Category Archives: ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผัก ไม้ผล ความหลากหลายทางชีวภาพ

ดอกไม้พวกใบต่างดอก

ดอกไม้พวกใบต่างดอก

ความนำ ดอกไม้ที่สมบูรณ์(complete flower)ตามหลักพฤกษศาสตร์จะประกอบด้วยวงดอก 4 วง คือ กลีบเลี้ยง(sepal) กลีบดอก(petal) เกสรผู้(stamen) และเกสรเมีย(pistil) เมื่อถึงเวลาดอกไม้บานส่วนของกลีบดอกก็จะอวดความสวยงามด้วยสีสันตามพันธุกรรมของดอกไม้แต่ละชนิดซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่มีดอกไม้หลายชนิดที่เมื่อบานแล้วกลับมีส่วนของใบมาทำหน้าที่แทนกลีบดอกเรียกว่าใบประดับหรือ“bract” มีสีสันสวยงามจนผู้พบเห็นเข้าใจว่าเป็นกลีบดอก ครูอาจารย์ที่สอนรายวิชาเกี่ยวกับชีววิทยาหรือเกษตรศาสตร์มักนำมาเน้นการเรียนการสอนและออกข้อสอบ จึงขอรวบรวมดอกไม้เหล่านั้นมาให้เห็นรายละเอียดอย่างชัดเจนดังนี้

1. เฟื่องฟ้า สีสันสวยงามของเฟื่องฟ้าหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ส้ม ชมพู หรือเหลือบสีปนกันที่มองเห็นแต่ไกลนั้นคือใบประดับ หากเด็ดดอกเฟื่องฟ้ามาสักหนึ่งดอกจะเห็นว่ามีใบประดับ3ใบประกอบกัน มีดอกจริงติดอยู่ที่โคนของใบประดับทั้ง3ใบ ทำให้ดอกจริงของเฟื่องฟ้ามี3ดอกซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดสีขาวเท่าก้านไม้ขีดไฟที่ส่วนปลายแผ่ออกเป็นสีขาวนั่นคือ“ดอกจริง”ของเฟื่องฟ้า ซึ่งไม่ได้มีความเด่นสะดุดตาเลย ดังภาพต่อไปนี้


2. ดอนญ่า สีสันสวยงามของดอนญ่าหลายสี เช่น แดง ขาว ชมพู ปูน หรือชมพูขลิบแดง ที่มองเห็นแต่ไกลนั้นคือใบประดับ ตำราหลายเล่มเรียกดอนญ่า(Dona)ว่า “ใบต่างดอก” หากเด็ดดอกดอนญ่ามาสักหนึ่งดอกจะเห็นว่าดอกจริงของเฟื่องฟ้ามีลักษณะเป็นหลอดสีขาวเท่าก้านไม้ขีดไฟที่ส่วนปลายแผ่ออกเป็นสีเหลืองนั่นคือ “ดอกจริง”ของดอนญ่า ซึ่งไม่ได้มีความเด่นสะดุดตาเลย ดังภาพต่อไปนี้


3. คริสต์มาส สีสันสวยงามของคริสต์มาสมีหลายสี เช่น แดง ชมพู สีครีม หรือด่างเหลือบสี ที่มองเห็นแต่ไกลนั้นคือใบประดับ หากเพ่งดูดอกคริสต์มาสใกล้ๆจะเห็นว่าดอกจริงของคริสต์มาสมีลักษณะเป็นแผ่นสีเหลืองเป็นมันนูนขึ้นมาเป็น5แฉก มีเมือกเหนียวๆฉาบอยู่ซึ่ง“ดอกจริง”ของคริสต์มาสไม่ได้มีความสวยงามสะดุดตาเลย ดังภาพต่อไปนี้


4. โป๊ยเซียน สีสันสวยงามของโป๊ยเซียนมีหลายสี เช่น แดง ชมพู สีครีม ขาว เหลือง หรือด่างเหลือบสีต่างๆ ที่มองเห็นแต่ไกลนั้นคือใบประดับซึ่งอาจจะมีสองชั้นหรือมากกว่า หากเพ่งดูดอกโป๊ยเซียนใกล้ๆจะเห็นว่าดอกจริงของโป๊ยเซียนมีลักษณะเป็นแผ่นสีเหลืองเป็นมันนูนขึ้นมาเป็น5แฉก มีเมือกเหนียวๆฉาบอยู่ซึ่ง“ดอกจริง”ของโป๊ยเซียนไม่ได้มีความสวยงามสะดุดตาเลย หากสังเกตดอกที่แก่แล้วจะพบผลของโป๊ยเซียนเป็น3พู แต่ละพูมีเมล็ดเล็กนำมาเพาะกล้าได้ ดังภาพต่อไปนี้


5. หน้าวัว สีสันสวยงามที่มองเห็นแต่ไกลนั้นคือใบประดับของหน้าวัวซึ่งมีหลายสี เช่น แดง ชมพู สีครีม ขาว เขียว หรือด่างเหลือบสีต่างๆ ส่วนของใบประดับของหน้าวัวนั้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า spath ซึ่งมีความมันวาวเป็นร่อง ส่วนดอกจริงของหน้าวัวมีลักษณะเป็นแท่งคล้ายมวนบุหรี่มีขาวหรือสีเหลืองเป็นมันมีปุ่มเล็กๆเรียงเป็นเกลียวอย่างมีระเบียบ ครึ่งล่างเป็นเกสรเพศเมียครึ่งบนเป็นเกสรเพศผู้ มีเมือกเหนียวๆฉาบอยู่ทั้งแท่ง แท่งนี้มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า spadix “ดอกจริง”ของหน้าวัวที่เป็นแท่งนี้ช่วยเสริมความสวยงามให้แก่ใบประดับให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ดอกหน้าวัวที่แก่แล้วจะพบผลของหน้าวัวเป็นเม็ดกลมๆคล้ายพริกไทยเกาะอยู่บนแท่ง spadix แต่ละเม็ดคือ 1 ผล ในแต่ละผลมี1เมล็ดนำมาเพาะกล้าได้ ดังภาพต่อไปนี้


6. เดหลีใบกล้วย เป็นไม้ดอกที่คล้ายกับหน้าวัว ซึ่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกัน ที่ต่างกันคือ เดหลีใบกล้วยมีสารเมทิลยูจีนอล”(methyl eugenol) ซึ่งล่อแมลงวันทองตัวผู้มาตอมในช่วงก่อนเที่ยงวัน

ดังภาพต่อไปนี้

พญามือเหล็ก

ผศ.วิชัย ปทุมชาติพัฒน์


ความนำ พญามือเหล็ก หรือ พญามูลเหล็ก เป็นพืชพื้นเมืองที่พบในป่าหลายท้องถิ่นในประเทศไทย ทั้งภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน ชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่นก็รู้จักกันดีในสรรพคุณทางยา หมอสมุนไพรไทยก็กล่าวถึงกันเสมอจนแพร่หลาย ได้รับการยกย่องว่าเป็น “มหัศจรรย์แห่งสมุนไพรไทย” ทั้งนี้เพราะได้ผลดีมากเมื่อนำมารักษาให้ถูกโรค ที่นำบทความทางวิชาการเรื่องนี้มาเผยแพร่ก็เนื่องจากน้อยคนนักที่จะรู้จักหน้าตาของ พญามือเหล็ก หรือ พญามูลเหล็ก ต้นนี้ ภาพสวยงามและชัดเจนเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เข้ามาอ่านได้รู้จักพืชที่มีคุณค่าของไทยต้นนี้

พญามือเหล็ก

ชื่อสามัญ Saintignatus Bean

ชื่อวิทยาศาสตร์ Strychnos roborans A.W. Hill., S. lucide R. Br.

