายามสำรวจทางเลือกต่างๆ อย่างมีความหมาย และพึงพอใจอันจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ          2.1.2 โครงสร้างของความรู้ (Structure of Knowledge) มีการเสนอเนื้อหาให้กับนักเรียนในรูปแบบที่ง่ายเพียงพอที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้ เช่น เสนอโดยให้กระทำจริง ใช้รูปภาพ ใช้สัญลักษณ์มีการเสนอข้อมูลอย่างกระชับ เป็นต้น          2.1.3 ลำดับขั้นของการเสนอเนื้อหา (Sequence) ผู้สอนควรเสนอเนื้อหาตามขั้นตอน และควรเสนอในรูปแบบของการกระทำมากที่สุด ใช้คำพูดน้อยที่สุดต่อจากนั้นจึงค่อยเสนอเป็นแผนภูมิหรือรูปภาพต่างๆ สุดท้ายจึงค่อยเสนอเป็นสัญลักษณ์หรือคำพูด ในกรณีที่ความรู้พื้นฐานของนักเรียนดีพอแล้วครูก็สามารถเริ่มการสอนด้วยการใช้สัญลักษณ์ได้เลย

              2.1.4 การเสริมแรง (Reinforcement) การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพถ้ามีการให้การเสริมแรงเมื่อนักเรียนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตามเป้าหมายที่กำหนดให้

    2.2. ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Connectionism) ของธอร์นไดค์ ซึ่งทิศนา  แขมมณี (2555, น.51) ได้กล่าวว่าธอร์นไดค์เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว และจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์สรุปได้ดังนี้ 1) กฎแห่งความพร้อม การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งร่างกาย และจิตใจ 2) กฎแห่งการฝึกหัด การฝึกหัดหรือการกระทำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คงทนถาวร และในที่สุดอาจลืมได้ 3) กฎแห่งการใช้ การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดขึ้น หากได้มีการนำไปใช้บ่อยๆ หากไม่มีการใช้อาจมีการลืมเกิดขึ้นได้ 4) กฎแห่งผลที่พอใจ เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้ารับผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้นการได้รับผลที่พึงพอใจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้

    2.3. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไข (The Condition of Learning) กาเย่ได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม และมนุษยนิยม และได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ในสังคม ส่วนใหญ่เขาจะเน้นไปทางแนวคิดของนักจิตวิทยาของกลุ่มปัญญานิยม กาเย่ได้เสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนให้คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้

              2.3.1 ลักษณะของผู้เรียน ผู้สอนจะต้องพิจารณาถึงกับเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลความพร้อม แรงจูงใจ

              2.3.2 กระบวนการทางปัญญา และการสอน เงื่อนไขการเรียนรู้ที่ส่งผลทำให้การสอนต่างกัน เช่น

                        2.3.2.1) การถ่ายโยงการเรียนรู้ มี 2 ลักษณะ คือทำให้เกิดการเรียนรู้ทักษะในระดับที่สูงได้ดีขึ้น และแผ่ขยายไปสู่สภาพการณ์อื่นนอกเหนือจากสภาพการสอน
                        2.3.2.2) การเรียนรู้ทักษะการเรียนรู้ บุคคลอาจมีวิธีการที่จะจัดการเรียนรู้ การจดจำและการคิดด้วยตัวเขาเอง จึงควรช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนให้พัฒนาไปตามศักยภาพของตนเองอย่าง
    เต็มที่

              2.3.3 การสอนกระบวนการแก้ปัญหา มี 2 เงื่อนไข คือผู้เรียนจะต้องรู้กฎเกณฑ์ต่างๆที่จำเป็นมาก่อน และสภาพของปัญหาที่เผชิญนั้นผู้เรียนต้องไม่เคยเผชิญมาก่อน ผู้เรียนจะค้นพบคำตอบจากการเรียนรู้โดยการค้นพบ ซึ่งผู้เรียนจะมีโอกาสค้นพบเกณฑ์ต่างๆในระดับที่สูงขึ้น

              2.3.4 สภาพการณ์สำหรับการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องรู้สภาพการณ์ของการเรียนรู้จึงจะสามารถวางระบบการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม เช่น การสอนซ่อมเสริม การสอนกลุ่มเล็ก การสอนกลุ่มใหญ่

  3. หลักการสร้างชุดฝึกทักษะ
    จิรเดช  เหมือนสมาน (2551, น.8) ได้ให้แนวทางในการดําเนินการสร้างชุดฝึกทักษะไว้ดังนี้

    1. กําหนดจุดมุ่งหมายและวางแผนในการดําเนินการสร้างชุดฝึกทักษะ
    2. วิเคราะห์ทักษะและเนื้อหาวิชาที่ต้องการสร้างชุดฝึกทักษะเป็นทักษะย่อยๆ และเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมตามทักษะและเนื้อหาย่อยๆนั้น
    3. เขียนชุดฝึกทักษะตามเนื้อหาและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กําหนดไว้ให้สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ และจิตวิทยาพัฒนาการตามวัยของผู้เรียน
    4. กําหนดรูปแบบของชุดฝึกทักษะ

    สุคนธ์  สินธพานนท์ (2553, น.97) กล่าวว่าชุดฝึกทักษะมีหลักสำคัญเป็นแนวในการจัดทำชุดฝึกทักษะ ดังนี้

    1. จัดเนื้อหาสาระในการฝึกตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้
    2. เนื้อหาสาระ และกิจกรรมการฝึกเหมาะสมกับวัย และความสามารถของผู้เรียน
    3. การวางรูปแบบของชุดฝึกทักษะมีความสัมพันธ์กับโครงเรื่อง และเนื้อหาสาระ
    4. ชุดฝึกทักษะต้องมีคำชี้แจงง่ายๆ สั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนอ่านเข้าใจ เรียงจากง่ายไปยากมีแบบฝึกทักษะที่น่าสนใจ และท้าทายให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถ
    5. มีความถูกต้อง ครูผู้สอนจะต้องพิจารณาตรวจสอบให้ดีอย่าให้มีข้อผิดพลาด
    6. กำหนดเวลาที่ใช้ชุดฝึกทักษะแต่ละตอนให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังอธิบายถึงขั้นตอนการสร้างชุดฝึกทักษะ ดังนี้
    7. ศึกษาหลักสูตร หลักการ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
    8. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ เพื่อวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์ในแต่ละชุดการฝึก
    9. จัดทำโครงสร้างและชุดฝึกในแต่ละชุด
    10. ออกแบบชุดฝึกทักษะในแต่ละชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลาย และน่าสนใจ
    11. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุดรวมทั้งออกข้อสอบก่อน และหลังเรียนให้สอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้
    12. นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
    13. นำชุดฝึกทักษะไปทดลองใช้บันทึกผลแล้วปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่อง
    14. ปรับปรุงชุดฝึกทักษะให้มีประสิทธิภาพ
    15. นำไปใช้จริง

    จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า หลักในการสร้างชุดฝึกทักษะควรสร้างให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการฝึกความเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก สนองความสนใจ และคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดทําให้จบเป็นเรื่องๆ การประเมินผลความก้าวหน้าในการฝึกให้นักเรียนทราบทันทีทุกครั้ง

  4. ลักษณะของชุดฝึกทักษะที่ดี
    ปุณณภา  จงอนุกูลธนากร (2553, น.14) กล่าวว่าลักษณะของชุดฝึกทักษะที่ดี ควรประกอบไปด้วย

    1. เนื้อหาที่ตรงกับจุดประสงค์
    2. กิจกรรมเหมาะสมกับระดับวัยหรือความสามารถของนักเรียน
    3. มีภาพประกอบ หรือวางฟอร์มที่ดี
    4. มีที่ว่างเหมาะสมสําหรับการฝึกเขียน
    5. ใช้เวลาที่เหมาะสม
    6. ท้าทายความสามารถของผู้เรียน และความสามารถนําไปฝึกด้วยตนเองได้

    ไพรวรรณ  บุญมา (2552, น.27) ได้กล่าวถึงชุดฝึกทักษะที่ดีว่าหนังสือแบบเรียนนั้นครูควรสร้างเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อฝึกหัดนักเรียนโดยเฉพาะไม่มีการผสมผสานปนเปกัน ผู้เรียนจะกระตือรือร้นและสนใจที่จะทำ ครูควรใช้ภาษาที่สื่อความหมายได้เหมาะสมกับวัย วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิหลังทางภาษาของนักเรียน ซึ่งชุดฝึกทักษะที่นักเรียนสนใจ และมีความกระตือรือร้นที่จะทำมีลักษณะดังนี้

    1. ต้องมีการฝึกนักเรียนมากพอสมควรในเรื่องหนึ่งๆ ก่อนที่จะมีการฝึกในเรื่องอื่นต่อไป ทั้งนี้ทำขึ้นเพื่อสอนมิใช่ทำขึ้นเพื่อการทดสอบ
    2. ควรมีความชัดเจนทั้งคำสั่ง และวิธีทำตัวอย่างแสดงวิธีทำไม่ควรยากเกินไปเพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับปรุงให้ง่าย และเหมาะสมกับผู้ใช้
    3. ควรแยกเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบเพื่อเร้าความสนใจ และเพื่อฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ
    4. ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้า และรู้จักนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องมีหลักเกณฑ์
    5. ควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดทำชุดฝึกควรมีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยากเพื่อนักเรียนจะได้เลือกทำตามความสามารถ
    6. สามารถเร้าความสนใจของนักเรียนตั้งแต่หน้าปกจนถึงหน้าสุดท้าย

    จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าลักษณะของชุดฝึกที่ดีนั้นควรเป็นแบบฝึกที่มีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง และค่อนข้างยาก ควรเป็นแบบฝึกที่สามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบชวนให้ติดตาม

  5. ประโยชน์ของชุดฝึกทักษะ
    สุคนธ์  สินธพานนท์ (2553, น.96-97) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดฝึกทักษะ ดังนี้

