Author Archives: writer4

การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรกร ในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

 ชื่อผลงานทางวิชาการ             การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรกร ในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ปีที่พิมพ์    2556

ข้อมูลเพิ่มเติม      เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิทยาการจัดการและพัฒนาสังคม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ฉบับพิเศษ 19 มกราคม 2560

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

อาจารย์นเรศ นิภากรพันธ์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ 

คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

บทความวิจัย เรื่อง      การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม :กรณีศึกษา

เกษตรกร ในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้ศึกษา คือ อาจารย์นเรศ นิภากรพันธ์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีวัตถุประสงค์    เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม และปัจจัยที่ส่งผลกระทบถึงต้นทุนการผลิต รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือเกษตรผู้เลี้ยงหอยนางรมในเขตพื้นที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 52 ราย

จุดเน้นของการวิจัยนี้ จะบ่งชี้ให้เห็นถึงสถิติตัวเลขเกี่ยวกับ การดำเนินงานของเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยนางรม ค่าจ้างแรงงาน ค่าเสียโอกาส ต้นทุน ค่าอุปกรณ์และผลตอบแทน รวมถึงรายได้จากการผลิตหอยนางรม ปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน.

ผลการศึกษาพบว่าการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจะมีต้นทุนเฉลี่ย 1,704.71 บาท/ไร่ และ

รายได้เฉลี่ย 1,716.18 บาท/ไร่ โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนเท่ากับ 1.01 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายได้ที่ผู้ผลิตหอยนางรมได้รับนั้นมากกว่าต้นทุนการผลิตหอยนางรม ดังนั้นการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจึงเหมาะสมต่อการลงทุน โดยปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและต้นทุนการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร ได้แก่ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งประกอบด้วยปริมาณน้ำฝนที่มีจำนวนมากทำให้น้ำทะเลมีความเค็มลดลงส่งผลให้หอยนางรมตาย คิดเป็นร้อยละ 37.96 ของต้นทุนการผลิต การปล่อยน้ำเสียจากบ่อกุ้งและโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่ทะเล คิดเป็นร้อยละ 52.06 ของต้นทุนการผลิต และการลักขโมยหอยนางรมคิดเป็นร้อยละ 9.98ของต้นทุนการผลิต  แนวทางแก้ไขจะพบว่า ในด้านของปัญหาการลักขโมยหอยนางรมนั้นเกษตรกรจะต้องทำการเฝ้าระวังเอง ส่วนในด้านของน้ำเสียและฝนตกนั้นยังไม่มีแนวทางแก้ไข แต่จะการผลิต  แนวทางแก้ไขจะพบว่า ในด้านของปัญหาการลักขโมยหอยนางรมนั้นเกษตรกรจะต้องทำการเฝ้าระวังเอง ส่วนในด้านของน้ำเสียและฝนตกนั้นยังไม่มีแนวทางแก้ไข แต่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย  เป็นแนวทางในการตัดสินใจให้แก่เกษตรกร ผู้ที่ต้องการทำอาชีพเลี้ยงหอยนางรม เป็นอาชีพที่น่าลงทุน เนื่องจากมีรายได้มากกว่าต้นทุน รวมถึงแสดงให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงหอยนางรม ว่ามีปัญหาด้านใดบ้าง จะให้เกษตรกรรุ่นหลังเตรียมแก้ไข ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น

 

การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิต

หอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรกรในเขต

อำเภอกาญจนดิษฐ์จังหวัดสุราษฎร์ธานี

COST AND BENEFITS ANALYSIS OF OYSTER PRODUCTION

A CASE  STUDY

KANCHANADIT IN SURAT THANI.

 

นเรศ  นิภากรพันธ์1

Naret Nipakronpan1

1อาจารย์ประจำสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์  คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

บทคัดย่อ

     การศึกษาเรื่องการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม และปัจจัยที่ส่งผลกระทบถึงต้นทุนการผลิต รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร

กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือเกษตรผู้เลี้ยงหอยนางรมในเขตพื้นที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 52 ราย โดยเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามเกษตรกร และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย และร้อยละ ในการคำนวณอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนจะใช้รายได้จากการขายและต้นทุนในการผลิต

ผลการศึกษาพบว่าการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจะมีต้นทุนเฉลี่ย 1,704.71 บาท/ไร่ และรายได้เฉลี่ย 1,716.18 บาท/ไร่ โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนเท่ากับ 1.01 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายได้ที่เกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมได้รับนั้นมากกว่าต้นทุนการผลิตหอยนางรม ดังนั้นการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจึงเหมาะสมต่อการลงทุน โดยปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและต้นทุนการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร ได้แก่ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งประกอบด้วยปริมาณน้ำฝนที่มีจำนวนมากทำให้น้ำทะเลมีความเค็มลดลงส่งผลให้หอยนางรมตาย คิดเป็นร้อยละ 37.96 ของต้นทุนการผลิต การปล่อยน้ำเสียจากบ่อกุ้งและโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่ทะเล คิดเป็นร้อยละ 52.06 ของต้นทุนการผลิต และการลักขโมยหอยนางรมคิดเป็นร้อยละ 9.98ของต้นทุนการผลิต  แนวทางแก้ไขจะพบว่า ในด้านของปัญหาการลักขโมยหอยนางรมนั้นเกษตรกรจะต้องทำการเฝ้าระวังเอง ส่วนในด้านของน้ำเสียและฝนตกนั้นยังไม่มีแนวทางแก้ไข แต่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติ

คำสำคัญ: การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน, การผลิตหอยนางรม, อำเภอกาญจนดิษฐ์, จังหวัดสุราษฎร์ธานี

 

ABSTRACT

     Cost and benefit analysis of oyster production a case study Kanchadit in Surat Thani. The objective to study the cost and benefit analysis of oyster production and the factor affecting production cost. Including the problems happened in the production of oyster agriculturist.

The sampling groups were 52 case of oyster agriculturist in Kanchadit, Surat Thani province. The research tools were interview questionnaires, statistics for data analysis such as average percentage. The calculation of return on the using revenue from the sales and production cost.

The results showed that production of agriculturist’s oyster have an average cost 1,704.71 baht /rai and average revenue 1,716.18 baht per rai.ฟังอ่านออกเสียง Return on costs was 1.01 demonstrating that Income agriculturist’s oyster production has been higher than the cost of producing oysters. Therefore, the productions of oyster agriculturist are  suitable for investment. The factors that will affect production and production costs of agriculturist’s oyster. Including external factors that can’t control. Consists of rain that has a lot of the water salinity resulted in reduced oyster mortality. Representing 37.96 percent of the cost of production. Discharge of wastewater from shrimp ponds and factories into the sea. Representing 52.06 percent of the cost of production. And stealing oysters per cent. 9.98 of the cost of production. Solution is found. In the problem of theft of oysters, Agriculturist will have to watch yourself. In the area of waste water and rain is not solution yet. But will receive assistance from the government in the event of natural disasters.

 

Keyword: Cost and Benefit Analysis, Oyster production, Kanchanadit, Surat Thani Province.

บทนำ

          หอยนางรมมีชื่อสามัญคือ Oyster หอยนางรม (วงศ์ Osteridae) นั้นมีหลายสายพันธุ์แต่ที่นิยมใช้เลี้ยงกันอยู่โดยทั่วไปนั้น แบ่งออกเป็น 3 ชนิดด้วยกันคือ หอยนางรมพันธุ์เล็กหรือหอยนางรมปากจีบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Saccostreacommercoalis หอยนางรมพันธุ์นี้มีเลี้ยงมากทางภาคตะวันออก ส่วนหอยนางรมอีกสองพันธุ์ที่เหลือเป็นหอยนางรมที่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่เรียกว่า หอยตะโกรม (Crassostreabelcheri) และหอยตะโกรมกรามดำ (C.lugubris) แม้ว่าจะมีการเลี้ยงกันบ้างในภาคตะวันออก แต่การเลี้ยงส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตจังหวัดภาคใต้

โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีการเลี้ยงหอยนางรมเป็นจำนวนมากที่สุดจังหวัดหนึ่ง เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะเลี้ยงหอยนางรมและมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ลักษณะการขึ้นลงของน้ำทะเลไม่รุนแรงมากนัก อีกทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีลักษณะเป็นอ่าวที่บรรจบกับแม่น้ำที่เป็นน้ำจืดกับน้ำทะเล จึงทำให้ระดับความเค็มของน้ำทะเลอยู่ในสภาวะสมดุลที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของหอย ประกอบกับเป็นบริเวณที่แม่น้ำตาปีไหลมาบรรจบจึงเกิดเป็นน้ำกร่อยที่มีระดับความเค็มพอเหมาะและอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมทำให้มีแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของหอยนางรมมีเป็นจำนวนมาก  จากลักษณะที่หอยนางรมเป็นหอยสองฝาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจึงมีผู้บริโภคหอยนางรมกันมากและตลาดของหอยนางรมนั้นยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก เพราะผลผลิตในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศทำให้การเพาะเลี้ยงหอยนางรมมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น

คำขวัญจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ว่า  เมืองร้อยเกาะ  เงาะอร่อย  หอยใหญ่  ไข่แดง  แหล่งธรรมะซึ่งแสดงให้เห็นว่าหอยนางรมเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทั้งราคาของหอยนางรมมีราคาสูงมาก  จึงทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาในเรื่องของต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม เพื่อทราบถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่แท้จริงของการผลิตหอยนางรมและปัจจัยที่ส่งผลกระทบถึงต้นทุนการผลิต รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร โดยนำผลการศึกษาที่ได้ไปเป็นแนวทางในการวางแผนการผลิต หอยนางรมของเกษตรกรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

  1. เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร ในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
  2. เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร ในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
  3. เพื่อศึกษาถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขในการเลี้ยงหอยนางรม

 

ขอบเขตของการศึกษา

การศึกษาเรื่องต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรมนี้  จะศึกษาเกษตรกรในเขต อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจะทำการศึกษาวิธีการดำเนินการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 52 ราย โดยทำการศึกษาข้อมูลในช่วงเดือนตุลาคม 2555 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2556

 

ระเบียบวิธีวิจัย

การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรมของเกษตรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีการดำเนินการดังรายละเอียดต่อไปนี้

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร

ประชากรที่ศึกษา ได้แก่เกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์มีทั้งหมด 13 ตำบล แต่ผู้วิจัยจะทำการศึกษาเฉพาะ 5 ตำบล เนื่องจาก 5 ตำบลนี้จะมีบริเวณที่ติดกับชายฝั่งทะเล ซึ่งจะเป็นบริเวณที่ใช้ในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร ส่วนที่เหลืออีก 8 ตำบล จะไม่มีพื้นที่ติดบริเวณชายฝั่งทะเลจึงทำให้เกษตรกรไม่มีการผลิตหอยนางรม

กลุ่มตัวอย่าง

การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจำนวนฟาร์มหอยนางรมทั้งหมด 525 ราย (จากการสอบถามจากเกษตรกร) และเนื่องจากประชากรมีความคล้ายคลึงในด้านของวิธีการผลิต ผู้วิจัยจึงได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 52 ราย จากทั้งหมด 525 ราย มาเป็นตัวแทนในการวิจัย โดยใช้วิธีการสุ่มแบบลูกโซ่ (ตามคำแนะนำของเกษตรกรในพื้นที่และผู้ที่มีความรู้)

 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแบบสอบถาม โดยการวางแนวคำถามตามประเด็นในกรอบความคิดของการวิจัย ซึ่งครั้งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร

ตอนที่ 2 การดำเนินการผลิตหอยนางรม

ตอนที่ 3 ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิต

ตอนที่ 4 สภาพปัญหาการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร

โดยแบบสอบถามจะมีลักษณะคำถามเป็นคำถามปลายปิด ดังตัวอย่างของแบบสัมภาษณ์ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแนวความคิดของการวิจัยที่ได้แนบไว้

 

การเก็บรวบรวมข้อมูล

ผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยนางรมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยแบบสอบถามที่ใช้ในการเก็บข้อมูลได้แบ่งออกเป็น 4 ตอนดังนี้

ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร

ตอนที่ 2 การดำเนินการผลิตหอยนางรม

ตอนที่ 3 ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิต

ตอนที่ 4 สภาพปัญหาการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร

ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามจะได้นำมาทำการรวบรวมข้อมูลโดยการจัดเรียงข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Excel เข้ามาช่วยในการจัดเรียงข้อมูล เพื่อให้เกิดความสะดวกในการนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

การวิเคราะห์ข้อมูล

จากข้อมูลที่ได้จากการสอบถามโดยใช้แบบสอบถามแล้ว ผู้วิจัยจะนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัย โดยใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ดังนี้

  1. ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 โดยการนำข้อมูลที่จากแบบสอบถามของเกษตรกรมาทำการวิเคราะห์เพื่อศึกษาถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่ได้รับจากการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร ในการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรม สามารถนำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามมาทำการวิเคราะห์ได้จากดังนี้

การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost Analysis)

ต้นทุนรวม (Total Cost: TC)

เป็นต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการใช้ปัจจัยการผลิตชนิดต่างๆ ในการผลิตสินค้าและบริการจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วยต้นทุนคงที่รวมและต้นทุนผันแปรรวม สามารถคำนวณได้จากสมการ

TC = TFC + TVC

ต้นทุนคงที่รวม(Total Fixed Cost: TFC)

เป็นต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิต หรือเป็นต้นทุนที่จ่ายสำหรับปัจจัยคงที่ทุกชนิดของธุรกิจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับอัตราการผลิตหนึ่ง เช่น ดอกเบี้ย ค่าเช่าที่ดิน ค่าเครื่องมือ-อุปกรณ์ ค่าเช่าโรงเรือน ค่าเสื่อมราคา เป็นต้น เหล่านี้เป็นต้นทุนที่กิจการไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่ากิจการจะทำการผลิตสินค้าหรือไม่ก็ตาม

ต้นทุนผันแปรรวม(Total Variable Cost: TVC)

เป็นต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิตหรือเป็นต้นทุนที่จ่ายสำหรับการใช้ปัจจัยผันแปรจำนวนต่างๆกัน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิต เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื่อเพลิง จำนวนแรงงาน หรือชั่วโมงทำงาน ค่าอาหาร  และค่าพาหนะ เป็นต้น

ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost)

ในการใช้ปัจจัยการผลิต เช่น ค่าเสียโอกาสในการใช้แรงงาน ค่าเสียโอกาสที่ดิน ค่าเสียโอกาสสำหรับเงินทุนของผู้ผลิตเองที่ใช้ในการซื้อเครื่องจักรและเครื่องมือ ค่าเสียโอกาสในการใช้เงินทุนหมุนเวียน

ผลตอบแทนจากการผลิต (Benefit of  Production)

ผลตอบแทนจากการผลิตทาง การเกษตรในที่นี้ หมายถึง รายได้  (Income )

รายรับรวม  (Total Revenue : TR) คือจำนวนเงินที่เกษตรกรได้จากการขายผลผลิตที่ผลิตได้จากฟาร์มซึ่งเท่ากับ ราคาผลผลิต ( P ) คูณด้วยจำนวนผลผลิต ( Q )

 

  1. ใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 และ 3 โดยการนำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามของเกษตรกรมาทำการศึกษาถึงปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตหอยนางรม รวมทั้งปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เกิดขึ้นในการผลิตหอยนางรม

 

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรมครั้งนี้ได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 52 ราย จากประชากรทั้งหมด 525 ราย ที่ผลิตหอยนางรมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 5 ตอนดังนี้คือ

ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกร

ตารางที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรม

รายการ จำนวนราย ร้อยละ n=52
เพศ

ชาย

หญิง

28

24

53.84

46.16

อายุ

25 ปี – 35 ปี

36 ปี – 45 ปี

46 ปี – 55 ปี

55 ปีขึ้นไป

4

20

13

15

7.69

38.46

25.00

28.85

ระดับการศึกษา

ประถมศึกษา

มัธยมศึกษาตอนต้น

มัธยมศึกษาตอนปลาย

อนุปริญญา

ปริญญาตรี

31

6

9

4

2

59.62

11.54

17.31

7.69

3.84

  จำนวน(ราย) ค่าเฉลี่ย สูงสุด ต่ำสุด
ประสบการณ์(ปี) 52 14.42 30 1

ที่มา: จากการสำรวจและการคำนวณ

 

จากการสอบถามพบว่าเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมส่วนใหญ่(ร้อยละ 54) เป็นเพศชาย โดยอายุของเกษตรกรร้อยละ 38 มีอายุ 36 ปี – 45 ปี ร้อยละ 29 จะเป็นเกษตรกรที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ร้อยละ 25 จะมีอายุอยู่ที่ 46 ปี – 55 ปี ส่วนอายุ 25 ปี – 35 ปี จะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 8

ทั้งนี้ระดับการศึกษาของเกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 60 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 ร้อยละ17 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 12 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ส่วนเกษตรกรที่จบการศึกษาระดับอนุปริญญาและระดับปริญญาตรี มีร้อยละ 8 และร้อยละ 4 ตามลำดับ

ด้านการประกอบอาชีพพบว่าเกษตรกรได้ทำการผลิตหอยนางรมเป็นอาชีพหลักและเป็นเจ้าของกิจการเองโดยเงินทุนที่ใช้ในการผลิตหอยนางรมจะใช้เงินทุนของตนเอง ในด้านประสบการณ์ในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14 ปี โดยที่ประสบการณ์ในการผลิตหอยนางรมสูงสุดเท่ากับ 30 ปี และต่ำสุดคือ 1 ปี

ตอนที่ 2 ด้านการดำเนินงาน

ตารางที่ 2 การดำเนินงานของเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรม

รายการ จำนวน(ราย)   ร้อยละ n=52
วิธีการเลี้ยง
แท่งซีเมนต์ 24 46.16
หลอดหรือท่อซีเมนต์ 28 53.84
จำนวน(ราย) ค่าเฉลี่ย สูงสุด ต่ำสุด
พื้นที่เพาะเลี้ยง 52 14.42 100 4
แรงงาน จ้าง ร้อยละ ทำเอง ร้อยละ
การปักแท่งซีเมนต์,หลอดซีเมนต์ 20 38.46 32 61.54
การปักเขต 14 26.92 38 73.08
การเก็บหอย 16 30.77 36 69.23
ค่าจ้างแรงงาน ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย ค่าเสียโอกาสแรงงานเฉลี่ย
การปักแท่งซีเมนต์,หลอดซีเมนต์(บาท/ไร่/เดือน) 83.63

69.38

94.21

0

74.35

35.99

72.09

334.65

การปักเขต(บาท/ไร่/เดือน)
การเก็บหอย(บาท/ไร่/เดือน)
การเฝ้าระวัง(บาท/ไร่/เดือน)
รวม 247.22 517.08

ที่มา : จาการสำรวจและการคำนวณ

 

หมายเหตุ :

  1. ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่อไร่คิดจาก ค่าจ้างแรงรวม/พื้นที่รวม
  2. ค่าเสียโอกาสแรงงานในครัวเรือน ค่าจ้างแรงรวม /พื้นที่รวม โดยค่าจ้างแรงงานครัวเรือนต่อคน คือ 172 บาท /วัน (กระทรวงแรงงาน.2555)

จากการสอบถามพบว่าเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมส่วนใหญ่(ร้อยละ 54) จะเลี้ยงโดยการใช้หลอดซีเมนต์หรือท่อซีเมนต์ และร้อยละ 46 จะใช้แท่งซีเมนต์ และพื้นที่การเพาะเลี้ยงหอยนางรมของเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14 ไร่ โดยมีพื้นที่การผลิตหอยนางรมสูงสุดเท่ากับ 100 ไร่ และต่ำสุดคือ 4 ไร่

ในด้านของแรงงานในการดำเนินการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรในขั้นการปักแท่งซีเมนต์หรือหลอดซีเมนต์ส่วนใหญ่(ร้อยละ62) จะดำเนินการทำเองโดยจะมีค่าเสียโอกาสประมาณ 74 บาท/ไร่ ส่วนร้อยละ 38 จะมีการจ้างแรงงานมาดำเนินการแทน โดยจะมีค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย 84 บาท/ไร่ ในขั้นของการปักเขตเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนั้นสวนใหญ่ (ร้อยละ 73) จะมีการดำเนินการเอง โดยจะมีค่าเสียโอกาสประมาณ 36 บาท/ไร่ ส่วนร้อยละ 27 จะมีการจ้างแรงงานมาดำเนินการ โดยจะมีค่าจ้างเฉลี่ย 69 บาท/ไร่ และในขั้นของการเก็บผลผลิตหรือการเก็บหอยนางรมนั้นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 69) จะมีการดำเนินการเอง โดยจะมีค่าเสียโอกาสประมาณ 72 บาท/ไร่ ส่วนร้อยละ 31 จะการจ้างแรงงานมาดำเนินการแทน โดยจะมีค่าจ้างเฉลี่ย 94 บาท/ไร่  ทั้งนี้ในขั้นตอนการเฝ้าระวังนั้นเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมจะมีการไปเฝ้าเองโดยจะมีค่าเสียโอกาสประมาณ 335 บาท/ไร่

กระบวนการผลิต

 

ตอนที่ 3 ด้านต้นทุนและผลตอบแทน

 

ตารางที่ 3 ต้นทุนค่าอุปกรณ์

รายการ จำนวน

(หน่วย/ไร่)

จำนวนเงิน

(บาท/หน่วย)

จำนวนเงิน

(บาท/ไร่)

อายุการใช้งาน(ปี) ค่าเสื่อม

(บาท/เดือน)

ค่าเสียโอกาส

(บาท/เดือน)

ค่าแท่งปูน 2,565 15 38,475 12 267.19 167
ค่าเรือ 1 12,375 12,375 20 51.56 32.23
ค่าที่พัก 1 35,882 35,882 25 119.61 74.75
รวม 438.36 273.98

ที่มา: จาการสำรวจและคำนวณ

 

หมายเหตุ :