ชื่ออื่น   พญามูลเหล็ก ย่ามือเหล็ก กะพังอาด เสี้ยวดูก

ชื่อวงศ์ STRYCHNACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์   เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เมื่อเล็กจะมีกิ่งก้านทอดยาวเหมือนไม้พุ่มรอเลื้อย  ลำต้นเปลา เปลือกสีดำ กิ่งก้านแก่จะมีหนาม ไม่มีมือเกาะ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ใบรูปไข่ ปลายใบแหลม  ผิวใบมัน มีเส้นใบโดดเด่น3เส้นออกจากโคนใบเห็นชัดเจน ตามแนวยาวของใบ  ใบกว้าง 3.5-5 ซม. ยาว 5-8 ซม. ดอกขนาดเล็ก มี 5 กลีบสีเขียวอ่อนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ออกเป็นช่อสวยงามตามซอกใบใกล้ปลายยอด ผลกลมผิวเกลี้ยงเป็นมัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 – 2.5 ซม.  สีเขียว เมื่อสุกจะเหลืองแกมส้ม หรือสีน้ำตาลเข้ม มีหลายเมล็ด เมล็ดแบนหนา กว้าง 0.2 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.0 ซม. มีขนเพาะกล้าได้ง่าย

สรรพคุณ มีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายด้าน เช่น แก้ฟกบวม ดับพิษไข้ แก้ไข้เรื้อรัง แก้กระษัยเลือด แก้ไข้จับสั่น แก้คัน แก้รังแค แก้ไข้ แก้พิษดีและโลหิต

อินกับจัน…ต่างกันอย่างไร

อินกับจันต่างกันอย่างไร

ผศ.วิชัย  ปทุมชาติพัฒน์

ความนำ จัน เป็นพืชวงศ์เดียวกับ พลับ ตะโก และมะเกลือ นิยมปลูกในวัด รูปร่างผลจะกลมแป้น เมื่อสุกมีสีเหลือง มีกลิ่นหอมแรง รสชาติหวานอมฝาด มีขายในตลาดสดในชนบทช่วงกลางฤดูฝนในราคาไม่แพง ผู้ใหญ่มักซื้อกลับมาที่บ้านให้ลูกหลานรู้จัก เนื่องจากมีกลิ่นหอมแรง ทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบ  ผลของจันมีสองแบบคือ ผลที่กลมแป้นหรือค่อนข้างแบนคล้ายขนมเปี๊ยะ แบบนี้จะไม่มีเมล็ด เรียกว่า “ลูกจัน ส่วนผลที่กลมคล้ายส้มเขียวหวานนั้น จะมีเมล็ด 2-4 เมล็ด เรียกลูกอิน” เมล็ดขนาดใหญ่นี้ นำไปเพาะกล้าได้ง่าย  สรุปว่า จันกับอินนั้น เป็นชนิดเดียวกัน เกิดบนต้นเดียวกัน แต่มีข้อน่าสังเกตว่า บางปีต้นเดียวกันนี้ออกผลเป็น “ลูกจัน”ทั้งหมด บางปีก็ออกผลเป็น “ลูกอิน” ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาหาสาเหตุต่อไป

จัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros decandra Lour.

ชื่อวงศ์ EBENACEAE

ชื่ออื่นๆ จันอิน จันโอ จันขาว จันลูกหอม อิน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

             ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 20 เมตร ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีดำ กิ่งก้านหนาแน่น เรือนยอดเป็นพุ่มหนา ยอดอ่อนและกิ่งก้านมีขนนุ่มสีน้ำตาลปกคลุม ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปวงรี กว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 6-9 ซม. โคนใบมนสอบแคบ ปลายใบสอบทู่ หรือแหลม ขอบใบเรียบ ใบเรียบเป็นมันวาว สีเขียวเข้ม ใบอ่อนมีขนสีแดงคลุม ดอกแยกเพศคนละดอก อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวผู้เป็นช่อเล็กๆ ช่อหนึ่งมีประมาณ 3 ดอก มีกลิ่นหอม กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโท สีขาวนวล ดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยว กลีบเลี้ยงและกลีบดอกลักษณะคล้ายกับดอกตัวผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า ดอกเพศเมียออกเดี่ยวๆตามกิ่งเล็กๆ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ กลีบเลี้ยงมี 4-5 กลีบ โคนเชื่อม ปลายแยกเป็น 4-5 แฉก กลีบดอกสีน้ำตาลอ่อน เชื่อมกันเป็นรูปคนโท ผลสด แบบเบอร์รี เส้นผ่านศูนย์กลางผล 4-6 ซม. ผลมีสองรูปร่างคือทรงกลมแป้น ผิวเกลี้ยง เรียกว่าจัน หรือลูกจัน และทรงกลมเรียกว่าอินหรือลูกอิน ซึ่งลูกอินจะมีเมล็ด ผลดิบมีสีเขียวเข้มปนเทา ผิวผลเรียบ เมื่อสุกสีเหลือง มีกลิ่นหอมรับประทานได้ กลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ขั้วผล เมล็ดกลมรี สีน้ำตาล ขนาด 1.2 x 2.5 ซม.  มี 2-4 เมล็ดต่อผล

การขยายพันธุ์ เพาะกล้าจากเมล็ดที่ได้จากผลแบบ “ลูกอิน”

ประโยชน์ 1. ผลดิบอ่อน ใช้ต้มจิ้มน้ำพริก เป็นผักได้ หรือทำส้มตำแบบอีสาน โดยสับทั้งเปลือก ใช้แทน

มะละกอ ปรุงรสเปรี้ยวด้วยมะยมและมะเฟือง ผลสุกมีกลิ่นหอม รสหวานรับประทานได้หรือนำไปแปรรูปเป็นของหวาน

2. ผลช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เนื้อไม้มีรสขมปนหวาน เป็นยาบำรุงประสาท แก้ร้อนใน แก้ไข้ ขับพยาธิ แก่นใช้ต้มรวมกับสมุนไพรอื่น ใช้เป็นยาแก้ไข้

3. สรรพคุณทางสมุนไพรคือ แก้ไข บำรุงเลือดลม แกร้อนในกระหายน้ำ บำรุงประสาท แก้เหงื่อตกหนัก ตับปอดพิการ ขับพยาธิ แก้สะอึก แก้ท้องเสีย แก้ไข้กำเดา

ข้อมูลอ้างอิง Phargarden ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


 

จัน


อิน

ส้มซ่า : ส้มดีมีคุณค่า

ส้มซ่า : ส้มดีมีคุณค่า

ผศ.วิชัย ปทุมชาติพัฒน์

ความนำ

ส้มซ่าเป็นพืชตระกูลส้มชนิดหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกดูคล้ายมะกรูด แต่เนื้อในและรสชาติไม่เหมือนมะกรูด  ในยุคปัจจุบันนี้ส้มซ่ากลายเป็นพืชที่มีคนรู้จักน้อย อาจจะคุ้นหูอยู่บ้างแต่น้อยคนจะได้เห็นของจริง ทั้งที่เป็นพืชสมุนไพรคู่บ้านมาตั้งแต่โบราณ ในสมัยก่อนหากบ้านใครมีสวนครัวก็มักจะปลูกต้นส้มซ่าติดสวนไว้ นิยมใช้ผิวและน้ำในผลปรุงรสอาหาร และแต่งกลิ่นอาหาร และใช้ทำเป็นยาสมุนไพรประเภทยาหอม เหตุผลที่ส้มซ่าถูกลืมเลือนไปนั้นก็น่าจะมาจากการนำมาใช้ประโยชน์ไม่หลากหลายอย่างเช่นมะนาวหรือมะกรูด ส่วนขั้นตอนในการปรุงเมนูที่ต้องใช้ส้มซ่านั้นค่อนข้างยุ่งยากไปสำหรับคนในสมัยปัจจุบัน อีกทั้งผลส้มซ่าไม่มีขายทั่วไป จะมีเฉพาะในแหล่งที่มีการทำอาหารสูตรโบราณและแหล่งผลิตยาสมุนไพรเท่านั้น ผลส้มซ่าจึงมีราคาแพงถึงผลละ 15 บาท  ส้มซ่าถูกน้ำมาใช้ในการปรุงอาหารชาววังมาแต่สมัยโบราณหลายชนิด  เช่น หมี่กรอบ ซึ่งมีร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่สมัยราชกาลที่ 5 เป็นเจ้าเก่าดั้งเดิมที่เคยทำถวายพระองค์ที่ตลาดพลู กรุงเทพฯ       รวมทั้งอาหารที่ชื่อว่า “ไส้กรอกปลาแนม” ซึ่งในส่วนของปลาแนมซึ่งมีแป้งและหนังหมูเป็นส่วนผสมหลักนั้นก็ต้องมีส่วนผสมของผิวส้มซ่าหั้นฝอยจึงจะได้รสชาติดั้งเดิม น้ำพริกรสหวานกลมกล่อมสำหรับขนมจีนนั้นก็ต้องมีส่วนผสมของน้ำส้มซ่า และผลส้มซ่าผ่าครึ่งลอยอยู่ในภาชนะบรรจุน้ำพริกนั้น บทความนี้จะไขข้อข้องใจให้ได้รู้จักส้มซ่ากันอย่างแพร่หลายมากขึ้น และส่งเสริมการปลูกเพื่อเสริมรายได้แก่ผู้สนใจด้วย