    1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามอัตภาพ เด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน การให้ผู้เรียนได้ทำชุดฝึกทักษะที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคนใช้เวลาที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะการเรียนรู้ของแต่ละคนจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดกำลังใจในการเรียนรู้ นอกจากนั้นยังเป็นการซ่อมเสริมผู้เรียนที่เรียนไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
    2. ชุดฝึกทักษะช่วยเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่คงทน ชุดฝึกทักษะสามารถให้ผู้เรียนได้ฝึกทันทีหลังจากจบบทเรียนนั้นๆ หรือให้มีการฝึกซ้ำหลายๆครั้งเพื่อความแม่นยำในเรื่องที่ต้องการฝึก หรือเน้นย้ำให้นักเรียนทำชุดฝึกทักษะเพิ่มเติมในเรื่องที่ผิด
    3. ชุดการฝึกสามารถเป็นเครื่องมือในการวัดผลหลังจากที่ผู้เรียนเรียนจบบทเรียนในแต่ละครั้ง ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความรู้ความสามารถของตนเองได้และเมื่อไม่เข้าใจ และทำผิดในเรื่องใดๆ ผู้เรียนก็สามารถซ่อมเสริมตนเองได้ จัดได้ว่าเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าทั้งครูผู้สอน และผู้เรียน
    4. เป็นสื่อที่ช่วยเสริมบทเรียนหรือหนังสือเรียนหรือคำสอนของครูผู้สอน ชุดฝึกทักษะที่ครูทำขึ้นเพื่อฝึกทักษะการเรียนนอกเหนือจากความรู้ในหนังสือเรียนหรือบทเรียน
    5. ลดภาระการสอนของครูผู้สอน ไม่ต้องฝึกทบทวนความรู้ให้แก่นักเรียนตลอดเวลาไม่ต้องตรวจงานด้วยตนเองทุกครั้ง นอกจากกรณีที่ชุดฝึกทักษะนั้นเป็นการฝึกทักษะการคิดที่ไม่มีเฉลยตายตัวหรือมีแนวเฉลยที่หลากหลาย
    6. เป็นการฝึกความรับผิดชอบของผู้เรียน การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทำชุดฝึกทักษะตามลำพังโดยมีภาระให้ทำตามที่มอบหมาย จัดได้ว่าเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์การทำงานให้ผู้เรียนได้นำไปประยุกต์ปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
    7. ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ การที่ผู้เรียนได้ทำชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ที่มีรูปแบบหลากหลายจะทำให้ผู้เรียนสนุกและเพลิดเพลิน เป็นการท้าทายให้ลงมือทำกิจกรรมต่างๆตามชุดฝึกทักษะนั้นๆ
  6. ทักษะการสร้างสื่อการสอน
    1. ความหมายของสื่อการสอน
    วิโรจน์  วัฒนานิมิตกูล (2552, น.182) ได้กล่าวถึงความหมายของสื่อการสอนว่าสื่อการสอนหมายถึง สิ่งที่เป็นพาหะหรือสื่อที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติตามจุดประสงค์การเรียนรู้ และตามจุดหมายของหลักสูตร
    อาภรณ์  ใจเที่ยง (2553, น.192-194) ได้กล่าวถึงหลักการเตรียมสื่อการสอน, หลักการเลือกใช้สื่อการสอน, ขั้นตอนการใช้สื่อการสอน และประโยชน์ของสื่อการสอน ไว้ดังนี้2. หลักการเตรียมสื่อการสอน
    ในการเตรียมสื่อการสอน ผู้สอนควรมีหลักการดังนี้
    2.1 จัดทำสื่อการสอนให้สอดคล้องเหมาะสมกับบทเรียนตามแผนการที่เตรียมไว้ เช่น ภาพ บัตรคำ กระเป๋าผนัง วิทยุ แผนภูมิ เป็นต้น
              2.2 สำรวจวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นที่จะนำมาใช้ก่อนว่าอยู่ในสภาพที่ใช้การได้มีความชัดเจน ไม่ขาดไม่ชำรุด อาจจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขก่อนใช้ เช่น เติมสีให้เข้มข้น ถ้าของเดิมสีอ่อนหรือจางไป
              2.3 ทดลองใช้วัสดุอุปกรณ์ก่อนที่จะใช้จริง เพื่อการใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ถูกต้องตามขั้นตอนทำให้ไม่เสียเวลาในขณะสอน
              2.4 สำรวจ และจัดเตรียมห้องเรียนก่อนใช้จริงเพื่อมิให้เกิดความบกพร่องในการใช้อุปกรณ์ เช่น มีโต๊ะสำหรับวางอุปกรณ์ มีสายไฟ มีปลั๊กไฟ เป็นต้น
              2.5 จัดเรียงลำดับวัสดุอุปกรณ์การใช้ก่อนหลัง เพื่อความคล่องตัวในขณะสอน

    3. หลักการเลือกใช้สื่อการสอน
    ในการเลือกใช้สื่อการสอน ผู้สอนควรกำหนดจุดประสงค์การสอนก่อนเพื่อเป็นเครื่องชี้นำในการเลือกใช้สื่อการสอน และควรมีหลักการในการเลือกใช้สื่อการสอนดังนี้
             3.1 เลือกใช้สื่อการสอนที่สัมพันธ์กับบทเรียน และตรงเป้าหมายกับเรื่องที่สอน
             3.2 เลือกสื่อที่มีเนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจ และเป็นสื่อที่จะให้ผลต่อการเรียนการสอนมากที่สุด ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาวิชานั้นได้ดีเป็นลำดับขั้นตอน
             3.3 เป็นสื่อที่เหมาะสมกับวัย ระดับชั้น ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียน
             3.4 สื่อนั้นควรสะดวกในการใช้ มีวิธีใช้ไม่ซับซ้อนยุ่งยากมากเกินไป
             3.5 ต้องเป็นสื่อที่มีคุณภาพการผลิตที่ดี มีความชัดเจน และสมจริง
             3.6 มีราคาไม่แพงจนเกินไป หรือถ้าผลิตเองควรคุ้มกับเวลา และการลงทุน
             3.7 พิจารณาเลือกสื่อในปริมาณที่พอเหมาะที่จะใช้ประกอบการสอนอย่างแท้จริงไม่มากจนเกินไป จนทำให้การเรียนการสอนส่วนอื่นบกพร่องหรือเหลือใช้ในแต่ละชั่วโมงเรียน
             3.8 เลือกสื่อการสอนที่ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้เรียน
             3.9 เลือกสื่อการสอนที่มีสีสันดึงดูดความสนใจผู้เรียน ควรใช้สีที่เย็นตา และสดใส
             3.10 เลือกใช้สื่อที่มีขนาดถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เช่น บัตรคำ ควรมีตัวอักษรสูงประมาณ 1.5 นิ้ว ความหนาตัวอักษรประมาณ 1.8 นิ้ว และเขียนด้วยหมึกที่มีสีชัดเจน สีที่ควรใช้คือ สีเขียว น้ำเงินบนกระดาษสีขาว จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ส่วนรูปแบบของตัวอักษรควรเป็นแบบที่อ่านง่าย มีหัวตัวอักษรชัดเจน
             3.11 ควรเลือกใช้สื่อที่แปลกไปจากสิ่งที่ผู้เรียนเคยเห็นจำเจแล้ว หรือเลือกใช้สื่อที่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะช่วยเร้าความสนใจผู้เรียนได้ดี.4. ขั้นตอนการใช้สื่อการสอน
    การใช้สื่อการสอนนั้นอาจจะใช้เฉพาะขั้นตอนหนึ่งของการสอนหรือจะใช้ในทุกขั้นตอนก็ได้ ดังนี้
              4.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาที่กำลังจะเรียนนั้น สื่อที่ใช้ในขั้นนี้จึงเป็นสื่อที่แสดงเนื้อหากว้างๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในครั้งก่อนยังมิใช่สื่อที่เน้นเนื้อหาเจาะลึกอย่างแท้จริง อาจเป็นสื่อที่เป็นแนวปัญหา หรือเพื่อให้ผู้เรียนคิด และควรเป็นสื่อที่ง่ายต่อการนำเสนอในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภาพ บัตรคำ หรือบัตรปัญหา เป็นต้น
              4.2 ขั้นดำเนินการสอนหรือประกอบกิจกรรมการเรียน เป็นขั้นสำคัญในการเรียน เพราะเป็นขั้นที่ให้ความรู้ และเนื้อหา เพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนจะต้องเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาและวิธีการสอน หรืออาจจะใช้สื่อประสมก็ได้ ต้องมีการจัดลำดับขั้นตอนการใช้สื่อให้เหมาะสม และสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียน การใช้สื่อในขั้นนี้จะต้องให้ผู้เรียนได้รับความรู้นั้นอย่างละเอียดถูกต้องและชัดเจน
              4.3 ขั้นวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองนำความรู้ด้านทฤษฎี หรือหลักการที่เรียนมาแล้วไปใช้แก้ปัญหาในขั้นฝึกหัดโดยลงมือปฏิบัติเอง สื่อในขั้นนี้ควรเป็นสื่อที่เป็นประเด็นปัญหาให้ผู้เรียนได้ขบคิด โดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้สื่อเองมากที่สุด เช่น สมุดแบบฝึกหัด ภาพ บัตรปัญหา ชุดการเรียนรายบุคคล เป็นต้น
              4.4 ขั้นสรุปบทเรียน เป็นขั้นสุดท้ายของการเรียนการสอน เพื่อการย้ำเนื้อหาบทเรียน ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ขั้นสรุปนี้ควรใช้ระยะเวลาสั้นๆเช่นเดียวกับขั้นนำ สื่อที่ใช้สรุปจึงควรครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญทั้งหมดโดยย่อ และใช้เวลาน้อย เช่น แผนภูมิ หรือแผ่นโปร่งใส เป็นต้น5. ประโยชน์ของสื่อการสอน
    สื่อการสอนให้ประโยชน์ต่อผู้เรียนและต่อผู้สอน
              5.1 สื่อกับผู้เรียน
                      5.1.1. เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเนื้อหา บทเรียนที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในระยะเวลาอันสั้น และสามารถช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้นได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
                      5.1.2. สื่อจะช่วยกระตุ้น และสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน ทำให้เกิดความสนุก และไม่เบื่อหน่ายการเรียน
                      5.1.3. การใช้สื่อจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตรงกัน และเกิดประสบการณ์ร่วมกันในวิชาที่เรียนนั้น
                      5.1.4. ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้นทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง และกับผู้สอนด้วย
                      5.1.5. ช่วยสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์จากการใช้สื่อเหล่านั้น
                      5.1.6. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการจัดให้มีการใช้สื่อในการเรียนการสอนรายบุคคล
              5.2 สื่อกับผู้สอน
                      5.2.1. การใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆประกอบการเรียนการสอน ช่วยให้บรรยากาศในการเรียนน่าสนใจยิ่งขึ้น ทำให้ผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอนมากกว่าวิธีการสอนที่เคยใช้การบรรยายแต่เพียงอย่างเดียว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้เพิ่มขึ้นด้วย
                      5.2.2. สื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในด้านการเตรียมเนื้อหา เพราะบางครั้งอาจให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาจากสื่อได้เอง
                      5.2.3. เป็นการกระตุ้นให้ผู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นสื่อการสอนตลอดจนคิดค้นเทคนิควิธีการต่างๆเพื่อให้การเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น

