การนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ
ชื่อผลงานทางวิชาการ การเงินธุรกิจ (Business Finance)
ประเภทผลงานทางวิชาการ ตำรา
ปีที่พิมพ์ 2555
ข้อมูลเพิ่มเติม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ/ตาแหน่งทางวิชาการ
รองศาสตราจารย์ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ
การเงินธุรกิจ (Business Finance)
ตำรา เรื่องการเงินธุรกิจ ผู้แต่ง คือ รองศาสตราจารย์ปรียานุช กิจรุ่งโรจน์เจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผู้แต่งได้ แสดงเจตนารมณ์ว่า เป็นตำราเรียนที่เหมาะสาหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี โปรแกรมบริหารธุรกิจทุกแขนงและโปรแกรมบัญชี โดยได้กล่าวถึงขอบเขตอำนาจงานทางด้านการเงิน การวิเคราะห์ทางการเงินเพื่อทราบถึงฐานะการเงินในปัจจุบัน การวางแผนทางการเงิน หลักในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน หลักในการบริหารและการจัดสรรเงินทุนเพื่อลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ถาวร การจัดแหล่งเงินทุนของธุรกิจ ปัจจัยดอกเบี้ยทางการเงิน การตัดสินใจเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ถาวร นโยบายการจ่ายเงินปันผลและกำไรสะสม โดยแบ่งเนื้อหาในไว้ ทั้งหมด 11บทเนื้อหาแต่ละบทประกอบด้วยข้อมูลเชิงบรรยายและการคำนวณในเนื้อหาบางส่วนพร้อมแบบฝึกหัดเพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ศึกษามีความรู้และความเข้าใจหลักพื้นฐานทางด้านการเงินเพื่อนำไปสู่การบริหารการเงินในธุรกิจได้เป็นอย่างดีมีประสิทธิภาพและสามารถนำความรู้เป็นหลักในการบริหารงานการเงินธุรกิจต่อไป
ในการดำเนินงานของธุรกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพมีองค์ประกอบหลายด้านได้แก่ด้านการตลาดด้านการเงินและบัญชีด้านการผลิตด้านบุคลากรเป็นต้นองค์ประกอบทุกด้านมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันการดำเนินงานที่สอดคล้องกันจะทำให้การบริหารงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
การบริหารงานทางด้านการเงินธุรกิจ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะนำไปสู่การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เนื่องจากหลักในการบริหารงานทางการเงิน จะทำให้ทราบถึงแหล่งที่ได้มาของเงินทุน ทั้งแหล่งภายในและแหล่งภายนอก ซึ่งไม่ว่าจะหาจากแหล่งใด ธุรกิจก็ย่อมต้องมีต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) ซึ่งต้นทุนของเงินทุนนั้นต้องต่ากว่าผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนดังนั้นเงินทุนที่ได้มานั้นผู้บริหารการเงินต้องศึกษาถึงหลักในการจัดสรรเงินทุนเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนหรือสินทรัพย์ถาวรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงที่สุด
การบริหารการเงินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพนั้นมีหน้าที่งานหลายด้านเกี่ยวข้องเริ่มตั้งแต่การคาดการณ์ความต้องการเงินทุนของธุรกิจการจัดหาเงินทุนการจัดสรรเงินทุนของธุรกิจซึ่งหน้าที่งานดังกล่าวจะต้องเกี่ยวข้องกับหลักในการบริหารเงินสดการจัดทำงบประมาณเงินสดการบริหารลูกหนี้อย่างมีประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงเหลือให้เพียงพอกับความต้องการและการจัดสรรเงินทุนไปใช้ในสินทรัพย์ถาวรโดยการจัดทำงบลงทุนเพื่อประเมินโครงการในอนาคตและ