ส้มซ่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus aurantium var. aurantium

ชื่อวงศ์ RUTACEAE

ชื่ออื่นๆ มะขุน ส้มส่า มะนาวควาย ส้มมะงั่ว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์  ไม้ต้น สูง 3-8 เมตร เปลือกลำต้นสีดำ ทรงพุ่มกลม มีกิ่งก้านมาก กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม กิ่งมีหนามแหลมสั้น ใบเดี่ยว เรียงสลับ มีต่อมน้ำมันเป็นจุดกระจายทั่วใบ ทำให้มีกลิ่นหอม ตัวใบแบ่งเป็นสองส่วน ครึ่งบนเป็นแผ่นกว้างรูปไข่ขนาด 7x10 ซม. ครึ่งล่างแผ่เป็นปีกแคบคล้ายรูปสามเหลี่ยม ขนาดกว้างถึง2x3 ซม. ใบหนา สีเขียวเข้มขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย ดอกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มออกที่ซอกใบ กลีบสีขาวมีกลิ่นหอมแรง กลีบดอก มี 4-5 กลีบ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ผลทรงกลม ขนาดส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7 ซม. มี 10-12 ห้อง เปลือกหนา สีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผิวผลเรียบหรือขรุขระเล็กน้อย  กุ้งหยาบสีส้มเหลืองมีกลิ่นหอม รสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดขนาด 0.4-0.6 มม. จำนวน 25-25 เมล็ดต่อผล

การขยายพันธุ์ เพาะกล้า และตอนกิ่ง

การปลูก ปลูกบนที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ได้แสงแดดไม่น้อยกว่าครึ่งวัน

การใช้ประโยชน์ 1. ผิวผล และน้ำในผล ใช้ประกอบอาหาร

2. เปลือกผล รสปร่าหอมใช้ทำยาหอมแก้ลมวิงเวียนหน้ามืดตาลาย แก้ท้องอืดเฟ้อ

3. น้ำในผล รสเปรี้ยวอมหวาน กัดฟอกเสมหะแก้ไอ ฟอกโลหิต

4. ใบ รักษาโรคผิวหนัง

ความหลากหลายของมันมือเสือพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของพื้นที่บ้านศรีสรรเพชญ์ ตำบลอู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี

ชื่อเรื่อง ความหลากหลายของมันมือเสือพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของพื้นที่บ้านศรีสรรเพชญ์ ตำบลอู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรี

ผู้วิจัย  รองศาสตราจารย์ ดร.วันทนี สว่างอารมณ์, อาจารย์ภัทรภร เอื้อรักสกุล, ดร.ประกรรษวัต จันทร์ประไพ, นางสาว พิมชนก ชื่นบาน, นางสาวณัฐกาญจน์ โชติงาม และ นายคมสันต์ ขุนสิงห์

มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ปี พ.ศ. 2560

บทคัดย่อ

   งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1.ศึกษาความหลากหลายของพืชสกุลมันมือเสือ 2. การทดลองหาสภาวะที่เหมาะสมในการขยายพันธุ์พืชมันมือเสือโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 3.การวิเคราะห์สารสำคัญจากหัวพืชมันมือเสือพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูก   วิธีการศึกษาใช้การสำรวจ สัมภาษณ์และการทดลอง ผลการวิจัยพบว่าพืชมันมือเสือที่เกษตรกรปลูกมี 2 ชนิดคือ Dioscorea esculenta var. esculenta (Roxburgh ex Prain &Burkill) R. Knuth และ var. spinosa (Lour.) Burkill นอกจากนี้มีการปลูกมันสกุล Dioscorea ชนิดอื่นอีก 3 พันธุ์ คือมันนกหรือมันเห็บ (D. bulbifera L.) มันเลือดหรือมันแข้งช้าง (D. alata L.) และมันม่วง (D. alata L.) ในส่วนการขยายพันธุ์มันมือเสือด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในสูตรอาหาร Murashige & Skoog (MS) ที่เติมฮอร์โมนกลุ่มไซโทไคนิน(BAP)ในระดับ 0.0, 0.5, 1.0, 1.5, 2.0 mg/l และ BAP 1.5 mg/l ร่วมกับ NAA 0.5 mg/l และถ่านกัมมันต์ร้อยละ 0.1 พบว่าการขยายพันธุ์มันมือเสือ D. esculenta var. spinosa โดยใช้ BAP 1.50 และ 2.0 mg/l ชักนำให้พืชมีจำนวนยอดมากที่สุดและ BAP 1.5 + NAA  5 mg/l สามารถกระตุ้นความสูงของพืชและส่งเสริมการเจริญของรากได้อย่างรวดเร็วกว่าชุดการทดลองที่ไม่ได้เติมฮอร์โมน NAA ส่วนมันมือเสือชนิด D. esculenta var. esculenta พบว่า BAP 1.0 mg/l สามารถชักนำให้เพิ่มปริมาณยอดได้มากที่สุด และ BAP 1.5 mg/l ชักนำเกิดรากมากที่สุด ส่วน BAP   1.5 mg/l + NAA  0.5 mg/l ชักนำการเกิดแคลลัสได้ดี การวิเคราะห์สารในหัวพืชมีโปรตีนร้อยละ 1.66 ไขมันร้อยละ 0.29 เส้นใยร้อยละ 0.65 แป้งมีปริมาณอะไมโลสร้อยละ 20 อะไมโลเพคตินร้อยละ 19 และสารสำคัญที่มีได้แก่สารเทอร์ปินอยด์ ฟลาโวนอยด์ ซาโปนิน แทนนิน และแอลคาลอยด์

คำสำคัญ: พืชสกุลมันมือเสือ (Dioscorea spp.)  พืชเศรษฐกิจท้องถิ่น (Native Economic Plants)  บ้านศรีสรรเพชญ์ (Baan Sri Sunpetch)


 

Title Diversity of Dioscorea spp. Native Economic Plants in Baan Sri Sunpetch  Tambon U-Thong,  Supan Buri Province

Researchers Associate professor Dr. Wantanee Sawangarom, Pattaraporn U-raksakul, Dr. Pragatsawat Chanprapai, Ms. Phimchanok chuenban, Ms. Natthakarn  Chotngarm,  Mr. Komsan  Khunsing