  1. ค่าเสื่อมราคาคิดจาก

ราคาทุน/จำนวนปีใช้งาน *  1/12

  1. ในการคิดค่าเสียโอกาสคิดในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ร้อยละ 0.625/ปี (ธนาคารพาณิชย์.2555)

จากการศึกษาพบว่าในพื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถปักแท่งซีเมนต์ได้ประมาณ 2,565 แท่ง โดยจะมีราคาเฉลี่ยแท่งละ 15 บาท และมีอายุการใช้งาน 12 ปี จะมีค่าเสื่อมราคาของแท่งซีเมนต์เท่ากับ 267.19 บาท/เดือนและมีค่าเสียโอกาสเท่ากับ 167 บาท/เดือน และในการดำเนินการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจะมีการใช้เรือยนต์โดยเรือยนต์จะมีราคาเฉลี่ย 12,375 บาท/ลำ มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 20 ปี จะมีค่าเสื่อมราคาของเรือเท่ากับ 51.56 บาท/เดือน และมีค่าเสียโอกาสเท่ากับ 32.23 บาท/เดือน ทั้งนี้เกษตรกรยังมีการสร้างที่พักไว้เพื่อพักอาศัยในเวลากลางคืนตอนที่ทำการเฝ้าระวังโดยที่พัก จะมีราคาเฉลี่ย 35,882 บาท/ไร่  มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 25 ปี จะมีค่าเสื่อมราคาของที่พักเท่ากับ 119.61 บาท/เดือน และมีค่าเสียโอกาสเท่ากับ 74.75 บาท/เดือน

ตารางที่ 4 ต้นทุนของการผลิตหอยนางรม (ไร่ : เดือน)

รายการ ต้นทุนที่เป็นตัวเงิน ต้นทุนที่ไม่ใช่ตัวเงิน ต้นทุนรวม
ต้นทุนคงที่     719.01
ค่าน้ำ 6.67 6.67
ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ 438.36 438.36
ค่าเสียโอกาสเงินทุนอุปกรณ์ 273.98 273.98
ต้นทุนผันแปร     985.7
แรงงาน 247.22 247.22
ค่าเชื้อเพลิง 221.4 221.4
ค่าเสียโอกาสด้านแรงงาน 517.08 517.08
รวม 475.29 962.23 1,704.71

ที่มา: จากการสำรวจและคำนวณ

 

หมายเหตุ :

  1. ค่าน้ำ 80 บาท/ไร่/ปี เมื่อคิดเป็นเดือนจะได้ 6.67 บาท /ไร่/ เดือน
  2. ตัวเลขต้นทุนนำมาจากตารางที่ 2 และตารางที่ 3

             จากการสอบถามจากเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยนางรมพบว่าในด้านของต้นทุนการผลิตหอยนางรมจะประกอบด้วยต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร โดยต้นทุนส่วนใหญ่ของเกษตรกรจะเป็นต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายออกไปเป็นตัวเงิน และต้นทุนที่จ่ายออกเป็นตัวเงินจะประกอบด้วยต้นทุนคงที่คือค่าน้ำ (อาชญาบัตร) 6.67 บาท /ไร่/เดือน ส่วนต้นทุนผันแปรประกอบด้วยค่าจ้างแรงงาน 247.22 บาท/ไร่/เดือน และค่าเชื้อเพลิง 221.4 บาท/ไร่/เดือน จะเห็นได้ว่าต้นทุนที่จ่ายออกเป็นตัวเงินหรือต้นทุนการผลิตทางบัญชีจะเท่ากับ 475.29 บาท/ไร่/เดือน

ในด้านของต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายออกไปเป็นตัวเงินจะประกอบด้วยต้นทุนคงที่คือ ค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์ 438.36 บาท /ไร่ /เดือน และค่าเสียโอกาสเงินทุนอุปกรณ์ 273.98 บาท/ไร่/เดือน ส่วนต้นทุนผันแปรคือ ค่าเสียโอกาสด้านแรงงานในครัวเรือน 517.08 บาท/ไร่/เดือน ซึ่งหากรวมต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายออกไปเป็นตัวเงินด้วยแล้วจะได้ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 1,704.71 บาท/ไร่/เดือน

 

ตารางที่ 5 รายรับที่ได้จากการผลิตหอยนางรม (ไร่ : เดือน)

รายการ ราคา

(เฉลี่ย)

ปริมาณ

(ตัว/ไร่)

ร้อยละ

n=202

รายได้

(บาท/ไร่)

ร้อยละ (รายได้)
ขนาดใหญ่ 9.75 112 55.32 1092 63.63
ขนาดกลาง 7.85 41 20.21 321.85 18.75
ขนาดเล็ก 6.17 49 24.47 302.33 17.62
รวม   202 100 1716.18 100

ที่มา : จากการสำรวจและคำนวณ

            จากการสอบถามพบว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงหอยนางรมจะมีการจำหน่ายหอยนางรมเป็น 3 ขนาด โดยจะมีการจำหน่ายหอยนางรมขนาดใหญ่ในราคาเฉลี่ยตัวละ 9.75 บาท ขนาดกลางราคา 7.85 บาท/ตัว และขนาดเล็กราคา 6.17 บาท/ตัว โดยผลผลิตหอยนางรมที่ได้รับเฉลี่ย 202 ตัว/ไร่/เดือน และจะมีการจำหน่ายหอยนางรมขนาดใหญ่ ร้อยละ 55 ขนาดกลางและขนาดเล็ก ร้อยละ 20.21 และร้อยละ 24.47 ตามลำดับ

ในด้านผลตอบแทนจากการจำหน่ายหอยนางรมตามขนาดจะได้รับผลตอบแทนคือ หอยนางรมขนาดใหญ่ 1092 บาท/ไร่ คิดเป็นร้อยละ 63.63 หอยนางรมขนาดกลาง 321.85 บาท/ไร่ คิดเป็นร้อยละ 18.75 และหอยนางรมขนาดเล็ก 302.33 บาท/ไร่ คิดเป็นร้อยละ 17.62 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการจำหน่ายหอยนางรมของเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมจะมีรายได้จากการจำหน่ายเท่ากับ 1716.18 บาท/ไร่/เดือน

 

ตอนที่ 4 สัดส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนในการผลิตหอยนางรม

            รายได้จากการจำหน่ายหอยนางรมในพื้นที่ 1 ไร่/เดือน โดยจากการการสอบถามจากเกษตรกรพบว่ารายได้จากการจำหน่ายหอยนางรมเท่ากับ 1,716.18 บาท/ไร่/เดือน และมีต้นทุนในการผลิตหอยนางรมตามการคิดต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 1,704.71 บาท /ไร่/เดือนดังนั้นสัดส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนในการผลิตหอยนางรมสามารถคำนวณได้จากสูตร

 

จากการคำนวณจะเห็นได้ว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนของการผลิตหอยนางรมมีค่าเท่ากับ 1.01 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายได้ที่เกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมได้รับนั้นมีมากกว่าต้นทุนการผลิตหอยนางรม ดังนั้นการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจึงเหมาะสมที่จะลงทุน

 

ตอนที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต

ตารางที่ 6 ปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตหอยนางรม

ปัจจัยภายนอก ร้อยละ
การลักขโมย 9.98
น้ำเสีย 52.06
ฝนตก 37.96

ที่มา: จากการสำรวจและคำนวณ

 

จากการสอบถามเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานีพบว่า ปัจจัยภายในไม่ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตหอยนางรม จะมีเพียงแต่ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร โดยปัจจัยภายนอกได้แก่ การลักขโมยคิดเป็นร้อยละ 9.98 น้ำเสียที่ปล่อยจากบ่อกุ้งและโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็นร้อยละ 52.06 และฝนตกคิดเป็นร้อยละ 37.96 ของต้นทุนการผลิต

 

ตอนที่ 6 ด้านปัญหา

ตารางที่ 7 ปัญหาและอุปสรรคในการผลิตหอยนางรม

ปัญหา ผู้ประสบปัญหา(ราย) ร้อยละ
1.การลักขโมยหอยนางรม 11 17.74
2.น้ำเสีย 15 24.2
3.ฝนตก 36 58.06
รวม 62 100

ที่มา: จากการสำรวจและคำนวณ

หมายเหตุ : ผู้ผลิตหอยนางรมบางรายอาจให้คำตอบมากกว่า 1 คำตอบ

            จากการสอบถามเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้นพบ เกษตรกรส่วนใหญ่ประสบปัญหาเรื่องฝนตกมากที่สุดคือมีจำนวน 36 ราย คิดเป็นร้อยละ 58 รองลงมาคือปัญหาเกี่ยวกับน้ำเสียที่ปล่อยมาจากบ่อกุ้งมีจำนวน 15 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.2 และปัญหาการลักขโมยหอยนางรมมีจำนวน 11ราย คิดเป็นร้อยละ 17.7

จากการสอบถามจากเกษตรกรในด้านของแนวทางแก้ไขจะพบว่า ในด้านของปัญหาการลักขโมยหอยนางรมนั้นเกษตรกรจะไปทำการเฝ้าระวังเอง ส่วนในด้านของน้ำเสียและฝนตกนั้นยังไม่มีแนวทางแก้ไข แต่จะมีความช่วยเหลือจากรัฐบาลในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติ อย่างเช่นในปีที่ผ่านเกิดภัยจากธรรมชาติทำให้หอยนางรมตายเป็นจำนวนมาก ทำให้เกษตรกรเกิดการเสียหาย ทางรัฐบาลก็ได้เข้ามาช่วยเหลือโดยให้เงินสนับสนุนเกษตรกร โดยไร่ที่ 1-5 จะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 9,000 บาท ส่วนไร่ที่ 6 ขึ้นไปจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 4,500 บาท

 

สรุปการวิจัย อภิปราย และข้อเสนอแนะ

หอยนางรมเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหอยนางรมเป็นหอยสองฝาที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจึงมีผู้บริโภคหอยนางรมกันมากและตลาดของหอยนางรมนั้นยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก เพราะผลผลิตในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศทำให้การเพาะเลี้ยงหอยนางรมมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรกรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยการนำแบบสอบถามจำนวน 52 ราย มาใช้ในการวิเคราะห์ในเรื่องของต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม เพื่อทราบถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่แท้จริงของการผลิตหอยนางรมและปัจจัยที่ส่งผลถึงต้นทุนในการผลิตหอยนางรม รวมถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เกิดขึ้นในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร

สรุปผลการวิจัย

จากการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรในเขตอำเภอ

กาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้

  1. จากการศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้

จากการศึกษาพบว่าเกษตรกรที่ทำการผลิตหอยนางรมส่วนใหญ่เป็นเพศชาย และจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาโดยเฉพาะประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นส่วนใหญ่ โดยเกษตรจะทำการผลิตหอยนางรมเป็นอาชีพหลักและเป็นเจ้าของกิจการเองโดยเงินทุนที่ใช้ในการผลิตหอยนางรมจะใช้เงินทุนของตนเอง ในด้านประสบการณ์ในการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14 ปี ในด้านการดำเนินงานเกษตรกรส่วนใหญ่ (ร้อยละ 54) จะทำการเลี้ยงหอยนางรมโดยใช้หลอดซีเมนต์หรือท่อซีเมนต์ โดยมีพื้นที่การผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 14 ไร่ และในด้านแรงงานจะพบว่าส่วนใหญ่จะใช้แรงงานในครัวเรือนมากกว่าการจ้างแรงงาน โดยเฉพาะการเฝ้าระวังหอยนางรมเกษตรกรจะมีการดำเนินการเอง

ส่วนในเรื่องของต้นทุนในการผลิตหอยนางรมจะพบว่า ต้นทุนส่วนใหญ่จะเป็นต้นทุนที่เกษตรกรไม่จ่ายเป็นตัวเงิน ซึ่งทำให้การคำนวณต้นทุนทางบัญชีได้ผลการคำนวณออกมาคือ 475.29 บาท /ไร่ /เดือน แต่ต้นทุนทางบัญชีไม่ได้รวมถึงต้นทุนในด้านที่ไม่ได้จ่ายเป็นตัวเงิน ดังนั้นจึงต้องคำนวณต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์เพื่อที่จะได้นำต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายเป็นตัวเงินมาคำนวณไว้ในต้นทุนด้วย โดยต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ที่คำนวณได้คือ 1,704.71 บาท /ไร่ /เดือน และด้านผลตอบแทนจากการจำหน่ายหอยนางรมของเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมพบว่า การจำหน่ายหอยนางรมของเกษตรกรมีรายได้จากการจำหน่ายเท่ากับ 1,716.18 บาท /ไร่ /เดือน และมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนของการผลิตหอยนางรมจะพบว่าสัดส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนในการผลิตมีค่าเท่ากับ 1.01 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รายได้ที่เกษตรกรผู้ผลิต  หอยนางรมได้รับนั้นมีมากกว่าต้นทุนการผลิตหอยนางรม ดังนั้นการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจึงเหมาะสมต่อการลงทุน อีกทั้งการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรนั้นจะเป็นการลงทุนที่มีการลงทุนที่ละน้อยและค่อยๆ ขยายตัว รวมทั้งค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตก็ไม่สูง จึงสามารถที่จะลงทุนในการประกอบอาชีพได้

  1. จากการศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้

จากการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตหอยนางรมจะเป็นปัจจัยภายนอกได้แก่ การลักขโมยหอยนางรมร้อยละ 9.98 น้ำเสียร้อยละ 52.06 และฝนตกร้อยละ37.96 ส่วนปัจจัยภายในนั้นจะไม่มีผลต่อต้นทุนการผลิตหอยนางรม

  1. จากการศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้

จากการศึกษาพบว่าปัญหาในการผลิตหอยนางรมของเกษตรได้แก่ ปริมาณน้ำฝนที่มีจำนวนมากทำให้น้ำทะเลมีความเค็มลดลงส่งให้หอยนางรมตายและอุปกรณ์การเลี้ยงหอยเกิดการเสียหายซึ่งจะส่งผลทำให้ต้นทุนในการผลิตหอยนางรมสูงขึ้น  น้ำเสียที่ปล่อยมาจากบ่อกุ้งจะส่งผลให้หอยนางรมตาย และการลักขโมยหอยนางรมจะเป็นปัญหาที่ส่งผลทำให้เกิดต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากจะต้องใช้แรงงานในการเฝ้าระวังฟาร์มหอยนางรม

ด้านของแนวทางแก้ไขพบว่า ปัญหาการลักขโมยหอยนางรมนั้นเกษตรกรจะไปทำการเฝ้าระวังเอง ส่วนปัญหาน้ำเสียและปริมาณน้ำฝนที่มีจำนวนมากนั้นยังไม่มีแนวทางแก้ไข แต่จะมีความช่วยเหลือจากรัฐบาล อย่างเช่นในปีที่ผ่านเกิดภัยจากธรรมชาติทำให้หอยนางรมตายเป็นจำนวนมาก ทำให้เกษตรกรเกิดการเสียหาย ทางรัฐบาลก็ได้เข้ามาช่วยเหลือโดยให้เงินสนับสนุนเกษตรกรไร่ละ 4,500 บาท

 

 อภิปรายผล

            จากการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรกรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบประเด็นสำคัญที่ได้จากผลการวิจัย และผู้วิจัยได้นำมาอภิปรายผลโดยการนำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาอ้างอิงสนับสนุนหรือขัดแย้งดังนี้

จากผลการวิจัยพบว่า ต้นทุนการผลิตหอยนางรมของเกษตรกรจะประกอบด้วยต้นทุนที่จ่ายออกไปเป็นตัวเงิน(ต้นทุนทางบัญชี) และต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายเป็นตัวเงิน(ค่าเสื่อมราคาและค่าเสียโอกาส)  จึงทำให้เมื่อคำนวณต้นทุนการผลิตทางเศรษฐศาสตร์จะได้ต้นทุนการผลิตคือ 1,704.72 บาท/ไร่/เดือน และในด้านของผลตอบแทน (รายได้) จากการจำหน่ายหอยนางรมของเกษตรกรจะเท่ากับ 1,716.18 บาท/ไร่/เดือน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเกษตรกรจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าผลตอบแทน

จากผลการศึกษาเรื่องเศรษฐกิจการผลิตหอยนางรมในประเทศไทย(สมคิด.2550) จะได้ผลการศึกษาว่าผลตอบแทน (รายได้) ที่ได้รับจากการจำหน่ายหอยนางรมของเกษตรกรสูงกว่าต้นทุนการผลิตของหอยนางรม และในด้านของปัญหาในการผลิตหอยนางรมจะประกอบไปด้วย น้ำเสีย และภัยธรรมชาติ

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการที่ผลการศึกษาไม่มีความต่างกัน และถึงแม้ในปีที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมได้ประสบปัญหาในด้านของผลผลิตเสียหายจากภัยธรรมชาติ จึงทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับอยู่ในอัตราที่ลดลง

 

ข้อเสนอแนะ

จากผลการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตหอยนางรม : กรณีศึกษาเกษตรกรในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์  จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีข้อเสนอแนะดังนี้

  1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้

ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นข้อมูลที่ได้จากเกษตรกรโดยข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลในปี 2555 จึงทำให้ข้อมูลอาจจะแตกต่างจากปีอื่นๆ เนื่องมาจากในปี 2555 เกษตรกรผู้ผลิตหอยนางรมได้ประสบปัญหาในการดำเนินการผลิตซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นและรายรับลดลงเป็นจำนวนมาก

  1. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป

.2.1 ควรมีการทำการวิจัยในเรื่องของตลาดของหอยนางรมว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร และราคาของหอยนางรมนั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตหอยนางรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.2 ควรมีการทำวิจัยเรื่องปัญหาการผลิตหอยนางรมอย่างละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุใด เพื่อที่จะได้หาแนวทางป้องกันและแก้ไขทำให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งศึกษาถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้การสนับสนุนการผลิตหอยนางรมของเกษตรกร

 

เอกสารอ้างอิง (Reference)

 

จุฑามาศ ทวีไพบูลย์วงษ์(แปล) .2550. เศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ : เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโด

ไชน่า .

ชยันต์ ตันติวัสดาการ. 2550. เศรษฐศาสตร์จุลภาค : ทฤษฎีและการประยุกต์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

นราทิพย์ ชุติวงศ์. 2548. หลักเศรษฐศาสตร์ : จุลเศรษฐศาสตร์.กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทรูปลูกปัญญา. 2552. .หอยนางรมจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี.(ออนไลน์).สืบค้นได้จาก :

Error! Hyperlink reference not valid.true/knowledge_detail.php?mul_content_id=41.

[กุมภาพันธ์ 2554]

ธนาคารแห่งประเทศไทย. 2554. อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร.(ออนไลน์).สืบค้นได้จาก :

http://www.bot.or.th/thai/statistics/financialmarkets/interestrate/_layouts/application/

interest_rate/in_rate.aspx.[กุมภาพันธ์ 2554]

มือทอง. 2554. อัตราค่าจ้างแรงงานปี 2554.(ออนไลน์).สืบค้นได้จาก :

http://www.oknation.net/blog/Pasakorn/2010/12/09/entry-1.[กุมภาพันธ์ 2554]

ยุพิน ผัดแสน. 2545. การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการลงทุนเลี้ยงปลานิลจากลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยง

 ปลานิล   อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย.หลักสูตรปริญญาบัญชีมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สมพงษ์ อรพินท์. 2539. เศรษฐศาตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ : แมคกรอ-ฮิล .

เสาวลักษณ์ กล้าอยู่. 2545. การศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงกุ้งกุลาดำขนาด 3-4ไร่ ใน

อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช.หลักสูตรปริญญาบัญชีมหาบัณฑิต

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช.

อภิรัฐ ตั้งกระจ่าง. 2546. เศรษฐศาสตร์การจัดการ. กรุงเทพฯ : บริษัท ธรรมสาร จำกัด.

อมร สุวรรณชนะและคณะ. 2552. การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตไผ่หวานของสมาชิก

ในวิสาหกิจชุมชน : กรณีศึกษาบ้านคลองเรือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี.สาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

Robin Bade, Michael Parkin. 2008. Foundations of microeconomics. Pearson Education

Indochina Ltd.

Janya HIGANO. 2009. Research of oyster.(ออนไลน์). สืบค้นได้จาก : http://www.fra.affrc.go.jp/

bulletin/ bull/bull29/5.pdf. [ธันวาคม 2553]

 

 

 

 

 

 

การปรุงอาหาร (การผลิตรายการ) แบบ You  Can Do It!

ชื่อผลงานทางวิชาการ             การปรุงอาหาร (การผลิตรายการ) แบบ You  Can Do It!

ปีที่พิมพ์                             2556

ข้อมูลเพิ่มเติม                      เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิทยาการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีที่ 1 ฉบับที่ 1  และสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Youtube Channel “Keng Candoit

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

อาจารย์มนัสวี พัวตระกูล  สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน

คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

บทความ เรื่อง  การปรุงอาหาร (การผลิตรายการ) แบบ You  Can Do It! ผู้เขียน คืออาจารย์มนัสวี พัวตระกูล สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่วิธีการและขั้นตอนของการปรุงอาหารที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน ร่วมกับอาจารย์อารยา แสงมหาชัย สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และทีมงาน โดยได้ร่วมกันผลิตรายการโทรทัศน์ออกอากาศทางช่อง GWE (Green World Edutainment Channel) ช่อง IPTV ของทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ชื่อรายการ You Can Do It!    เป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ผู้เขียนชื่นชอบในการชิมอาหารจากทั่วทุกมุมโลกและต้องการจะถ่ายทอดและสืบทอดศิลปวัฒนธรรมของชาติต่างๆผ่านทางเมนูอาหารที่เน้นการทำได้ง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวคุณผู้ชมเอง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าขั้นตอนวิธีการผลิต รายการโทรทัศน์ You Can Do It! นั้นสร้างสรรค์ ขึ้นจากองค์ประกอบ พื้นฐานการผลิตสื่อซึ่งประกอบไปด้วย 3P คือ Pre Production, Production และ Post Production นั่นเอง

จุดเด่นของบทความนี้ นอกจากเป็นการผลิตรายการ การปรุงอาหาร ออกรายการโทรทัศน์ออกอากาศแล้ว การดำเนินงานของรายการนี้แต่ละรายการ ยังปฏิบัติงานเป็นกระบวนการหรือขั้นตอนการเตรียมงาน เริ่มต้น ที่การวางแผน (Plan) กำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเป้าหมาย จัดลำดับ ขั้้นตอนการทำงาน กำหนดระยะเวลาในการทำงาน (Action Plan) กำหนดวิธีการทำงาน กำหนดสถานที่ กำหนดผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอน กำหนดงบประมาณค่าใช้จ่าย การจัดทำเนื้อหา(Content)  และการ เขียนบท (Script)

ประโยชน์ที่ได้รับจากบทความนี้ จะได้รับความรู้ เมนูที่แปลกใหม่และรสชาติอร่อย ซึ่งจะขอเน้นย้ำว่า Creative Thinking  หรือความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

 

การปรุงอาหาร (การผลิตรายการ) แบบ You  Can Do It!