การศึกษามูลค่าของเงินที่เปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาทั้งนี้เนื่องจากการตัดสินใจลงทุนในโครงการหนึ่งโครงการใดนั้นเป็นโครงการที่ใช้เงินทุนจำนวนมากและให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่มีผลกระทบต่อเนื่องจากค่าของเงินการตัดสินใจที่ผิดพลาดจะมีผลต่อธุรกิจในระยะยาวในขณะเดียวกันการลงทุนในโครงการดังกล่าวธุรกิจมักก่อหนี้ระยะยาวเพื่อจัดหาเงินมาลงทุนซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างของเงินทุนคือสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนทุนที่มากเกินไปทำให้ธุรกิจเกิดความเสี่ยง
หลักการบริหารการเงินที่ดีนั้นผู้บริหารการเงินต้องสามารถกาหนดขนาดของเงินทุนที่ต้องการอย่างเหมาะสมเพื่อหาแหล่งเงินทุนที่ดีที่สุดต้นทุนต่าที่สุดคือหากต้องการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวก็ควรมาจากแหล่งเงินทุนระยะยาวอันได้แก่เงินทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้นและเงินกู้ระยะยาวหากลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนก็ควรมาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเช่นเงินกู้ยืมระยะสั้นหรือเครดิตทางการค้าดังรูปต่อไปนี้
การจัดหาและการจัดสรรเงินทุนของธุรกิจ งบดุล
การจัดสรรเงินทุนให้มีประสิทธิภาพ ก็คือ การบริหารเงินทุนให้สอดคล้องกับแหล่งที่มาของเงินทุน เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจเกิดปัญหาเกี่ยวกบสภาพคล่อง (Liquidity) แต่ทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการทำกำไร (Profitability) ที่สูงที่สุดด้วย ดังนั้น การจัดการทางด้านการเงินจึงเป็น 5 หัวใจสำคัญที่จะนำธุรกิจไปสู่เป้าหมายสูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ในตำราเล่มนี้ประกอบด้วย 11 บทดังนี้
บทที่ 1 ความสำคัญของการเงินในองค์กรธุรกิจ และขอบเขตอำนาจหน้าที่งานทางด้านการเงิน ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับเป้าหมายของธุรกิจมูลค่าของธุรกิจวัตถุประสงค์ของการบริหารการเงินของธุรกิจหน้าที่และสายงานของฝ่ายการเงินขอบเขตงานทางการเงินในองค์กรธุรกิจและหน้าที่งานทางด้านการเงิน
ดังนั้นขอบเขตงานที่สำคัญในการบริหารการเงินในองค์กรธุรกิจก็คือการวางแผนคาดคะเนความต้องการเงินทุนของธุรกิจการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดหาทุนการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆซึ่งถือเป็นการบริหารเงินทุนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดคือต้องมีทั้งสภาพคล่องและความสามารถในการทำกำไรที่สมดุลกันภายใต้ความเสี่ยงที่ธุรกิจยอมรับได้อนึ่งเงินทุนที่ธุรกิจจัดหามานั้นควรมีต้นทุนของเงินทุนที่ต่าที่สุด
ในการบริหารการเงินของธุรกิจนั้น จุดมุ่งหมายหลักก็คือ พยายามทำให้มูลค่าของธุรกิจมีค่าสูงที่สุด ซึ่งจะมีผลให้การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การตัดสินใจทางการเงินที่ดีที่สุด การตัดสินใจทางการเงินจะนำไปสู่การวัดมูลค่าของธุรกิจว่ามีมูลค่าสูงสุดหรือไม่ จะพิจารณาได้จากราคาหุ้นที่สูงที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการคือความเสี่ยงและความสามารถในการทำกำไรปัจจัยทั้งสองจะแตกต่างกันในแต่ละธุรกิจอันถูกกำหนดขึ้นจากประเภทของธุรกิจขนาดของธุรกิจชนิดของเครื่องจักรการใช้ประโยชน์จากหนี้และสภาพคล่องของแต่ละธุรกิจนั่นเอง
หน้าที่งานด้านการเงินของธุรกิจโดยทั่วไปก็คือการรักษาสภาพคล่องของธุรกิจการเพิ่มสมรรถภาพในการทำกำไรการจัดการและบริหารสินทรัพย์และการจัดการและบริหารเงินทุนเพื่อให้ธุรกิจบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุด
บทที่ 2 การวิเคราะห์งบการเงิน เนื้อหาในบทนี้ประกอบด้วยความหมายของการวิเคราะห์ทางการเงินขั้นตอนการวิเคราะห์งบการเงินเทคนิคและเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์งบการเงินการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินประเภทของอัตราส่วนทางการเงินข้อจำกัดในการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินการวิเคราะห์แนวโน้มและการวิเคราะห์โดยการย่อส่วน
ดังนั้นการวิเคราะห์ทางการเงินเป็นเครื่องมือของผู้บริหารในการวิเคราะห์ฐานะการเงินที่แท้จริงของธุรกิจซึ่งผลการวิเคราะห์ที่ได้จะทำให้ผู้บริหารการเงินประเมินผลการดำเนินงานและเป็นแนวทางในการวางแผนและตัดสินใจทางการเงินนอกจากนี้การวิเคราะห์ทางการเงินยังเป็นประโยชน์ต่อบุคคลต่างๆได้แก่ผู้ลงทุนเจ้าหนี้ผู้สนใจลงทุนผู้สอบบัญชีรัฐบาลและผู้สนใจอื่นๆ
เทคนิคและเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการวิเคราะห์มี 3 ลักษณะ
1. การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเป็นการวิเคราะห์โดยใช้สูตรทางการเงินซึ่ง
แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
1.1 อัตราส่วนวิเคราะห์ความคล่องตัวทางการเงิน
1.2 อัตราส่วนวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์
1.3 อัตราส่วนวิเคราะห์สภาพหนี้สิน
1.4 อัตราส่วนวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรหรือประสิทธิภาพในการบริหารงานของฝ่ายบริหาร
2. การวิเคราะห์แนวโน้ม เป็นการศึกษาข้อมูลในอดีต จนกระทั่งถึงปัจจุบันของอัตรา–ส่วนทางการเงินที่ได้จากการวิเคราะห์
3. การวิเคราะห์โดยการย่อส่วน เป็นการย่อส่วนงบการเงิน คืองบดุลและงบกำไรขาด–ทุนเป็นอัตราร้อยละเพื่อให้ขนาดเล็กลงง่ายต่อการเปรียบเทียบ
การวิเคราะห์ทางการเงิน ดังกล่าว เป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึง ผลการดำเนินงานอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุมของธุรกิจ อันจะนำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาและแนวโน้มในการ–ดำเนินงานขั้นต่อไปของธุรกิจนั่นเอง
บทที่ 3 การวางแผนทางการเงิน ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของการวางแผนทางการเงินงบประมาณเงินสดวิธีการจัดทำงบประมาณเงินสดงบประมาณเงินสดสุทธิการพยากรณ์กระแสเงินสดสุทธิหรืองบประมาณเงินสดสุทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดทำงบประมาณเงินสด
การวางแผนทางการเงิน คือการจัดเตรียมข้อมูลทางการเงินไว้ล่วงหน้าด้วยการพยากรณ์ยอดขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และจากยอดขายที่พยากรณ์ ก็จะทำให้ธุรกิจสามารถคาดคะเนปริมาณสินค้าที่ต้องซื้อเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ หรือหากเป็นธุรกิจ อุตสาหกรรม ก็จะต้องคาดคะเนปริมาณการผลิตปริมาณวัตถุดิบ ค่าแรงงานและค่าใช้จ่ายใน การผลิต อันจะนำไปสู่การจัดทำ “งบประมาณเงินสด” ในแต่ละงวดเวลา
การจัดทำงบประมาณเงินสดเป็นการวางแผนการรับเงินสดและการจ่ายเงินสดระหว่างงวด เพื่อการจัดทำงบประมาณเงินสดรับ(จ่าย)สุทธิ ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารการเงินสามารถพยากรณ์ปริมาณเงินสดที่ต้องหามาในกรณีที่กิจการมีเงินสดขาดมือ และวางแผนเพื่อการนำเงินสดไปลงทุนในกรณีที่เงินสดมากเกินความต้องการ การจัดเตรียมการจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมจะทำให้ธุรกิจจัดหาเงินทุนได้ทันและเสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่า การดำเนินงานก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น
นอกจากนี้การวางแผนทางการเงินก็จะเป็นเครื่องมือในการควบคุมการเงินได้โดยนำไปเปรียบเทียบกับผลการปฏิบัติงานจริงความแตกต่างจะชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติงานว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใดและชี้ให้เห็นถึงแนวทางในการแก้ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดปัญหานั้นๆ