University Bansomdejchaopraya Rajabhat University

Year 2017

Abstract

   Diversity of Dioscorea spp. the native economic plants in Baan Sri Sunpetch, Tambon U-Thong, Supan Buri Province has objectives to study the varieties of  the Dioscorea species, the experiment of plant propagation by using tissue culture and analysis of chemical composition in tuber of Dioscorea species which the farmer favorite grown.     The study used surveying, interview and experimental method. Then the results revealed that they planted lesser yam in 2 varieties, Dioscorea esculenta var. esculenta (Roxburgh ex Prain& Burkill) R. Knuth and var. spinosa (Lour.) Burkill. Besides these there were planted the other 3 species of Dioscorea ; man nok or kling klang dong (D. bulbifera L.), man lueat or man khaeng chang (D. alata L.) and man moung (D. alata L.). The propagation of plant by tissue culture in Murashige & Skoog (MS) media supplement with activated charcoal 0.1% and cytokinin; BAP 0.0, 0.5, 1.0, 1.5, 2.0 mg/l and BAP 1.5 + NAA 0.5 m/l, the results showed that for D. esculenta var. spinosa the treatment of BAP 1.5 and 2.0 mg/l was the best of plant treatment which has produced number of shootlets and the most highest stem. The treatment with combination of BAP 1.5 mg/l + NAA 0.5 mg/l could stimulate stem elongation and root development better than the other treatments which did not used NAA supplement. For the D.esculenta var. esculenta found that BAP 1.0 mg/l induced the most of shootlets. The media supplemented with BAP 1.5 mg/l induced rootlets better than the others. Besides these the media of BAP 1.5 mg/l and BAP 1.5 mg/l + NAA 0.5 mg/l could stimulate plant to produce callus also. The preliminary study of chemical composition in tuber found protein 1.66 %, fat 0.29 %, fiber 0.65%, starch; amylose 20.00% and amylopectin 19%. The other metabolites found were terpenoid, flavonoid, saponin, tannin and alkaloid also.

Keywords:  Dioscorea spp., Native Economic Plants, Baan Sri Sunpetch


 

ผลการวิจัย

   งานวิจัยเรื่องความหลากหลายของมันมือเสือพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นของพื้นที่บ้านศรีสรรเพชญ์ ตำบลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาความหลากหลายของพืชสกุลมันมือเสือ (Dioscorea spp.) ที่มีในพื้นที่บ้านศรีสรรเพชญ์ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี การทดลองหาสภาวะที่เหมาะสมในการขยายพันธุ์พืชมันมือเสือที่พบในพื้นที่บ้านศรีสรรเพชญ์ ฯ โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระดับห้องปฏิบัติการ และทดลองหาสารสำคัญจากพืชสกุลมันมือเสือพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูก ในครั้งนี้ มีผลการวิจัยดังนี้

1. การศึกษาความหลากหลายชนิดมันมือเสือ
2. การขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการ
3. การหาสารสำคัญในพืช

1. การศึกษาความหลากหลายชนิดมันมือเสือ

   การเก็บตัวอย่างหัวมันมันมือเสือจากแปลงปลูกของเกษตรกร มาศึกษาลักษณะสัณฐานวิทยาและอนุกรมวิธานในห้องปฏิบัติการ พบว่ามันมือเสือที่ได้มาจากแปลงปลูกของเกษตรกรมี 2 สายพันธุ์ คือ Dioscorea esculenta var. spinosa (Lour.) Burkill และDioscorea esculenta var. esculenta (Roxburgh ex Prain &Burkill) R. Knuth

1.1 อนุกรมวิธานและสัณฐานวิทยาของมันมือเสือ 2 varieties

      การตรวจสอบลักษณะอนุกรมวิธาน(Key to Dioscorea esculenta var. spinosa and  D. esculenta var. esculenta)  โดยใช้แนวทางของ Thawatchai Santisuk และ Kai Larsen(2009) รูปวิธานของมันมือเสือ 2 varieties มีดังนี้

1. ลำต้นพัน (หลัก) เวียนทางด้านขวา (clockwise) ใบติดแบบตรงข้าม (opposite)

1. ลำต้นพัน (หลัก) เวียนทางด้านซ้าย (anticlockwise) ใบติดแบบสลับ(alternate) ………………….

2  ใบประกอบ (compound leaves)

2 ใบเดี่ยว(simple leaf)   …………………..

ขอบใบเรียบ เว้าตรงโคนใบ      

3 ดอกมีเกสรตัวผู้ 3 สมบรูณ์ 3 อันไม่สมบูรณ์

ดอกมีเกสรเพศผู้สมบูรณ์ 6 อัน สมบูรณ์ทุกอัน                       ………………………..

4 ไม่มีขนปกคลุมลำต้น

4. มีขนปกคลุมลำต้น (เห็นชัดเจนตอนเป็นต้นอ่อน)     …………………………

5. ขนไม่เป็นรูป T-shape ช่อดอกย่อยประกอบด้วยดอกย่อย 1-3 ดอก

5. ขนเป็นเส้นรูปตัวที มีดอกเดี่ยวติดอยู่บนช่อดอก ……….มันมือเสือ (Dioscorea esculenta)

6. ลำต้นไม่ปีน/พันสูงเกิน 3 เมตร รากพืชไม่มีหนาม ในปีแรกสร้างหัวสะสมอาหาร ซึ่งหัวที่สะสมอาหารต่อต้นอาจจะมีมากถึง 20 หัว ลักษณะของหัวแบนออกและคล้ายกับมือเสือ จึงเรียกว่ามันมือเสือ(tiger paw yam) ………….….. a)    D. esculenta var. esculenta

6. ลำต้นไต่ปีป่าย/พันสูงอย่างน้อย 5 เมตร มีอายุอยู่ได้หลายปี สร้างหัวเก็บอาหารใต้ดินเช่นกัน จำนวนหัวมีตั้งแต่ 1, 2 หรือมากกว่า ต่อ1 ต้นพืช ตามลำต้นและรากมีหนามสั้นๆ ลักษณะหัวพืชค่อนข้างกลมหรือยาวรีทรงกระบอก ไม่มีลักษณะแบนแบบกรงเล็บเสือ (tubers form often globose or short and cylindric with small rootlets outside) ………………. b)    D. esculenta var. spinosa

        สัณฐานวิทยาของพืชมันมือเสือแสดงดังภาพที่ 4.1, 4.2, 4.3, 4.4

ภาพที่ 4.1 ต้นมันมือเสือ

A ยอดต้นอ่อนที่เพิ่งงอก     B ใบและต้นอ่อนมีขนปกคลุม(pubescent)

C มันมือเสือที่แปลงเกษตรกร    D  ลำต้นเวียนซ้าย(anticlockwise)

ภาพที่ 4. 2 ลักษณะหัวมันมือเสือชนิด  a) D. esculenta var. esculenta (Lour.) Burkill

 

ภาพที่ 4. 3 ลักษณะหัวมันมือเสือชนิด b) D. esculenta var. spinosa (Lour.) Burkill R. Knuth

 

ภาพที่ 4. 4 ลักษณะสีเนื้อหัวมันมือเสือ สีขาวนวลของ (D. esculenta var. spinosa)

 

1.2 มันชนิดอื่นๆ ที่เกษตรกรปลูก

การสำรวจการปลูกมันของเกษตรกรพบว่ามีพันธุ์มันที่เกษตรกรปลูกมีอีก 3 ชนิดคือมันม่วง         (D. alata L.) มันเห็บ (D. bulbifera L.) และมันเลือดหรือมันแข้งช้าง (D. alata L.) ดังภาพที่ 4.5-4.7

ภาพที่ 4. 5 มันเห็บ (D. bulbifera L.)

 

ภาพที่ 4. 6 มันเลือดหรือมันแข้งช้าง (D. alata L.)

 

ภาพที่ 4. 7 มันม่วง (D. alata L.)