    อย่างไรก็ตาม สื่อการสอนจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อผู้สอนได้นำไปใช้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี ดังนั้นก่อนที่จะนำสื่อแต่ละอย่างไปใช้ ผู้สอนจึงควรที่จะได้ศึกษาถึงลักษณะ และคุณสมบัติของสื่อการสอน

เอกสารที่เกี่ยวข้องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์

          จันตรา  ธรรมแพทย์ (2550, น.24) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หมายถึงความสามารถด้านสติปัญญาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อมุ่งวัดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ประกอบด้วย ความรู้ความจำเกี่ยวกับการคิดคำนวณ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และการวิเคราะห์ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์นี้สามารถนำไปเป็นเกณฑ์ประเมินระดับความสามารถในการเรียนการสอน

          ไข่มุก  มณีศรี (2554, น.57) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จในด้านความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่างๆ ของสมองหรือประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ของแต่ละบุคคลสามารถวัดได้โดยการทดสอบด้วยวิธีต่างๆ

          กชพร  ฤาชา (2555, น.31) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการเรียนการสอนไม่ว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีสอนอย่างไรก็ตาม สิ่งที่พึงปรารถนาของครู คือ การสอนนั้นจะต้องทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นและสิ่งที่ใช้สำหรับวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสิ่งหนึ่ง ก็คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

          งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะนั้น มีผู้ศึกษาวิจัยไว้หลายท่านดังนี้

          จิรเดช  เหมือนสมาน (2552, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องผลการใช้แบบฝึกคณิตศาสตร์เรื่องการคูณที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลวัดราษฎร์นิยมธรรมสังกัดกองการศึกษาเทศบาลเมืองศรีราชา ผลการวิจัยปรากฏว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05)

          อารี  แสงคำ (2552, บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเงิน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แบบฝึกทักษะที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 85.39/87.27 มีดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์มีค่าเท่ากับ 0.6052 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่สอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอนตามคู่มือครูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

          ปราณี  จิณฤทธิ์ (2552, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ และเจตคติทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 มีประสิทธิภาพ 81.21/82.99 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) เจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และอยู่ในระดับมาก

          อาภรณ์  ใจเที่ยง (2553, บทคัดย่อ ) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการคิดคำนวณเรื่องการหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า
                    1.  การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรื่องการหาร การคิดคำนวณประกอบการเรียนรู้ เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วพบว่าทั้ง 3 วงจรปฏิบัติมีการพัฒนาสูงขึ้นตามลำดับ แต่ในวงจรปฏิบัติที่ 3 มีอัตราส่วนลดลงเล็กน้อยเนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยากขึ้นตามลำดับ
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า มีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 มีจำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 90.00 และคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 72.57

          โศภิต  วงศ์คูณ (2553, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.43/78.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

          กนกพร  พั่วพันธ์ศรี (2555, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องผลการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องเศษส่วนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องเศษส่วน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.95/82.67 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องเศษส่วน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาเรื่องเศษส่วนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก

          สมศรี  อภัย (2553, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก และการลบจำนวนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะผลการวิจัยพบว่า
                    1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก และการลบจำนวนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 77.17/76.36
                    2. นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก และการลบจำนวนที่มีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่เกิน 100 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
                    3. นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนไปแล้ว 2 สัปดาห์ ไม่แตกต่างกัน ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้หลังเรียนได้ทั้งหมด

          ไข่มุก  มณีศรี (2554, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องการสร้างแบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ การคูณ ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเมืองพัทยา 1 ผลการวิจัยพบว่า
                    1. แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ การคูณ ทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่สร้างขึ้นมีค่าประสิทธิภาพ 85.00/83.33 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
                    2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการบวก การลบ การคูณ ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
                    3. เจตคติของนักเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ การคูณ ทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก

 

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

หน้าแรกบทที่ 1 บทนำบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัยบทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลบทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากรโดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

ชนกานต์  แกล้วน้อย

         การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E จำนวน10 ข้อ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที (t-test)

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

ในปัจจุบันการจัดกระบวนการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้เรียนรู้ คณิตศาสตร์อย่างพอเพียงและสามารถนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2550, น.7) ได้กำหนดสาระการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกคน โดยสาระดังกล่าวประกอบด้วยเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์และ ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์และในการจัดการเรียนรู้ผู้สอนควรยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ กล่าวคือ ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดและแก้ปัญหาเอง โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องใช้การคิด อย่างเป็นระบบ คิดอย่างมีเหตุผล เพื่อพัฒนาเหตุผลมาช่วยในการแกปัญหาและการให้เหตุผลเป็นต้น  กระบวนการที่ส่งเสริมให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ปัญหา และสถานการณ์ได้อย่างละเอียด รอบคอบ สามารถวางแผนตัดสินใจในการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การคิดอย่างมี เหตุผลจึงถือเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญที่นักเรียนสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาตนเองในการ เรียนรู้และดำรงชีวิตและเป็นหัวใจสำคัญของการสอนคณิตศาสตร์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2550, น.38) ได้กล่าวไว้ว่า การให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์เป็น กระบวนการคิดทางคณิตศาสตร์ที่ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์ หรือคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อสรุปเป็นความรู้ใหม่ การให้เหตุผลสามารถจำแนกเป็น    2 ลักษณะได้แก่ การให้เหตุผลแบบอุปนัย คือการสรุปผลจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ เกิดขึ้นซ้ำๆ กันหลายๆครั้งเพื่อหารูปแบบที่จะนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดซึ่งข้อข้อสรุป อาจจะเป็นจริงหรือเท็จก็ได้ และการให้เหตุผลแบบนิรนัย คือการให้เหตุผลโดยการยอมรับสิ่งที่เกิด ขึ้นมาก่อนว่าเป็นจริงเพื่อนำมาใช้ในการอ้างอิงข้อสรุปที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลัง ซึ่งการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะมีความเป็นทางการมากกว่าการให้เหตุผลแบบอุปนัย

ซึ่งจากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ของประเทศไทยมุ่งเน้นที่ผู้เรียนจะต้องมีการพัฒนาให้เกิดทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ควบคู่กับการพัฒนาด้านเนื้อหา ความรู้ บทบาท หน้าที่หลักที่สำคัญของครูก็คือการสอน โดยสร้างสรรค์กิจกรรมการจัดการเรียนการ สอนที่น่าสนใจ มีความหมายและมีประสิทธิภาพทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่ต้องสามารถพัฒนานักเรียนให้ บรรลุเป้าหมายของหลักสูตรได้ ไม่มุ่งเน้นให้ความสำคัญเพียงเฉพาะเนื้อหาแต่ต้องให้ความสำคัญ ต่อทักษะกระบวนการอีกด้วย เพราะทักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างมีความหมายและมีคุณค่า เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ ทักษะชีวิต ที่นักเรียนต้องใช้ทุกวัน (อัมพร ม้าคะนอง, 2549, น.34)

จากปัญหาข้างต้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งมีหลายสาเหตุ นักเรียนบางคนไม่ชอบเพราะไม่ถนัดเนื้อหาของวิชาคณิตศาสตร์ยากเกินไป นักเรียนกลุ่มนี้ไม่ค่อยจะประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด มักทำแบบฝึกหัดไม่ได้หรือทำผิดบ่อยๆ นักเรียนบางคนไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์เพราะครูสอนไม่เข้าใจ การปลูกฝังในเรื่องของความคิดเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการที่เป็นเหตุเป็นผล โดยการฝึกนักเรียนให้เป็นคนช่างสังเกต และนำเอาหลักการทางคณิตศาสตร์มาอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆในด้านของการแก้ปัญหา ควรฝึกให้นักเรียนรู้จักการแก้ปัญหาง่ายๆตรงไปตรงมาและค่อยๆซับซ้อนตามลำดับ โดยการแก้ปัญหานั้นไม่จำเป็นต้องเน้นเฉพาะปัญหาทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว อาจเป็นปัญหาทั่วไป หรือปัญหาในการให้เหตุผล ปัญหาทางด้านตรรกศาสตร์ เหตุผลในการแก้ปัญหาของนักเรียนแต่ละคนอาจจะตัดสินใจไม่ได้ว่าใครถูกหรือผิด แต่ควรจะพิจารณาถึง เหตุผลที่ใช้ในการสนับสนุน นอกจากนี้แล้วควรฝึกให้นักเรียนมองปัญหาในเชิงที่เป็นระบบมากขึ้น รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาต่างๆขึ้นแล้วควรจะดำเนินการอย่างไร ควรปลูกฝังให้นักเรียนมีความคิดในเชิงตรรกศาสตร์เพื่อให้นักเรียนมีเหตุผลในเชิงของการแก้ปัญหาทางด้านการเรียนรู้ คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับนามธรรมค่อนข้างมาก ผู้สอนควรหารูปแบบที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น (ภัทรกุล จริยวิทยานนท์ และอินทิรา ศรีวัฒนะธรรมา, 2552, น.64)