                                                                                                            อาจารย์มนัสวี พัวตระกูล 

            สำหรับผู้เขียนแล้วการผลิตรายการโทรทัศน์ก็เปรียบได้กับการลงมือทำอาหารจะปรุงอย่างไรให้ได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมแต่ต้องแฝงมาด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ผู้ปรุง(เชฟ) จะต้องคำนึงถึงวัตถุดิบปริมาณที่ใช้รวม ถึงต้องคิดว่าจะหาวัตถุดิบและเครื่องปรุงมาจากที่ไหนได้บ้าง ที่สำคัญที่สุดก็คือเคล็ดลับในการปรุง ซึ่งเชฟ แต่ละท่าน คงจะมีเคล็ดลับที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วเคล็ดลับง่ายๆในการปรุงคือ Creative Thinking หรือ ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งก็ควรที่จะเลือกตามสิ่งที่เราสนใจ หรือมีวัตถุดิบและเนื้อหา ที่เยอะพอสมควรอยู่ในมือ

 

อย่างตัวผู้เขียนเองมีโอกาสได้ลองผลิตรายการโทรทัศน์ออกอากาศทางช่อง GWE (Green World Edutainment Channel) ช่อง IPTV ของทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ชื่อรายการ You Can Do It! เป็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ผู้เขียนชื่นชอบในการชิมอาหารจากทั่วทุกมุมโลกและต้องการจะถ่ายทอดและสืบทอดศิลปวัฒนธรรมของชาติต่างๆผ่านทางเมนูอาหารที่เน้นการทำได้ง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวคุณผู้ชมเอง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าขั้นตอนวิธีการผลิต รายการโทรทัศน์ You Can Do It! นั้นสร้างสรรค์ ขึ้นจากองค์ประกอบ พื้นฐานการผลิตสื่อซึ่งประกอบไปด้วย 3P คือ Pre Production, Production และ Post Production นั่นเอง เรามาลองลงมือปรุง อาหาร(ลงมือผลิตรายการ) โดยผ่านวิธี 3P กับรายการ You Can Do It! กันดู เริ่มจาก Pre Production หรือขั้นตอนการเตรียมงาน เริ่มต้น ที่การวางแผน (Plan) กำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเป้าหมาย จัดลำดับ ขั้้นตอนการทำงาน กำหนดระยะเวลาในการทำงาน (Action Plan) กำหนดวิธีการทำงาน กำหนดสถานที่ กำหนดผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอน กำหนดงบประมาณค่าใช้จ่าย การจัดทำเนื้อหา(Content)  และการ เขียนบท (Script)

โจทย์ยาก! รายการอาหารกับคนที่ทำอาหารไม่เป็นแต่ชิมเป็นอย่างเดียว ผู้เขียนยอมรับว่าเริ่มแรกทีเดียว ไม่เคยคิดว่าการทำรายการเกี่ยวกับอาหารนั้นจะยุ่งยาก หากแต่เริ่มลงมือในขั้นตอนการวางแผนแล้วกลับพบ อุปสรรคนานาประการ เริ่มจากจะทำอย่างไรให้รายการอาหารของเราออกมาในรูปแบบที่แตกต่างจากรายการ อาหารอื่นๆที่มีอยู่มากมายในปัจจุบันนี้และโดยส่วนตัวนั้นผู้เขียน ก็ไม่มีความ สามารถโดดเด่นด้านการทำอาหาร หากนักหากแต่ เป็นคนที่ชอบชิม ชอบอ่านชอบคิด ชอบศึกษาจึงได้คิดนำเอา ศาสตร์ด้านการละครที่เรียนมาเข้ามา ผสมผสานเพื่อสร้างความแปลก ใหม่และแตกต่างจากรายการอาหารอื่นๆ โดยกำหนดวางโครงคร่าวๆให้ทาง รายการเปลี่ยนรูปแบบรายการและเมนูอาหารไปตาม Theme จาก ภาพยนตร์ ละคร หรือ การ์ตูนที่มีชื่อเสียงจาก ทั่วโลก

เมื่อแก้ปัญหาข้อแรกได้เรียบร้อย การกำหนดวัตถุประสงค์ของรายการให้เป็นรายการอาหารที่สามารถให้ คุณผู้ชมทางบ้านร่วมสนุกและทำตามเองได้ไม่ยากใช้เวลาน้อยและวัตถุดิบที่หาง่ายจึงตามมาซึ่งนั่นยังเป็นที่มาของชื่อรายการ You Can Do It! (คุณเองก็สามารถทำได้) อีกด้วย เสมือนทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดีหากสิ่งที่เป็น อุปสรรคใหญ่ยังคงรออยู่ตรงหน้า

 

ใครจะมาเป็นเชฟให้กับทางรายการ? เป็นความโชคดีของผู้เขียนที่ได้รู้จักกับอาจารย์ อารยา แสงมหาชัย ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นด้านการทำอาหารและสามารถสร้างสรรค์เมนูที่สามารถตอบสนองความคิดที่ซับซ้อนของผู้ผลิตรายการอย่างผู้เขียนได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น เป็นธีมละครเรื่องคู่กรรม เมนูอาหารก็ควรต้องเป็นอาหารไทย ผสมผสานกับอาหารญี่ปุ่นแต่จะธรรมดาๆไม่ได้ต้องเกี่ยวเนื่องกับตัวละคร อาหารที่ออกมาจึงมีลักษณะเฉพาะเป็น เอกลักษณ์ที่หาดูและทดลองทำได้เฉพาะรายการของเราเท่านั้น เช่น ขนมดอกไม้ของโกโบริ มีชื่อและส่วนผสมที่มา จากดอกมะลิเนื่องจากในละครเรื่องคู่กรรมนั้นโกโบริ ถูกเรียกว่า “พ่อดอกมะลิ” เป็นต้น

ผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่าย แต่ละขั้นตอน? เป็นสิ่งที่ยากรองๆลงมาจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ตั้งแต่การสรรหาทีมงานไม่ว่าจะเป็น พิธีกร คนเขียนสคริปต์รายการ ตากล้อง คนตัดต่อ ฝ่ายแต่งหน้าและเครื่องแต่งกาย ทีมประสานงาน  ทีมดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากรวมถึงการจัดหาสถานที่ในการถ่ายทำ ต้องยอมรับว่าผู้เขียนคนเดียวคงไม่ สามารถทำสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้สำเร็จหากไม่ได้ความร่วมมือร่วมใจจากนิสิต นักศึกษา ศิษย์เก่ารวมถึงเพื่อนๆ คณาจารย์จากคณะวิทยาการจัดการ

 

ปัญหาที่ต้องตอบคำถามมากที่สุด? ทำไมถึงไม่ใช้นิสิตในการเป็นพิธีกร จริงๆแล้วส่วนใหญ่ก่อนการผลิต รายการออกมาเป็นรูปแบบที่นำเสนอออกอากาศ ผู้ผลิตมักจะผลิตเทปที่เราเรียกว่าเป็นเทปทดลอง หรือ Pilot Tape ออกมาก่อน You Can Do It! ก็เช่นกัน ทางทีมงานได้ทดลองออดิชั่น นิสิตเข้ามาทดลองเป็นพิธีกรดำเนินรายการ ต้องยอมรับว่านิสิตยังเกร็งและยังจดจำสคลิปได้ไม่แม่นยำ รวมถึงการต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องอาศัย ความว่องไวอย่างมืออาชีพรวมทั้งความรู้รอบตัวทางด้านประวัติศาสตร์การอาหาร จึงทำให้ทางทีมงานตัดสินใจที่ จะมองหามืออาชีพเข้ามาเสริมทีม เพื่อเป็นการสร้าง Character ให้เป็นจุดขาย จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องยากที่ต้องทำคน ให้แปลงมาเป็นสินค้าผู้ผลิตต้องอาศัยหลักการตลาดและหลักการโฆษณาเข้ามาช่วยทำให้เชฟและพิธีกรที่เลือกมาดูมีความน่าเชื่อถือ ดูมีความเชี่ยวชาญและมีความชำนาญการทั้งทางด้านการอาหารและการแสดง นั่นจึงเป็นที่มาว่า ทำไมทางรายการจึงไม่ได้ใช้นิสิตในการเป็นพิธีกรเพราะต้องการควบคุมการผลิตให้เป็นไปได้ตามกำหนดการถ่ายทำและออกอากาศ เพื่อประหยัดคอร์สทั้งด้านเวลาและการเงินที่ต้องลงทุนรวมถึงคำนึงเรื่องของประสิทธิภาพ ของรูปแบบรายการในการนำเสนอออกอากาศ ซึ่งนิสิตที่เข้ามาฝึกฝนเป็นทีมงานได้เรียนรู้และเข้าใจวิธีการใน การแก้ปัญหาในรูปแบบนี้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้จากผลงานการทำงานส่งในรายวิชาทางด้านการผลิตสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิชาการผลิตรายการโทรทัศน์ หรือ การผลิตภาพยนตร์ นิสิตเรียนรู้ถึงเรื่องของต้นทุน การคำนวน รายรับ – รายจ่ายของกองถ่าย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินงานในวงการบันเทิงอย่างมืออาชีพ

ละคร อาหาร กับงานประวัติศาสตร์! เมื่อขั้นตอนพื้นฐานทั่วไปในการบริหารจัดการผ่านพ้นไป งานหลัก ต่อมาคือการเขียนบทซึ่งต้องอาศัยเนื้อหาและ Content ที่มีรายละเอียดที่ลงลึกและมีความถูกต้องแม่นยำในการ นำเสนอข้อมูลนั้นๆออกมา ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับละคร ภาพยนตร์หรือ การ์ตูน หรือประวัติศาสตร์ของ อาหารที่เลือกมาเป็นธีมในการนำเสนอ หนังสือ และการท่องเว็บไซด์เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่เว้นแม้แต่การ ติดตามชมและอ่านข่าว เพราะบางครั้งเราต้องอาศัยสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นเข้ามาปรับและเลือกเนื้อหาให้น่า สนใจเป็นที่ติดตามหรือเป็นกระแสในขณะนั้นเพื่อเรียกเรทติ้งหรือคะแนนนิยมให้กับทางรายการ(สายวงการบันเทิงนั้นเรทติ้งถือได้ว่าเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงความอยู่รอดของรายการ ละคร หรือภาพยนตร์)

เมื่อขั้นตอนแรกผ่านไปแล้วลำดับต่อไปคือ Production หรือขั้นตอนการถ่ายทำ เริ่มจากดูว่าเราเลือก การถ่ายทำในสถานที่(Studio) หรือเป็นแบบ การถ่ายทำนอกสถานที่(Outdoor) ซึ่งถ้าหากเราเลือกการถ่ายทำในสถานที่ก็จะมีข้อได้เปรียบคือสามารถ ควบคุมแสง  เสียง และจัดตกแต่งฉากได้โดยไม่ต้องกังวลกับสภาพ ดินฟ้าอากาศฝนตก อากาศร้อน หนาว ช่วยให้ถ่ายทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ทางรายการ You Can Do It! เลือกที่จะถ่ายทำในสถานที่มีการจัดเซทฉากรวมถึงอุปกรณ์ประกอบฉากขึ้นมา นอกจากนี้ขั้นตอนนี้ยังเป็นอีก หนึ่งขั้นตอนที่นิสิต นักศึกษาได้ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะของกล้องลักษณะต่างๆ เลนส์การใช้กล้องแต่ละชนิด ที่แตกต่างกัน รวมถึงมุมกล้องและการเคลื่อนที่ของกล้องเช่น

 

 

การเคลื่อนกล้อง (Camera movement)

Pan                   การส่ายกล้องไปด้านข้าง

Pan Left            การส่ายกล้องไปด้านซ้ายของผู้ถ่าย

Pan Right          การส่ายกล้องไปด้านขวาของผู้ถ่าย

Tilt                   การแหงนและการก้มกล้อง

Tilt Up              การแหงนกล้องจากจุดต่ำขึ้นไปหาจุดสูง

Tilt Down          การถ่ายจากจุดสูงแล้วค่อยๆก้มลงต่ำ

Dolly                  การตั้งกล้องไว้บนรางสำหรับเลื่อนกล้องเข้าหาหรือ ถอยออกห่าง จากวัตถุที่ถ่าย

Dolly In             เลื่อนเข้าหาสิ่งที่ถ่าย

Dolly Out          เลื่อนออกห่างจากสิ่งที่ถ่าย

Arch                 การตั้งกล้องบนรางวงกลมแล้วเลื่อนไปรอบๆสิ่งที่ถ่าย

 

และขั้นตอนสุดท้าย คือ Post Production คือ ขั้นตอนการตัดต่อ ลำดับภาพ ลงเสียง แพร่ภาพออกอากาศ และประเมินผลรายการที่ออกอากาศ (ประเมินเรทติ้ง) ซึ่งในส่วนนี้นิสิต นักศึกษาเป็นผู้ดำเนินการตัดต่อผ่านการ ควบคุมดูแลของคณาจารย์โดยในส่วนนี้จะได้รับความรู้ในด้านการลำดับภาพ การตัดต่อภาพ การเปลี่ยนภาพเช่น

 

การเปลี่ยนภาพ (Transition)

Cut                   ในการตัดต่อ เป็นการตัดภาพจากภาพหนึ่งไปอีกภาพหนึ่งอย่าง ต่อเนื่อง เช่นตัดจาก

Long Shot เป็น Close Up  เป็นการตัดภาพชนภาพ และอีกความหมายหนึ่ง

ถ่าย

ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์  เป็นการสั่งหยุดกล้อง หยุดการแสดงใน การถ่ายแต่ละ Take

Dissolve            เป็นการเปลี่ยนภาพจากภาพหนึ่งไปยังอีกภาพหนึ่ง โดยให้ภาพ

หนึ่งกำลังจะมืดดำหมด แล้วให้ภาพที่สองค่อยๆสว่างทับเข้ามา เป็นการซ้อนภาพ   ใช้สำหรับย่นเวลา ระยะทางหรือแสดงความคิด ความฝัน

Freeze               การหยุดภาพที่กำลังเคลื่อนไหวให้นิ่งตรงจุดที่ต้องการให้นิ่ง  เพื่อ

เน้นความสนใจ เพื่อแสดงรายละเอียดบางส่วนของสิ่งที่ถูกถ่าย

Focus                การปรับเลนส์กล้องให้ภาพคมชัด

Zoom                การดึงภาพที่ถ่ายไกลให้เข้ามาใกล้หรือภาพใกล้ให้ออกไกล

Zoom In            ดึงภาพไกลให้เข้ามาใกล้

Zoom Out          ทำภาพใกล้ ให้ออกไกล

Fade Out = F.O. ทำให้ภาพที่ชัดอยู่แล้ว ค่อยๆจาง มืดหายไป ใช้ตอนจบตอน หรือจบฉาก

หรือจบเรื่อง

 

ผู้เขียนขอฝากเมนูอาหาร(รายการ) You Can Do It! ให้ผู้อ่านได้ลองลิ้มรสชาติว่ามีความกลมกล่อมและ อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเพียงใด โดยสามารถทดลองชิม(รับชมรายการ) ได้ทางกล่องรับสัญญาณ ดิจิตอลของบริษัท TOT ช่องGWE (719) หรือรับชมรายการย้อนหลังได้ทาง YouTube Channel “Keng Candoit” และหากใครต้องการที่จะลองปรุงอาหาร(ลองผลิตรายการโทรทัศน์) สักหนึ่งเมนูก็ขอให้ทุกท่านลองตั้งต้นคิดสูตร ที่เป็นแบบฉบับของตนเองและลองลงมือทำตามขั้นตอนคร่าวๆที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ ถึงแม้ว่าช่วงแรกๆที่เราคิดค้น การปรุงอาจจะไม่ได้รสชาติที่ถูกใจแต่เมื่อปรับสูตรและตั้งใจฝึกฝนต่อไปผู้เขียนเชื่อว่าจะได้เมนูที่แปลกใหม่และรสชาติอร่อยลงตัวอย่างแน่นอน ซึ่งจะขอเน้นย้ำว่า Creative Thinking  หรือความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการเดินในเส้นทางสายบันเทิงหรือสื่อสารมวลชนอย่างมืออาชีพ เหมือนอย่างกับ คำคมของ Edwin Land ที่ว่า  “An Essential Aspect Of Creativity Is Not Being Afraid To Fail” มุมมองที่สำคัญ ของความคิดสร้างสรรค์คือ อย่ากลัวความล้มเหลว นั่นเอง_

 

 

สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ YouTube Channel “Keng Candoit

 

อิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ต่อคำหยาบคายด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวในบทภาพยนตร์ เรื่อง “ปั๊มน้ำมัน”

 

อิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ต่อคำหยาบคายด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวในบทภาพยนตร์ เรื่อง “ปั๊มน้ำมัน”


The influence of the film media on profanity in relation to fictitious relationships  In the screenplay TitledGas Station”.

 

นายวรรณลักษณ์ อินทร์จันทร์

บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการรับรู้คำหยาบคายของผู้ชมในบทภาพยนตร์เรื่องปั๊มน้ำมัน ศึกษาพฤติกรรมการเลียนแบบคำหยาบคายด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของผู้ชมภาพยนตร์ เพื่อชี้ให้เห็นอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ต่อการรับรู้เกี่ยวกับคำหยาบคายด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวจากบทภาพยนตร์เรื่อง “ปั้มน้ำมัน” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่ผู้วิจัยใชวิธีการสุมตัวอยางแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ด้วยการกําหนดเลือกผู้ชมภาพยนตร์ ที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง “ปั้มน้ำมัน” มีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In – depth Interview) เปนเครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอมูล รวมระยะเวลาดำเนินการวิจัยจำนวนทั้งสิ้น 6 เดือน

ผลการวิจัยพบว่า สื่อภาพยนตร์ไม่มีอิทธิพลต่อผู้ชมภาพยนตร์ในเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาว หากภาพยนตร์นั้นได้รับการจัดประเภทให้เหมาะสมกับอายุของผู้ชมภาพยนตร์ ในส่วนผู้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ปั๊มน้ำมัน”สามารถรับรู้ในคำหยาบคาย แต่ไม่ถึงขั้นต้องมีพฤติกรรมเลียนแบบตามบทภาพยนตร์

ความคิดเห็นส่วนมากเห็นว่าถ้อยคำหยาบคายที่ส่อไปในทางชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์ในบางประโยคที่มีในบทภาพยนตร์สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ผู้ชมส่วนมากคิดว่าเป็นการถ่ายทอดตามอารมณ์ของตัวละครมากกว่าการยั่วยุเรื่องเพศ และพฤติกรรมเชิงชู้สาวเป็นพฤติกรรมส่วนตัวของแต่ละบุคคล

สื่อภาพยนตร์มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเลียนแบบในกรณีที่ผู้ชมไม่มีวุฒิภาวะและวิจารณญาณในการรับชม เนื่องจากภาพยนตร์เป็นสื่อที่เข้าถึงได้ง่าย หาชมได้ตามเว็บโซต์ทั่วไป ผู้ชมอาจจะจดจำภาพจากภาพยนตร์และเกิดพฤติกรรมในการเลียนแบบขึ้น เช่น บทสนทนา หรือภาพล่อแหลมชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์ อาจส่งผลต่อเด็กและเยาวชนเพราะเป็นวัยที่กำลังอยากรู้ อยากเห็น ถ้าไม่มีดุลยพินิจในการรับชมที่เพียงพออาจมีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนได้ ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด

อิทธิพลของสื่อภาพยนตร์กับสื่อมวลชนแขนงอื่นมีความแตกต่างกัน และมีผลต่อพฤติกรรมการเลียนแบบของผู้เสพสื่อที่แตกต่างกัน เช่น สื่อภาพยนตร์ และสื่อโทรทัศน์การเข้าถึงในเนื้อหาทำให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบของผู้เสพสื่อนั้นช้ากว่าสื่ออินเทอร์เน็ต เพราะสื่ออินเทอร์เน็ตมีการเข้าถึงอย่างรวดเร็วและถ้าผู้เสพสื่อไม่มีวิจารณญาณการกลั่นกรองที่ดีเพียงพออาจมีพฤติกรรมการเลียนแบบได้ง่ายกว่าสื่อภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์ ที่มักจะถูกปิดกั้นจากทางภาครัฐได้โดยง่าย มากกว่าสื่ออินเทอร์เน็ตที่มีการเข้าถึงข้อมูลของผู้เสพสื่อได้อย่างรวดเร็วและขาดการกลั่นกรองข้อมูลก่อนตัดสินใจ ทำให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบของผู้เสพสื่อได้ง่ายกว่าสื่อมวลชนแขนงอื่น

คำสำคัญ : ภาพยนตร์, คำหยาบคาย, ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว, การรับรู้, พฤติกรรมการเลียนแบบ
Abstract

The objective of this research is to study the recognition of the violent words of the person who watched the movie named “Gas Station” and to study the imitation of using those words relating to the sexual relationship in order to show the influence of movie on the recognition of the words represent in the movie’s menu script of the Gas Station. The qualitative technique is applied and the technique of sampling is the purposive sampling technique. The in-depth interview technique is pursued for correcting data. Total research time is 6 months.            The research found that Film has no influence on movie audiences on fictional relationships. If the movie is categorized appropriately for the age of the movie audience. In the movie audience. “Gas station” can be recognized in profanity. But not to the point of having to imitate the script.