 

1.3 มูลค่าทางเศรษฐกิจของมันมือเสือ

การศึกษาผลตอบแทนที่เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เป็นรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกมันมือเสือ ในบ้านศรีสรรเพชญ์ ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในแต่ละรอบฤดูการปลูกแต่ละครั้ง(รอบปี) โดยวิธีการสัมภาษณ์เกษตรกร พบว่าพืชมันมือเสือให้ผลผลิตหัวมันต่อไร่ มีน้ำหนักประมาณไร่ละ        2.5 – 3.0 ตันต่อไร่  ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 30,000 บาทต่อไร่ ทั้งนี้ราคาของผลผลิตต่อกิโลกรัมมีตั้งแต่ กิโลกรัมละ 15 – 20 บาท หรือสูงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณผลิตมันที่ออกสู่ตลาด ช่วงที่มีผลผลิตมากราคาจะต่ำ ถ้ามีผลผลิตออกน้อยราคาจะค่อนข้างสูง อาจมากกว่า 20 บาทต่อกิโลกรัม

2. การขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการ

2.1 มันมือเสือสายพันธุ์สิโนซา (D. esculenta var. spinosa)

     การศึกษาการเจริญของต้นมันมือเสือชนิด var.  spinosa ที่ใช้ตาพืชมาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในสภาพที่ปลอดเชื้อในอาหารสูตร MS ที่เติมฮอร์โมนกลุ่มไซโทไคนิน(BAP)ในระดับ 0.0, 0.5, 1.0, 1.5, 2.0 mg/l และ BAP 1.5 mg/l ร่วมกับ NAA 0.5 mg/l และถ่านกัมมันต์ร้อยละ 0.1  เป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีผลการศึกษา ดังตารางที่ 4.1 และภาพที่ 4.8

ตารางที่ 4.1 การเติบโตและการเจริญของเนื้อเยื่อมันมือเสือ ชนิด D. esculenta var. spinosa

Treatmen ความเข้มข้นฮอร์โมน (mg/l) ค่าเฉลี่ยความสูงลำต้น (cm) *ค่าเฉลี่ยความสูงลำต้น ± SE ค่าเฉลี่ยจำนวนใบ (ใบ)  *ค่าเฉลี่ยจำนวนใบ ± SE
 BAP  NAA
T1  0  0  5.32  5.32 ± 0.47a  8.5  8.5 ± 0.64a
T2  0.5 0  4.62 4.62 ± 0..32a  11  11 ± 1.08ab
 T3  1  0  5.40  5.40 ± 0.37ab  10.5  10.5 ± 0.64ab
 T4  1.5  0  5.75  5.75 ± 0..69ab 10.2 10.2 ± 1.03ab
 T5  2 0  6.32  6.32 ± 0.06b 12.5  12.5 ± 0.86bc
 T6  1.5  0.5  7.80  7.80 ± 0.43a  13.5 13.5 ± 1.19c

* คือ ค่าเฉลี่ย ± ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

* ค่าตัวเลขเฉลี่ยที่ตามด้วยตัวอักษรที่เหมือนกันในแนวตั้งไม่มีความแตกต่างทางสถิติที่ระดับ P<0.05 โดยวิธี DMRT

จากตารางที่ 4.1 การเจริญของต้นมันมือเสือชนิด var.  spinosa ที่ได้จากการทดลองในครั้งนี้จะพบว่าส่วนสูงของต้นพืช(explant) ที่สูงที่สุดคือชุดการทดลองที่ 6 ด้วยค่าเฉลี่ยความสูง7.5 ± 0.43 cm รองลงไปคือ ชุดการทดลองที่ 5 ,4, ,3,1 และ 2 มีค่าเฉลี่ยความสูงที่ 6.325 ± 0.06, 5.75 ± 0.69, 5.40 ± 0.37,  5.32 ± 0.47 และ 4.62 ± 0..32 cm ตามลำดับ   ส่วนจำนวนใบของต้นพืชที่เกิดมากที่สุดคือชุดการทดลองที่ 6 มีจำนวนใบมากที่สุด คือค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13.5 ± 1.19 ใบ ต่อจากนั้นคือชุดการทดลองที่ 5, 2, 3, 4 และ 1 ตามลำดับ ส่วนการเจริญทางคุณภาพของพืชพิจารณาได้จาก ภาพที่ 4.8

ภาพที่ 4.8 การเจริญเติบโตมันมือเสือชนิด D. esculenta var. spinosa (Lour.) Burkill 8 สัปดาห์

โดยสรุปพบว่าสูตรอาหารที่มี BAP 1.50 และ 2.0 mg/l ชักนำให้มีจำนวนยอดพืชมากที่สุดและสูตรที่มี BAP 1.5 + NAA  5 mg/l สามารถกระตุ้นความสูงของพืชและส่งเสริมการเจริญของรากได้อย่างรวดเร็วกว่าชุดการทดลองที่ไม่ได้เติมฮอร์โมน NAA

 

2.2 มันมือเสือสายพันธุ์เอสคูเลนตา (D. esculenta var. esculenta)

การเจริญของต้นมันมือเสือชนิด var.  esculenta ที่ได้จากการทดลองในครั้งนี้มีผลการศึกษาดังตารางที่ 4.2 และภาพที่ 4.9

ตารางที่ 4. 2 การเติบโตและการเจริญของเนื้อเยื่อมันมือเสือ ชนิด D. esculenta var. esculenta

Treatmen ความเข้มข้นฮอร์โมน (mg/l) ค่าเฉลี่ยความสูงลำต้น (cm) *ค่าเฉลี่ยความสูงลำต้น ± SE ค่าเฉลี่ยจำนวนใบ (ใบ)  *ค่าเฉลี่ยจำนวนใบ ± SE
 BAP  NAA
T1  0  0  5.32  5.32 ± 0.47a  8.5  8.5 ± 0.64a
T2  0.5 0  4.62 4.62 ± 0..32a  11  11 ± 1.08ab
 T3  1  0  5.40  5.40 ± 0.37ab  10.5  10.5 ± 0.64ab
 T4  1.5  0  5.75  5.75 ± 0..69ab 10.2 10.2 ± 1.03ab
 T5  2 0  6.32  6.32 ± 0.06b 12.5  12.5 ± 0.86bc
 T6  1.5  0.5  7.80  7.80 ± 0.43a  13.5 13.5 ± 1.19c

* คือ ค่าเฉลี่ย ± ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

* ค่าตัวเลขเฉลี่ยที่ตามด้วยตัวอักษรที่เหมือนกันในแนวตั้งไม่มีความแตกต่างทางสถิติที่ระดับ P<0.05 โดยวิธี DMRT

   จากตารางที่ 4.2 จะพบว่าส่วนสูงของต้นพืช(explant) ที่สูงที่สุดคือชุดการทดลองที่ 3 (BAP 1mg/l) ซึ่งมีความสูง 6.55 ± 0.49 cm รองลงไปคือชุดการทดลองที่ 1, 2, 4, และ 5 ตามลำดับ คือมีความสูง 6.1 ± 0.44, 5.5 ± 0.57, 5.4 ± 0.86, 4.22 ± 1.63 และ 3.7 ± 1.08 cm   ส่วนจำนวนใบของต้นพืชที่เกิดมากที่สุดคือชุดการทดลองที่ 3 มีจำนวนใบมากที่สุดคือค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 11.5 ± 2.32ใบ ต่อจากนั้นคือ ชุดการทดลองที่ 1, 4, 2, 5และ 6 คือมีจำนวนใบเฉลี่ยอยู่ที่ 7.75 ± 0.85, 7.25 ± 1.03, 6.5 ± 1.65, 5 ± 1.87 และ 3.75 ± 0.94 ใบ ตามลำดับ  ส่วนการเจริญทางคุณภาพของพืชพิจารณาได้ ดังภาพที่ 4.9

ภาพที่ 4.9 การเจริญเติบโตมันมือเสือชนิด D. esculenta var. esculenta  8 สัปดาห์

โดยสรุปมันมือเสือชนิด D. esculenta var. esculenta นี้พบว่า BAP 1.0 mg/l สามารถชักนำให้เพิ่มปริมาณยอดได้มากที่สุด และสูตรอาหารที่เติม BAP 1.5 mg/l ชักนำเกิดรากมากที่สุด ส่วนในอาหารที่มี BAP  1.5 mg/l และ BAP   1.5 mg/l + NAA  0.5 mg/l ชักนำให้พืชมีการพัฒนาเป็นแคลลัสได้ดี

3. การหาสารสำคัญในหัวพืชมันมือเสือ

การหาสารสำคัญในหัวพืชมันมือเสือจากพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูก(D. esculenta var. spinosa) โดยวิธีสกัดโดยใช้ Soxhlet’s apparatus ในหัวมันมือเสือมีโปรตีนร้อยละ 1.66 ไขมันร้อยละ 0.29 เส้นใยหยาบร้อยละ 0.65 แป้งมีปริมาณ อะไมโลส ร้อยละ 20 และอะไมโลเพคตินร้อยละ 19 (สุมลรัตน์ อัมพวันและคณะ(2557)