บทที่ 4 การบริหารเงินทุนหมุนเวียน ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของเงินทุนหมุนเวียนวัตถุประสงค์ของการบริหารเงินทุนหมุนเวียนการพิจารณาระดับเงินทุนหมุนเวียนที่เหมาะสมประเภทของเงินทุนหมุนเวียนปัจจัยที่มีผลกระทบต่อปริมาณเงินทุนหมุนเวียนและส่วนประกอบของเงินทุนหมุนเวียนทัศนคติผู้บริหารต่อระดับความเสี่ยงและการวิเคราะห์เงินทุนหมุนเวียน
เงินทุนหมุนเวียนหมายถึงเงินลงทุนที่ธุรกิจลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนได้แก่
เงินสดหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดลูกหนี้สินค้าคงเหลือ
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ = สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินหมุนเวียน
เงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจนั้นเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงานของธุรกิจที่จะขายเสียมิได้แต่หากมีมากเกินไปก็จะสูญเสียกำไรผลตอบแทนที่ควรจะได้รับ
เงินทุนหมุนเวียน แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
–เงินทุนหมุนเวียนถาวรคือสินทรัพย์หมุนเวียนขั้นต่ำที่ต้องดำรงไว้เช่นเงินสดขั้นต่ำ
–เงินทุนหมุนเวียนชั่วคราวคือสินทรัพย์หมุนเวียนที่ต้องมีเพิ่มเติมจากส่วนถาวร
ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดปริมาณและขนาดของเงินทุนหมุนเวียนมีหลายประการได้แก่ประเภทของธุรกิจปริมาณขายนโยบายธุรกิจการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีฤดูกาลฯลฯ
แหล่งเงินทุนที่นำมาใช้ควรเป็นไปตามหลักการบริหารการเงิน กล่าวคือ เงินทุนหมุน–เวียนแบบชั่วคราวควรจัดหามาจากแหล่งเงินทุนระยะสั้นเงินทุนหมุนเวียนแบบถาวรควรจัดมาจากแหล่งเงินทุนระยะยาวแต่ในทางปฏิบัติอาจพบว่าไม่เป็นไปตามหลักดังกล่าวเนื่องจากทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อระดับความเสี่ยงนั้นแตกต่างกัน
สิ่งที่ผู้บริหารการเงินจำเป็นต้องศึกษาอีกประการหนึ่งก็คือการได้มาและใช้ไปของเงินทุนหรืองบแสดงแหล่งที่ได้มาและใช้ไปของเงินทุนซึ่งแสดงให้เห็นถึงเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจ
นอกจากนี้ การศึกษางบกระแสเงินสด จะทำให้ผู้บริหารทราบถึงกระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายจากกิจกรรมต่างๆ เป็นการแสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดในแต่ละงวด เงินสด
รับของงวดนั้นมาจากไหนและเงินสดจ่ายนั้นจ่ายเพื่อการใดบ้างทำให้รู้ถึงการเคลื่อนไหวของเงินสดที่เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ
บทที่ 5 การบริหารเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของเงินสดสาเหตุของการถือเงินสดประโยชน์ของการถือเงินสดเพียงพอการบริหารเงินสดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากระบบการจัดเก็บเงินการจุดเก็บเงินจากเช็คที่ส่งทางไปรษณีย์การตั้งศูนย์จัดเก็บเงินระบบเช่าตู้ไปรษณีย์การควบคุมการจ่ายชำระหนี้และการบริหารหลักทรัพย์และความต้องบการของตลาด
ดังนั้น เงินสด เป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่ธุรกิจจำเป็นต้องมีไว้ ตามแนวความคิดของ John Maynard Keynes คือ
– เพื่อการดำเนินงานตาม
– เพื่อเหตุฉุกเฉิน
– เพื่อการเก็งกำไร
การมีเงินสดให้เพียงพอจะทำให้การดำเนินงานของธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นไม่หยุดชะงักสามารถจ่ายชำระหนี้ได้ในระยะเวลาที่กำหนดและอาจได้รับโอกาสหรือประโยชน์จากการชำระหนี้โดยเอาส่วนลด