ดังนั้นจากที่ผู้วิจัยได้สอนนักเรียนผลปรากฏว่ายังมีนักเรียนบางคนที่ไม่ค่อยเข้าใจในวิชาคณิตศาสตร์ ยังไม่ชอบในวิชานี้เนื่องจากนักเรียนไม่เข้าใจในเนื้อหา แก้โจทย์ปัญหาไม่ค่อยได้ รวมทั้งนักเรียนยังคงมีอคติกับวิชาคณิตศาสตร์ และทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้วิจัยเลือกการจัดกิจกรรมการเรียนสอนแบบ 5E มาใช้ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน เพื่อต้องการให้นักเรียนมีส่วนได้คิดและลงมือปฏิบัติในการเรียนร่วมกัน และการสอนแบบนี้จะทำให้นักเรียนมีส่วนในการคิดด้วยตนเองและฝึกแลกเปลี่ยนความรู้กันภายในกลุ่ม

คำถามงานวิจัย

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E จะช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดีขึ้นหรือไม่

วัตถุประสงค์การวิจัย

  1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ก่อนเรียนและหลังเรียน
  2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากรที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

ขอบเขตของการวิจัย

ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียน             ที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากรสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 4 ห้อง รวมนักเรียนทั้งหมด 160 คน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้  ได้แก่  นักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ค่อนข้างต่ำกว่าในระดับสายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ตัวแปรที่ใช้ในงานวิจัย

ตัวแปรอิสระ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

ตัวแปรตาม

  1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน
  2. ความพึงพอใจของนักเรียน ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

สมมติฐานงานวิจัย

  1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 หลังการเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E สูงกว่าก่อนเรียน
  2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E อยู่ในระดับมาก

ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

  1. นักเรียนได้มีการคิดค้นคำตอบด้วยตนเอง ฝึกการคิด การทำงานกันเป็นกลุ่ม
  2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

นิยามศัพท์เฉพาะ      

  1. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร
  2. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E หมายถึง การสืบเสาะหาความรู้ เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย คือ การถามคำถาม ออกแบบการสำรวจข้อมูลการสำรวจข้อมูล  การวิเคราะห์ การสรุปผล การคิดค้นประดิษฐ์ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสื่อสารคำอธิบาย (Wu & Hsieh, 2006) โดยมีด้วยกัน 5 ขั้นตอน ดังนี้
    2.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ
    2.2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกำหนดแนวทาง
    2.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปต่างๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
    2.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
    2.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไรและมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ ไปประยุกต์ใช้ในเรื่อง
  3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ หมายถึง ผลที่เกิดจากกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม  และสามารถวัดได้โดยให้นักเรียนสอบข้อสอบปรนัย  เป็นจำนวน 20 ข้อ
  4. ความพึงพอใจในการเรียนคณิตศาสตร์ หมายถึง นักเรียนเข้าใจและชอบในการการ

ในการวิจัย เรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
  1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E
  • ความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E
  • ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E
  • บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E
  1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์
  • ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
  • ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์
  • การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
  1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ
  • ความหมายของความพึงพอใจ
  • การวัดความพึงพอใจ
  • เกณฑ์การวัดความพึงพอใจ
  1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

 

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551

  1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์
    กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น.13) ได้กล่าวถึง สาระและมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ไว้ดังนี้
    สาระที่ 1 จำนวนและการดำเนินการ
    มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใช้จำนวนในชีวิตจริง
    มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจถึงผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของจำนวนและความสัมพันธ์ระหว่างการดำเนินการต่างๆ และใช้การดำเนินการในการแก้ปัญหา
    มาตรฐาน ค 1.3 ใช้การประมาณค่าในการคำนวณและแก้ปัญหา
    มาตรฐาน ค 1.3 เข้าใจระบบจำนวน และนำสมบัติเกี่ยวกับจำนวนไปใช้สาระที่ 2 การวัด
    มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัดสาระที่ 6 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
    มาตรฐาน ค 6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสารการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
  1. คุณภาพผู้เรียนด้านคณิตศาสตร์
    กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น.60-61) ได้กล่าวถึง คุณภาพของผู้เรียนด้านการเรียนคณิตศาสตร์ ไว้ดังนี้
    มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับจำนวนจริง มีความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราส่วน สัดส่วน ร้อยละ เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็ม รากที่สองและรากที่สามของจำนวนจริง สามารถดำเนินการเกี่ยวกับจำนวนเต็ม เศษส่วน ทศนิยม เลขยกกำลัง รากที่สองและรากที่สามของจำนวนจริง ใช้การประมาณค่าในการดำเนินการและแก้ปัญหา และนำความรู้เกี่ยวกับจำนวนไปใช้ในชีวิตจริงได้
    ใช้วิธีการที่หลากหลายแก้ปัญหา ใช้ความรู้ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และสรุปผลได้อย่างเหมาะสม  ใช้ภาษาและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร  การสื่อความหมาย  และการนำเสนอ ได้อย่างถูกต้อง และชัดเจน  เชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ในคณิตศาสตร์  และนำความรู้  หลักการ  กระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับศาสตร์อื่น ๆ   และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

  1. ความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนสอนแบบ 5E
    พจนา มะกรูดอินทร์ (2553, น.2) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E หมายถึง การสืบเสาะหาความรู้ เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย คือ การถามคำถามออกแบบการสำรวจข้อมูลการสำรวจข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปผล การคิดค้นประดิษฐ์ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสื่อสารคำอธิบาย
  2. ชั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E
    สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.), 2546 และสาขาชีววิทยา สสวท. , 2550 อ้างถึงใน พจนา มะกรูดอินทร์ (2553, น.2) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ไว้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ อาจจะเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากความสงสัย เรื่อง ที่สนใจอาจมาจากเหตุการณ์ปัจจุบันหรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถามขึ้นมากำหนดประเด็นที่จะศึกษาขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) เมื่อประเด็นที่จะศึกษามีความชัดเจนแล้ว จะมีการวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ปฏิบัติการเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล หรือข้อมูลสารสนเทศ หรือข้อมูลปรากฏการณ์ต่างๆด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทดลอง ทำกิจกรรมภาคสนามใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง หรือแหล่งข้อมูลต่างๆ รวบรวมข้อมูลให้มากเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไปขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อมูลสรุป (Explain) เมื่อมีข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว นำข้อมูล ข้อมูลสารสนเทศ มาวิเคราะห์ แปรผล สรุปผล พร้อมทั้งจัดทำข้อมูล สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ้างอิงหลักฐานที่ชัดเจนและนำเสนอผลงาน ซึ่งแสดงถึงการสร้างองค์ความรู้ใหม่ของนักเรียนขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) เป็นขั้นของการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้นักเรียนมีความรู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขยายกรอบความคิดให้กาว้างยิ่งขึ้น มีการเชื่อมโยงความรู้เดิม สู่ความรู้ใหม่ เพื่อให้เกิดการนำไปสู่การค้นคว้าทดลองเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้นักเรียนตั้งประเด็น เพื่อให้เกิดการอภิปราย แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างชัดยิ่งขึ้นซักถามนักเรียนให้เกิดความชัดเจนในความรู้ อาจมีการให้ค้นคว้าเพิ่มเติมในประเด็นที่นักเรียนสนใจขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผล (Evaluate) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้จากการทำกิจกรรมในขั้นที่ 1-4 เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นการประเมินผล โดยการใช้แบบทดสอบ ชุดฝึก การทำกิจกรรม การทดลอง การจัดป้ายนิเทศ เป็นการประเมินผลรายบุคคล รายกลุ่ม โดยใช้กระบวนการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความรู้อะไรอย่างไร มากน้อยเพียงใด
  3. บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E
    ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้5 ขั้นตอน จะประสบความสำเร็จ นอกจากประเด็นดังที่กล่าวข้างบนแล้ว ในแต่ละขั้นตอนครูต้องแสดงบทบาทของตนเองดัง ตาราง 1 (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2550, ออนไลน์)

ตารางที่ 1 บทบาทครูในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ 5E

ตารางที่ 1 (ต่อ)