การหาสารสำคัญในหัวพืชมันมือเสือจากพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูกโดยวิธีการตรวจสอบพฤกษเคมีเบื้องต้น ได้แก่ การตรวจสอบกลุ่มของสารเทอร์ปินอยด์ ฟลาโวนอยด์ ซาโปนิน แทนนินและแอลคาลอยด์ จากสิ่งสกัดเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทธิลอะซิเตท และเมทานอล จากหัวมันมือเสือ พบว่า

สิ่งสกัดเฮกเซนให้เปอร์เซ็นต์ของสิ่งสกัดเพียง 0.01% ทำให้ไม่สามารถนำสิ่งสกัดนี้มาใช้ในการตรวจสอบพฤกษเคมีเบื้องต้นได้ ดังนั้น มีเพียงสิ่งสกัดไดคลอโรมีเทน เอทธิลอะซิเตท และเมทานอล                ที่สามารถนำมาตรวจสอบสารสำคัญเบื้องต้นได้ เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ในการศึกษาอื่นต่อไป ดังแสดงในตรารางที่ 4.3

ตารางที่ 4.3 สิ่งสกัดเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทธิลอะซิเตท และเมทานอล ที่สกัดได้จากหัวมันมือเสือ

ตารางที่ 4.3 สิ่งสกัดเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทธิลอะซิเตท และเมทานอล ที่สกัดได้จากหัวมันมือเสือ

สิ่งสกัด

% Yield (w/w)

Hexane (เฮกเซน)

0.01

Dichloromethane (ไดคลอโรมีเทน)

0.17

Ethyl Acetate (เอทธิลอะซิเตท)

0.46

Methanol (เมทานอล)

2.15

การตรวจสอบกลุ่มของสารสำคัญเบื้องต้นที่พบอยู่ในสิ่งสกัดไดคลอโรมีเทน เอทธิลอะซิเตท และเมทานอล ของหัวมันมือเสือ พบว่า ในสิ่งสกัดทั้ง 3 ชนิด มีกลุ่มของสารเทอร์ปินอยด์ ฟลาโวนอยด์ ซาโปนิน แทนนิน และแอลคาลอยด์ ทั้งหมด ดังแสดงในตารางที่ 4.4

ตารางที่ 4.4 สารองค์ประกอบหลักที่พบในสิ่งสกัดมันมือเสือ

กลุ่มของสาร ผลการตรวจสอบ*
 ไดคลอโรมีเทน  เอทธิลอะซิเตท  เมทานอล
 เทอร์ปินอยด์  + +++ +++
 ฟลาโวนอยด์  +  ++ ++
 ซาโปนิน  ++  + +++
 แทนนิน  +++  +++  +++
 แอลคาลอยด์  +  ++  ++

* (-): Negative test, (+): Weak positive test, (++): Positive test, (+++): Test strongly positive.

   จากตารางที่ 4.4 จะเห็นว่า แทนนิน เป็นกลุ่มของสารที่สามารถพบได้มากที่สุดในทั้งสามสิ่งสกัด เทอร์ปินอยด์ เป็นกลุ่มของสารที่สามารถพบได้มากในสิ่งสกัดเอทธิลอะซิเตทและเมทานอล ส่วนซาโปนินสามารถพบได้มากที่สุดในสิ่งสกัดเมทานอล จากภาพรวมแล้วนั้นสิ่งสกัดเอทธิลอะซเตทและเมทานอลจะพบกลุ่มของสารที่มีความใกล้เคียงกัน รวมถึงปริมาณอีกด้วย

   จากการตรวจสอบกลุ่มของสารที่พบในมันมือเสือเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่า สิ่งสกัดที่ได้จากมันมือเสือนั้นสามารถนำไปใช้ในงานการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพได้หลากหลาย ได้แก่ antioxidant activity, anticancer activity รวมถึง antimicrobial activity ได้อย่างน่าสนใจ ถ้าได้มีการนำไปทดสอบในโอกาสต่อไป

เสม็ด : ผักพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง

เสม็ด : ผักพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง

ผศ.วิชัย ปทุมชาติพัฒน์

ความนำ เสม็ด เป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับฝรั่ง ชมพู่ ใบอ่อนของเสม็ดถูกนำมารับประทานเป็นผักมาแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ผักที่กล่าวถึงนี้ ถูกเรียกชื่อง่ายๆว่า “ผักเม็ก” ซึ่งมีรสฝาดปนเปรี้ยวเล็กน้อย เคี้ยวมันๆ เป็นส่วนของยอดอ่อนสีขาวอมเขียวปนชมพู รสชาติอร่อย  นิยมรับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริก ลาบ ยำ อาหารเวียดนาม ขนมจีนหรือเป็นผักจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาปรุงกับเครื่องปรุงเป็นลาบผักใส่ข้าวคั่ว ส่วนผลแก่ก็กินเล่นเป็นผลไม้ได้ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เป็นสมุนไพรแก้ได้หลายอาการของโรค บทความนี้จะทำให้ผู้อ่านได้รู้จัก “เสม็ด” โดยละเอียดพร้อมภาพประกอบที่ชัดเจน


เสม็ด

ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium gratum  (Wight)S.N. Mitra

ชื่อวงศ์ MYRTACEAE

ชื่ออื่นๆ ไคร้เม็ด ยีมือแล เสม็ด เม็ก เสม็ดขาว เสม็ดแดง เม็ดชุน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ  สูง 4-8 เมตร  กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ทรงพุ่มแน่น ทรงกลมปลายแหลม ลำต้นสีน้ำตาล เปลือกลำต้นแตกเป็นสะเก็ดบางๆ ลอกออกได้ง่าย โคนต้นมักเป็นพูพอน ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ๆ  ใบหนา รูปหอกหรือรูปรีแคบ โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 6-12 ซม. ไม่มีก้านดอก กลีบดอกเล็กมาก 5 กลีบ เกสรเพศผู้สีขาวจำนวนมาก ยาว 610 มม. ผลทรงกลมแบบมีเนื้อ เปลือกผลสีขาวขุ่นหรือชมพูอ่อน  ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผล 5-8 มม. มีกลีบเลี้ยงติดที่ก้นผล มีเมล็ดเดียว

การขยายพันธุ์ เพาะกล้าจากเมล็ด หรือตอนกิ่ง

ประโยชน์

1. ใบอ่อน ยอดอ่อนมีรสเปรี้ยวใช้เป็นอาหาร รับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริก ลาบ ยำ อาหารเวียดนาม ขนมจีนหรือเป็นผักจิ้ม น้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาปรุงกับเครื่องปรุงเป็นลาบผัก ส่วนผลแก่ก็กินเล่นเป็นผลไม้ได้

2. สรรพคุณทางสมุนไพร ด้วยน้ำมันจากใบ มีกลิ่นคล้ายการบูร เรียกว่า “น้ำมันเขียว” ใช้นวดแก้เคล็ดยอกปวดเมื่อย ปวดบวม แก้หมัด เหา ชุบสำลีอุดฟันแก้ปวดฟัน

3. ยอดอ่อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียดในท้อง

4. นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในบ้าน หรือสวนสาธารณะ เพราะมีความสวยงามทั้งทรงพุ่ม ดอกและผลที่เป็นช่อเรียงตัวคล้ายไข่มุก

กุหลาบ…ที่ไม่ใช่กุหลาบ

กุหลาบ…ที่ไม่ใช่กุหลาบ

ผศ.วิชัย  ปทุมชาติพัฒน์

ความนำ กุหลาบพุกาม กับ กุหลาบเมาะลำเลิง เป็นพรรณไม้วงศ์กระบองเพชรที่มีดอกสวยงาม เมื่อบานเต็มที่แล้วดูคล้ายกับดอกกุหลาบ เลยถูกตั้งชื่อให้มีคำว่า“กุหลาบ”นำหน้าชื่อ คำต่อท้ายก็บอกแหล่งที่มาว่าจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่มีคำอธิบายเหตุผลของชื่อ คนที่นำมาปลูกประดับมักสับสนเรื่องชื่อของดอกไม้2ชนิดนี้ บทความทางวิชาการนี้จะช่วยให้ความกระจ่าง ทำให้สามารถจดจำได้ง่ายจากภาพประกอบที่นำมาประกอบอย่างครบถ้วน