การบริหารเงินสดคือการบริหารให้กิจการมีเงินสดในปริมาณที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องและผลตอบแทนที่ควรจะได้รับหากมีเงินสดมากเกินความจำเป็นซึ่งหลักในการบริหารเงินสดที่ดีจะมีผลทำให้
– ธุรกิจมีสภาพคล่อง
– ดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
– มีโอกาสในการลงทุนหาผลประโยชน์ได้มากขึ้น
การบริหารเงินสดให้มีประสิทธิภาพนั้น มีอยู่ 3 วิธีด้วยกันคือ
1. การบริหารเงินสดรับและเงินสดจ่ายให้สอดคล้องกัน
2. การบริหารวงจรกระแสเงินสดให้มีประสิทธิภาพ
3. การกำหนดปริมาณเงินสดขั้นต่ำให้เหมาะสม
ระบบการจัดเก็บเงิน และการเร่งรัดชำระหนี้ จะทำให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนค่าเสีย–โอกาสของเงินที่ลอยตัว ที่เกิดจากการดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ อันจะทำให้ธุรกิจได้รับเงินกลับเข้าสู่กิจการได้เร็วขึ้น ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้ก็คือ การตั้งศูนย์จัดเก็บเงิน ระบบการเช่าตู้ไปรษณีย์
ส่วนการควบคุมการจ่ายชำระหนี้ก็คือการชะลอการจ่ายชำระหนี้ให้ช้าที่สุดโดยไม่กระทบต่อเครดิตทางการเงินของกิจการ
บทที่ 6 การบริหารลูกหนี้ ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับสาเหตุของการบัญชีลูกหนี้การค้าค่าใช้จ่ายของการมีบัญชีลูกหนี้การค้าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อขนาดของบัญชีลูกหนี้การค้านโยบายการให้สินเชื่อและการจัดเก็บหนี้การวิเคราะห์สินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เฉพาะรายและประสิทธิภาพในการบริหารลูกหนี้
การทวงถามหนี้ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นใดล้วนแต่เป็นปัญหาของเจ้าหนี้ทั้งสิ้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันไว้แต่แรกด้วยการพิจารณาให้การให้สินเชื่อก่อนที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้แต่ละราย
บทที่ 7 การบริหารสินค้าคงเหลือ ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงเหลือวัตถุประสงค์การบริหารสินค้าคงเหลือค่าใช้จ่ายในการมีสินค้าคงเหลือหลักในการบริหารสินค้าคงเหลือและส่วนลดเงินสดที่ได้จากกการซื้อสินค้าครั้งละมากๆ
สินค้าคงเหลือเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่ต้องมีการวางแผนและควบคุมทั้งนี้เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ไม่เหมาะสมคือมากไปหรือน้อยเกินไปย่อมมีผลเสียต่อกิจการ
ดังนั้นการบริหารและควบคุมสินค้าคงเหลือ ก็คือ การให้มีสินค้าคงเหลือในปริมาณที่เพียงพอแก่ความต้องการ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งในการบริหารและควบคุมสินค้าคงเหลือนั้น มีด้วยกัน 4 กรณีคือ
1. การกำหนดปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม, ประหยัดที่สุด = EOQ ซึ่งสามารถคำนวณได้ 3 วิธีคือ
1.1 การทดลองจากปริมาการสั่งซื้อที่แตกต่างกัน
1.2 การพล๊อตกราฟค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ
1.3 การใช้สูตรคณิตศาสตร์ (EOQ)
จุดสั่งซื้อสินค้า (Reoder Point) คือการสั่งซื้อสินค้าครั้งถัดไปเมื่อมีระยะเวลาในการรอคอยสินค้า (Lead time) และปริมาณสินค้าเพื่อความปลอดภัย (Safety stock)
สูตร Reorder point = จำนวนวันที่ใช้ในการผลิต x ปริมาณสินค้าที่ต้องการใช้ต่อวัน + ปริมาณสินค้าที่ปลอดภัย
3. ส่วนลดเงินสดที่ได้รับจากการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก (quantity discount) คือการพิจารณาเพื่อตัดสินใจซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ขายเสนอให้ส่วนลดหากซื้อสินค้ามากกว่าปริมาณที่ EOQ