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์

  1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
    ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดีสุข (2548, น.125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอนปราณี กองจินดา (2549, น.42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกันดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่เกิดจากผู้สอนได้นำทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งมาใช้ แล้วประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสังเกตได้จากผลที่เกิดขึ้นหลังเรียน หรือที่เรียกกันว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
  1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
    มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังนี้Wilson, 1971, pp.643-658 อ้างถึงใน พิริยพงศ์ เตขะศิริยืนยง (2553, น.41-43) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถทางด้านสติปัญญาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งจำแนกพฤติกรรมที่พึงประสงค์ทางด้านพุทธพิสัย ตามกรอบแนวคิดของบลูมไว้ 4 ระดับ ดังนี้
  1. การคิดคำนวณด้านความรู้ความจำพฤติกรรมในระดับนี้ถือว่า เป็นพฤติกรรมที่อยู่ในระดับต่ำสุด แบ่งออกเป็น 3 ขั้น ดังนี้
  • ความรู้ความจำเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เป็นความสามารถที่ระลึกถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่นักเรียนเคยได้รับจากการเรียนการสอนมาแล้ว คำถามที่วัดความสามารถในระดับนี้จะเกี่ยวกับข้อเท็จจริงตลอดจนความรู้พื้นฐานซึ่งนักเรียนได้ สั่งสมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
  • ความรู้ความจำเกี่ยวกับศัพท์และนิยาม เป็นความสามารถในการระลึกหรือจำศัพท์และนิยามต่าง ๆ ได้ ซึ่งคำถามที่วัดความสามารถในด้านนี้ จะถามโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้ แต่ไม่ต้องอาศัยการคิดคำนวณ
  • ความสามารถในการใช้กระบวนการคำนวณเป็นความสามารถในการใช้ข้อเท็จจริงหรือนิยาม และกระบวนการที่ได้เรียนมาแล้วมาคิดคำนวณ ตามลำดับขั้นตอนที่เคยเรียนรู้มา ซึ่งคำถามที่วัดความสามารถในด้านนี้จะต้องเป็นโจทย์ง่าย ๆ คล้ายคลึงกับตัวอย่างนักเรียนไม่ต้องพบกับความยุ่งยากในการตัดสินใจเลือกใช้กระบวนการ
  1. ความเข้าใจเป็นพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมระดับความรู้ ความจำ เกี่ยวกับความคิดคำนวณแต่ซับซ้อนกว่า แบ่งออกเป็น 6 ขั้น ดังนี้
  • ความเข้าใจเกี่ยวกับมโนมติเป็นความสามารถ ที่ซับซ้อนกว่าความรู้ความจำเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เพราะมโนมติเป็นนามธรรมที่ประมวลจาก ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ต้องอาศัยการตัดสินใจในการตีความหรือยกตัวอย่างของมโนมตินั้นโดยใช้คำพูด ของตนหรือเลือกความหมายที่กำหนดให้ ซึ่งเขียนในรูปใหม่หรือยกตัวอย่างใหม่ที่แตกต่าง ๆ ไป จากที่เคยเรียน
  • ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ กฎทางคณิตศาสตร์ และการสรุปอ้างอิงเป็นกรณี ทั่วไปเป็นความสามารถในการ นำเอาหลักการ กฎ และความเข้าใจเกี่ยวกับมโนมติไปสัมพันธ์กับโจทย์ปัญหาจนได้ แนวทางใน การแก้ปัญหาถ้าคำถามนั้นเป็นคำถามเกี่ยวกับหลักการและกฎที่นักเรียนเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก อาจจัดเป็นพฤติกรรมในระดับการวิเคราะห์ก็ได้
  • ความเข้าใจในโครงสร้างทางคณิตศาสตร์เป็นคำถามที่วัดเกี่ยวกับสมบัติของระบบจำนวนและโครงสร้างทางพีชคณิต
  • ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบปัญหาจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเป็นความสามารถในการแปลข้อความที่กำหนดให้เป็นข้อความใหม่หรือภาษาใหม่ เช่น แปลจาก ภาษาพูดให้เป็นสมการซึ่งมีความหมายคงเดิม โดยไม่คำนึงถึงกระบวนการแก้ปัญหา
  • ความสามารถในการคิดตามแนวของเหตุผล เป็นความสามารถในการอ่านและเข้าใจข้อความทางคณิตศาสตร์ ซึ่งแตกต่างไปจาก ความสามารถในการอ่านทั่ว ๆ ไป
  • ความสามารถในการอ่านและตีความโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ข้อสอบที่วัดความสามารถในขั้นนี้ อาจดัดแปลงมาจาก ข้อสอบที่วัดความสามารถในขั้นอื่น ๆ โดยให้นักเรียนอ่านและตีความโจทย์ปัญหาซึ่งอาจจะอยู่ใน รูปของข้อความ ตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ หรือกราฟ
  1. การนำไปใช้เป็นความสามารถในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่นักเรียน คุ้นเคยเพราะคล้ายกับปัญหาที่นักเรียนประสบอยู่ในระหว่างเรียน หรือแบบฝึกหัดที่นักเรียนต้อง เลือกกระบวนการแก้ปัญหา และดำเนินการแก้ปัญหาได้โดยไม่ยาก พฤติกรรมในระดับนี้แบ่ง ออกเป็น 4 ขั้น คือ
  • ความสามารถในการแก้ปัญหาที่คล้ายกับปัญหาที่ประสบอยู่ในระหว่างเรียน นักเรียนต้องอาศัยความสามารถในระดับความเข้าใจและ เลือกกระบวนการแก้ปัญหาจนได้คำตอบออกมา
  • ความสามารถในการเปรียบเทียบ เป็นความสามารถในการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุด เพื่อสรุปการตัดสินใจ ซึ่งในการแก้ปัญหาขั้นนี้ อาจต้องใช้วิธีการคำนวณ และจำเป็นต้องอาศัยความรู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล
  • ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นความสามารถในการตัดสินใจอย่างต่อเนื่องในการหาคำตอบจากข้อมูลที่กำหนดให้ ซึ่งอาจต้อง อาศัยการแยกข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกจากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง พิจารณาว่าอะไรคือข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติมมีปัญหาอื่นใดบ้างที่อาจเป็นตัวอย่างในการหาคำตอบของปัญหาที่กำลังประสบอยู่หรือ ต้องแยกโจทย์ปัญหาออกพิจารณาเป็นส่วน ๆ มีการตัดสินใจหลายครั้งอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนได้คำตอบหรือผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • ความสามารถในการมองเห็นแบบลักษณะโครงสร้างที่เหมือนกันและสมมาตร เป็นความสามารถที่ต้อง อาศัยพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การระลึกถึงข้อมูลที่กำหนดให้ การเปลี่ยนรูปปัญหา การจัด กระทำกับข้อมูล และการระลึกถึงความสัมพันธ์ นักเรียนต้องสำรวจหาสิ่งที่คุ้นเคยกันจากข้อมูล หรือสิ่งที่กำหนดจากโจทย์ปัญหาให้พบ
  1. การวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาที่นักเรียนไม่เคยเห็น หรือไม่เคยทำ แบบฝึกหัดมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโจทย์พลิกแพลง แต่ก็อยู่ในขอบเขตเนื้อหาที่เรียน การแก้โจทย์ปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความรู้ที่ได้เรียนมารวมกับความคิดสร้างสรรค์ ผสมผสานกันเพื่อแก้ปัญหา พฤติกรรมในระดับนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมขั้นสูงสุดของการเรียน การสอนคณิตศาสตร์ซึ่งต้องใช้สมรรถภาพสมองระดับสูง แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
  • ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาที่ไม่เคยประสบมาก่อน คำถามในขั้นนี้เป็นคำถามที่ซับซ้อนไม่มีในแบบฝึกหัดหรือตัวอย่าง นักเรียนต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ผสมผสานกับความเข้าใจมโนมติ นิยาม ตลอดจนทฤษฎี ต่าง ๆ ที่เรียนมาแล้วเป็นอย่างดี
  • ความสามารถในการค้นหาความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการจัดส่วน ต่าง ๆ ที่โจทย์กำหนดให้ใหม่ แล้วสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาแทน การจำความสัมพันธ์เดิมที่เคยพบมาแล้วมาใช้กับข้อมูลใหม่เท่านั้น
  • ความสามารถในการสร้างข้อพิสูจน์ เป็นความสามารถในการสร้างภาษา เพื่อยืนยันข้อความทางคณิตศาสตร์อย่างสมเหตุสมผล โดย อาศัยนิยาม สัจพจน์ และทฤษฎีต่าง ๆ ที่เรียนมาแล้วพิสูจน์โจทย์ปัญหาที่ไม่เคยพบมาก่อน
  • ความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ข้อพิสูจน์เป็นความสามารถที่ควบคู่กับความสามารถในการสร้างข้อพิสูจน์ อาจเป็นพฤติกรรมที่มีความ ซับซ้อนน้อยกว่าพฤติกรรมในการสร้างข้อพิสูจน์ พฤติกรรมในขั้นนี้ต้องการให้นักเรียนสามารถ ตรวจสอบข้อพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือไม่
  • ความสามารถในการสร้างสูตรและทดสอบความถูกต้อง ให้มีผลใช้ได้เป็นกรณี ทั่วไป เป็นความสามารถในการค้นพบ สูตรหรือกระบวนการแก้ปัญหา และพิสูจน์ว่าใช้เป็นกรณีทั่วไปได้

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ

  1. ความหมายของความพึงพอใจ
    ความพึงพอใจ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Satisfaction ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้ศึกษาและให้ความหมายไว้ต่างๆ กันดังนี้
    โคร์แมน (Kroman, 1997: pp.140-143) อ้างถึงใน สุวดี ประสงค์ดี (2554, น.41) ได้จำแนกทฤษฎีความพึงพอใจในงานว่ามี 2 กลุ่ม คือ
  1. ทฤษฎีการสนองความต้องการ กลุ่มนี้ถือว่าความพึงพอใจในงานเกิดจากความต้องการส่วนบุคคล ที่มีความสัมพันธ์ต่อผลที่ได้รับจากงานการประสบความสำเร็จตามบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล
  2. ทฤษฎีการอ้างอิงกลุ่ม ความพึงพอใจในงานมีความสัมพันธ์ในทางบวก กับคุณลักษณะของงาน ตามความปรารถนาของกลุ่ม ซึ่งสมาชิกให้กลุ่มเป็นแนวทางในการประเมินผลการทำงานดังนั้นสรุปได้ว่าความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในด้านบวก และการปฏิบัติงานได้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ หรืออาจเกี่ยวข้องกับการทำงาน ซึ่งอาจจะเกิดจากการตอบสนองของผู้บังคับบัญชา มีที่มีการตอบแทนการทำงาน ที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
  1. การวัดความพึงพอใจ
    สุวดี ประสงค์ดี (2554, น.42) กล่าวว่า วิธีการวัดความพึงพอใจกระทำได้หลายวิธี ได้แก่ การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตจาก กิริยาท่าทาง สีหน้า การพูด และความถี่ของการมาขอรับบริการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ความสะดวก ความเหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายของการวัด เครื่องมือที่ใช้วัด จึงได้แก่ แบบสอบถามมาตรประมาณค่า อาจจะเป็นการวัดแบบวิเคร์ท มาตรวัดแบบเทอร์สโตน มาตรวัดแบบออสกูด แบบบันทึกสังเกต และการสัมภาษณ์เป็นต้น
  1. เกณฑ์การวัดความพึงพอใจ
    สุวดี ประสงค์ดี (2554, น.40) ได้ให้เกณฑ์การวัด แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับโดยให้คะแนนตามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ดังนี้
    5 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด
    4 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก
    3 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง
    2 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย
    1 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุดเกณฑ์การประเมินความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่า เพื่อหาความเหมาะสมของความพึงพอใจ มีเกณฑ์ดังนี้
    คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 4.50  – 5.00      ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
    คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.50 – 4.49       ความพึงพอใจในระดับมาก
    คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 2.50 – 3.49       ความพึงพอใจในระดับปานกลาง
    คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.50 – 2.49       ความพึงพอใจในระดับน้อย
    คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.00 – 1.49        ความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด

 

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปงานงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้

พงค์พันธ์ ปิจดี (2553, บทคัดย่อ) การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5อี สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยสรุปได้ว่า  นักเรียนที่ได้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5อี สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความสามารถในการแก้ปัญหาอยู่ในระดับดี นักเรียนแก้ปัญหาได้ถูกต้อง ใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย และใช้ยุทธวิธีเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบ

อารียา กาซา (2554, บทคัดย่อ) การพัฒนาชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยสรุปได้ว่า  ชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าประสิทธิภาพ 77.34 /76.40 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75  มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E อยู่ในระดับมาก ( X =4.22, S = 0.80)

พีชาณิกา เพชรสังข์ (2555, บทคัดย่อ) ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 5E ร่วมกับคาถามปลายเปิดที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2  ผลการวิจัยสรุปได้ว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 5E ร่วมกับคำถามปลายเปิดมีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 5E ร่วมกับคำถามปลายเปิดมีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนกลุ่มทดลองมีพัฒนาการดีขึ้น

สะรียา  สะและหมัด (2555, บทคัดย่อ) ผลการใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เรื่องเศษส่วน  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยสรุปได้ว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เรื่องเศษส่วน  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80  ที่ระดับ 80.90/80  และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์  ด้วยกิจกรรม  โดยการจัดกิจกรรมรู้แบบ 5E เรื่องเศษส่วน  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

ธนปัตย์ ปัทมโกมล (2556, บทคัดย่อ) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์   เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติโดยการใช้วิธีสอนแบบ 5E ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนจากวิธีสอนแบบ 5E สูงกว่าของนักเรียนที่เรียนจากวิธีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนจากวิธีสอนแบบ 5E สูงกว่าของนักเรียนที่เรียนจากวิธีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05

ฟารีดา กุลโรจนสิริ (2557, บทคัดย่อ) การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเซต โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเซต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 83.23/81.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80  มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเซต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4        ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเซต โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด

การวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์  เรื่องการเปรียบเทียบ-            จำนวนเต็มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดยการจัดกิจกรรมเรียนการเรียนการสอนแบบ 5E การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
  2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  3. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือและหาคุณภาพ
  4. การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูล
  5. ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล
  6. สถิติที่ใช้ในการศึกษา

 

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้  ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร  เขต 1 จำนวน 4 ห้อง  รวมนักเรียนทั้งหมด 160 คน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้  ได้แก่  นักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ค่อนข้างต่ำกว่าในระดับสายชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1

 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีดังนี้

  1. แผนการจัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 8 คาบ คาบละ 50 นาที
  2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 ข้อ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก
  3. แบบสอบถามพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5Eจำนวน 10 ข้อ

 

ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือและหาคุณภาพ

ผู้วิจัยได้มีการใช้เครื่องมือและหาคุณภาพ  ตามขั้นตอนดังนี้

    1. ขั้นตอนสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E
      1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และคู่มือการสอนคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงศึกษาธิการและหนังสือที่เกี่ยวข้อง
      1.2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการ-สอนแบบ 5E
      1.3 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน เพื่อกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนรู้
      1.4 แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ โดยมีแผนการจัดการจัดการเรียนรู้ 8 แผน คือ

      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ทบทวนเรื่องเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องการเปรียบเทียบเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องการบวกเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการลบเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องการคูณเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่องการหารเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่องโจทย์ปัญหาเศษส่วน 1 คาบ
      แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 ทดสอบหลังเรียน 1 คาบ
      รวม  คาบสอน 8 คาบ

      1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E ที่ผู้วิจัยสร้าง เสนอต่ออาจารย์นิเทศก์ และครูพี่เลี้ยง เพื่อการตรวจสอบความเหมาะสม และความถูกต้องของจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ และระยะเวลาที่ใช้สอนตลอดจนการใช้ภาษาที่ถูกต้อง
      1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์นิเทศก์ที่แก้ไขแล้ว ไปเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือจำนวน 3 ท่าน เพื่อการตรวจสอบ ตามความเหมาะสม โดยให้คะแนนตามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์ตัดสินดังนี้
      แบบมาตราส่วนประมาณค่า ของลิเคิอร์ท (Rating Scale) ตาม สุวดี ประสงค์ดี (2554, น.40) ดังนี้
      5  หมายถึง  ระดับความเหมาะสมมากที่สุด
      4  หมายถึง  ระดับความเหมาะสมมาก
      3  หมายถึง  ระดับความเหมาะสมปานกลาง
      2  หมายถึง  ระดับความเหมาะสมน้อย
      1  หมายถึง  ระดับความเหมาะสมน้อยที่สุด

      1.7 นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์เกณฑ์หาความเหมาะสม แล้วเทียบกับเกณฑ์การประเมินในครั้งนี้ ได้ตั้งเกณฑ์ตาม สุวดี  ประสงค์ดี (2554, น.40) ดังนี้

      คะแนนเฉลี่ยสูงกว่า 4.50 – 5.00             ระดับความเหมาะสมมากที่สุด
      คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.50 – 4.49            ระดับความเหมาะสมมาก
      คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 2.50 – 3.49            ระดับความเหมาะสมปานกลาง
      คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.50 – 2.49             ระดับความเหมาะสมน้อย
      คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.00 – 1.50              ระดับความเหมาะสมน้อยที่สุด

      1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการประเมินแล้ว นำไปใช้กับกลุ่มนักเรี

    2. ยนที่ต้องการวิจัย

ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วน แบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยมีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้

      • 2.1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู แบบเรียน และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลการเรียน
      • 2.2 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
      • 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ เรื่องเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ โดยให้สอดคล้องกับตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วนำไปให้อาจารย์นิเทศก์ และครูพี่เลี้ยงตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม
      • 2.4 นำแบบทดสอบที่อาจารย์นิเทศตรวจ แล้วนำไปแก้ไข
      • 2.5 นำแบบทดสอบที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วต่อเสนอผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อสอบ กับจุดประสงค์การเรียนรู้ มาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC :_Index of Item Objective Congruence) ตามประสาท เนืองเฉลิม (2556, น.190) โดยมีเกณฑ์ไว้ดังนี้

+1        เมื่อแน่ใจว่าสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
-1        เมื่อแน่ใจว่าไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
0        เมื่อไม่แน่ใจว่าสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้

      • 2.6 คัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC :_Index of Item Objective Congruence) ที่มีดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป แล้วจะคัดเลือกข้อสอบเพียง 20 ข้อ เพื่อนำไปใช้ในการวิจัยกับนักเรียยน

3. ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

3.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิดทฤษฎี และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบ/วิธีการจัดการเรียนรู้ที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ องค์ความรู้เกี่ยวกับความพึงพอใจในการเรียนรู้ และกระบวนการสร้างแบบวัด
3.2 สร้างต้นฉบับแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยจัดทำเป็นแบบการประเมินที่มีค่า 5 ระดับโดยให้คะแนนตามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์ตัดสิน สุวดี ประสงค์ดี (2554, น.40) ดังนี้

แบบมาตราส่วนประมาณค่า
5  หมายถึง  ระดับความพึงพอใจมากที่สุด
4  หมายถึง  ระดับความพึงพอใจมาก
3  หมายถึง  ระดับความพึงพอใจปานกลาง
2  หมายถึง  ระดับความพึงพอใจน้อย
1  หมายถึง  ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด

แล้วเสนอต่ออาจารย์นิเทศก์ และครูพี่เลี้ยง ตรวจสอบด้านคุณภาพโดยพิจารณาความถูกต้องชัดเจน ความเหมาะสม และความสอดคล้องของข้อคำถามแต่ละข้อ แล้วนำผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนมาวิเคราะห์เกณฑ์ แล้วเทียบกับเกณฑ์การประเมินในครั้งนี้ ได้ตั้งเกณฑ์ไว้ตาม สุวดี ประสงค์ดี (2554, น.40) ดังนี้

คะแนนเฉลี่ยระหว่าง  4.50 – 5.00      ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง  3.50 – 4.49      ความพึงพอใจในระดับมาก
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง  2.50 – 3.49      ความพึงพอใจในระดับปานกลาง
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง  1.50 – 2.49       ความพึงพอใจในระดับน้อย
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง  1.00 – 1.49       ความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด

3.3 นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E มาปรับปรุงแก้ไข เตรียมหาความเชื่อมั่น และความพึงพอใจ
3.4 หาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยหาได้จากกลุ่มนักเรียนที่ใช้ในการวิจัย โดยผ่านการเรียนมาแล้ว 2 คาบ

สูตรการหาความเชื่อมั่นของครอนบัค ตามของ ประสาท เนืองเฉลิม (2554, น.198)

เกณฑ์การแปลผล ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมืออยู่ระหว่าง 0.00 – 1.00 ยิ่งใกล้ 1.00 ยิ่งมีความเชื่อมั่นสูง
เกณฑ์การแปลผลความเชื่อมั่น ตามของ ประสาท เนืองเฉลิม (2554, น.198) มีดังนี้
0.00 – 0.20 ความเชื่อมั่นต่ำมาก / ไม่มีเลย
0.21 – 0.40 ความเชื่อมั่นต่ำ
0.41 – 0.70 ความเชื่อมั่นปานกลาง
0.71 – 1.00 ความเชื่อมั่นสูง