กุหลาบพุกาม

ชื่อวิทยาศาสตร์   Pereskia  bleo  (Kunth) DC.
ชื่อวงศ์ CACTACEAE
ชื่อสามัญ Wax Rose
ชื่ออื่น  กุหลาบเทียม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์  ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 5 เมตร   โคนต้นมีเนื้อไม้ กิ่งก้านอวบน้ำ และมีหนามแข็งขนาดยาวสีน้ำตาลแดง ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ กระจุกละกว่า10หนาม ใบเดี่ยวออกสลับ รูปรี ขอบขนานหรือรูปไข่กลับ  ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ กว้าง 3-6 ซม. ยาว 7-18 ซม. ขอบใบเป็นคลื่น ก้านใบยาว ดอกสีส้มแดง ออกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มๆละ 3-5 ดอก เป็นช่อสั้นที่ปลายยอด บานวันเดียว ดอกทยอยบาน ปลายก้านเชื่อมติดกันกับฐานรองดอกมีใบประดับขนาดเล็ก 2-5 กลีบ กลีบดอกรูปไข่กลับ 10-15 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น ปลายกลีบเว้าตื้นหรือมีติ่งแหลม กลีบชั้นนอกใหญ่กว่าชั้นใน เกสรเพศผู้สีขาวจำนวนมาก ติดผลมาก ผลรูปกรวยแหลมคล้ายฝักบัวกว้าง4-5ซม.เมื่อแก่สีเหลือง เมล็ดสีดำขนาด4-5มม.จำนวน5-8เมล็ดต่อผล 

ขยายพันธุ์  ด้วยการปักชำกิ่ง


กุหลาบเมาะลำเลิง

ชื่อวิทยาศาสตร์    Pereskia grandiflora Haw.
ชื่อวงศ์    CACTACEAE
ชื่อสามัญ   Bastard Rose,  Rose Cactus
ชื่ออื่น กุหลาบเทียม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม คล้ายไม้พุ่มรอเลื้อย  สูง 1-4 เมตร   โคนต้นมีเนื้อไม้ กิ่งก้านอวบน้ำ สีเขียวแกมม่วง และมีหนามแหลมคมสีน้ำตาลดำ ออกเป็นคู่ตามซอกใบ ใบเดี่ยว  หนาเป็นมัน ออกสลับ รูปรี รูปไข่ แกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ   ขอบใบเรียบ ดอกสีชมพูอมม่วง ออกเป็นกระจุกจำนวน 5-10 ดอกที่ปลายกิ่ง บานวันเดียว จะทยอยบานวัน1-2 ดอก ฐานดอกคล้ายถ้วย มีใบประดับรูปไข่ กลีบดอก 6-8 กลีบ รูปไข่กลับเรียงซ้อนสลับ กลีบเลี้ยงคล้ายกลีบดอก มี 3 กลีบ รูปไข่ เกสรเพศผู้สีเหลืองจำนวนมาก ปลายเกสรเพศเมียสีขาว ออกดอกตลอดปี  ผลคล้ายฝักบัว แต่มักไม่ติดฝัก เมื่อแก่เป็นสีหลืองอ่อน  เมล็ดสีดำขนาด 2-4 มม. 4-6เมล็ดต่อผล

ขยายพันธุ์ :  โดยการปักชำกิ่ง 


 

การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยชุมชนมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ประจำปีงบประมาณ 2559 

การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยชุมชนมีส่วนร่วม : กรณีศึกษาป่าชุมชนบ้านศรีสรรเพชญ์

Community Participation to the Management of Natural Resource and Environment:
A Case Study of Ban Sri Sanphet Community Forest


จรัญ ประจันบาล และคณะ

 

View Fullscreen

สะตือ : พรรณไม้สำคัญที่ควรรู้

สะตือ : พรรณไม้สำคัญที่ควรรู้

ผศ.วิชัย  ปทุมชาติพัฒน์


ความนำ

สะตือ เป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีความสำคัญทั้งทางด้านพฤกษศาสตร์ และประวัติศาสตร์ของชาติไทยจึงเห็นสมควรเผยแพร่เรื่องของสะตือให้ผู้สนใจได้รู้จัก

สะตือ เป็นต้นไม้ที่มีคนรู้จักน้อยมาก เนื่องจากหาดูยาก เป็นไม้ใหญ่ที่ต้องใช้พื้นที่กว้าง  มักปลูกในวัดเพื่อให้ร่มเงาเพราะแผ่ทรงพุ่มให้ร่มเงาได้กว้างในรัศมี 10-15 เมตร

สะตือ ถูกจัดให้ขึ้นบัญชีพรรณไม้หายากของกรมป่าไม้ สมควรจะช่วยกันปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนให้แพร่หลาย ให้ประชาชนในรุ่นต่อไปเห็นคุณค่า

สะตือ จะออกดอกดกมากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และติดฝักจำนวนมาก ซึ่งจะแก่และให้เมล็ดช่วงกลางฤดูฝน เมล็ดจะงอกง่ายมากเนื่องจากเป็นพืชตระกูลถั่ว แต่ต้นกล้ามักถูกพัดพาให้เสียหาย ทำให้แทบไม่มีต้นกล้าใต้ต้นเดิม ควรที่มนุษย์จะช่วยกันนำไปเพาะขยายพันธุ์เพื่อปลูกแพร่พันธุ์ต่อไป

ในส่วนที่ “สะตือ” เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ก็คือ สะตือเป็นไม้เก่าโบราณ เป็นหมุดหมายแห่งประวัติศาสตร์ต้นหนึ่ง มีชื่อวัดตามต้นสะตือหลายแห่งเช่น วัดสะตือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยวัดนี้เป็นหนึ่งในเก้าวัดของการไหว้พระเก้าวัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดนี้มีต้นสะตือขนาดใหญ่อายุเป็นร้อยปี เป็นวัดที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อโตหรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จึงมีประชาชนมาไหว้พระขอพรกันไม่ขาดสายส่วนวัดลุ่ม หรือวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ที่อำเภอเมือง จังหวัดระยองนั้น ก็มีต้นสะตืออายุกว่า 300 ปี เป็นต้นสะตือที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน พาทหารและพลเรือนอพยพมาผูกช้าง ม้า และพักแรมที่โคนต้นสะตือที่มีร่มเงาแผ่กว้างมาก แล้วจึงเดินทัพบุกไปจังหวัดจันทบุรีเพื่อกอบกู้เอกราชคืนจากพม่า

ประโยชน์ของสะตือ ก็มีทั้งด้านการใช้เนื้อไม้ และด้านสมุนไพร   เนื้อไม้สีน้ำตาลถึงน้ำตาล

ดำ แข็งและเหนียวของสะตือ นิยมใช้ทำด้ามเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร เครื่องเรือนและงานก่อสร้างทั่วไป ใช้ต้นทำครก  สาก  กระเดื่อง  และเครื่องใช้ต่าง ๆในชีวิตประจำวัน   สะตือเป็นไม้ร่มเงาได้ดี เพราะแผ่ทรงพุ่มและใบเป็นพุ่มกว้าง ควรปลูกในวัด สวนสาธารณะ หรือสถานศึกษา   สะตือมีสรรพคุณทางสมุนไพร คือ   ใช้ได้ทั้งต้น  เอาทั้งต้นซึ่งเรียกว่าทั้งห้า  ปรุงต้มเป็นยาแล้วเอาน้ำกินและอาบ  รับประทานครั้งละ  1  ถ้วยชา  แก้ไข้หัว  หัดหลบลงลำไส้  เหือด  ดำแดง  สุกใส  ฝีดาษ  แก้ไข้หัวทุกชนิด ต้มใบใช้อาบแก้โรคอีสุกอีใส โรคหัด ใช้เปลือกต้นปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง

สะตือ

ชื่อสามัญ     Crudia  chrysantha,  (Pierre) K. Schum

ชื่ออื่นๆ    เดือยขาว ดู่ไก่  ประดู่ขาว  แห้

ชื่อวงศ์     LEGUMINOSAE  – CAESALPINIOIDAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่  ผลัดใบ สูง 15-30 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ

รูปเจดีย์ต่ำ   ใบเป็นพุ่มกว้างทึบมาก เปลือกสีน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาวลำต้นยอดอ่อนมีกาบหุ้มแน่นคล้ายกระสวย ใบเดี่ยวออกสลับ ขนาดกว้าง 4.5 5 ซม. ยาว 7 11 ซม. ผลัดใบในช่วงเดือนธันวาคม ถึง มกราคม แล้วแตกใบอ่อนสีน้ำตาลอมแดง รูปร่างใบมน รูปไข่ ปลายใบแหลมเรียวสอบเป็นติ่งยาว โคนใบสอบป้านถึงหยักเว้า ขอบหยักถี่มีตุ่มสีน้ำตาลแดงตามปลายหยัก เนื้อใบค่อนข้างหนา เกลี้ยง ออกดอกเป็นช่อแบบหางกระรอกตามปลายกิ่ง ยาว 5-10 ซม. กว้าง  4  ซม.  แต่ละช่อมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยสีชมพูอมน้ำตาล ขนาด  2 -5  มม.   ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม ทั้งดอกและผลดกมาก ผลเป็นฝักแบนรูปไข่มน สีเขียวอมน้ำตาล เปลือกฝักเป็นคลื่น เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลแดง ขนาดกว้าง 4-5 ซม. ยาว 6-8 ซม. มี 1 เมล็ด เมื่อแห้งแล้วแตกเมล็ดกระเด็นออกมา เปลือกฝักยังติดคู่กันแต่ม้วนงอเป็นหลอดกลมแข็ง และติดค้างอยู่บนกิ่งอีกนานหลายเดือนจึงจะร่วงลงมา

หมายเหตุ ผู้สนใจที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร สามารถไปดูต้นสะตือขนาดใหญ่ได้ที่วัดสังข์กระจาย ถนนอิสรภาพ ซอย 21 เขตบางกอกใหญ่  วัดทองธรรมชาติ ใกล้โรงพยาบาลตากสิน  วัดราชาธิวาส ถนนสามเสน ใกล้ธนาคารแห่งประเทศไทย 

น้อยหน่าครั่ง : ผลไม้กลายพันธุ์

น้อยหน่าครั่ง : ผลไม้กลายพันธุ์

ผศ.วิชัย  ปทุมชาติพัฒน์


ความนำ

ได้รับคำถามอยู่เสมอว่า

1. น้อยหน่าครั่ง มันมีมาได้อย่างไร

2. “น้อยหน่าครั่ง” กินได้ไหม อร่อยไหม

3. “น้อยหน่าครั่ง” อยากปลูกบ้าง ปลูกยากไหม มีต้นพันธุ์ขายที่ไหน

4. “น้อยหน่าครั่ง” มีคุณสมบัติพิเศษอย่างไรหรือไม่

จากคำถามเหล่านี้จึงนำมาสู่การเขียนบทความทางวิชาการเรื่องนี้

 

น้อยหน่าครั่ง

สรุปประเด็นสำคัญของน้อยหน่าครั่งเป็นข้อๆ ดังนี้

1. น้อยหน่าครั่ง เป็นน้อยหน่าชนิดเดิมที่มีสีเขียวที่คุ้นเคยกัน เพียงแต่เปลือกผลเป็นสีม่วงเข้ม

2. น้อยหน่าครั่ง เกิดจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติของน้อยหน่าพันธุ์เดิมที่มีสีเขียว ซึ่งปลูกด้วยเมล็ด ไม่ได้เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ของมนุษย์แต่อย่างใด

3. น้อยหน่าครั่ง อาจมีจำนวนผลบนต้นมากน้อยไม่แน่นอนในแต่ละปี เพราะว่ามีน้อยหน่าทั้ง2แบบปนกันอยู่บนต้นเดียวกัน สัดส่วนของทั้ง2ชนิดไม่แน่นอน ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่าการกลายพันธุ์แบบนี้เป็นแบบไม่ถาวร หมายความว่าน้อยหน่าครั่งอาจกลับกลายมาเป็นชนิดเขียวแบบเดิมได้อีก ซึ่งลักษณะแบบนี้พบเห็นในพืชหลายชนิด เช่น ไทรด่าง สาคูด่าง

4. น้อยหน่าครั่ง มีทั้งชนิด “เนื้อ” และ “หนัง” รสชาติเหมือนน้อยหน่าชนิดเดิมทุกประการ

5. น้อยหน่าครั่ง มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น “น้อยหน่าสีม่วง”  น้อยหน่าสีแดง”

6. น้อยหน่าครั่ง มีเนื้อสีขาวเช่นเดิม เพียงแต่ส่วนที่อยู่ติดเปลือกอาจมีสีชมพูหรือม่วงปนอยู่

7. เปลือกผลของน้อยหน่าครั่ง มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นรงควัตถุที่พบในพืชทั้งในดอกและในผลของพืช ที่มีสีแดง น้ำเงิน หรือม่วง เป็นสารที่ละลายในน้ำได้ดี มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของลิโปโปรตีน และการตกตะกอนของเกล็ดเลือด ทำให้แอนโทไซยานินมีบทบาทในการป้องการการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน จากเหตุผลนี้ทำให้เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาผู้บริโภคนิยมบริโภคผักผลไม้ที่มีสีม่วง ทำให้หลายสวนหันมานิยมปลูกน้อยหน่าครั่ง แต่ก็ชั่วระยะเวลาสั้นๆผู้บริโภคก็ลืมเรื่องแอนโทไชยานิน เมื่อได้เวลาน้อยหน่าครั่งออกผลผลิตมามากก็ขายได้ยาก อีกทั้งผู้บริโภคเพิ่งมาทราบภายหลังว่าเนื้อของน้อยหน่าครั่งไม่ได้เป็นสีครั่งหรือสีม่วงเข้มเหมือนเปลือกของมัน แล้วเปลือกมันก็กินไม่ได้

8. น้อยหน่าครั่ง อยู่ในวงศ์เดียวกันกับน้อยหน่าชนิดเดิม และมีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกันทุกประการ คือ   วงศ์ ANNONACEAE  และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Annona squamosa Linn.

9.น้อยหน่าครั่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นน้อยหน่าทั่วไปทุกประการบ่อยครั้งที่น้อยหน่าครั่งเกิดอยู่บนต้นเดียวกันกับน้อยหน่าพันธุ์เดิมโดยที่เจ้าของไม่ทราบ

10. การปลูกน้อยหน่าครั่งก็เหมือนการปลูกน้อยหน่าชนิดเดิม เติบโตได้ในดินร่วนปนทราย ทนแล้งได้ดี ชอบแดดจัด ชอบที่ดอน น้ำไม่ท่วมขัง  ใช้ปุ๋ยตามอัตราที่เหมาะสม ต้องการการตัดแต่งอย่างหนัก(heavy pruning) เพื่อกระตุ้นการออกดอกติดผล ป้องกันกำจัดศัตรูของผลอย่างพิถีพิถัน มิฉะนั้นจะไม่ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ

11. หากต้องการซื้อต้นกล้าของ “น้อยหน่าครั่ง”ไปปลูก ก็ค้นหาแหล่งจำหน่ายในอินเตอร์เน็ตได้เลย  หรือทำได้ง่ายๆด้วยการซื้อน้อยหน่าครั่งมารับประทาน แล้วนำเมล็ดไปเพาะกล้าเอง จะประหยัดเงินได้มาก

………………………………………