หาก ส่วนลดที่ได้ > ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ตัดสินใจซื้อมากขึ้นเพื่อเอาส่วนลด
หากส่วนลดที่ได้ < ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ไม่ควรตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้น
4. ระดับสินค้าคงเหลือเพื่อความปลอดภัยเป็นการคำนวณหาปริมาณสินค้าขั้นต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดมือโดยศึกษาความน่าจะเป็นของโอกาสที่สินค้าจะขาดมือกับค่าใช้จ่ายรวมที่ต่ำที่สุดเป็นเกณฑ์
บทที่ 8 การจัดหาเงินทุนของธุรกิจ ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนภายในกิจการแหล่งเงินทุนภายนอกกิจการแหล่งเงินทุนระยะสั้นระยะกลางระยะยาวและภายนอกกิจการ ดังนั้นการจัดหาเงินทุนระยะยาวของธุรกิจสามารถหาได้จากแหล่งเงินทุนภายในและแหล่งเงินทุนภายนอกกิจการ
* แหล่งเงินทุนภายในเป็นแหล่งเงินทุนที่ได้จากค่าเสื่อมราคาและกำไรสะสม
* แหล่งเงินทุนภายนอกเป็นแหล่งเงินทุนที่หาได้จากตลาดทุนที่มีการซื้อขายหลักทรัพย์ได้แก่หุ้นสามัญหุ้นบุริมสิทธิหุ้นกู้พันธบัตรธุรกิจหุ้นกู้แปลงสภาพและใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ
หุ้นสามัญ เป็นหุ้นที่นิยมซื้อขายกัน เพราะผู้ถือหุ้นเข้าไปมีส่วนเป็นเจ้าของ ผลการดำเนินงานของบริษัทมีผลต่อราคาตลาดของหุ้นสามัญโดยตรง โดยเฉพาะกำไรต่อหุ้น(EPS) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล
หุ้นบุริมสิทธิ เป็นหุ้นกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับจะกำหนดตายตัวในรูปของจำนวนเงินต่อหุ้นหรืออัตราร้อยละของมูลค่าที่ตราไว้
หุ้นกู้หรือพันธบัตร เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระยะยาวต่างกันที่หลักประกันมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นไว้แน่นอนนอกจากนี้ก็อาจมีการกำหนดการไถ่ถอนหุ้นกู้โดยการตั้งกองทุนไถ่ถอนและการเรียกคืนหุ้น
หลักทรัพย์แปลงสภาพได้ เป็นหุ้นกู้หรือหุ้นบุริมสิทธิ ที่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้น–สามัญของบริษัทได้ตามราคาและระยะเวลาที่กำหนด
ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น เป็นสิทธิที่ผู้ออกหุ้นกู้ หรือหุ้นบุริมสิทธิให้กับผู้–ถือหุ้น ชนิดมีใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของกิจการตามราคาที่กำหนด โดยผู้ซื้อต้องใช้สิทธิภายในระยะเวลาที่กำหนดเช่นกัน
การจัดหาเงินทุนระยะยาวนั้นสามารถกระทำได้ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ซึ่งจะช่วยระดมเงินออมจากสาธารณชนให้กับธุรกิจที่ต้องการเงินทุน
บทที่ 9 ปัจจัยดอกเบี้ยทางการเงิน ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับมูลค่าทบต้นและมูลค่าปัจจุบัน
ปัจจัยดอกเบี้ยทางการเงิน มีผลกระทบทำให้ค่าของเงินเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น ผู้บริหารการเงินจึงจา เป็นต้องศึกษาผลกระทบดังกล่าวที่มีต่อค่าของเงิน เพื่อใช้ผลกระทบ ดังกล่าวศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ เพื่อการลงทุนในระยะยาวของธุรกิจ การพิจารณา ดังกล่าวจา แนกได้เป็น 2 ประเภทคือ
มูลค่าทบต้น คือจำนวนเงินรวมที่ธุรกิจจะได้รับจากการลงทุนจากโครงการ โดยผลตอบแทน ที่ได้รับจากการลงทุนนั้นเป็นแบบต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่กำหนด สามารถจำแนกการพิจารณาเป็น 2 กรณีคือ
มูลค่าทบต้นของเงินจ่ายลงทุนครั้งแรกเพียงครั้งเดียว เป็นลักษณะของการคำนวณหามูลค่าของเงินทบต้นซึ่งได้จ่ายลงทุนครั้งแรกเพียงครั้งเดียวเป็นระยะเวลาหนึ่งด้วยผลตอบแทนที่ได้ตกลงกัน
สูตรการคำนวณ Bn = A x IFn,i (Table A)