จากการคำนวณหาความเชื่อมั่นได้ค่าความเชื่อมั่น .88 นั่นคือ ความเชื่อมั่นสูง

การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูล 

การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  1. ขอความร่วมมือกับโรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร จ.กรุงเทพมหานคร ที่ทำการทดลองสอนซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยจะดำเนินการทดลองสอนด้วยตนเอง ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
  2. ชี้แจงให้กลุ่มตัวอย่างทราบถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
  3. ทดสอบกลุ่มตัวอย่างก่อนการเรียน (Pre – test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน จำนวนข้อสอบ 20 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที
  4. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน รวมทั้งหมด 8 คาบ คาบละ 50 นาที
  5. ดำเนินการหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยหาได้จากกลุ่มนักเรียนที่ใช้ในการวิจัย โดยผ่านการเรียนมาแล้ว 2 คาบ
  6. หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E แล้วจะทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ด้วยแบบทดสอบชุดเดียวกับก่อนเรียน โดยใช้เวลาในการทำแบบทดสอบ 50 นาที และบันทึกผลการทดสอบเป็นคะแนนหลังเรียน
  7. หลังจากที่นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนแล้ว ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้รับหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยใช้แบบสอบถามชุดเดิมกับการหาค่าความเชื่อมั่น
  8. บันทึกผลความพึงพอใจ
  9. เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติเพื่อตรวจสอบสมมติฐานต่อไป

ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล

  1. หาคุณภาพของเครื่องมือโดยใช้สูตร ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S), ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อสอบ (IOC), ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความพึงพอใจ
  2. หาค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนการทดสอบก่อนเรียน
  3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตร สถิติทดสอบสมมติฐาน (t-test for dependent sample)
  4. วิเคราะห์ความพึงพอใจของแบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยใช้สูตร ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

สถิติที่ใช้ในการวิจัย

สถิติที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีดังต่อไปนี้

1. สถิติพื้นฐาน
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต  (Mean)  (บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, 2553, น.129)

2. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
การหาความเที่ยงตรงของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้ค่าดัชนีสอดคล้อง  (ประสาท เนืองเฉลิม, 2556, น.190)

3. สถิติที่ใช้ในการหาความเชื่อมั่น
สูตรการหาความเชื่อมั่นของครอนบัค  (ประสาท เนืองเฉลิม, 2556, น.198)

การรายงานผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้

  1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
  2. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
  3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้วิจัยได้กำหนดใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้

การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล

การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอผลการวิเคราะห์ดังนี้

ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

 

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผลการวิเคราะห์ปรากฏในตารางที่ 3 ดังนี้

ตารางที่ แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1

กลุ่มตัวอย่าง N df คะแนนเต็ม ก่อนเรียน หลังเรียน t
นักเรียน 30 29 20 7.20 15.24 18.56 *

* ค่า t มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t.05,29 = 1.6991)

จากตารางที่ 2 พบว่าการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.20 คะแนน และ 15.23 คะแนนตามลำดับ และ ค่า t คำนวณ มีค่าเท่ากับ 18.56 และ ค่า t ตาราง มีค่าเท่ากับ 1.6991 ซึ่งพบว่า ค่า t คำนวณ มีค่ามากกว่าค่า t ตาราง จึงสามารถสรุปได้ว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

 

ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

ตารางที่ 3 แสดงผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) ระดับ และอันดับความพึงพอใจของนักเรียน

กิจกรรมการเรียนการสอน N = 30 ระดับ อันดับ
1. ตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิด 4.73 0.45 มากที่สุด 1
2. สร้างความสนใจ 4.56 0.72 มากที่สุด 2
3. สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่าง นักเรียนกับ
นักเรียน
4.16 0.79 มาก 7
4. ให้เวลานักเรียนในการคิดข้อสงสัย ตลอดจนปัญหา
ต่าง ๆ
4.13 0.69 มาก 10

 

ตารางที่ 3 (ต่อ)

กิจกรรมการเรียนการสอน N = 30 ระดับ อันดับ
5. ส่งเสริมให้นักเรียนอธิบายแนวคิด หรือให้คำจำกัด
ความด้วยคำพูดของนักเรียนเอง
4.30 0.53 มาก 5
6. ให้นักเรียนแสดงหลักฐาน ให้เหตุผลและอธิบายให้
กระจ่าง
4.16 0.74 มาก 9
7. ส่งเสริมให้นักเรียนนำสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ไป
ประยุกต์ใช้หรือขยายความรู้และทักษะใน
สถานการณ์ใหม่
4.23 0.77 มาก 6
8. ให้นักเรียนอธิบายอย่างมีความหมาย 4.16 0.79 มาก 8
9.ให้นักเรียนประเมินการเรียนรู้และทักษะ
กระบวนการกลุ่ม
4.36 0.66 มาก 3
10. ถามคำถามปลายเปิด 4.33 0.54 มาก 4
เฉลี่ย 4.31 0.70 มาก

 

จากตารางที่ 3 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อแล้วเรียงอันดับจากมากไปน้อยได้ 3 อันดับแรก ได้แก่ ตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิด สร้างความสนใจ และให้นักเรียนประเมินการเรียนรู้ และทักษะกระบวนการกลุ่มตามลำดับ

การสรุปผลการวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ประกอบด้วยสาระสำคัญดังนี้

  1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
  3. เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล
  4. การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูล
  5. สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล
  6. อภิปรายผล
  7. ข้อเสนอแนะ

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ดังนี้

  1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ก่อนเรียนและหลังเรียน
  2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E

 

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา  กรุงเทพมหานคร  เขต 1 จำนวน 4 ห้อง  รวมนักเรียนทั้งหมด 160 คน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย

นักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ค่อนข้างต่ำกว่าในระดับสายชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1

 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

  1. แผนการจัดการจัดการเรียนรู้แบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 8 คาบ คาบละ 50 นาที
  2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 20 ข้อ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก
  3. แบบสอบถามพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5Eจำนวน 10 ข้อ

การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูล

การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  1. ขอความร่วมมือกับโรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร จ.กรุงเทพมหานคร ที่ทำการทดลองสอนซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยจะดำเนินการทดลองสอนด้วยตนเอง ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
  2. ชี้แจงให้กลุ่มตัวอย่างทราบถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
  3. ทดสอบกลุ่มตัวอย่างก่อนการเรียน (Pre – test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน จำนวนข้อสอบ 20 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที
  4. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน รวมทั้งหมด 8 คาบ คาบละ 50 นาที
  5. ดำเนินการหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยหาได้จากกลุ่มนักเรียนที่ใช้ในการวิจัย โดยผ่านการเรียนมาแล้ว 2 คาบ
  6. หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E แล้วจะทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ด้วยแบบทดสอบชุดเดียวกับก่อนเรียน โดยใช้เวลาในการทำแบบทดสอบ 50 นาที และบันทึกผลการทดสอบเป็นคะแนนหลังเรียน
  7. หลังจากที่นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนแล้ว ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้รับหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยใช้แบบสอบถามชุดเดิมกับการหาค่าความเชื่อมั่น
  8. บันทึกผลความพึงพอใจ
  9. เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติเพื่อตรวจสอบสมมติฐานต่อไป

 สรุปผลการวิจัย

  1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  2. ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยรวมอยู่ในระดับมาก

 อภิปรายผล

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษา พบประเด็นที่จะอภิปรายได้ดังนี้

  1. ผลการศึกษาของคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยคะแนนของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเป็น 20 และคะแนนของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเป็น 15.23 ทั้งนี้เนื่องจาก การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ที่จัดขึ้นนั้น ได้จัดตามขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ ขั้นสร้างความสนใจ ขั้นสำรวจและค้นหา ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ขั้นขยายความรู้ และขั้นประเมินผล ทำให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาตนเอง และมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็น และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E มีประโยชน์ต่อครูผู้สอน ในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่มีการเปลี่ยนวิธีการสอน ส่งผลให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น และทำให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาโดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้นักเรียนมีคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน ดังที่ พงค์พันธ์ ปิจดี (2553, บทคัดย่อ) ได้กล่าวว่า การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E มีความสามารถแก้ปัญหาอยู่ในระดับดี และถูกต้อง รวมถึงใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
  2. สอดคล้องกับงานวิจัยของ อารียา กาซา (2554, บทคัดย่อ) การพัฒนาชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ 5E พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สะรียา สะและหมัด (2555, บทคัดย่อ) ผลการใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
  3. ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E โดยรวมอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E ยังช่วยให้นักเรียนได้ทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ออกความคิดเห็น มีส่วนร่วมกันทำงานภายในกลุ่ม ทำให้นักเรียนมีความเข้าใจด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับแผนการจัดการเรียนการสอนได้ระบุจุดประสงค์ไว้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ดังที่ พีชาณิกา เพชรสังข์ (2555, บทคัดย่อ) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ 5E สามารถให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ และมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยนักเรียนจะมีการคิดเป็นลำดับขั้นตอน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ฟารีดา กุลโรจนสิริ (2557, บทคัดย่อ) ได้ทำการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเซต โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเซต โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด

 ข้อเสนอแนะ

  1. ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย
    1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ครูผู้สอนควรที่จะศึกษาความหมาย และขั้นตอนของการจัดกิจกรรมทั้ง 5 ขั้น อย่างละเอียด เพื่อง่ายต่อการสอน
    1.2ในการทำใบงานของนักเรียนแต่ละคาบเรียน ครูผู้สอนควรที่จะเฉลย ใบงานก่อนที่จะหมดคาบเรียน
  1. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
    2.1 ควรจัดการเรียนการสอนแบบ 5E ควบคู่ไปกับนวัตกรรมการสอนแบบอื่น เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
    2.2 ควรสร้างใบงานให้นักเรียนเพิ่มขึ้นในส่วนของการเชื่อมโยงความคิด             หรือการบูรณาการกับวิชาอื่น

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

บทที่  4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

      การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ  1) เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว  วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน

      ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้
1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
2. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

      ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้สัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้

การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล

      การศึกษาวิจัยนี้ผู้วิจัยขอเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

      ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

      ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล  ดังนี้
1. ผลการหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะ E1 แบบทดสอบหลังเรียน E2 เรื่อง การแก้สมการ  ปรากฏดังตารางที่ 2
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ปรากฏดังตารางที่ 3
      ตาราง 1  ผลการหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ของแบบฝึกทักษะ (E1) แบบทดสอบหลังเรียน (E2)  เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้น
ตัวแปรเดียว