The informers perceive that the violent words relating to sexual relationship represented in the movie’s menu script are prevalence in daily life. Most of the watchers think that those words are only the way of showing the emotion but do not the intent of encouraging the sexual behavior. In fact, the sexual behavior is the personal preference.

The movie will influence the behavior of individual only in the case of person who currently don’t meet mutuality level of life or who don’t have sufficient ability to make judgment. As it is prevalence, it thus allows the watchers to remember and to imitate the dialogues or picture that encourage the sexual relationship especially by adolescent. In this case, the adult should offer recommendation closely.

Comparatively, the influence produced from the movie differs from other kinds of media and they also results in difference level of the imitation behavior of the person who internalizes them. For instance, movie and television which are under strictly controlled of government can affect the imitated behavior slower than internet because this internet offers a fastest way to reach and if the person who consumes the information of it doesn’t have enough ability to make judgment, it then can result in the imitation behavior easily.

 

Keywords : film, vulgarity, adulterous, perception, Imitation behavior

 View Fullscreen

 

การจัดนิทรรศการท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อบริการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวไทย

 ชื่อผลงานทางวิชาการ  การจัดนิทรรศการท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อบริการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวไทย

ปีที่พิมพ์  2556

ข้อมูลเพิ่มเติม  เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปีที่ 33 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2556

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

ผศ.ดร.สุดถนอม  ตันเจริญ สาขาวิชาการเป็นผู้ประกอบการ

คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

                บทความวิจัย  เรื่อง การท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อชุมชนและท้องถิ่น (Travel Exhibition Influencing the Purchasing Decision Making on Domestic Travel of Thai Tourists) ผู้ศึกษา คือ ผศ.ดร.สุดถนอม ตันเจริญ  สาขาวิชาการเป็นผู้ประกอบการ คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและองค์ประกอบสำคัญของการจัดนิทรรศการท่องเที่ยว ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อบริการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวไทย โดยการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานนิทรรศการท่องเที่ยว ในกรุงเทพฯ จำนวน 400 คน

ผลการวิจัย พบว่า สถานที่จัดงาน ที่จอดรถ ภาพลักษณ์ของธุรกิจท่องเที่ยว พนักงานขาย และการลดราคา มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจากโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ตมีผลต่อการกระตุ้นการซื้อมากที่สุด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่นิยมท่องเที่ยวในวันหยุดกับครอบครัว จากผลการวิจัย นำมาสู่ข้อเสนอแนะว่า ผู้จัดงานควรให้ความสำคัญกับการวางแผนเกี่ยวกับที่จอดรถและแผนผังการจัดงาน การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจท่องเที่ยว การส่งเสริมการขายและมนุษยสัมพันธ์ของพนักงานขาย เนื่องจากเป็นปัจจัย ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อบริการท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยอย่างมาก โดยมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดงานและข้อมูลด้านการท่องเที่ยวผ่านสื่อโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ตให้มาก ในส่วนของภาครัฐ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเน้นการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการท่องเที่ยว สร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในเชิงกลุ่มพื้นที่ที่มีศักยภาพอย่างจริงจัง ตลอดจนการรณรงค์การท่องเที่ยวภายในประเทศ ร่วมกับเอกชนและหน่วยงานอื่นทุกภาคส่วน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์โปรแกรมการท่องเที่ยวใหม่ ๆ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มต่าง ๆ ในประเทศมากขึ้น

ประโยชน์ที่ได้รับที่ได้รับจากการวิจัยครั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง สามารถนำข้อมูลจากการศึกษาไปปรับปรุงและ/พัฒนาแผนงานด้านการจัดนิทรรศการท่องเที่ยว และแผนการสื่อสารการตลาดการท่องเที่ยวภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

 

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ 19/1 ถนนเพชรเกษม แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพฯ 10160

Email: [email protected] โทร.0982899495 โทรสาร 028074528

 

บทคัดย่อ

                การท่องเที่ยวโดยชุมชนแสดงถึงการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม ชุมชนมีบทบาทเป็นเจ้าของ ทำหน้าที่กำหนดทิศทางการจัดการการท่องเที่ยว จัดการดูแลทรัพยากรการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้มาเยือน ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม องค์กรชุมชน การจัดการ และการเรียนรู้ โดยทุกส่วนจะเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์ ปัจจุบันทุกชุมชนยังต้องการความร่วมมือภายในชุมชนต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถช่วยกันเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนโดยทำความเข้าใจในบทบาทด้านการวางแผน การตัดสินใจ การดำเนินการ และการสรุปบทเรียน ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไปและเกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น ทั้งด้านการสร้างงานสร้างรายได้ ความเข้มแข็งของชุมชนและการพึ่งตนเอง ตลอดจนคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวและปริมาณของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

คำสำคัญ: การท่องเที่ยว การท่องเที่ยวโดยชุมชน การจัดการการท่องเที่ยว ท้องถิ่น

                Community Based Tourism presents the consideration of sustainable environment, society, and culture. By which community’s people play roles in the directing the tourism management, taking care of tourism resources for clients’ learning. Its essential components are natural resources, culture, communal organizations, management, and learning which concerning to natural travel destinations, cultural custom, way of life, and history. Nowadays every community needs more cooperation within their community including the participation among communes, municipality and local administrative organization, public and private concerned organizations. All such organizations are able to create and enhance public’s knowledge and understanding about Sustainable Community Based Tourism with community’s potential development by understanding the roles in planning, making decision, operating, and lesson learned summary. Leading to community based tourism management by next generation continually would occur and usefulness for locality on income and careers’ contribution, stronger and self-reliance, including the tourism destination’s quality and more tourists.

Keywords: tourism, community based tourism, tourism management, community

 

 

บทนำ

                การรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศมากขึ้น การเดินทางที่สะดวกขึ้น โทรคมนาคมที่ให้ข้อมูลมากขึ้น สิทธิเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายทรัพยากรต่าง ๆ มีมากขึ้น กำลังซื้อมีมากขึ้น ทิศทางการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกจึงมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางในอาเซียนกว่า 80 ล้านคน เป็น 80 ล้านคนที่มีคุณภาพ ที่มองว่าอาเซียนคือแหล่งท่องเที่ยวราคาถูก ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้ไหลเวียนในภูมิภาคกระจายรายได้สู่คนในท้องถิ่นได้ บทบาทของชุมชนต่อการท่องเที่ยว คือกระบวนการในการจัดการความรู้ภายในชุมชนเอง มีการพัฒนาทักษะและเพิ่มเติมความรู้ใหม่ให้กับสมาชิกในชุมชนในการ บริหารจัดการท่องเที่ยว(ศูนย์ประสานงานเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน, 2559)

                การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางพาณิชย์ที่มีความสำคัญมากสาหรับเศรษฐกิจของหลายประเทศในอาเซียน ถึงแม้การท่องเที่ยวจะสร้างรายได้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่อีกด้านหนึ่งการท่องเที่ยวก่อให้ผลกระทบต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศ สังคมและวิถีชีวิตของคนในชุมชนด้วย เช่น  การที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากกว่าที่สิ่งแวดล้อมจะรองรับไหวจนเกิดปัญหาขยะ น้ำเสีย จนสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมในที่สุด เกิดปัญหาขัดแย้งกับคนในชุมชน เช่น ปริมาณน้ำไม่พอใช้ ปัญหาบุกรุกที่ดิน วัฒนธรรมในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป

                ก่อนที่จะกล่าวถึงสาระสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างการท่องเที่ยวโดยชุมชนและท้องถิ่น ผู้เขียนขอกล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” และ “การท่องเที่ยวชุมชน” อยู่ที่ “การจัดการ” เนื่องจากการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีการจัดการเองโดยชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน และเพื่อประโยชน์ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนเป็นสำคัญ แต่การท่องเที่ยวชุมชนอาจจะอาศัยองค์ประกอบที่มีอยู่ของชุมชนหรือศักยภาพของชุมชนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการท่องเที่ยวในพื้นที่นั้น ๆ โดยมีผู้ประกอบการและ/หรือรัฐเข้ามาส่งเสริมหรือสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชน

                ประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับมีหลายทาง คือประโยชน์ในด้านการพัฒนาของชุมชนเองโดยที่การท่องเที่ยวทำขึ้นเพื่อตอบสนองปัญหาหรือความต้องการของชุมชนบางอย่าง มิใช่เพียงความต้องการทางด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่ชุมชนต้องการประโยชน์ในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชนนั้นก็จะมีแนวทางจัดการสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม หรืออาจจะเป็นการทำนุบำรุงศิลปะวัฒนธรรมและประเพณีของชาติและท้องถิ่นไว้ให้ยั่งยืนสู่ลูกหลานรุ่นต่อไป ดังนั้นประโยชน์ก็คือสิ่งที่เป็นเป้าหมายกับชุมชน มุ่งไปที่การพัฒนาการจัดการมากกว่าประโยชน์ในเรื่องรายได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การสร้างงานและรายได้เป็นผลพลอยได้ที่เกิดแก่ชุมชนและท้องถิ่นภายหลังที่ชุมชนได้มีการพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว

 

การท่องเที่ยวโดยชุมชน

                ช่วงเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมาและในอนาคตมีแนวโน้มของพัฒนาแนวคิดและรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) เติบโตขึ้นเป็นเครือข่ายมากขึ้น คือ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ด้วยเหตุที่ชาวบ้านในบางชุมชนที่เกิดความตระหนักในปัญหาดังกล่าว บวกกับแรงหนุนเสริมจากภาครัฐและเอกชน  การท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงถูกริเริ่มขึ้น

การท่องเที่ยวท่องเที่ยวชุมชน เป็นการเน้นให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการทำงาน กล่าวคือ การที่มุ่งพัฒนาให้คนในชุมชนเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการท่องเที่ยว และไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ได้เน้นถึงการสร้างศักยภาพของคนในท้องถิ่นให้ใช้ความรู้ของตนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน เพื่อนำไปสู่การดูแลรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติโดยให้มีความสมดุลกับภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม รวมทั้งการเกื้อกูลต่อเศรษฐกิจของชุมชนในอนาคต เพราะการดูแลทรัพยากรเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของคนในชุมชนซึ่งเป็นของส่วนรวมไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง

                การท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงสะท้อนให้เห็นถึงการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม ชุมชนมีบทบาทเป็นเจ้าของ ทำหน้าที่กำหนดทิศทางการจัดการการท่องเที่ยว จัดการดูแลทรัพยากรการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้มาเยือน ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม องค์กรชุมชน การจัดการ และการเรียนรู้ โดยทุกส่วนจะเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และประวัติศาสตร์ ปัจจุบันทุกชุมชนยังต้องการความร่วมมือภายในชุมชนต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง

                การท่องเที่ยวโดยชุมชน ส่งผลเชื่อมโยงจากคุณค่าของการท่องเที่ยว การพัฒนาคุณภาพชีวิต การมีส่วนร่วมของชุมชน และสิทธิในการบริหารจัดการทรัพยากร ไปสู่ความยั่งยืนในการท่องเที่ยว ในขณะที่การท่องเที่ยวกระแสหลัก เน้นมูลค่าจากการท่องเที่ยว และตัวนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ตลอดจนอาศัยอำนาจเป็นเครื่องมือบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ทำให้ทรัพยากรเกิดความเสื่อมโทรม และไม่มีความยั่งยืน นับได้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรของชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชนโดยแท้ ทำให้ชุมชนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นด้วยกันเอง

ความหมายของการท่องเที่ยวโดยชุมชน

                การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-based Tourism) หมายถึง “ทางเลือกในการจัดการท่องเที่ยวที่ชุมชนเข้ามากำหนดทิศทางของการท่องเที่ยวบนฐานคิดที่ว่าชาวบ้านทุกคนเป็นเจ้าของทรัพยากรและเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากการท่องเที่ยว โดยการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นด้านต่างๆ ไม่ว่า ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตและวิถีการผลิตของชุมชน มาใช้เป็นต้นทุนหรือปัจจัยในการจัดการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม รวมทั้งมีการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนให้มีความรู้ความสามารถและบทบาทที่สำคัญในการตัดสินใจ การวางแผน การดำเนินงาน การสรุปบทเรียน และมุ่งเน้นให้เกิดความยั่งยืนสู่คนรุ่นลูกหลานและเกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น โดยคำนึงถึงความสามารถในการรองรับของธรรมชาติเป็นสำคัญ” ทั้งนี้ความหมายเชิงปฏิบัติการดังกล่าวได้ถูกเขียนขึ้นภายใต้ข้อสรุปที่เกิดจากการดำเนินงานวิจัยการท่องเที่ยวโดยชุมชน ของชุมชน และเพื่อชุมชน อันเป็นความพยายามของชุมชนเองที่จะสร้างอัตตลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว (Tourism Identity) ให้กับพื้นที่ทางสังคมของชุมชนที่ถูกท่องเที่ยว (สินธุ์ สโรบล, 2559)

องค์ประกอบของการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน

                องค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีอยู่ 4 ด้าน คือ 1) ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม 2) องค์กรชุมชน 3) การจัดการ 4) การเรียนรู้ ประเด็นสำคัญของแต่ละองค์ประกอบของการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) (สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน, 2559) อธิบายได้ดังต่อไปนี้

ด้านทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม

1) ชุมชนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และมีวิถีการผลิตที่พึ่งพาและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

2) ชุมชนมีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น

ด้านองค์กรชุมชน

1) ชุมชนมีระบบสังคมที่เข้าใจกัน

2) มีปราชญ์ หรือผู้มีความรู้ และทักษะในเรื่องต่าง ๆ หลากหลาย

3) ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของและเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา

ด้านการจัดการ

1) มีกฎ-กติกาในการจัดการสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว

2) มีองค์กรหรือกลไกในการทำงานเพื่อจัดการการท่องเที่ยว และสามารถเชี่อมโยงการท่องเที่ยวกับการพัฒนาชุมชนโดยรวมได้

3) มีการกระจายผลประโยชน์ที่เป็นธรรม

4) มีกองทุนที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน

ด้านการเรียนรู้

1) ลักษณะของกิจกรรมการท่องเที่ยวสามารถสร้างการรับรู้ ความเข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่าง

2) มีระบบจัดการให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ระหว่างชาวบ้านกับผู้มาเยือน

3)  สร้างจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ทั้งในส่วนของชาวบ้านและผู้มาเยือน

หลักการของการท่องเที่ยวโดยชุมชน

การท่องเที่ยวโดยชุมชน  ที่ใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนมีหลักการ (สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน, 2559) ดังนี้

  1. ชุมชนเป็นเจ้าของ
  2. ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและตัดสินใจ
  3. ส่งเสริมความภาคภูมิใจในตนเอง
  4. ยกระดับคุณภาพชีวิต
  5. มีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม
  6. คงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น
  7. ก่อให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างคนต่างวัฒนธรรม
  8. เคารพในวัฒนธรรมที่แตกต่างและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
  9. เกิดผลตอบแทนที่เป็นธรรมแก่คนท้องถิ่น
  10. มีการกระจายรายได้สู่สาธารณประโยชน์ของชุมชน

                การที่จะให้ชุมชนดำเนินการท่องเที่ยวตามหลักการดังกล่าวข้างต้น จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยว สร้างความเข้าใจในความแตกต่างของการท่องเที่ยวโดยชุมชนกับการท่องเที่ยวทั่วไป กระตุ้นให้คนในสังคมเห็นความสำคัญและเป็นนักท่องเที่ยวที่สนใจการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) กับการพัฒนาชุมชนอย่างเป็นองค์รวม

                การท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในสังคมท้องถิ่นที่ชุมชนใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน การท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงมีจุดเด่นคือชุมชนเป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้เอง มีวิถีชีวิตชุมชนเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง รวมถึงจัดการทรัพยากรบนพื้นฐาน 3 ประการ คือฐานการเรียนรู้และจัดการโดยชุมชน ฐานองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และฐานพิธีกรรม จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว เพราะมีความแตกต่างกับการท่องเที่ยวกระแสหลักอย่างชัดเจน (สุภาวิณี ทรงพรวาณิชย์, 2558)

                ดังนั้น การท่องเที่ยวแบบนี้จึงมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาชุมชนอย่างเป็นองค์รวม ด้วยการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยวที่ชุมชนใช้เป็นฐานการผลิต โดยมีวัฒนธรรมธรรมและสังคมเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องจิตวิญญาณของชุมชน ในการสร้างสัมพันธ์กันภายในชุมชนและการสัมพันธ์กับภายนอก  ในความหมายของการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับการพัฒนาชุมชนอย่างเป็นองค์รวม

ความแตกต่างระหว่างการท่องเที่ยวโดยชุมชนกับการท่องเที่ยวรูปแบบอื่น

                สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน (2559) อธิบายว่า Ecotourism ภาษาราชการเรียกว่า “การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” แต่หลายชุมชนหรือหลายองค์กร เรียก “การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” ความแตกต่างของ Ecotourism กับการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) คือการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) เน้นที่ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการทำงานแต่ Ecotourism มีธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง ชุมชนเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง

                Homestay ภาษาราชการเรียกว่า “ที่พักสัมผัสวัฒนธรรมชนบท” มีความแตกต่างจากการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) คือ เน้นบ้านเป็นศูนย์กลาง แต่การท่องเที่ยวโดยชุมชนให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน มีการบริหารจัดการที่ชัดเจนในรูปองค์กรชุมชน จะพักค้างคืนในชุมชนในรูปแบบที่ชุมชนจัดการ อาทิ โฮมสเตย์ รีสอร์ทชุมชน ตั้งแคมป์หรือไม่ค้างคืนก็ได้

                การท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชาวบ้านในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม  โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันในภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวโดยชุมชนได้เข้าไปมีบทบาทในการสร้างคุณภาพใหม่ของการท่องเที่ยวให้มีความหมายมากกว่าการพักผ่อน ความสนุกสนาน และความบันเทิง เป็นการท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน

                การรับรู้และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการท่องเที่ยวคือหัวใจของการพฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ดังจะเห็นได้จากผลงานวิจัยของ  Ellis (2014) เรื่อง The legacy of war for community-based tourism development: learnings from Cambodia ศึกษาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยชุมชนในกัมพูชา พบว่า ชุมชนรับรู้เรื่องกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในชุมชน เช่น โฮมสเตย์กับกิจกรรมที่เสนอแก่นักท่องเที่ยว และอาหาร ผ่านคณะกรรมการท่องเที่ยวของชุมชนเท่านั้น ไม่รวมถึงกิจกรรมในการซื้อของในตลาดของนักท่องเที่ยว หรือใช้บริการอื่น ๆ ในชุมชน ซึ่งมีทั้งนักท่องเที่ยวอิสระและมากับทัวร์ที่ใช้บริการของกรรมการท่องเที่ยวในชุมชนทั้งสิ้น การรับรู้ที่ขาดหายไปมีผลต่อรายได้ของชุมชน โดยเฉพาะคนที่มีรายได้โดยตรงจากนักท่องเที่ยว และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชนในภาพรวม นอกจากนั้น ชุมชนยังมีรายได้ทางอ้อมจากธุรกิจหรือองค์กรทางการศึกษา วัฒนธรรม และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้มีส่วนร่วมโดยตรงและคนในชุมชนที่ไม่มีส่วนร่วมก็ตาม

                จากผลการวิจัยของ Ellis ชี้ให้เห็นว่า การจัดการการท่องเที่ยวตามแนวคิดของการท่องเที่ยวโดยชุมชนส่งผลต่อมิติทางสังคม คือความสมัครสมานกลมเกลียวและความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน หากสมาชิกในชุมชนได้รับรู้ข้อมูลและมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างทั่วถึง กรรมการหรือผู้นำชุมชนคือส่วนสำคัญอย่างมากต่อการรับรู้และการมีส่วนร่วม ซึ่งนำไปสู่ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจทั้งในระดับบุคคล ครัวเรือน และชุมชนโดยรวมอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับงานวิจัยในประเทศไทยของอภิวัฒน์ ภูริศิวารักษ์ (2553) เรื่อง การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ศึกษาพื้นที่ บ้านฝั่งท่า ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ศึกษารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน การจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้น และการมีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน ผลการศึกษาพบว่า ชมรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อการอนุรักษ์ บ้านฝั่งท่า พัฒนามาจากกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของหมู่บ้าน ซึ่งเกิดจากความคิดเห็นและการร่วมกลุ่มกันเองของชาวบ้าน เพื่อให้การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสบความสำเร็จ จึงได้พัฒนารูปแบบเป็นการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่คนในชุมชนและนำมาซึ่งแรงจูงใจในการให้ความร่วมมืออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชาวบ้าน

                ดังที่กล่าวมา ประเด็นการอนุรักษ์สอดคล้องกับมติที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (The United Nations Conference on Conference on Environment and Development) หรือการประชุม Earth Summit พ.ศ.2535 กับปลุกกระแสการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรการท่องเที่ยวและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการมุ่งหารายได้ทางเศรษฐกิจ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความตระหนักถึงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ ไม่ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นที่ใด จะเป็นกลุ่มใหญ่ (Mass Tourism) เป็นกลุ่มขนาดเล็ก ทั้งในเมืองและชนบท (บุญเลิศ จิตตั้งวัฒนา, 2548) และจากการประชุม Globe’90 ณ ประเทศแคนาดา ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนว่าหมายถึงการพัฒนาที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว และผู้ที่เป็นเจ้าของท้องถิ่นในปัจจุบัน โดยมีการปกป้องและสงวนรักษาโอกาสต่างๆ ของอนุชนรุ่นหลัง (เพชรี นนท์ศิริ, 2550) การจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจึงมีความจำเป็นต่อการรักษาความสมดุลของทรัพยากรการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสำคัญและ มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อชุมชน เช่น ผลงานวิจัยของ จรินทร์ อาสาทรงธรรม (2554) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า แนวทาง การจัดการการท่องเที่ยวชุมชนตลาดน้ำอย่างยั่งยืน ต้องการการมีส่วนร่วมของชุมชน เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน เพื่อให้มีความสามารถในการดูแลรักษาทรัพยากรท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม ทำให้มีทักษะการจัดการและการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก ดังนั้นชุมชนควรมีการวางแผนและควบคุมการใช้ทรัพยากรท่องเที่ยว และการได้รับผลประโยชน์จากการให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาเยือน อันจะทำให้เกิดการกระจายรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ชุมชนตลาดน้ำคลองลัดมะยม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2547 ตลาดน้ำแห่งนี้เกิดขึ้นจากสมาชิกในชุมชนริมน้ำ ได้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบเดิม ซึ่งนับวันจะมีแต่การล่มสลายของวิถีชีวิตริมน้ำ จึงได้มีการรวมตัวกันจัดตั้งตลาดน้ำคลองลัดมะยมขึ้นมา และในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