มูลค่าทบต้นของเงินจ่ายลงทุนเป็นงวดรายปีต่อเนื่องกัน เป็นลักษณะของการคำนวณหามูลค่าทบต้นของเงินที่ได้จ่ายลงทุนเป็นงวดๆละเท่าๆกันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องด้วยอัตราผลตอบแทนที่ได้ตกลงกัน
สูตรการคำนวณ |
|
หรือ |
|
แต่เปิดตำราง n+1 ได้ค่าเท่าใด ลบด้วย 1 เสมอ จึง จะได้ค่าเท่ากับ Table A
มูลค่าปัจจุบัน คือจำนวนที่จ่ายลงทุนในปัจจุบัน เพื่อให้ได้จำนวนเงินรวมกลับมาใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ภายใต้ระยะเวลาการลงทุนที่แน่นอน และปัจจัยลดค่าที่กำหนด สามารถจา แนก การพิจารณาเป็น 2 กรณีคือ
มูลค่าปัจจุบันของเงินรับสุทธิที่เข้ามาเพียงครั้งเดียว เป็นการคำนวณหามูลค่าปัจจุบันของ จำนวนเงินที่จ่ายลงทุนเพื่อให้ได้เงินรวม (เงินรับสุทธิ) คือเงินต้นบวกดอกเบี้ยกลับมาในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตเพียงครั้งเดียว
สูตรในการคำนวณ A(PV) = Bn x DFn,I (Table C)
มูลค่าปัจจุบันของเงินรับสุทธิรายปี แบบต่อเนื่อง เป็นการคำนวณหามูลค่าปัจจุบันของเงิน ที่ได้รับเป็นรายปี แบบต่อเนื่อง ด้วยจำนวนเงินรับสุทธิเท่ากัน
จากการคำนวณดังกล่าวสามารถนำไปพิจารณาเพื่อหาปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่น
– อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
– จำนวนเงินผ่อนชาระในแต่ละงวด
– ระยะเวลาในการผ่อนชำระ ฯลฯ
บทที่ 10 งบลงทุน ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ ลักษณะสำคัญของงบจ่ายลงทุน ขั้นตอน ในการจัดทำ งบจ่ายลงทุน ปัจจัยที่ต้องคำนึงในการตัดสินใจเลือกโครงการจ่ายลงทุน วิธีการ ประเมินผลเพื่อวิเคราะห์ “งบจ่ายลงทุน”
งบจ่ายลงทุนเป็นลักษณะการบริหารเงินทุนของธุรกิจที่จะตัดสินใจเลือกลงทุนในงบจ่ายลงทุนใดที่จะให้ประโยชน์สูงสุดกับกิจการซึ่งในการพิจารณาเลือกโครงการจ่ายลงทุนนั้นต้องใช้จำนวนเงินลงทุนมากในขณะที่ผลตอบแทนหรือประโยชน์ที่จะได้รับนั้นจะทยอยได้รับในอนาคตข้างหน้านอกจากนี้มูลค่าของเงินที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาก็จะมีผลเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนามาพิจารณาควบคู่กันไป
การวิเคราะห์ “งบจ่ายลงทุน” นั้นจะต้องอาศัยข้อมูลจากการประมาณการกระแสเงินสดเข้ากระแสเงินสดออกของโครงการและผลตอบแทนขั้นต่ำของโครงการเพื่อนามาเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์โครงการจ่ายลงทุน
วิธีการวิเคราะห์โครงการจ่ายลงทุน ที่นิยมใช้กันมี 5 วิธี
1. วิธีจ่ายคืนทุนสุทธิ (PB) เป็นการหาระยะเวลาคืนทุนของโครงการหรือระยะเวลาที่กิจการได้รับผลตอบแทนเท่ากับเงินที่จ่ายลงทุน
2. วิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เป็นการหามูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการจากผลต่างของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดเข้าและมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดออก
NPV = PV ของเงินสดเข้า – PV ของเงินสดออก
หากโครงการจ่ายลงทุนมีค่าเป็นบวก (+) แสดงว่าโครงการดังกล่าวมีกำไรจากการลงทุน
หากโครงการจ่ายลงทุนมีค่าเป็นลบ (-) แสดงว่าโครงการดังกล่าว ขาดทุนจากการ ลงทุน
3. วิธีอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (IRR) เป็นการหาอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงของ โครงการ หรือการหา i, IRR ที่ทำให้ PV ของเงินเข้า = PV ของเงินออก
หาก IRR ที่ได้มีค่ามากกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำจึงควรลงทุน
หาก IRR ที่ได้มีค่าน้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำไม่ควรลงทุน
4. วิธีดัชนีกำไร (PI) เป็นการหา Profitability Index ของโครงการจากสูตร