จากตารางที่ 1 พบว่าประสิทธิภาพกระบวนการของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ (E1)  เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 39.61 คิดเป็นร้อยละ 79.22  และประสิทธิภาพขอแบบทดสอบหลังเรียน เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว (E2)  มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.13 คิดเป็นร้อยละ 80.65  ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 60/60

      ตาราง 2   แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ

      จากตารางที่ 2 พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง  การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียน 7.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 2.07 คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียน เท่ากับ 16.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.27 เปรียบเทียบค่า  t  คำนวณ  กับค่า  t  จากตาราง ค่า  t  ที่คำนวณได้เท่ากับ  13.56  กับค่า  t  จากตารางเท่ากับ 1.7171 ค่า  t  ที่คำนวณได้ มากกว่า ค่า  t  จากตาราง  สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย

บทที่  3
วิธีดำเนินงานวิจัย

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินและเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาค้นคว้า โดยมีขั้นตอนดำเนินงานดังนี้

  1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
  2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  3. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  4. การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูล
  5. การวิเคราะห์ข้อมูล
  6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา เขตราษฎร์บูรณะ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำนวน 4 ห้องเรียน รวมจำนวนทั้งหมด  91 คน

กลุ่มตัวอย่าง

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  โรงเรียนแจงร้อนวิทยา เขตราษฎร์บูรณะ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 โดยใช้  วิธีการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 23 คนเนื่องจากผลการเรียนของนักเรียนค่อยข้างต่ำกว่าเกณฑ์ในภาคเรียนที่ 1

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย

เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย อยู่ในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  ปีการศึกษา 2558 ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้

– สมบัติของการเท่ากัน
– การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
– โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย   

  1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ เวลา 5 คาบ
  2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง แก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบปรนัย  4  ตัวเลือก
    จำนวน  20  ข้อ
  3. แบบฝึกทักษะ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 ชุด

การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

  1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้น
    ตัวแปรเดียว
    1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช  2551 และหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
    1.2 ศึกษาเนื้อหาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
    ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
    1.3 วิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ดังนี้
    สาระที่ 4   พีชคณิต
    มาตรฐาน ค 4.2  ใช้นิพจน์ สมการ  อสมการ กราฟและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์อื่นๆ แทนสถานการณ์ต่างๆ  ตลอดจนแปลความหมายและนำไปใช้แก้ปัญหาได้สาระที่ 6 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
    มาตรฐาน ค 6.1  มีความสามารถในการแก้ปัญหา  การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ  การเชื่อมโยงความรู้ ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และเชื่อมโยง คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ  และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วิชา คณิตศาสตร์จำนวน 5 แผนขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน

    1. ทบทวนความรู้เดิม
    2. แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้

     

    ขั้นที่ 2 ขั้นสอนเนื้อหาใหม่

    1. ครูนำเสนอเนื้อหาและนำเสนอโจทย์
    2. นักเรียนร่วมกันอ่านวิเคราะห์โจทย์

    ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา

    นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่ครูสร้างขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่เรียน

    ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผล

    1. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปสาระสำคัญการเรียนรู้
    2. ครูประเมินผลการเรียนรู้จาก การตรวจแบบฝึกหัด และแบบทดสอบ ประจำหน่วย

    1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่ออาจารย์นิเทศก์และครูพี่เลี้ยงพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง และประเมินความเหมาะสมเกี่ยวกับเนื้อหา สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไปใช้
    1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อประเมินตรวจสอบความเหมาะสมของแผน เพื่อให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และนำมาปรับปรุงแก้ไข ตามเกณฑ์การประเมิน 5 ระดับ จำนวนข้อคำถาม 12 ข้อ
    กำหนดเกณฑ์การประเมินและความหมายดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553 น. 102)

    ระดับเกณฑ์การประเมิน  5 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม มากที่สุด
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  4 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม มาก
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  3 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม ปานกลาง
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  2 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม น้อย
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  1 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม น้อยที่สุด

    ผู้วิจัยนำแบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ มาวิเคราะห์ระดับความเหมาะสมโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย  ในการวิเคราะห์จะใช้ค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553 น. 103)
    เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย

    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 – 5.00 หมายความว่า เหมาะสมมากที่สุด

    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.51 – 4. 50 หมายความว่า เหมาะสมมาก

    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.51 – 3. 50 หมายความว่า เหมาะสมปานกลาง

    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.51 – 2. 50 หมายความว่า เหมาะสมน้อย

    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.01 – 1.50 หมายความว่า เหมาะสมน้อยที่สุด

    1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวนำไปสอนเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนานักเรียน

  2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา
    2.1 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
    2.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เป็นแบบทดสอบปรนัย จำนวน 30 ข้อ 4 ตัวเลือก
    2.3 นำแบบทดสอบเสนอต่ออาจารย์นิเทศก์และครูพี่เลี้ยงตรวจสอบพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง และประเมินความเหมาะสมเกี่ยวกับเนื้อหาแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไปใช้
    2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และความสอดคล้องของแบบทดสอบรายข้อกับจุดประสงค์การเรียนรู้มาตรฐานการรู้/ตัวชี้วัด โดยกำหนดเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ (ราตรี  นันทสุคนธ์, 2555, น. 227)
    +1  หมายถึง แน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้/ตัวชี้วัด0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้/ตัวชี้วัด-1 หมายถึง แน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้/ตัวชี้วัด2.5 คำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์  เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้สูตร IOC ตามของ ราตรี  นันทสุคนธ์ (2555, น.227) แล้วคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไปจำนวน 20 ข้อ เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยต่อไป
  3. แบบฝึกทักษะทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแจงร้อนวิทยา
    3.1 ศึกษาเนื้อหา ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้เรื่องการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จากหนังสือเรียนและคู่มือครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  เล่ม 2 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
    3.2 สร้างแบบฝึกทักษะโดยให้สอดคล้องกับเนื้อหา เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จำนวน 5 ชุด
    3.3 นำแบบฝึกทักษะเสนอต่ออาจารย์นิเทศก์และครูพี่เลี้ยงตรวจสอบพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง และประเมินความเหมาะสมเกี่ยวกับเนื้อหาแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไปใช้
    3.4 นำแบบฝึกทักษะไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสม เพื่อให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยมีเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553 น. 102)
    กำหนดเกณฑ์การประเมินและความหมายดังนี้
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  5 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม มากที่สุด
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  4 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม มาก
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  3 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม ปานกลาง
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  2 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม น้อย
    ระดับเกณฑ์การประเมิน  1 หมายถึง มีความสอดคล้อง/ครอบคลุม/เหมาะสม น้อยที่สุดผู้วิจัยนำแบบประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะ ที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ มาวิเคราะห์ระดับความเหมาะสมโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ในการวิเคราะห์จะใช้ค่าเฉลี่ยเทียบกับเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553 , น. 103)
    เกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ย
    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 – 5.00 หมายความว่า เหมาะสมมากที่สุด
    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.51 – 4. 50 หมายความว่า เหมาะสมมาก
    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.51 – 3. 50 หมายความว่า เหมาะสมปานกลาง
    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.51 – 2. 50 หมายความว่า เหมาะสมน้อย
    ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.01 – 1.50 หมายความว่า เหมาะสมน้อยที่สุด3.5 แบบฝึกทักษะที่สมบูรณ์ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวจึงมีลักษณะเพื่อฝึกให้ผู้เรียนรู้จักรูปแบบของสมการและสามารถใช้สมบัติการเท่ากันมาแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวได้ โดยจะเริ่มจากง่ายไปถึงยาก เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวอย่างเป็นระบบและสามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้
    3.6 นำแบบฝึกทักษะเรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2   จำนวน 23 คน

การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูล

      ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอน ดังนี้

  1. ก่อนการทดลองให้นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน
  2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 6 แผนโดยให้นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โดยใช้เวลาสอน 5 ชั่วโมง
  3. นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ทำแบบทดสอบหลังเรียน เมื่อสิ้นสุดการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 5 แผน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน ไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง
  4. นำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป

การวิเคราะห์ข้อมูล

      ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินการสอดคล้องกับลักษณะของเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ตามขั้นตอนดังนี้

  1. หาคุณภาพเครื่องมือโดยการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความสอดคล้อง
  2. หาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย() และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S)  ของคะแนนที่ได้จำกกการทดสอบก่อน/หลังเรียน  
  3. หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะโดยใช้สูตร E1/E2 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 60/60
  4. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ โดยใช้สถิติ t-test Dependent

สถิติที่ใช้ในการวิจัย

      1. สถิติพื้นฐาน
             1.1 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) โดยคำนวณจากสูตร (ราตรี นันทสุคนธ์, 2555, น. 191)

        1.2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Division) คำนวณจากสูตร (ราตรี นันทสุคนธ์, 2555, น. 201)

     

    1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์เครื่องมือ
      2.1 การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง.(Index.of.congruence.:.IOC).ระหว่างข้อสอบ.กับ จุดประสงค์การเรียนรู้ตามวิธีการของโรวิเนลลีและแฮมเบิลตัน.(Rovinelle.Hambleton).เป็นรายข้อ โดยคำนวณจากสูตร (ราตรี  นันทสุคนธ์, 2555, น.227) ดังนี้

      2.2 หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ใช้สูตร E1/E2  (บุญชม  ศรีสะอาด, 2553, น. 154) เพื่อศึกษาว่าแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่องการแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว.มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์.60/60.ดังนี้
      1) หาประสิทธิภาพของกระบวนการแบบฝึกทักษะ

      2) หาประสิทธิภาพของผลสัมฤทธิ์แบบทดสอบหลังเรียน
    2. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน
      ใช้สถิติ t-test Dependent เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว (บุญชม ศรีสะอาด, 2553, น. 148)