                จะเห็นได้ว่า การท่องเที่ยวโดยชุมชน จะเน้นคุณค่าของการท่องเที่ยว การพัฒนาคุณภาพชีวิต การมีส่วนร่วมของชุมชนและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ในขณะที่การท่องเที่ยวกระแสหลัก เน้นมูลค่าจากการท่องเที่ยว และตัวนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ตลอดจนอาศัยอำนาจเป็นเครื่องมือบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ทำให้ทรัพยากรเกิดความเสื่อมโทรม และไม่มีความยั่งยืน นับได้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรของชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชนโดยแท้ ทำให้ชุมชนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักท่องเที่ยว ก่อให้เกิดคุณค่า พลัง และความสุขของชุมชนอย่างยั่งยืน

                ในเรื่องของความตระหนักของสมาชิกในชุมชนประกอบกับความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายของตนเองคือหัวใจของการจัดการที่จะนำไปสู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนได้อย่างยั่งยืนคือ “เราอยากจะทำท่องเที่ยวเพื่ออะไร” สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณี ความเข้มแข็งของชุมชน หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือผสมผสานกัน  ไม่ใช่ตามกระแสหรือตามความต้องการขององค์กรใด เช่น เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีด้านความเชื่อของการทำบุญเข้าวัด ประเพณีรดน้ำดำหัวในวันสงกรานต์ หรือเพื่อป้องกันการย้ายถิ่น ไม่อยากให้ลูกหลานไปทำงานในเมือง แล้วมาวางแผนจะดำเนินการอย่างไรในด้านการท่องเที่ยวลูกหลานจะได้มาทำงานสร้างเยาวชน มันก็จะมีประโยชน์แล้วเป็นไปตามเป้าหมาย ในความหมายของการมุ่งมั่นต่อเป้าหมายและดำเนินการไปในทิศทางนั้นอย่างจริงจัง

ข้อควรคำนึงในการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน

                การป้องกันปัญหาด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ผู้นำหรือผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนจะต้องมีวิธีการจัดสรรงานและรายได้อย่างเป็นธรรม ตรงกับนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องการให้มีการจัดการรายได้จากการท่องเที่ยวลงไปสู่ชุมชนอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง โดยกรรมการของชุมชนที่เป็นตัวแทนจากกลุ่มชาวบ้าน นักธุรกิจ องค์กรปกครองท้องถิ่น ยึดมั่นต่อเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์ การดูแลสิ่งแวดล้อม หรือความเข้มแข็งของชุมชน หากมุ่งเป้าหมายเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเดียวก็จะเกิดผลเสียตามมา อาจมีความขัดแย้ง หรือความคิดเห็นไม่ตรงกัน

                เรื่องที่สองคือควรระมัดระวังเรื่องความชัดเจนของผู้ดำเนินการ คือ เมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว ใครล่ะที่จะเป็นผู้ดำเนินการ ทุกคนควรต้องมีส่วนร่วม ขึ้นอยู่กับว่าจะมีส่วนร่วมในลักษณะใด เช่น ผู้นำชุมชนจะต้องมีกระบวนการวางโครงสร้างบทบาทและหน้าที่ให้ชัดเจน เช่น เด็กประถม มัธยม วัยรุ่น วัยทำงาน ทำอะไรบ้าง  ถ้าต่างคนต่างทำก็อาจจะขัดแย้งกันได้

                เรื่องสุดท้ายคือ ผลกระทบด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรการท่องที่ยวได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เช่น น้ำตก แม่น้ำ ภูเขา ป่าไม้ เป็นต้น ส่วนของสิ่งแวดล้อมจะเกี่ยวข้องกับการดูแลให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติ ไม่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาและฝีมือมนุษย์ เช่น การเข้าไปในอุทยานการเน้นย้ำจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ไม่ตัด ดึง ฉีก กิ่งไม้ต้นไม้ ไม่ทิ้งขยะ ไม่ล่าสัตว์ หลีกเลี่ยงการส่งเสียงดังอันจะเป็นการสร้างความรำคาญแก่สัตว์ป่าและอาจเข้ามาทำร้ายได้ เป็นต้น

 

การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน

                ความยั่งยืนของการท่องเที่ยวโดยชุมชนต้องอาศัยสมาชิกภายในชุมชนที่มีความสามัคคีและมีโอกาสหารายได้เพิ่มมากขึ้นจากการจัดการท่องเที่ยว จากการมีโอกาสใกล้ชิดกัน มีการพูดคุยกันมากขึ้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างต่อเนื่องจากผู้รู้และผู้มีประสบการณ์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวและได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ตลอดจนการกำหนดให้มีการประเมินผลและสรุปบทเรียนทุกครั้งของกิจกรรม จะส่งผลให้ชุมชนข้างเคียงเกิดการตื่นตัวและสนใจในกิจกรรมไปด้วย

                จากผลการวิจัยหลายกรณี คณะกรรมการของชุมชนคือตัวแทนจากกลุ่มต่าง ๆ หรือกลุ่มวัยที่แตกต่างกัน และสมาชิกชุมชนดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ รวมถึงสาธารณูปโภคพร้อมต่อการรองรับนักท่องเที่ยว ชุมชนจึงต้องตระหนักถึงการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนโดยทำความเข้าใจในบทบาทด้านการวางแผน การตัดสินใจ การดำเนินการ และการสรุปบทเรียน เกี่ยวกับทรัพยากรการท่องเที่ยว เช่น แหล่งท่องเที่ยว สถานที่พัก ร้านอาหาร บริการสาธารณะที่จำเป็น เป็นต้น นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนและการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยวแล้ว การพัฒนาส่วนประสมการตลาดบริการ (7 Ps) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ตามแนวคิดของ Kotler (2003) ประกอบด้วย 1) การกำหนดมาตรฐานสินค้า/บริการ มีการขายสินค้า/บริการที่มีคุณภาพดี 2) การกำหนดราคาที่ยุติธรรม ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว 3) การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย มีการจัดวางและบอกตำแหน่งร้านค้าที่ชัดเจน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อสินค้าได้สะดวก 4) การส่งเสริมการตลาด เพื่อจูงใจหรือสื่อสารข้อมูลให้นักท่องเที่ยว 5) การพัฒนาคนในชุมชน/เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ และคุณสมบัติของผู้ให้บริการที่ดี (มีจิตบริการ หรือ Service Minded) 6) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ และทัศนียภาพ รวมถึง 7) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการบริการและรับบริการต่าง ๆ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว เช่น ถนน/ป้ายบอกทาง สถานที่จอดรถ ถังขยะที่เพียงพอ ห้องน้ำ มีเสียงตามสายสำหรับประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว เป็นต้น

 

สรุป

                อุตสาหกรรมการทำรายได้ให้กับประเทศไทยจำนวนมหาศาล ฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนจำเป็นจะต้องมีหลักการจัดการที่ดีด้านการอนุรักษ์และเสริมสร้างศักยภาพของการใช้ทรัพยากรท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างงานสร้างรายได้ ความเข้มแข็งของชุมชนและการพึ่งตนเอง ตลอดจนคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยวและปริมาณของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น มีผลต่อการประกอบอาชีพ และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้อย่างยั่งยืน โดยยึดมั่นต่อการปฏิบัติตามแนวทางการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน โดยแสวงหาการสนับสนุนสำคัญจากองค์กรปกครองท้องถิ่น รวมถึงเทศบาล อบต. ใกล้เคียง สถาบันการศึกษา ชุมชนข้างเคียง  ร้านค้าต่างๆ นักธุรกิจร่วมกันสนับสนุนกิจกรรมหรือกองทุนเพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชน ชี้ให้เห็นว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะในประเทศใด จะยั่งยืนได้ สมาชิกในชุมชนด้วยความเข้าใจในแนวคิดของการท่องเที่ยวโดยชุมชนประสมประสานกับการวางแผนการตลาดการท่องเที่ยว (7Ps) และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับความหมาย องค์ประกอบ และหลักการการท่องเที่ยวโดยชุมชน รวมถึงข้อค้นพบตรงกันจากงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ

เอกสารอ้างอิง

7.1 บทความจากวารสาร (Journal)

[1] จรินทร์ อาสาทรงธรรม. (2554). การจัดการการท่องเที่ยวชุมชนตลาดน้ำอย่างยั่งยืน. วารสารนักบริหาร ปีที่ 31(1), 204-209.

[2] Ellis, Sotear. (2014). The legacy of war for community-based tourism development: learnings from Cambodia. Community Development Journal, 49 (1), 129-142.

[3] เพชรศรี นนท์ศิริ. (2550). การพัฒนาการท่องเที่ยวชนบทของประเทศไทย: การถ่ายทอดองค์ความรู้จากประสบการณ์ในประเทศฝรั่งเศส. วารสารวิชาการ การท่องเที่ยวไทยนานาชาติ, (2), 164-182.

7.2 หนังสือ

[1] บุญเลิศ จิตตั้งวัฒนา. (2548). การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน. กรุงเทพฯ: เพรส แอนด์ ดีไซน์.

[2] Kotler, P. (2003). Marketing management. New Jersey: Prentice-Hall.

7.3 เว็บไซด์

[1] ศูนย์ประสานงานเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน. การท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาคน. [ระบบออนไลน์], แหล่งที่มา https:// thaicommunitybasedtourismnetwork__bestpractice/leeled-2/, เข้าดูเมื่อวันที่ 29/01/2559.

[2] สุภาวิณี ทรงพรวาณิชย์. (2558). สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน. [ระบบออนไลน์], แหล่งที่มา https:// thaicommunitybasedtourismnetwork.wordpress.com/media/new/cbtrongkla/, เข้าดูเมื่อวันที่ 1/02/2559.

[3] สินธุ์ สโรบล. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานภาคและเครือข่ายการเรียนรู้และประสานงานวิจัยการท่องเที่ยวโดยชุมชน. การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน. [ระบบออนไลน์], แหล่งที่มา http://www.trf.or.th/index.php__:research-forum&Item id=146, เข้าดูเมื่อวันที่ 5/02/2559.

[4] สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.). รายงานการวิจัย เรื่อง แนวทางการพัฒนาศักยภาพชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านร่องกล้า ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก, [ระบบออนไลน์], แหล่งที่มา http://www.trf.or.th/ index.php?option=com__tid=54:2554&Itemid=203, เข้าดูเมื่อวันที่ 12/02/2559.

[5] สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน. (2559). การท่องเที่ยวโดยชุมชน, [ระบบออนไลน์], แหล่งที่มา http://www.cbt-i.org/?ge=show_pages&gen_ lang=20112012094103#.VtqNi32LTtQ, เข้าดูเมื่อวันที่ 19/02/2559.

 

ประวัติผู้เขียนบทความ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุดถนอม ตันเจริญ

คุณวุฒิปริญญาเอก รัฐศาสตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

สาขาวิชาที่เชี่ยวชาญ การตลาด การท่องเที่ยว การบริหารทรัพยากรมนุษย์ รัฐประศาสนศาสตร์

ตำแหน่งปัจจุบัน รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์

งานวิจัยที่สนใจ การท่องเที่ยว การบริหารธุรกิจ การสื่อสารการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีไทย และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

View Fullscreen

 

 

 

 

 

การตลาดแบบไวรัส เครื่องมือสำคัญในยุคการสื่อสารแบบดิจิทัล

การนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ

ชื่อผลงานทางวิชาการ: การตลาดแบบไวรัส เครื่องมือสำคัญในยุคการสื่อสารแบบดิจิทัล

Viral Marketing :  Communication in the Digital Age

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิชาการ

ปีที่พิมพ์: 2557

ข้อมูลเพิ่มเติม: บทความนี้ได้ลงในวารสารของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ฉบับที่ 1 ปีที่ 1

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ   อาจารย์พิมพ์พิไล ไทพิทักษ์

                    สาขาวิชาการโฆษณาและธุรกิจบันเทิง คณะวิทยาการจัดการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

 

บทความวิชาการ     เรื่อง  การตลาดแบบไวรัส  เครื่องมือสำคัญในยุคการสื่อสารแบบดิจิทัล  (Viral

Marketing : Communication in the Digital Age )   ผู้เขียน คือ อาจารย์พิมพ์พิไล ไทพิทักษ์ อาจารย์สาขาวิชาการโฆษณาและธุรกิจบันเทิง คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงการตลาดแบบไวรัสที่มีการพัฒนามาจากการตลาดแบบปากต่อปาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทำให้วงการสื่อสารการตลาดและการโฆษณาต้องมีการปรับวิธีการสื่อสารไปหาผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยในบทความนี้จะมีการศึกษาถึง 3 ประเด็น ได้แก่  (1) ความหมายหรือคำจำกัดความและลักษณะพื้นฐานของการตลาดแบบปากต่อปากและการตลาดแบบไวรัส (2) เคล็ดลับในการทำการตลาดแบบไวรัสให้ประสบความสำเร็จ ตลอดจนข้อดี-ข้อเสียของการทำการตลาดแบบไวรัส และ(3) อิทธิพลของผู้นำทางความคิดที่มีต่อการตลาดแบบไวรัส

ประโยชน์ที่ได้รับจากบทความนี้  ผู้อ่านจะได้มีความรู้ เข้าใจถึงลักษณะและเคล็ดลับต่าง ๆ ของการตลาดแบบไวรัส จะช่วยให้องค์กรธุรกิจไม่ว่าจะเป็นในภาคส่วนของอุตสาหกรรมบริการ หรือธุรกิจบันเทิง สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ ของตนสู่ยังผู้รับสารตามเป้าหมายได้ อีกทั้งวิธีการทำตลาดแบบไวรัสที่เผยแพร่ผ่านทางผู้มีอิทธิพลทางความคิดไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้น ยังช่วยสร้างความเชื่อถือและเพิ่มโอกาสในการเปิดรับสารของกลุ่มเป้าหมายด้วย
ธุรการเข้าใจ

 

 

การตลาดแบบไวรัส เครื่องมือสำคัญในยุคการสื่อสารแบบดิจิทัล

Viral Marketing : Communication in the Digital Age

 

พิมพ์พิไล ไทพิทักษ์

Pimpilai Thaipitak

สาขาวิชาการโฆษณาและธุรกิจบันเทิง คณะวิทยาการจัดการ

Advertising and Entertainment Business, Faculty of Management Science

 

บทคัดย่อ

บทความนี้เป็นการศึกษาถึงการตลาดแบบไวรัสที่มีการพัฒนามาจากการตลาดแบบปากต่อปาก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทำให้วงการสื่อสารการตลาดและการโฆษณาต้องมีการปรับวิธีการสื่อสารไปหาผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยในบทความนี้จะมีการศึกษาถึง 3 ประเด็น อันได้แก่ (1) ความหมายหรือคำจำกัดความและลักษณะพื้นฐานของการตลาดแบบปากต่อปากและการตลาดแบบไวรัส (2) เคล็ดลับในการทำการตลาดแบบไวรัสให้ประสบความสำเร็จ ตลอดจนข้อดี-ข้อเสียของการทำการตลาดแบบไวรัส และ(3) อิทธิพลของผู้นำทางความคิดที่มีต่อการตลาดแบบไวรัส

 

Abstract

The purposes of this journal is to studyviral marketing that developed from word of mouth marketingas a reason from the change of consumer behavior, the progress of communication technology which is a reason why marketing communication and advertising has to be adjusted itselves in terms of communication channel to the targeted consumer. In this journal, there will be 3 issues namely (1) the meaningor definition and basic type of viral marketing and word of mouth marketing (2) the secret success of viral marketing including advantages and disadvantages of viral marketing and (3) the influences of the opinion leader to the viral marketing.

 

คำสำคัญ :    การตลาดแบบไวรัส, การตลาดแบบปากต่อปาก, การโฆษณา, การสื่อสารการตลาด,

ผู้นำทางความคิด

Keywords: Viral Marketing, Word of mouth Marketing, Advertising, Marketing Communication, Opinion Leader

 

บทนำ
สืบเนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2558 ถือเป็นปีที่ต้องดิ้นรนและต้องแข่งขันเพราะสถานการณ์ต่างๆขึ้นอยู่กับรัฐบาลเป็นสำคัญว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเปิดตัวออกมาใหม่นั้นจะได้ผลมากน้อยเพียงใด  และจากที่หลายฝ่ายประเมินว่าจีดีพีของประเทศน่าจะอยู่ที่ 3.5-4% โดยอุตสาหกรรมโฆษณามูลค่า 1 แสนกว่าล้านบาทน่าจะโตได้ถึง 6-8% แต่จากการที่ชาวนายังมีปัญหารายได้ยังไม่เข้ามาเงินที่จะเข้ามาต้องรอดูผลผลิตในรอบถัดไป ถ้าชาวนาไม่มีเงินกำลังซื้อก็จะไม่มี กลุ่มสินค้า FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็จะไม่มีงบลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพราะตลาดใหญ่อยู่ต่างจังหวัดเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี โดยรวมในปี 2558 อุตสาหกรรมโฆษณามีแนวถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2557 (3 นายกธุรกิจฯ ชี้เศรษฐกิจไทยปี 58 “แพะอมโรค-รับบาป”, 2558) กล่าวคือ ผู้ขายโฆษณา มีแนวโน้มจะขยายช่องทางการโฆษณาและสร้างแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ค่าโฆษณา และเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ผู้ขายโฆษณาในสื่อแบบดั้งเดิม เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา จะหันมารุกในธุรกิจสื่อสมัยใหม่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและตอบโจทย์ผู้ซื้อโฆษณามากขึ้น ในส่วนของ ผู้ซื้อโฆษณา จะไม่ลดงบประมาณในการโฆษณาลง แต่จะคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่าย โดยจะกระจายงบประมาณไปยังสื่อโฆษณาที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น อีกทั้ง SME จะ มีความสามารถในการเข้าถึงสื่อโฆษณามากขึ้น เนื่องจากสื่อโฆษณามีความหลากหลายและราคายังต่ำลง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทข้ามชาติจะหันมาใช้การโฆษณาในรูปแบบโฆษณาตัวเดียวกันแต่ใช้ในหลายประเทศ เพื่อสร้างการจดจำในตัวสินค้าและประหยัดต้นทุนการผลิต ในขณะที่ เอเยนซี่โฆษณา และโปรดักชั่น เฮ้าส์ มีแนวโน้มขยายธุรกิจออกสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อขยายฐานลูกค้า และมุ่งใช้ประโยชน์จากการเปิด AEC ทั้งในด้านการจัดหาหรือนำเข้าอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำโฆษณาจากต่างประเทศ และร่วมทุนกับประเทศต่างๆในอาเซียน (“ธุรกิจโฆษณาโตขึ้น : จับตา การเติบโตของสื่อทางเลือก และ AEC ส่งให้ผู้เล่นหลักปรับกลยุทธ์,” 2557)

จากการเติบโตของธุรกิจโฆษณาที่ทำให้เกิดสื่อใหม่ๆ หรือวิธีการการสื่อสารการตลาดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้นการใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดไปยังผู้บริโภคในรูปแบบเดิมๆ หรือกลยุทธ์ที่ใช้ผ่านสื่อหลักอย่างสื่อมวลชน (Mass Media) เพียงอย่างเดียวจึงไม่อาจตอบสนองเป้าหมายทางธุรกิจได้ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้สื่อหลักดังกล่าวก็มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงและมีจำนวนมากขึ้น จนอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดการปิดกั้นการรับสื่อ อีกทั้งผู้บริโภคในปัจจุบันมีส่วนร่วมในการเลือกที่จะรับสื่อมากขึ้น โดยพวกเขาสามารถควบคุมการสื่อสารต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎี Uses and Gratifications Theory ที่ว่า ผู้บริโภคจะมีความกระตือรือร้นในการรับสารมากขึ้น มีบทบาทในการตัดสินใจที่จะเลือกเปิดรับสื่อตามความสนใจของตนเองมากขึ้น (Katz, 1974, as cited in Solomon, 2007)

