วิธีดำเนินการวิจัย

รูปแบบของการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research) ประเภทวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional analysis)

1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

       ประชากรที่ศึกษาในครั้งนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบอาชีพซาเล้ง ในพื้นที่เขตยานาวา กรุงเทพมหานคร มีจำนวนทั้งสิ้น 20 คนกลุ่มตัวอย่างจึงเก็บข้อมูลทั้งหมดคนนค

2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

       เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม ที่นำมาจากวิราภรณ์ ทองยัง (2552) แบ่งเป็น 4 ส่วน ตอนที่ 1 ข้อมูลปัจจัยนำ เป็นแบบสอบถามข้อมูลคุณลักษณะส่วนบุคคล ลักษณะนิสัย แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงาน และ แบบสอบถามเจตคติต่อการป้องกันโรคและบาดเจ็บจากการทำงาน ตอนที่ 2 ข้อมูลปัจจัยเอื้อ เป็นแบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจในงานเกี่ยวกับความรู้สึกที่ดีของซาเล้งที่มีผลต่อการปฏิบัติ การได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ตอนที่ 3 ปัจจัยเสริม เป็นแบบสอบถามการได้รับการสนับสนุนทางสังคมและการดูแลเอาใจใส่ตลอดจนคำแนะนำ เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงาน จากบุคคลในครอบครัว ผู้นำชุมชน/อสม. และบุคลากรสาธารณสุข ตอนที่ 4 พฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานเป็นแบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานของซาเล้ง

3. การวิเคราะห์ข้อมูล

ใช้สถิติพรรณนา (Descriptive statistic) และสถิติวิเคราะห์ (Analytical statistic) ใช้ฟิชเชอร์ เอ็กแชคเทส ) ( Fisher’s Exact Test )

ผลการวิจัย

       ส่วนที่ 1 ปัจจัยนำเข้า

       ซาเล้งมีอายุอยู่ในช่วง 50 ปนขึ้นไป เพศชายเท่ากับเพศหญิงมีสถานภาพสมรสคู่มีระดับการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่ากับบาท ส่วนใหญ่มีรายได้พอ1คคค กับรายจ่ายมีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 15 ปนมีการรับรู้ภาวะสุขภาพร่างกายใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีภาวะสุขภาพปานกลางและสุขภาพแข็งแรงดีเท่าๆกันมีการตรวจสุขภาพประจำปนเมื่อได้รับบาดเจ็บจากการทำงานจะซื้อยามารับประทานเองส่วนใหญ่มีลักษณะนิสัยส่วนบุคคลเป็นคนชอบเก็บตัวมีระดับความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานในระดับปานกลางมีเจตคติเกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานอยู่ในระดับต่ำ

       ส่วนที่ 2 ปัจจัยเอื้อ

ตารางที่ 1 แสดงระดับความพึงพอใจในการประกอบอาชีพซาเล้งจำแนกตามจำนวนและร้อยละ

ระดับความพึงพอใจในการประกอบอาชีพซาเล้ง

จำนวน (คน)

ร้อยละ

ระดับปานกลาง (11 -15 คะแนน)

ระดับสูง (16 คะแนนขึ้นไป)

1

19

5.0

95.0

รวม

20

100.0

จากตารางที่ 1 พบว่า ซาเล้งส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในการประกอบอาชีพซาเล้งในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 95.0

 

ตารางที่ 2 แสดงระดับการได้รับการอบรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานจำแนกตามจำนวนและร้อยละ

ระดับการได้รับการอบรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทางาน

จำนวน ( คน)

ร้อยละ

ระดับต่ำ (ต่ำกว่า13 คะแนน)

ระดับปานกลาง (14 -19 คะแนน)

ระดับสูง (20 คะแนนขึ้นไป)

1

14

5

5.0

70.0

25.0

รวม

20

100.0

จากตารางที่ 2 ซาเล้งส่วนใหญ่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 70.0

 

ตารางที่ 3 แสดงการได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพของซาเล้งจำแนกตามจำนวนและร้อยละ

ระดับการได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ

จำนวน ( คน )

ร้อยละ

ระดับต่า (ต่ากว่า10 คะแนน(

ระดับปานกลาง )11 –15 คะแนน(

14

6

70.0

30.0

รวม

20

100.0

จากตารางที่ 3 ซาเล้งส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานจากสื่อสารต่างๆในระดับต่ำ คิดเป็นร้อยละ 70.0

 

ส่วนที่ 3 ปัจจัยเสริม

ตารางที่ 4 แสดงการได้รับการสนับสนุนทางสังคมของซาเล้งจำแนกตามจำนวนและร้อยละ

ระดับการได้รับการสนับสนุนทางสังคม

จำนวน ( คน)

ร้อยละ

ระดับต่ำ (ต่ำกว่า20 คะแนน)

ระดับปานกลาง (21 –29 คะแนน)

ระดับสูง (30 คะแนนขึ้นไป)

8

7

5

40.0

35.0

25.0

รวม

20

100.0

จากตารางที่ 4 พบว่า ซาเล้งส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนทางสังคมในระดับต่ำ คิดเป็นร้อยละ 40.0

 

ส่วนที่ 4 พฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงาน

ตารางที่ 5 แสดงพฤติกรรมการป้องกันโรคและบาดเจ็บจากการทำงานของซาเล้งจำแนกตามจำนวนและร้อยละ

ระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคและเก็บ

บาดเจ็บจากการทางาน

จำนวน ( คน)

ร้อยละ

ระดับปานกลาง (52 -81 คะแนน)

ระดับสูง (42 คะแนนขึ้นไป)

8

12

40.0

60.0

รวม

20

100.0

จากตารางที่ 5 พบว่า ซาเล้งส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานอยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 60.0

 

ส่วนที่ 5 ความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม กับพฤติกรรม การป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานของซาเล้ง

ตารางที่ 6 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บกับพฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานของซาเล้ง

ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บ พฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงาน
ปานกลาง – ค่อนข้างต่ำ สูง รวม Fisher’s Exact Test df p-value
ระดับต่ำ 5 (25.0) 11 (55.0) 16 (80.0) 1.826 1 0.05
ระดับปานกลาง 3 (15.0) 1 (5.0) 4 (20.0)
รวม 8 (40.0) 12 (60.0) 20 (100)

จากตารางที่ 6 พบว่า ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการบาดเจ็บมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

 

ตารางที่ 7 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติกับการป้องโรคและการบาดเจ็บกับพฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานของซาเล้ง (n = 20)

เจตคติ พฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงาน
ปานกลาง – ค่อนข้างต่ำ สูง รวม Fisher’s Exact Test df p-value
ระดับต่ำ 5 (25.0) 11 (55.0) 16 (80.0) 1.826 1 0.05
ระดับปานกลาง – สูง 3 (15.0) 1 (5.0) 4 (20.0)
รวม 8 (40.0) 12 (60.0) 20 (100)

จากตารางที่ 7 พบว่า เจตคติกับการป้องโรคและการบาดเจ็บมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05