หาก PI มีค่ามากว่า 1 แสดงว่ากิจการมีกำไรจากการลงทุนในโครงการ
หาก PI มีค่าน้อยว่า 1 แสดงว่ากิจการมีผลขาดทุนจากการลงทุนในโครงการ
5. อัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย (ARR) เป็นการหาอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยของโครงการจากสูตร
วิธีการวิเคราะห์ทั้ง 5 วิธี พบว่า วิธีที่ 2,3,4 คือวิธี NPV, IRR, PI เป็นวิธีที่นำเอา มูลค่า ของเงินที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เข้ามาพิจารณาด้วย จึงทำให้ทั้ง 3 วิธีดังกล่าวข้างต้น เป็นวิธี ที่มีเหตุผลในการวิเคราะห์โครงการมากกว่าวิธีที่ 1 และ 5
บทที่ 11 กำไรสะสมและนโยบายการจ่ายเงินปันผล ประกอบด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของกำไรสะสมกำไรสะสมจัดสรรความหมายของเงินปันผลปัจจัยที่ต้องคำนึงในการกำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลนโยบายการจ่ายเงินปันผลขั้นตอนการจ่ายเงินปันผลขั้นตอนการจ่ายเงินปันผลและชนิดของเงินปันผล
กำไรสะสมคือส่วนเกินที่เกิดจากรายได้หักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดหลังจากจ่ายเงินปันผลและสะสมจนกระทั่งถึงปัจจุบันการคำนวณกำไรสะสมนั้นจะคำนวณได้จาก
กำไรสะสมปลายงวด = กำไรสะสมต้นงวด + กำไร(ขาดทุน)สุทธิระหว่างงวด –เงินปันผล
กำไรสะสมถือเป็นแหล่งเงินทุนภายในที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ โดยถูกจัดสรรตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1202 กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่กิจการจะจ่ายเงินปันผล ต้อง จัดสรรเงินไว้เป็นทุนสำรองอย่างน้อย 5% ของกำไรสุทธิประจำปี จนกว่าทุนสำรองจะเท่ากับ 10% ของทุนเรือนหุ้นหรือมากกว่านั้นแล้วแต่จะตกลงกันไว้ในข้อบังคับของบริษัทนอกจากนั้นธุรกิจก็จะจัดสรรกำไรสะสมตามข้อผูกพันที่ทำไว้เช่นการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดหรือตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เช่นการขยายกิจการ
การจ่ายเงินปันผลของธุรกิจต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการเช่น
– ข้อจำกัดทางกฎหมาย –สภาพคล่องของกิจการ
– ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ –ผลกระทบของภาษีต่อผู้ถือหุ้น
– อัตราการขยายตัวของธุรกิจ –ข้อจำกัดของสัญญากู้ยืม
นโยบายการจ่ายเงินปันผล แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1. จำนวนเงินปันผลคงที่ต่อหุ้น
2. อัตราการจ่ายเงินปันผลคงที่
3. เงินปันผลขั้นต่ำบวกเงินปันผลพิเศษ
ชนิดของเงินปันผลที่จ่าย
1. จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด
2. จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้น
3. การแบ่งหุ้น
4. การจ่ายเงินปันผลอื่นๆ
ประวัติผู้แต่ง : รองศาสตราจารย์ปรียานุชกิจรุ่งโรจน์เจริญ
: อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบัญชีคณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
: อาจารย์พิเศษในสถาบันอุดมศึกษาได้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมหาวิทยาลัยหัวเฉียวมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมเป็นต้น
: หัวหน้าภาควิชาบริหารธุรกิจ
: รองคณบดีคณะวิทยาการจัดการ
: รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา การศึกษา : บช.บ. บัญชีบัณฑิต (บัญชีการเงิน) คณะบัญชีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
: บช.ม. บัญชีมหาบัณฑิต (บัญชีต้นทุน) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมายเหตุ : สนใจ ติดต่อ โทร. 089-1258379 ราคาเล่มละ 180. บาท