พฤติกรรมผู้บริโภคดังกล่าวทำให้ในบางครั้งการสื่อสารจากนักการตลาดไปยังผู้บริโภคโดยตรง (Marketer to Consumer) ไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร จึงเป็นช่องว่างที่ทำให้การสื่อสารการตลาดจากผู้บริโภคไปยังผู้บริโภคด้วยกันเอง (Consumer to Consumer) มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้นักการตลาดต้องพัฒนาช่องทางการสื่อสารทางการตลาดต่างๆ อยู่ตลอด สิ่งเหล่านี้ทำให้กลยุทธ์การตลาดและการโฆษณาแบบ Below-the-line Strategy เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันที่รุดหน้าไปมาก ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสถิติการใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ ในประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปประมาณ 62.3 ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 23.8 ล้านคน (ร้อยละ 38.2) ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 21.7 ล้านคน (ร้อยละ 34.9) และผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 19.1 ล้านคน (ร้อยละ 38.2) โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 22.4 (จำนวน 13.8 ล้านคน) เป็นร้อยละ 34.9 (จำนวน 21.7 ล้านคน) ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 61.8 (จำนวน 32.8 ล้านคน) เป็นร้อยละ 77.2 (จำนวน 48.1 ล้านคน)เมื่อพิจารณาสัดส่วนของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือเป็นรายภาค พบว่ากรุงเทพมหานครมีสัดส่วนผู้ใช้มากที่สุด (“สถิติเผยปี 57 คนไทยมีพีซีใช้เพิ่มขึ้น กทม.ครองแชมป์ใช้เน็ต-มือถือ,” 2557)ประกอบกับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งมีการวางเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ICT ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (คณะผู้แทนไทยประจำประชาคมยุโรป, 2549) ดังนั้นในด้านของธุรกิจ การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารการตลาดผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตจึงมีความสำคัญและได้รับความนิยมมากขึ้น ในอันที่จะเป็นช่องทางใหม่ที่ช่วยสื่อสารข้อมูลของสินค้าและบริการไปยังผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบการสื่อสารทางการตลาดผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็มีหลากหลายรูปแบบ โดยการตลาดแบบไวรัส (Viral Marketing) ก็ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของการสื่อสารจากผู้บริโภคไปยังผู้บริโภคผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนมากมาย อาศัยเพียงแค่ความแปลกใหม่ สื่อสารได้ตรงใจ ก็สามารถแพร่กระจายข้อมูลที่ต้องการส่งได้อย่างรวดเร็ว ถือว่าเป็นทางเลือกในการสื่อสารการตลาดที่น่าสนใจอย่างมากในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ดีการที่จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวจากการทำการตลาดในรูปแบบนี้ก็จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ ประการอันเกี่ยวเนื่องกับความรู้สึก ทัศนคติ (Attitudes) แรงจูงใจ (Motivations) ตลอดจนพฤติกรรมการตอบสนองของผู้บริโภค (Consumer Responses) ที่มีต่อการตลาดแบบไวรัสด้วย และท้ายที่สุดแล้วควรที่จะนำการตลาดแบบไวรัสไปใช้ร่วมกับเครื่องมือสื่อสารการตลาดอื่นๆ ซึ่งก็คือการสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน (Integrated Marketing Communication or IMC) นั่นเอง

ดังนั้นบทความ “Viral Marketing : Communication in the Digital Age” จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำการตลาดแบบไวรัสมาใช้ในการสื่อสารทางการตลาด อันส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเก็บรวบรวมและค้นคว้าข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ เอกสารทางวิชาการและอินเทอร์เน็ต โดยประเด็นที่ศึกษามีทั้งสิ้น 3 ประเด็น คือ (1) ความหมายหรือคำจำกัดความและลักษณะพื้นฐานของการตลาดแบบปากต่อปากและการตลาดแบบไวรัส (2) เคล็ดลับในการทำการตลาดแบบไวรัสให้ประสบความสำเร็จ ตลอดจนข้อดี-ข้อเสียของการทำการตลาดแบบไวรัสและ(3) อิทธิพลของผู้นำทางความคิดที่มีต่อการตลาดแบบไวรัส

 

การตลาดแบบปากต่อปาก (Word of mouth Marketing)

เนื่องจากการตลาดแบบไวรัสถือเป็นกลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบหนึ่งที่มีพื้นฐานมาจากการตลาดแบบปากต่อปาก (Word of mouth Marketing) ซึ่ง Solomon (2007) ได้อธิบายว่า คือ การส่งผ่านข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการส่งผ่านข้อมูลจากบุคคลที่เรารู้จัก ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ได้รับมีความน่าเชื่อถือและไว้วางใจมากกว่าแหล่งข้อมูลอื่นๆ นอกจากนี้ สมวงศ์ พงศ์สถาพร (2549) ได้เสริมว่า การตัดสินใจซื้อสินค้าใหม่ของผู้บริโภคมักจะอาศัยข้อมูลจากบุคคลเป็นสำคัญ (Personal sources) ซึ่งก็คือข้อมูลที่มาจากคนใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการตัดสินใจซื้อในสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นเคยผู้บริโภคจึงมักจะเกิดความรู้สึกต่างๆ เช่น ลังเล ไม่อยากเสี่ยง กลัวซื้อไปแล้วใช้ไม่ได้ ใช้สินค้าใหม่ไม่เป็น เป็นต้น จากความรู้สึกเหล่านี้ผู้บริโภคจึงหาข้อมูลด้วยการสอบถามจากแหล่งข้อมูลที่ตนเองไว้วางใจมากที่สุด นั่นก็คือ เพื่อน ญาติ พี่น้อง ถึงแม้ว่าจะได้รับข้อมูลจากโฆษณา หรือจากพนักงานขายมาก่อนหน้าแล้วก็ตาม

สำหรับลักษณะพื้นฐานของการตลาดแบบปากต่อปากนั้น Balter และ Butman (2006) ได้อธิบายไว้ว่า การตลาดแบบปากต่อปากไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการแพร่กระจายข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเสมอไป เนื่องจากโดยปกติแล้วผู้บริโภคจะรับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการจากการตลาดแบบปากต่อปากผ่านทางผู้ส่งสารทุกประเภท  ไม่เฉพาะเจาะจงแต่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยหลักในการเลือกรับข้อมูลจะมาจากการที่ผู้รับสารพิจารณาแล้วว่าข้อมูลที่จะได้จากผู้รับสารเป็นข้อมูลที่เขากำลังสนใจหรือเป็นข้อมูลที่จะกระตุ้นให้ผู้รับสารเกิดความสนใจในสินค้าหรือบริการนั้นๆ ได้

การตลาดแบบปากต่อปากนั้นผู้บริโภคไม่ได้เข้าร่วมการสนทนาเพียงเพราะว่าเป็นการพูดคุยในเรื่องของฟรีเท่านั้น เนื่องจากการทำการตลาดแบบปากต่อปากขอบเขตของข้อมูลที่ส่งต่อกันนั้นจะกว้างมาก กล่าวคือ จะมีการพูดคุยกันในหัวข้อที่หลากหลาย อาทิเช่น เรื่องของผลิตภัณฑ์ใหม่ เรื่องของข่าวคราวใหม่ๆ การสื่อสารทางการตลาดอื่นๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งการพูดคุยเหล่านี้จะเป็นการส่งต่อและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร (Two-way communication)

การตลาดแบบปากต่อปากไม่ได้มีบทบาทต่อฐานข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากว่ากว่า 80% ของข้อมูลจะได้มาจากการสนทนาแบบเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร (Face-to-face communication) และโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นที่ที่ทำงานหรือบ้าน

การตลาดแบบปากต่อปากไม่ได้ผูกขาดอยู่แต่เฉพาะกลุ่มผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศในการแพร่กระจายข้อมูล ผู้ชายก็ถือเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลของการตลาดแบบปากต่อปากได้เช่นกัน โดยหัวข้อที่มีการพูดคุยกันนั้นก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องต่างๆ เช่น สินค้าที่สนใจ การแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้นจะทำได้ทั้งระหว่างผู้ชายด้วยกัน หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้หญิง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหัวข้อในการพูดคุย

ท้ายสุดการตลาดแบบปากต่อปากเป็นเรื่องที่สามารถวัดและติดตามได้ แต่ไม่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งยังเป็นการส่งผ่านข้อมูลที่ไม่มีที่สิ้นสุดด้วย

การตลาดแบบไวรัส (Viral Marketing)

การตลาดแบบไวรัสหรือ Viral Marketing เกิดขึ้นครั้งแรกโดย Steve Jurvetson และ Tim Draper ในปี 1996 ซึ่งเครื่องมือการตลาดรูปแบบนี้เป็นกลยุทธ์ของบริษัท DFJ (Draper Fisher Jurvetson) ที่ได้นำไปใช้ในการทำตลาดของผู้ให้บริการฟรีอีเมล์อย่าง Hotmail (Jurvetson, 2000) ซึ่ง Welker (2002) ได้อ้างอิงจากกรณีของ Hotmail ในการให้คำจำกัดความของการติดต่อสื่อสารแบบไวรัส (Viral Communication) ไว้ว่า เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายและไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงนักในการแพร่กระจายหรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารด้วยการออกแบบการนำเสนออย่างมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถกระตุ้นความสนใจหรือมีผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้บริโภค

ส่วน Solomon (2007) ได้นิยามว่า การตลาดแบบไวรัส เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ได้ส่งต่อข้อมูลจากเว็บไซต์นั้นๆ ไปยังเพื่อนของเขา เพื่อให้เกิดการแพร่กระจายข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไปในวงกว้าง

นอกจากนี้ Datta, Chowdhury, และ Chakraborty (2005) ได้อธิบายว่า การตลาดแบบไวรัสนั้นจะอาศัยการเผยแพร่ข้อมูลจากผู้บริโภคคนหนึ่งไปสู่ผู้บริโภคอีกคนหนึ่ง นำไปสู่การแพร่กระจายข้อมูลในวงกว้างต่อไปเป็นทอดๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการที่ใช้คน (Man) เป็นสื่อ (Medium) เพื่อนำส่งสาร (Message) ไปยังมวลชน (Mass) โดยสภาพแวดล้อมของการส่งต่อข้อมูลของการตลาดแบบไวรัสนั้นมีลักษณะคล้ายกับเครือข่ายการติดต่อสื่อสาร (Web of communication) ดังนั้นการตลาดแบบไวรัสนั้นอาจเปรียบได้กับการทำการตลาดหลายขั้นตอน (Multi-level marketing) และผู้บริโภคแต่ละคนที่ส่งต่อข้อมูลข่าวสารก็เปรียบได้กับพนักงานขาย (Salesperson) นั่นเอง

จากการที่การตลาดแบบไวรัสมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งคือ เป็นการติดต่อสื่อสารผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ไม่จำกัดเวลาหรือสถานที่ อีกทั้งยังสื่อสารกับผู้อื่นได้คราวละหลายๆ คนด้วย (Thurau, Gwinner, Walsh, & Gremler, 2004)

ดังนั้นการตลาดแบบไวรัสอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า Electronics Word-of-Mouth (eWOM) โดย Thurau et al. (2004) ได้ให้คำจำกัดความว่า การตลาดแบบไวรัสเป็นการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยเจ้าของสินค้าหรือบริการได้นำเสนอข้อมูลข่าวสารทั้งในทางตรงหรือนำเสนอแบบมีความหมายแฝงภายในสาร ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเกิดทัศนคติทางบวกหรือลบต่อสารนั้นได้ อาจกล่าวได้ว่า การตลาดแบบไวรัสก็เป็นเหมือนการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ต้องมีการค้นหาสถานที่ (เว็บไซต์) ที่เหมาะสมในการเผยแพร่ข้อมูล และต้องค้นหาผู้ส่งที่มีประสิทธิภาพ ผู้ซึ่งสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สารได้ (Kirby, 2006) โดยการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภคนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการติดต่อสื่อสารกันใน “ชุมชนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Online Communities)”  ซึ่งก็คือ ชุมชนที่ผู้บริโภคมารวมกันด้วยวัตถุประสงค์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่เขาแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือความคิดด้วย (Granitz & Ward, 1996, as cited in Thurau et al., 2004)

นอกจากนี้ Porter และ Golan (2006) ได้ให้คำจำกัดความของการโฆษณาแบบไวรัส (Viral advertising) ว่า คือ การที่นักการตลาดหรือนักโฆษณาได้นำเสนอข้อความด้วยวิธีการอันสร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นหรือปลุกเร้าความรู้สึกของผู้บริโภคผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยนักการตลาดหรือนักโฆษณาต้องการที่จะจูงใจหรือเข้าไปมีอิทธิพลต่อผู้บริโภค เพื่อให้พวกเขาส่งต่อสารไปยังผู้อื่น

โดยสรุปแล้วการตลาดแบบไวรัสถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดรูปแบบหนึ่งของการตลาดแบบปากต่อปาก (Word of mouth marketing) ที่นำมาใช้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อก่อให้เกิดการตระหนักรู้ในตราสินค้า (Brand awareness) ที่เพิ่มขึ้น โดยการแพร่กระจายข้อมูลนั้นจะมีกระบวนการคล้ายกับการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจายได้เป็นเท่าทวีคูณไปเรื่อยๆ อีกทั้งการตลาดแบบไวรัสถือเป็นปรากฏการณ์ทางการตลาดที่เป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดพฤติกรรมการส่งต่อข้อมูลด้วยความสมัครใจ โดยรูปแบบของการตลาดแบบไวรัสมีหลากหลายรูปแบบ เช่น วีดีโอคลิป (Video clips)แฟลชเกม (Flash games) รูปภาพ อี-การ์ด หรือแม้กระทั่งข้อความสั้น (SMS text messages)

ทั้งนี้การทำการตลาดแบบไวรัสให้ประสบความสำเร็จควรที่จะมีความแตกต่าง โดดเด่น สนุกสนาน ต้องนำเสนอในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ ต้องทำให้ผู้รับเกิดความสนใจ นำไปสู่การส่งต่อแต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะทำการตลาดแบบไวรัสได้ประสบความสำเร็จเสมอไป โดยสาเหตุที่ทำให้การตลาดแบบไวรัสไม่ประสบความสำเร็จอาจเนื่องมาจาก การนำเสนอสิ่งกระตุ้นที่ไม่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือตัวโครงสร้างของธุรกิจเอง (MacPherson, 2001) จากที่กล่าวมาจะสอดคล้องกับผลการวิจัยของ Porter และ Golan (2006) ที่พบว่า ลักษณะทางอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการใช้จุดจูงใจทางการโฆษณาของการโฆษณาแบบไวรัสที่แตกต่างกันด้วย

การทำการตลาดแบบไวรัสไม่เพียงแต่จะต้องคำนึงถึงแค่เรื่องของความเหมาะสมของการนำเสนออย่างสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องพิจารณาเรื่องความเสี่ยงในการนำการสื่อสารการตลาดรูปแบบนี้มาใช้ด้วย ซึ่งความเสี่ยงหลักๆ ก็คือ การที่ข้อมูลข่าวสารอาจถูกบิดเบือนได้ นอกจากนี้การตลาดแบบไวรัสไม่ได้มีวัตถุประสงค์แค่เพื่อให้เกิดการแพร่กระจายหรือส่งต่อข้อมูลในปริมาณมากเท่านั้น แต่ประโยชน์หรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงนั้นก็คือ การที่ทำให้ผู้บริโภคเป้าหมายเห็นถึงความน่าสนใจของสาร และเกิดความเชื่อถือในสารนั้น เพื่อนำไปสู่พฤติกรรมการตอบสนองได้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการสื่อสารด้วยการตลาดแบบไวรัส (Kirby, 2006)

ดังนั้นกระบวนการในการออกแบบการตลาดแบบไวรัสควรเริ่มด้วย การกำหนดวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมต่อการใช้วิธีการนี้ จากนั้นจึงพัฒนากลยุทธ์ที่จะใช้ในการนำเสนอ ซึ่งประกอบด้วย แนวคิด รูปแบบ และเรื่องราว ทั้งนี้จะต้องคำนึงความกลมกลืนกับเครื่องมือการสื่อสารการตลาดอื่นๆ ด้วยโดยKirby (2006)ได้แบ่งองค์ประกอบหลักของการทำการตลาดแบบไวรัสออกเป็น 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) Creative material การนำเสนอต้องมีความแปลกใหม่ น่าสนใจ (2) Seeding ผู้รับควรเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง ผู้ส่งควรเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นผู้นำทางความคิดหรือเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและ (3) Tracking ผลของการทำการตลาดแบบไวรัสควรเป็นสิ่งที่ตรวจสอบหรือวัดผลได้ซึ่งอาจตรวจสอบจากการที่สารสามารถส่งไปถึงผู้รับสารเป้าหมายปลายทางได้หรือกระแสการตอบกลับหรือพูดถึง

นอกจากองค์ประกอบหลักพื้นฐานที่ควรยึดถือเมื่อนำเครื่องมือการสื่อสารการตลาดวิธีนี้ไปใช้แล้ว ยังมีเคล็ดลับต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของเครื่องมือชนิดนี้อีก 7 ประการด้วยกัน ได้แก่ (“7 เคล็ดลับเพื่อการทำ Viral Web Marketing,” 2550)

  1. ทำให้คนดูรู้สึกอะไรบางอย่าง

การสร้างให้โฆษณาชิ้นนั้นมีการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน รุนแรง การนำเสนอจะต้องสามารถให้ผู้ชมแสดงความคิดเห็นออกมาได้เป็นคำพูด สามารถตัดสินสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้ว่าต้องการสื่ออารมณ์แบบไหน ตลอดจนพยายามทำให้สิ่งที่สื่อออกมานั้นมีความเป็นกลางมากที่สุด เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้หลายกลุ่มเป้าหมาย กล่าวคือ ทำให้มีคนที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่ชอบกับสิ่งที่นำเสนอให้น้อยที่สุด เพราะการทำการตลาดแบบไวรัสนั้น เป็นการทำการตลาดที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของผู้ชมเสียเป็นส่วนใหญ่เช่น คลิปโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง Last Summer ที่ดึงเอาแก่นหลักของเนื้อเรื่องในภาพยนตร์มาใช้ในคลิป กล่าวคือ มีการนำกระเป๋าที่เหมือนมีศพอยู่ข้างในไปวางไว้ในห้องน้ำ พร้อมทั้งสร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัว และซ่อนกล้องทำเป็นคลิปออกมาเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตก่อนภาพยนตร์ออกฉาย จากความน่าสนใจของคลิปดังกล่าวที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดูทำให้ยอดดูพุ่งขึ้นสูงถึง 1 ล้านวิว ภายใน 1 สัปดาห์

 

  1. ทำบางอย่างที่เหนือความคาดหมาย

ถ้าต้องการให้ผู้รับสารสนใจในข้อมูลข่าวสารทางการตลาดที่ส่งออกไป นักการตลาดจะต้องทำให้การนำเสนอนั้นมีความแตกต่าง มีบางสิ่งบางอย่างที่เหนือความคาดหมาย ควรนำเสนอในสิ่งที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เช่น การตลาดแบบไวรัสของ Qualcomm ที่สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ใช้บริการรถสาธารณะ ที่ระหว่างรอรถเบื่อๆ มีการจูงใจด้วยป้ายโฆษณาที่ให้เราลองกดคลิ้กไปในเว็บไซต์ตาม url ที่กำหนด จากนั้นก็จะพบกับสิ่งที่จะพาเราไปจุดหมายปลายทางเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน รถลากเทียมม้าแบบในนิทานสำหรับคู่รัก รถเมล์ที่เต็มไปด้วยคณะละครสัตว์สำหรับเด็กน้อย รถลากเลื่อน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ Qualcomm ต้องการสื่อสารว่า เขาเป็นองค์กรที่ช่วยคิดค้นระบบต่างๆเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้น

 

  1. อย่าพยายามทำให้ดูเป็นการโฆษณา

เนื่องจากการตลาดแบบไวรัสที่น่าสนใจนั้นคือ การนำเสนอเรื่องราวที่ดีๆ เช่นเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ T-Mobile ของประเทศอังกฤษที่มีสโลแกนว่า Life’s for sharing เน้นเรื่องการแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุข ได้ทำเซอร์ไพรส์ให้แก่ผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบิน Heathrow ด้วยการร้องเพลงต้อนรับ สร้างความรู้สึกดีๆ และผู้ที่พบเห็นได้ใช้โทรศัพท์ของตัวเองถ่ายคลิปเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อไป สมดังสโลแกนของ T-Mobileจะเห็นได้ว่าแนวทางใหม่ในการโฆษณาไม่จำเป็นต้องใช้ตัวสินค้าเป็นเครื่องมือในการนำเสนอเสมอไป แต่ควรเน้นไปที่การสร้างสรรค์เรื่องราวที่ดีและน่าสนใจแทน แต่อย่างไรก็ตามเจ้าของสินค้าก็สามารถนำสินค้าเข้าไปผสมผสานร่วมกันได้ แต่ต้องไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวใจหลักของการคิดเรื่องราวเพื่อทำโฆษณา

 

  1. มีเรื่องราวที่ต่อเนื่อง

กล่าวคือ ควรที่จะต้องมีการเอาใจใส่ที่จะผลิตโฆษณาตอนต่อๆ ไปออกมาเรื่อยๆ หรือการทำกิจกรรมต่อยอดความคิดต่างๆ เพื่อให้เกิดการติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะหากโฆษณาชิ้นแรกสามารถสร้างความสนใจแก่ผู้บริโภคได้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่โฆษณาหรือกิจกรรมต่อไปผู้บริโภคจะเลือกที่จะเปิดรับสารเช่น ในกรณีของ T-Mobile ก่อนที่จะมี  Viral Clip ชุด Welcome Back นั้น ได้ทำ Flash mob ชื่อชุดว่า “Dance” ขึ้นที่สถานีรถไฟใน Liverpool เพื่อสื่อสารสโลแกน Life’s for sharing

 

 

และหลังจากที่ Viral Clip ทั้งสองนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก T-Mobile ก็ยังคงเล่นกับสถานการณ์สำคัญๆ โดยสื่อผ่านคลิปสนุกๆ ที่ยังคงตอกย้ำถึงไอเดียหลักของแบรนด์อย่าง Life’s for sharing ได้ ดังเช่นคลิป The T-Mobile royal wedding ที่เป็นการรวมเอาคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายเชื้อพระวงศ์อังกฤษต่างๆ มาร่วมสนุกสนานเพื่อเฉลิมฉลองงานพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่พิธีหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกอย่างงานพระราชพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมกับแคทเธอรีน มิดเดิลตัน

 

  1. เปิดให้สามารถดาวน์โหลดและเอาไปโพสต์ที่เว็บไซต์อื่นได้

การแบ่งปันข้อมูลคือหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการทำการตลาดแบบไวรัส เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่นักการตลาดสร้างสรรค์ขึ้นมาสำหรับการตลาดในรูปแบบนี้ก็เพื่อให้เกิดการส่งต่อและแบ่งปันกับผู้อื่นได้ง่ายที่สุด ดังนั้นนักการตลาดต้องอนุญาตให้ผู้รับสารกระทำในสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ได้ เช่น ดาวน์โหลดไฟล์หรือรูปภาพต่างๆ ได้ ผู้รับสารสามารถนำไปโพสต์ไว้ที่เว็บไซต์อื่นๆ ได้ ซึ่งขนาดของไฟล์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากว่ามีขนาดที่ใหญ่เกินไปก็ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำไม่สามารถเปิดดูได้

  1. สร้างความสัมพันธ์ด้วยความคิดเห็น

การสร้างความสัมพันธ์กับผู้รับสารก็ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำการตลาดแบบไวรัส เมื่อผู้รับสารเกิดความสนใจในสารที่นักการตลาดสื่อออกไป ก็ย่อมเกิดความต้องการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนวิจารณ์ในสิ่งที่ได้ชม ซึ่งความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่มีพลังและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตลาดแบบไวรัส กล่าวคือ ยิ่งมีคนพูดถึงมากเท่าไหร่ก็ย่อมหมายความว่ามีคนให้ความสนใจมากเท่านั้น โดย Walsh, Gwinner, และ Swanson (2004)ได้เสนอว่า เจ้าของสินค้าหรือบริการควรที่จะมีการเปิดพื้นที่ในเว็บไซต์ให้ผู้บริโภคได้เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันด้วย

ทั้งนี้การที่จะทำให้ผู้รับสารเกิดความสนใจ นักการตลาดจำเป็นต้องสร้างอารมณ์ของเนื้อเรื่องให้มีความชัดเจน มีความน่าจดจำ ตราตรึงอยู่ในจิตใจของผู้รับสาร อย่างไรก็ดีนักการตลาดหรือเจ้าของสินค้าก็จำเป็นต้องทำใจยอมรับความคิดเห็นทั้งดีและไม่ดีที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนต้องต้อนรับทุกความคิดเห็นที่สะท้อนกลับมา แต่ในขณะเดียวกันก็จะต้องศึกษาหรือคาดการณ์ล่วงหน้า และเตรียมพร้อมรับมือกับการต่อต้านที่อาจเกิดขึ้นจากผู้รับสาร รวมทั้งการแทรกแซงของคู่แข่งด้วย

  1. ไม่มีการจำกัดการเข้าชม

การตลาดแบบไวรัสคือการสร้างปรากฏการณ์ทางการตลาดให้มีชีวิตด้วยตัวมันเองเหมือนกับการแพร่กระจายของไวรัส ซึ่งต้องการความมีอิสระ เพื่อส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ง่ายๆ ดังนั้นการเข้าชมจึงควรเป็นไปอย่างไม่มีขอบเขตหรือข้อจำกัดใดๆ ด้วยวิธีการต่างๆ ดังเช่น ไม่มีการลงทะเบียนก่อนเข้าชม ไม่ต้องสมัครสมาชิก ไม่ต้องดาวน์โหลดด้วยซอฟต์แวร์พิเศษ ไม่มีการล็อกรหัส เป็นต้น เนื่องจากการทำการตลาดแบบไวรัสไม่ต้องการทำให้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งออกมาถูกเก็บเป็นความลับ หากแต่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นได้รับชมกันอย่างถ้วนหน้า

 

 

ข้อดีของการตลาดแบบไวรัส (Advantages of Viral Markerting)

  1. ต้นทุนต่ำ (Cheap and low cost)

เนื่องจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลโดยผู้บริโภคด้วยกันเอง กล่าวคือ ผู้บริโภคเป็นผู้ส่งต่อข้อมูลด้วยความสมัครใจของเขา

  1. การเข้าถึงที่กว้างและแพร่หลาย (Extensive reach)

เนื่องจากเป็นการสื่อสารที่ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และการส่งต่อสามารถมีผู้รับต่อครั้งเป็นจำนวนมาก

  1. ความน่าเชื่อถือสูง (High credibility)

เนื่องจากการพิจารณาการสื่อสารข้อมูลผ่านทางการตลาดในแต่ละครั้ง นักการตลาดจำเป็นต้องค้นหาผู้รับสารเบื้องต้นที่มีลักษณะเป็นผู้นำทางความคิด (Opinion Leader)เพื่อที่จะสามารถจูงใจและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สารได้ อีกทั้งในบางครั้งการส่งต่อข้อมูลข่าวสารของการตลาดแบบไวรัสยังเป็นการส่งต่อมาจากบุคคลผู้รับที่คุ้นเคยหรือรู้จักกันดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสารของการตลาดแบบไวรัส

  1. ประสิทธิภาพสูง (High efficiency)

ในกรณีที่มีการวางแผนที่รอบคอบและออกแบบการนำเสนอที่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้รับสารได้

ข้อเสียของการตลาดแบบไวรัส (Disadvantages of Viral Marketing)

  1. เสี่ยงต่อการเข้าใจผิด(Brand Dilution)

เนื่องจากการตลาดแบบไวรัสได้แพร่กระจายข้อมูลข่าวสารโดยอาศัยการส่งต่อของผู้บริโภค ดังนั้นการออกแบบข้อความที่ต้องการสื่อควรมีการออกแบบที่รัดกุม ตัวสารควรมีทิศทางที่ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไร เพื่อให้ผู้รับสารสามารถเข้าใจได้ตรงตามที่นักการตลาดต้องการ

  1. เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก (Association with unknown groups)

จุดแข็งของการตลาดแบบไวรัสก็คือการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารไปยังผู้รับจำนวนมากภายในระยะเวลาอันสั้น แต่อย่างไรก็ดีในกระบวนการแพร่กระจายข่าวสารนั้นแม้ว่าบางส่วนนักการตลาดจะสามารถควบคุมได้ กล่าวคือ ในตอนต้นที่ได้มีการคัดเลือกผู้รับเบื้องต้นที่เป็นผู้นำทางความคิด แต่ในช่วงต่อมาก็เป็นการยากที่จะควบคุมได้

  1. หลีกเลี่ยงการนำเสนอด้านการเงินเพียงอย่างเดียว (Avoid making purely financial-based offer)

การตลาดแบบไวรัสจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรหากนักการตลาดพยายามที่จะยัดเยียดข้อเสนอทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว เนื่องจากผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นจดหมายขยะ (Spam mail)

  1. การคุกคามของจดหมายขยะ (Spam threats)

หากนักการตลาดวางแผนการดำเนินงานของการตลาดแบบไวรัสไม่ดีหรือไม่รอบคอบเพียงพอ จดหมายอิเล็กทรอนิคส์ที่ส่งออกไปก็เสี่ยงต่อการที่ผู้บริโภคจะเข้าใจว่าเป็นจดหมายขยะเช่น บริษัทได้ว่าจ้างให้พนักงานของตนส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคส์ชักชวนให้ซื้อสินค้าไปยังเพื่อนของเขา แต่เพื่อนได้อนุญาตให้ส่งไปได้แค่จดหมายอิเล็กทรอนิคส์ที่เป็นเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานผู้ส่งและเพื่อนก็จะแย่ลง รวมทั้งผู้รับก็จะเกิดความรู้สึกด้านลบแก่บริษัทอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัทในใจผู้รับได้

การวิเคราะห์เปรียบเทียบการตลาดแบบปากต่อปากและการตลาดแบบไวรัส

(Traditional Word-of-Mouth versus Viral Marketing)

          จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ทั้งการตลาดแบบปากต่อปากและการตลาดแบบไวรัสจะมีทั้งคุณสมบัติที่คล้ายกันและคุณสมบัติที่แตกต่างกันโดยในส่วนที่คล้ายกันนั้นจากการศึกษาของ Porter และ Golan (2006)พบว่าทั้งการตลาดแบบปากต่อปากรูปแบบเดิมและการตลาดแบบไวรัสจะถูกใช้เพื่อจูงใจหรือมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคทั้งสิ้น

ส่วน Datta et al. (2005) วิเคราะห์ว่า ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของการตลาดแบบปากต่อปากและการตลาดแบบไวรัสก็คือ การเข้าถึงและความเร็วในการส่งต่อข้อมูล ในส่วนของการตลาดแบบปากต่อปากนั้นเป็นลักษณะการติดต่อสื่อสารแบบเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร (Face-to-face communication) ซึ่งความเร็วในการแพร่กระจายข้อมูลจะช้ากว่าการตลาดแบบไวรัส ส่วนการตลาดแบบไวรัสนั้นมีลักษณะการแพร่กระจายข้อมูลที่สามารถแพร่หลายไปทั่วโลกได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากอาศัยการส่งต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีการเชื่อมต่อกันทั่วโลกอย่างไรขีดจำกัด อีกทั้งการแพร่กระจายข้อมูลในรูปแบบการตลาดแบบไวรัสนั้น ในครั้งหนึ่งๆ ของการเผยแพร่ข้อมูลผู้ส่งสารสามารถส่งไปยังผู้รับได้หลายคน

 

อิทธิพลของผู้นำทางความคิดที่มีต่อการตลาดแบบไวรัส

(Influences of Opinion Leader on Viral marketing)

ผู้นำทางความคิด (Opinion Leader) คือ คนที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติของคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน ในการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ผู้นำทางความคิดเหล่านี้มักจะแนะนำสินค้าใหม่ ให้คำปรึกษาในการตัดสินใจ ช่วยลดความเสี่ยงและออกความคิดเห็นในทางที่ดีเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจซื้อสินค้าใหม่ คนกลุ่มนี้จึงเป็นผู้ที่ช่วยสื่อสารให้กับนักการตลาดโดยอ้อม โดยลักษณะนิสัยของผู้นำทางความคิดมักจะเป็นคนชอบเข้าสังคม รู้จักคนมาก มีฐานะดี มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบลองของใหม่ ชอบทำตัวให้เด่นจากคนอื่นๆ เป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นที่ปรึกษาของคนอื่นๆ ต้องการให้คนยอมรับ เป็นแบบอย่างที่คนอื่นในสังคมเดียวกันมักจะเลียนแบบทำตาม ตัวอย่างเช่น อเมริกันเอ๊กซ์เพรส เมื่อตอนเปิดตัวบัตรเครดิตบัตรทอง ได้ใช้แคมเปญ “Do You Know Me” โดยเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่ยอมรับของคนในวงสังคมเดียวกัน มาเป็นแบบโฆษณาแนะนำให้ใช้บัตรเครดิต บัตรทองของอเมริกันเอ๊กซ์เพรส (สมวงศ์ พงศ์สถาพร, 2549)

นอกจากนี้ Cakim (2006) ได้อธิบายว่า ผู้มีอิทธิพลทางโลกออนไลน์ (Online influencers) หรือ “e-fluentials” นั้นมักจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดทั้งทางการสื่อสารแบบออนไลน์และออฟไลน์ อีกทั้งยังมักจะเป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำในเรื่องต่างๆ แก่ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้า องค์กร การเมือง ตลอดจนเรื่องความบันเทิง สุขภาพ จนอาจกล่าวได้ว่า เมื่อใดที่ผู้บริโภคต้องการข้อมูลที่น่าเชื่อถือและน่าไว้วางใจ e-fluentials ก็จะเป็นบุคคลแรกๆ ที่เขานึกถึง

จากการที่ e-fluentials มีบทบาทต่อความคิดหรือแนวทางการเกิดพฤติกรรมของผู้บริโภค ดังนั้นองค์กรจึงควรที่จะมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลเหล่านี้ เพื่อที่จะได้ทราบข้อมูลสะท้อนกลับเกี่ยวกับทัศนคติที่ผู้บริโภคมีต่อสินค้าหรือบริการ การสื่อสารทางการตลาดขององค์กร ตลอดจนองค์กรจะได้ทราบปัญหาหรือข้อสงสัยต่างๆ เพื่อที่องค์กรจะได้นำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงสินค้าและบริการให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

ผู้บริโภคในปัจจุบันมีการติดต่อหรือค้นหาข้อมูลจากโลกการสื่อสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ดังนั้นหากองค์กรต้องการประสบความสำเร็จในการสื่อสารการตลาดผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต องค์กรควรที่จะต้องค้นหาผู้รับสารเบื้องต้นที่เป็น “Viral Consumers หรือ Opinion Leaders” กล่าวคือ เป็นผู้ที่สนใจในข้อมูลข่าวสารที่จะส่งไปจริงๆ แม้ว่าในเบื้องต้นอาจจะส่งไปหาผู้รับได้จำนวนน้อย แต่หากผู้รับเป็นผู้นำทางความคิดที่สนใจในสารนั้นจริง ก็จะช่วยให้ผู้รับในขั้นต่อๆ ไปเกิดการยอมรับ สนใจ ตลอดจนเชื่อถือในสารและเกิดพฤติกรรมการส่งต่อสารได้ง่ายขึ้น (Phelpset al., 2004)

ดังนั้นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งที่องค์กรต้องกระทำก็คือ การค้นหาผู้บริโภคที่เป็น e-fluentials โดย Cakim (2006)  แนะนำว่า ผู้บริโภคที่มีลักษณะเข้าข่ายคือ ผู้บริโภคที่มีลักษณะเป็นผู้ที่ชอบค้นหาข้อมูลในระดับที่มากกว่าคนทั่วไป (Active information seekers) โดยมีขั้นตอนหลักๆในการค้นหา 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนแรกทำการแบ่งกลุ่มผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมที่ชอบค้นหาข้อมูลออกจากผู้บริโภคทั่วไป ต่อมาสำรวจถึงปัจจัยทางด้านจิตวิทยา (Psychographic section) ในเรื่องของทัศนคติที่มีต่อองค์กรหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ และท้ายสุดปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ (Demographic section) ในเรื่องต่างๆ เช่น การใช้สื่อ (Media usage) อำนาจซื้อ (Purchasing Power) การครอบครองผลิตภัณฑ์ (Product ownership) เป็นต้น นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงความถี่ของพฤติกรรมต่างๆ ด้วย เช่น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคส์ถึงองค์กร ความมีมนุษย์สัมพันธ์ทางอินเทอร์เน็ต การส่งต่อข่าวสารหรือข้อมูลต่างๆ ให้แก่ผู้อื่น การให้ข้อมูลสะท้อนกลับที่เป็นประโยชน์แก่องค์กร เป็นต้น

หลังจากที่องค์กรทราบกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพที่สามารถเป็น e-fluentials ให้แก่องค์กรแล้ว ขั้นตอนต่อมาองค์กรจะต้องสร้างความเชื่อใจหรือความไว้วางใจให้เกิดขึ้นในจิตใจของ e-fluentials หลังจากนั้นจึงจะให้เขาช่วยแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารของสินค้าหรือบริการให้แก่บุคคลอื่นต่อไป นอกจากนี้องค์กรยังสามารถนำเอาข้อมูลข่าวสารที่ได้จาก e-fluentials มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตนได้อีกด้วย

นอกจากผู้นำทางความคิดหรือ Opinion leader ดังที่กล่าวมาแล้ว ในงานวิจัยของ Feick และ Price (1987)ยังได้มีการใช้ศัพท์ในทำนองเดียวกับ Opinion leader  ด้วย ซึ่งคือ คำว่า “Market maven” โดย Feick และ Price ได้ให้คำนิยามของ Market maven ว่าหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในข้อมูลทั่วๆ ไปเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ร้านค้า ตลอดจนข่าวสารทางการตลาดอื่นๆ ส่วน Opinion leader จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในข้อมูลที่มีความเฉพาะเจาะจงกว่า

บทสรุป

          จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การขยายขอบเขตของเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ส่งผลให้พฤติกรรมการเปิดรับสื่อและการบริโภคต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ มีการใช้วิจารณญาณและความเชื่อถือข้อมูลแหล่งสารที่แตกต่างไปจากเดิม ดังนั้น วงการการสื่อสารการตลาดและการโฆษณาจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีในการเข้าถึงผู้บริโภค การตลาดแบบไวรัสก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ธุรกิจนำมาเลือกใช้เพื่อสื่อสารข้อมูลของสินค้าและบริการของตนสู่ผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งวิธีการนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่จำเป็นต้องศึกษาวิธีการใช้งาน รวมถึงการสร้างสรรค์เนื้อหา (Content)ให้มีความเหมาะสมไม่ดูเป็นการยัดเยียดจนเกินไป ต้องน่าสนใจ และมาจากแหล่งที่กลุ่มเป้าหมายเชื่อถือ นั่นก็คือ การหาผู้นำทางความคิด (Opinion leader) ที่เหมาะสมกับการถ่ายทอดข้อมูล หากองค์กรธุรกิจคำนึงและใส่ใจถึงองค์ประกอบเหล่านี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของการสื่อสารการตลาดที่ช่วยสร้างความสำเร็จให้เกิดแก่กิจการได้

เอกสารอ้างอิง

ภาษาไทย

7 เคล็ดลับเพื่อการทำ viral web marketing. (2550). E-commerce, 99(16), 100-103.

ASTVผู้จัดการออนไลน์. (12 มกราคม 2558).3 นายกธุรกิจฯ ชี้เศรษฐกิจไทยปี 58 “แพะอมโรค-รับบาป. (2558). สืบค้นเมื่อ 26 กรกฎาคม 2558, จาก http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000003662

คณะผู้แทนไทยประจำประชาคมยุโรป. (2549). Broadband internet: เชื่อมยุโรปสู่อนาคต.สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม2558, จาก http://news.thaieurope.net/content/ view/1136/64/

ไทยรัฐออนไลน์. (14 ตุลาคม2557).สถิติเผยปี 57 คนไทยมีพีซีใช้เพิ่มขึ้น กทม.ครองแชมป์ใช้เน็ต-มือถือ. (2557). สืบค้นเมื่อ10กรกฎาคม2558, จากhttp://www.thairath.co.th/content/456551

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (5 มีนาคม 2556). ธุรกิจโฆษณาโตขึ้น : จับตา การเติบโตของสื่อทางเลือก และ AEC ส่งให้ผู้เล่นหลักปรับกลยุทธ์.(2557). สืบค้นเมื่อ8 กรกฎาคม2558, จากhttps://www.kasikornresearch.com/th/k-econanalysis/pages/ViewSummary.aspx?docid=30686

สมวงศ์ พงศ์สถาพร. (2549). การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสานภาคปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร: พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์.

ภาษาอังกฤษ

Balter, D., & Butman, J. (2006). Clutter Cutter. Marketing Management, 15(4), 49-50.

Cakim, I. (2006). Online opinion leaders: A predictive guide for viral marketing campaigns. In J. Kirby & P. Marsden (Eds), Connected marketing (pp. 107-118). Burlington: MPG Books.

Datta, P. R., Chowdhury, D. N., & Chakraborty, B. R. (2005). Viral marketing: new form of word-of-mouth through internet. The Business Review, 3(2), 69-75.

Feick, L. F., & Price, L. L. (1987). The market maven: A diffuser of marketplace information. Journal of Marketing, 51(1), 83-97.

Jurvetson, S. (2000). What is viral marketing?. Retrieved October 4, 2007, from http://www.dfj.com/cgi-bin/artman/publish/steve_may00.shtml

Kirby, J. (2006). Viral marketing. In J. Kirby & P. Marsden (Eds), Connected marketing (pp. 91-97). Burlington: MPG Books.

MacPherson, K. (2001). Permission-based e-mail marketing that works!. Chicago, IL: Cynthia A. Zigmund.

Phelps, J. E., Lewis, R., Mobilio, L., Perry, D., & Raman, N. (2004). Viral marketing or electronic word-of-mouth advertising: examining consumer responses and motivations to pass along email. Journal of Advertising Research,44(4), 333-348.

Porter, L., & Golan, G. J. (2006). From subservient chickens to brawny men: a comparison of viral advertising to television advertising. Journal of Interactive Advertising, 6(2), 30-38.

Solomon, M. R. (2007). Consumer behavior buying, having, and being (7th ed.). Upper Saddle River, NJ: Prentice Hall.

Thurau, T. H., Gwinner, K. P., Walsh, G., & Gremler, D. D. (2004). Electronic word-of-mouth via consumer-opinion platforms: What motivates consumers to articulate themselves on the internet?. Journal of Interactive Marketing, 18(1), 38-52.

Walsh, G., Gwinner, K. P., & Swanson, S. R. (2004). What makes mavens tick? exploring the motives of market mavens’ initiation of information diffusion. Journal of Consumer Marketing, 21(2), 109-122.

Welker, C. B. (2002). The paradigm of viral communication. Information Service and Use, 22(3), 3-8.

View Fullscreen

 

 

 

 

 

 

 

ราเม็ง (Raumen)

การนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ

ชื่อผลงานทางวิชาการ: ราเม็ง (Raumen)

ประเภทผลงานทางวิชาการ: บทความวิชาการ

ปีที่พิมพ์ :  2557

ข้อมูลเพิ่มเติม: บทความนี้ได้ลงวารสารของคณะวิทยาการจัดการเล่มที่ 1 ปีที่ 1 (2557)

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

อาจารย์พรรณา พูนพิน

สาขาวิชา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

บทความวิชาการ เรื่อง ราเม็ง นี้ ผู้เขียน คือ อาจารย์พรรณา พูนพิน อาจารย์สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ ได้ให้ความสนใจ ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับรายการอาหาร ที่ประชาชนนิยมรับประทาน ซึ่งเหมาะสมกับราคาและเวลาในการรับประทาน แม้แต่ในประเทศไทย  ราเม็ง นี้ เป็นอาหารญี่ปุ่นประเภทบะหมี่น้ำ   ผู้เขียนได้บรรยายถึงประวัติ ส่วนประกอบหลัก ทั้งเส้น น้ำซุบและเครื่องปรุง บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ  พิพิธภัณฑ์ราเม็ง นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นรูปแบบการบรรจุภัณฑ์ของราเม็งประเภทต่างๆ ขั้นตอนการทำเส้นราเม็ง และการสั่งซื้อราเม็งจากตู้หยอดเงิน เป็นต้น ซึ่งบทความจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ต้องการศึกษาข้อมูลของอาหาร “ราเม็ง” ในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ต่อไป

View Fullscreen

นั่งรถไฟ ในยุโรป

การนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ

ชื่อผลงานทางวิชาการ          นั่งรถไฟ ในยุโรป

ประเภทผลงานทางวิชาการ  บทความวิชาการ

ปีที่พิมพ์                           2557

ข้อมูลเพิ่มเติม                   บทความนี้ได้ลงในวารสารของคณะวิทยาการจัดการ       มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ฉบับที่ 1 ปีที่ 1

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

                                  อาจารย์พรรณพิชญา  อัญชันภาติ  สาขาวิชาการท่องเที่ยว

คณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทความวิชาการ เรื่อง “นั่งรถไฟ ในยุโรป” ผู้เขียน คือ อาจารย์พรรณพิชญา อัญชันภาติ อาจารย์สาขาวิชาการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการเดินทางโดยรถไฟในทวีปยุโรป และเพื่อเป็นความรู้สำหรับนักเดินทางที่จะไปเที่ยวในทวีปยุโรป (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศเบลเยี่ยม และประเทศเนเธอแลนด์)  ว่ามีลักษณะอย่างไร โดยได้กล่าวถึง สภาพการเดินทาง   ลักษณะของรถไฟต่างๆ   วิธีการซื้อตั๋ว วิธีการขึ้นรถไฟ  สภาพของรถไฟทั้งภายในและภายนอก  รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรถไฟและสถานีรถไฟ เป็นต้น เมื่อผู้อ่านได้อ่านบทความเรื่องนี้จบแล้ว คงได้ข้อคิดหลายประการเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการรถไฟแห่งประเทศไทยในสภาพปัจจุบันนี้

View Fullscreen

ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : กรณีศึกษาตลาดน้ำ

การนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ

ชื่อผลงานทางวิชาการ      ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : กรณีศึกษาตลาดน้ำ

                                         คลองบางหลวง จังหวัดกรุงเทพมหานคร

The Study of Ecotourism Potentials: A Case Study of

Khlong Bang Luang  Floating Market, Bangkok

ประเภทผลงานทางวิชาการ          บทความวิจัย

ปีที่พิมพ์                                   2560

ข้อมูลเพิ่มเติม                 บทความนี้ได้นำเสนอในงาน เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ ในการประชุม

                                       วิชาการระดับชาติ    ด้านการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย

ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  ครั้งที่ 1  (วันที่ 16 มิถุนายน 2560)

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

                                      ดร.ตุลยราศรี ประเทพ     สาขาวิชาการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

            บทความวิจัย      เรื่อง     ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ   :      กรณีศึกษาตลาดน้ำ

คลองบางหลวง  ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอภาษีเจริญ  กรุงเทพมหานคร นี้  ดร.ตุลยราศรี ประเทพ สาขาวิชาการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา  เป็นผู้ศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัญหาด้านการบริหารจัดการและศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศตลาดน้ำคลองบางหลวง เขตภาษีเจริญ จังหวัดกรุงเทพมหานคร  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือประชาชนในท้องถิ่น จำนวน 139 คนและนักท่องเที่ยว จำนวน 212 คน  รวมทั้งสิ้น451 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว  และสถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยล่ะ (Percentage) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลของการวิจัยพบว่า  การศึกษาสภาพปัญหาการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ  ในภาพรวม ประสบกับปัญหาที่มีความรุนแรงอยู่ในระดับมาก คือ ปัญหาด้านผู้ประกอบการ และการศึกษาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว พบว่า ตลาดน้ำคลองบางหลวง โดยรวม มีศักยภาพอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นต่อศักยภาพ ด้านพื้นที่ อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านกิจกรรม)  และด้านการจัดการ  ตามลำดับ  ซึ่งบทความวิจัยดังกล่าวสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา นำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและสร้างเส้นทางและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวตลาดน้ำคลองบางหลวง ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดกรุงเทพมหานคร

 

บทคัดย่อ

            การวิจัยแบบผสมผสานวิธีเรื่องศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : กรณีศึกษาตลาดน้ำคลองบางหลวง เขตภาษีเจริญ จังหวัดกรุงเทพมหานครโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการบริหารจัดของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศตลาดน้ำคลองบางหลวง และ เพื่อศึกษาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศตลาดน้ำคลองบางหลวง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประชาชนในท้องถิ่น (ประชาชนในพื้นที่) จำนวน 139 คนและเป็นนักท่องเที่ยว จำนวน 212 คน  โดยเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยในครั้งนี้ คือ แบบประเมินศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว

ผลการวิจัยพบว่า

1)การศึกษาสภาพปัญหาการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พบว่า การบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในภาพรวมประสบกับปัญหาที่มีความรุนแรงระดับมากคือ ปัญหาด้านผู้ประกอบการโดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ1.52,2)การศึกษาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว พบว่า ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศตลาดน้ำคลองบางหลวง โดยรวม มีศักยภาพอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นต่อศักยภาพ ด้านพื้นที่ อยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ย (= 3.57)รองลงมา คือ ด้านกิจกรรม(xˉ = 3.51)  และด้านการจัดการ(xˉ = 3.49)  ตามลำดับ

คำสำคัญ:ศักยภาพ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

 

Abstract

This mixed-method research entitled “The Study of Ecotourism Potentials: A Case Study of Khlong Bang Luang Floating Market, Bangkok” aimed to study thecurrent issues of ecotourism attractions of Khlong BangLuang Floating Market and to study the ecotourism site potentials of Khlong Bang Luang Floating Market. The sample consisted of 139 local people and 212 tourists which had been selected using accidental sampling method. The instrument used was a tourism potential evaluation form. The process and statistic used to analyze information were content analysis, average, percentage and variance.

The findings revealed as follows:

1) The problem on the participatory ecotourism management of Khlong Bang Luang Floating Market. Sub-district was at a high level. It was found out that the highest mean score was found in the entrepreneur 2) The study revealed that the overall ecotourism potential of Khlong Bang Luang Floating Market was high. The findings, according to each aspect, were at a high levelincluding the area (xˉ = 3.57), the activities(xˉ = 3.51)  and the management (xˉ = 3.49) respectively.

Keywords: Ecotourism Potentials

View Fullscreen

พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

การนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ

 

ชื่อผลงานทางวิชาการ      พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน

                                         กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

                              Media Exposure Behavioral in ASEAN Community of People

                              case study : Bangkok

ประเภทผลงานทางวิชาการ          บทความวิจัย

ปีที่พิมพ์                                   2557

ข้อมูลเพิ่มเติม                            บทความนี้ได้นำเสนอในงาน  Proceedings of The International Conference Comparativism, Identity, Communication (CIC2014) in Craiova, Romania (17-18 October 2014)

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตำแหน่งทางวิชาการ

                                                     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สิงห์ สิงห์ขจร สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร

องค์การ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

 

บทความวิจัย เรื่องพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร   Media Exposure Behavioral in ASEAN Community of People case study : Bangkok  ผู้ศึกษา คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ  มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร (2) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร        เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวน 1,198 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนผ่านสื่อประเภท โทรทัศน์มากที่สุด รองลงมา คือ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โปสเตอร์/ป้ายประชาสัมพันธ์ เอกสารประชาสัมพันธ์ การประชุมสัมมนา ASEAN  นิทรรศการ ASEAN  ตามลำดับ การเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย มากที่สุด 2) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการเปิดรับข่าวสาร คือ การไม่มีเวลา ไม่สนใจ ไม่เห็นประโยชน์ และอื่นๆ  จากบทความวิจัยนี้ จะเห็นได้ว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ให้ได้ความสำคัญในการรับรู้ข่าวสารต่างๆ  ผ่านสื่อโทรทัศน์มากที่สุด ดังนั้น การที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าภาครัฐ หรือเอกชน จะนำเสนอข่าวสารใด เรื่องใด สาระสำคัญใด ก็ควรพิจารณาผ่านสื่อโทรทัศน์เป็นลำดับแรกเป็นการดีที่สุด

 

 

พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

Media Exposure Behavioral in ASEAN Community of People case study : Bangkok

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร (2) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวน 1,198 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป

ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนผ่านสื่อประเภท โทรทัศน์มากที่สุด หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โปสเตอร์/ป้ายประชาสัมพันธ์ เอกสารประชาสัมพันธ์ การประชุมสัมมนา ASEAN  นิทรรศการ ASEAN  ตามลำดับการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย มากที่สุด 2) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการเปิดรับข่าวสาร คือ การไม่มีเวลา ไม่สนใจ ไม่เห็นประโยชน์ และอื่นๆ

คำสำคัญ : พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสาร ประชาคมอาเซียน กรุงเทพมหานคร

 

Abstract

The objection of this research is to study (1) Media Exposure Behavioral in ASEAN Community of People (2) problem, difficulty and suggestion on Media Exposure Behavioral in ASEAN Community of People case study : Bangkok

This is the surveying research; population of the research is 1,198 people living in Bangkok. The tool of the research is questionnaire; and data statistical analysis by using computer program, and report in frequency and percentage.

The results found: 1) the study on the Media Exposure Behavioral in ASEAN Community of People most media accepted is television, newspapers, internet, magazines, radio, Posters, ASEAN meeting, ASEAN conference and ASEAN exhibition. The most television is Channel 3, newspapers is Thairath newspaper and radio station is Radio Thailand 2) the study on the problem, difficulty and the suggestion on the Media Exposure Behavioral and Perception in ASEAN Community of People case study : Bangkok is the reason of having no time and not being interested.

Keywords : Media Exposure Behavioral, ASEAN Community, Bangkok

 

บทนำ

ประเทศไทยต้องปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2558 ภายใต้ข้อตกลงและความร่วมมือของประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนจำนวน 10 ประเทศ  ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บูรไน เวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชาและไทย ภายใต้ชื่อสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) หรือประชาคมอาเซียน โดยมีกรอบแนวคิดหลักคือ หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์  หนึ่งประชาคม (One  Vision , One identify , One Community) มีการแบ่งเป้าหมายการพัฒนาออกเป็น 3 เสาหลักได้แก่ ประชาคมด้านสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ประชาคมด้านเศรษฐกิจอาเซียนและประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน การรวมตัวประชาคมอาเซียนมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม เทคโนโลยีและการบริหารส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคงของภูมิภาค  ส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่างอาเซียนกับต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาภูมิภาคอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวกันเช่นส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศอาเซียน การเชื่อมโยงตลาดทุนระหว่างกันและพัฒนาตลาดพันธบัตรโดยมาตรการการเปิดเสรีลงทุนและความร่วมมือทางการท่องเที่ยวจากบทบาทและความสำคัญของประชาคมอาเซียน ทำให้ประชาชนต้องติดตามข่าวสารจากสื่อมวลชน เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจรวมถึงการมีส่วนร่วมในฐานะประเทศสมาชิกของประเทศ ถือเป็นวาระสำคัญที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสื่อมวลชนซึ่งถือเป็นสถาบันทางสังคมที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อการมีส่วนร่วมในการเตรียมพร้อมแก่ประชาชนในทุกมิติ

การสื่อสารในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน เพราะตั้งแต่เราตื่นจนเรานอนหลับนั้น ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการสื่อสารแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือ ทางอ้อม การสื่อสารเป็นพฤติกรรมขั้นพื้นฐานซึ่งมีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ การสื่อสารเป็นรากฐานของกิจกรรมทางสังคมและการเมืองทุกชนิด มนุษย์ต้องอาศัยการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองและอาศัยการสื่อสารเพื่อให้การอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมเป็นไปโดยปกติสุข การเปิดรับข่าวสารจากสื่อมวลชน โดยผู้รับสารจะมีความคาดหวังจากสื่อมวลชนว่า  การเปิดบริโภคข่าวสารจากสื่อมวลชนจะช่วยสนองตอบความต้องการของตนได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือเปลี่ยนลักษณะนิสัยและพฤติกรรมบางอย่างได้ โดยที่การเลือกรับข่าวสารจากสื่อมวลชนนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการหรือแรงจูงใจของผู้รับสารเอง เพราะบุคคลแต่ละคนย่อมมีวัตถุประสงค์และความตั้งใจในการใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนที่แตกต่างกันออกไป โดยสื่อมวลชนในที่นี้จะหมายถึงสื่อต่าง ๆ  ที่เผยแพร่ไปสู่มวลชน และกระบวนการในการจดจำ เลือก รวบรวม และตีความสิ่งเร้าต่าง ๆ เพื่อที่จะให้สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา

ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือประชาชนได้เปิดรับข่าวสารเรื่องที่เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน มีการเปิดรับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับประชาคมอาเซียนจากสื่อใดมากที่สุด จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจและประสงค์จะศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสาร เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชนในประเทศไทย
  2. เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ ในพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

 

วิธีการดำเนินการวิจัย

  1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานครเท่านั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนในกรุงเทพมหานคร สถานที่เก็บรวบรวมข้อมูล คือ สถานที่ต่างๆในกรุงเทพมหานคร การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างดำเนินการโดยใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นสำหรับเก็บรวบรวมตัวอย่างจำนวน 1,198 คนในกรุงเทพมหานครใช้ระยะเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ถึง วันที่ 15 พฤษภาคม 2556

ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดกลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5,673,560 คน ( ข้อมูล: ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรแยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555)

กลุ่มตัวอย่างตัวอย่างในการวิจัย ขนาดของกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้  อ้างอิงตาราง  Taro Yamane (1973)  โดยกำหนดความเชื่อมั่น 95 % และความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 3 %  ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างไม่น้อยกว่า 1,111  ตัวอย่าง  ในการวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,198 ตัวอย่าง

  1. การเก็บรวบรวมข้อมูล

วิธีการสุ่มตัวอย่างในการวิจัย วิธีการวิจัยในครั้งนี้  ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน  โดยการแบ่งเป็นกลุ่มพื้นที่เขต  ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) และในการเลือกเขตของ แต่ละกลุ่มเขต  ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย  (Simple Random Sampling) และสุดท้ายใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก (Convenience Sampling) ดังมีรายละเอียดของขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1  ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ  กรุงเทพมหานครแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 กลุ่มเขต (สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, 2542) จากทั้งหมด 50 เขต ตามการกระจายอำนาจบริหารโซนแบ่งกลุ่มของ 50 เขต ออกเป็น 6 โซน ได้แก่ โซนรัตนโกสินทร์  โซนบูรพา  โซนศรีนครินทร์  โซนเจ้าพระยา  โซนกรุงธนใต้  และโซนกรุงธนเหนือ ขั้นที่ 2  ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ด้วยวิธีการจับฉลากเลือกเขตตัวแทนของแต่ละกลุ่มเขต  ตามสัดส่วนในขั้นตอนที่ 1 ได้รายชื่อเขตตามกลุ่มเขตดังนี้ ขั้นที่ 3  ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก  การเก็บข้อมูลในแต่ละเขต ทำการเก็บข้อมูลตามสะดวก โดยเก็บตามแหล่งชุมชนที่คาดว่าเป็นแหล่งชุมชนของกลุ่มตัวอย่าง เนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ แหล่งที่เป็นชุมชนจึงมีปริมาณมากเช่นกัน ดังนั้นผู้วิจัยจึงเจาะลงไปที่ศูนย์การค้าหรือตลาด จนครบจำนวน 10 เขต ตามที่กำหนด โดยผู้วิจัยและทีมงานนำแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างตอบและนำกลับคืนด้วยตัวเอง

เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาจากการศึกษา ค้นคว้าเอกสาร หนังสือ ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศึกษาการสร้างแบบสอบถามอย่างละเอียดตามกรอบแนวคิดการวิจัย โดยแบบสอบถามที่ใช้สำหรับการวิจัยครั้งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นแบบสอบถามปลายปิดและแบบสอบถามปลายเปิดซึ่งประกอบด้วยคำถาม 3 ส่วนโดยมีเนื้อหาในแต่ละส่วน ดังนี้ คือส่วนที่ 1 เป็นคำถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของลักษณะประชากร ส่วนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และส่วนที่ 3 เป็นคำถามเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร

การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยจะนำแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบและแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ไปดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยกับผู้ช่วยวิจัยอีกจำนวน 10 คน ได้ดำเนินการแจกแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างประกอบการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (Face-to-Face interview) และรับคืนแบบสอบถามด้วยตนเอง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ดังกล่าวให้ครบจำนวน 1,198 คน ในระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2556

  1. การวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ  โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ ในการประมวลผลข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามและใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ การวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณา (Descriptive Statistics) แจกแจงค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ เพื่ออธิบายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่างในเรื่องข้อมูลลักษณะประชากร พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสาร

สรุปผลการวิจัย

ผลการวิจัยเรื่อง พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร มีข้อค้นพบที่น่าสนใจดังนี้  คือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนผ่านสื่อประเภท โทรทัศน์มากที่สุด หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โปสเตอร์/ป้ายประชาสัมพันธ์ เอกสารประชาสัมพันธ์ การประชุมสัมมนา ASEAN นิทรรศการ ASEAN ตามลำดับการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 3  หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ผ่านทางเว็บไซต์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย มากที่สุด ทำให้เห็นว่าโทรทัศน์เป็นสื่อที่มีทั้งภาพและเสียงจึงทำให้ประชาชนเข้าใจข่าวสารได้ง่ายกว่าสื่อประเภทอื่นๆ ในส่วนของสื่อหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงกลุ่มตัวอย่างได้อย่างกว้างขวางและสามารถนำมาอ่านซ้ำได้หากต้องการจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งสื่ออินเตอร์เน็ตนั้นทำให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและสามารถใช้เทคโนโลยีได้มากกว่าในอดีตและข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนั้นสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลาผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว แต่สื่อประเภทโปสเตอร์/ป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อเอกสารประชาสัมพันธ์ การประชุมสัมมนา ASEAN นิทรรศการ ASEAN ซึ่งหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนได้มีการใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากในการผลิตสื่อโปสเตอร์/ป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อเอกสารประชาสัมพันธ์ รวมไปถึงการจัดประชุมสัมมนา ASEAN นิทรรศการ ASEAN นั้นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่กลับเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนอยู่ในกลุ่มสุดท้าย  และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีความถี่ในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน 1 – 2 วัน ต่อสัปดาห์มากที่สุด และอยากให้มีข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนผ่านสื่อประเภท โทรทัศน์มากที่สุด หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต เอกสารประชาสัมพันธ์ นิทรรศการ ASEAN นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โปสเตอร์/ป้ายประชาสัมพันธ์ การประชุมสัมมนา ASEAN ตามลำดับ

การศึกษาด้านปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการเปิดรับสื่อของผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น ปัญหา และอุปสรรค  ในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และในการรับรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีปัญหาและอุปสรรคในการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ไม่มีเวลา ร้อยละ 60.4  อันดับสองคือ ไม่สนใจ ร้อยละ 21.7  อันดับสามคือ ไม่เห็นประโยชน์ ร้อยละ 15.4 และอันดับสุดท้ายคือ อื่นๆ ซึ่งมี คิดเป็นร้อยละ 2.5

 

อภิปรายผลการวิจัย

ในส่วนของพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนของประชาชน ซึ่งผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนจากสื่อโทรทัศน์มากเป็นอันดับหนึ่งรองลงมาคือ หนังสือพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต ผลการวิจัยที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการที่สื่อโทรทัศน์สามารถกระจายข่าวสารไปถึงผู้รับสารได้อย่างรวดเร็วและในปริมาณความถี่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อมวลชนอื่นๆ จึงมีโอกาสเปิดรับสูง การติดตามสื่อโทรทัศน์นั้นผู้รับสารสามารถรับสารทั้งภาพและเสียงพร้อมๆ กันซึ่งสามารถทำความเข้าใจในเนื้อหาของสารง่ายกว่าสื่อมวลชนประเภทอื่น สอดคล้องกับแนวคิดของ Philip Kotler (2000) กระบวนการในการเลือกที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งผู้รับสารมักจะต้องตัดสินใจในทางเลือกต่าง ๆ อยู่เสมอในชีวิตประจำวัน โดยจะเลือกเปิดรับข่าวสารตามข้อมูลและข้อจำกัดของสถานการณ์ เป็นกระบวนการที่สำคัญและอยู่ภายใต้จิตใจของผู้รับสาร สอดคล้องกับแนวความคิดทฤษฎีการแพร่กระจายนวัตกรรม Innovation Diffusion Theory  ของ Roger (1973)  ได้แบ่งกลุ่มคนในสังคมที่จะยอมรับการแพร่กระจายทางเทคโนโลยีไว้ดังนี้ กระบวนการ Social Adoption นั้น การยอมรับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี จะต้องอาศัยช่องทาง (Channels) ในการสื่อสารของบุคคลกลุ่มต่างๆ ในสังคม เพื่อสื่อสารจากกลุ่มหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนวัตกรรมถูกสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ของระบบสังคม โดยใช้เวลาในการเข้าสู่สมาชิกในสังคม ทั้งสี่ส่วนประกอบหลักในสังคมนั่น คือ นวัตกรรม ช่องทางในการสื่อสาร เวลา และ ระบบสังคม Critical mass จำนวนผู้ที่ยอมรับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมน้อยที่สุด ที่ยังคงมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างนวัตกรรมและผู้ยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยี นั้น ซึ่งอัตราการยอมรับนั้นเพียงพอจะทำให้มันยังคงมีเทคโนโลยีนั้นอยู่ได้ด้วย ตัวมันเองต่อไปได้

ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย

  1. เสนอให้กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับการเลือกใช้สื่อที่ในการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน
  2. เสนอให้องค์กรสื่อมวลชน เกี่ยวกับการส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนให้ประชาชนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น

 

เอกสารอ้างอิง

 

Asseal Henry. (1998). Consumer Behavior and Marketing Action. 6th ed.  Cincinnati, OH :

South-Western College Publishing

Bussey, Cathy. (2011). Brilliant PR. Great Britain : Pearson

Dainton, Marianne. (2011). Applying Communication Theory for Professional Life. 2nd ed.USA : Sage Publication.

Kotler, P. (2000). Marketing management. 10th ed. Upper Saddle River, NJ : Prentive-Hall.

Rogers, Everett M. (1973). Communication Strategies for Familly Plamming.  New York: The Free Press.

Singh Singkhajorn. (2011) . Political Information Acceptance Behavior from Mass Media, and Political Participation of  People case study : Chiang Rai Province. Office of the Higher Education Commission:Ministry of  Education Thailand

Stanley J Baran, and Dennis K Davis . (2012). Mass Communication Theory . (6th edition) Canada: Wadsworth Cengage Learning.

Stephen W Littlejohn, and Karen A. Foss. (2012). Theory of Human Communication . (9th edition) Boston,MA: Wadsworth Cengage Learning.

The Government Public Relation Department. (2011)  The ASEAN Community. Prime Minister’s Office

The Government Public Relation Department. (2012) Thailand and ASEAN. Office of the Education Council:Ministry of  Education Thailand