Category Archives: การผลิตบัณฑิตครู

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Measurement and Evaluation)

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือประกอบการเรียนรู้วิชาพื้นฐานของหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : สาขาวิชาการประเมินผลและการวิจัยทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : ดร.อัครเดช เกตฉ่ำ และคณะ อาจารย์สาขาวิชาการประเมินผลและวิจัยทางการศึกษา คณะครุศาสตร์

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : การทดสอบ หมายถึง กระบวนการใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อวัดพฤติกรรมของมนุษย์ออกมาเป็นตัวเลข เช่น การตรวจสอบความสามารถในการเรียน

       การวัดผล หมายถึง กระบวนการหรือวิธีการในการกำหนดตัวเลขให้กับคุณลักษณะต่างๆ ของคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ คือ จะต้องดำเนินการอย่างมีขั้นตอน เป็นระเบียบแบบแผน โดยมีเครื่องมือช่วยวัด ซึ่งจะทำให้ตัวเลขใช้แทนลักษณะของสิ่งที่เราต้องการ

       การประเมินผล หมายถึง การนำเอาผลจากการวัดหลายๆ ครั้งมาสรุป ตีราคา คุณภาพของผู้เรียนอย่างมีหลักเกณฑ์ว่า สูง ต่ำ ดี เลว อย่างไร

       หลักของการวัดผลการศึกษา ได้แก่

       1. กำหนดวัตถุประสงค์การวัดให้ชัดเจน

       2. วัดให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

       3. เลือกเครื่องมือให้เหมาะสมกับ 1 และ 2

       4. ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพเชื่อถือได้

       5. มีความยุติธรรมในการวัด

       6. แปลผลอย่างถูกต้อง

       7. นำผลที่วัดได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า

       เครื่องมือที่ใช้ในการวัดการศึกษา มีหลายชนิดแต่ละชนิดต่างก็มีความเหมาะสมกับการวัดแตกต่างกัน ประกอบด้วย

       1. การทดสอบ (Testing)

       2. แบบสอบถาม (Questionnaires)

       3. แบบสำรวจ (Checkists)

       4. มาตรประมาณค่า (Rating Scale)

       5. การสังเกต (Observation)

       6. การสัมภาษณ์ (Interview)

       7. การบันทึก (Records)

       8. สังคมมิติ (Sociometry)

       9. การศึกษารายกรณี (Case Study)

       10. การให้สร้างจินตนาการ (Projective Technique)

ประเภทของแบบทดสอบ มีดังต่อไปนี้

       1. แบ่งโดยใช้วิธีตอบเป็นเกณฑ์ ประกอบด้วยแบบทดสอบเขียนตอบ (Essay Test) แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) และแบบทดสอบให้ปฏิบัติ (Performance Test)

       2. แบ่งโดยใช้วิธีดำเนินการสอบเป็นเกณฑ์ มี 6 ชนิด คือ แบบทดสอบรายบุคคล เป็นกลุ่ม วัดความเร็ว วัดความสามารถสูงสุด ข้อเขียนและปากเปล่า

       3. แบ่งโดยใช้สิ่งที่ต้องการวัดเป็นเกณฑ์ มี 5 ประเภท ได้แก่ วัดผลสัมฤทธิ์ ความถนัด วัดบุคลิกภาพและเจตคติ

       คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบ ต้องประกอบด้วยความยาก อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่นหรือความเชื่อถือได้ ความเที่ยงตรง ความเป็นปรนัย ความยุติธรรม สามารถนำไปใช้ได้ดี ถามลึก จำเพาะเจาะจง ยั่วยุและประสิทธิภาพ สำหรับความเที่ยงตรง (Validity) เป็นเรื่องราวของความต้องการหรือตั้งใจจะให้ข้อเสนอวัดอะไร ชนิดของความเที่ยงตรงมี 3 ชนิด ได้แก่ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและความเที่ยงตรงเชิงสัมพันธ์กับเกณฑ์

       สถิติเบื้องต้นสำหรับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ผู้ประเมินต้องเข้าใจวิธีการและเลือกสถิติที่เหมาะสมใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน การวัดแนวโน้มสู่ส่วนกลางเป็นการหาค่าสถิติเพื่อบอกลักษณะที่เป็นตัวแทนของข้อมูล ค่าสถิติที่นิยมใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ยหรือมัชฌิมเลขคณิต (Mean : ) มัธยมฐาน (Median : Mdn.) และฐานนิยม (Mode : Mo.) คะแนนมาตรฐาน (Standard Score) หมายถึง คะแนนดิบที่แปลงรูปให้มีหน่วยวัดเท่ากันเพื่อให้สามารถนำเปรียบเทียบหรือรวมกันอย่างมีความหมาย ทั้งนี้เพราะคะแนนดิบหรือคะแนนสอบแต่ละวิชาไม่สามารถนำมารวมกันหรือเปรียบเทียบกันได้ เช่น คะแนนเต็มไม่เท่ากัน เป็นต้น การแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนนมาตรฐาน ต้องอาศัยพื้นฐานที่สำคัญ คือ ค่าเฉลี่ย () และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (s)

       การประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง เป็นการใช้เทคนิคประเมินผลหลากหลายวิธี เกณฑ์ที่นำมาใช้ประกอบการพิจารณาประเมินผลตามสภาพจริงนั้น ประกอบด้วย เกณฑ์ระดับคุณภาพและเกณฑ์การพิจารณาตัดสิน ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้

       1. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สามารถวัดหรือสังเกตเห็นได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจทักษะ กระบวนการและด้านจิตใจ

       2. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้หรือภาระงานการปฏิบัติในลักษณะผลผลิตหรือผลงาน ผลการกระทำหรือพฤติกรรมและกระบวนการ เช่น การทดลอง เป็นต้น

       3. เลือกวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผล

       4. สร้างเครื่องมือและประเมินผลการเรียนรู้

              – กำหนดเกณฑ์การประเมินตามสภาพจริง

              – เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม

              – เกณฑ์แบบแยกองค์ประกอบ

       การประเมินตามสภาพจริงนั้น ต้องใช้เทคนิคหลากหลาย ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การรายงานตนเอง บันทึกจากผู้เกี่ยวข้อง แบบทดสอบปฏิบัติจริง และใช้แฟ้มผลงาน

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : หนังสือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สามารถสรุปเป็นประเด็นดังต่อไปนี้

       ประเด็นที่ 1 ธรรมชาติของการวัดผลทางการศึกษา

       1.1 การวัดผลการศึกษา เป็นการวัดในสิ่งที่เป็นนามธรรม

       1.2 มีหน่วยการวัดไม่คงที่หรือมีความแตกต่างกัน เพราะหน่วยการวัดจะเปลี่ยนตามเครื่องมือ

       1.3 มีความคลาดเคลื่อน อาจเกิดจากเครื่องมือที่ใช้วัด

       1.4 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ทั้งหมด เนื่องจากไม่สามารถวัดลักษณะต่างๆ ได้ วัดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น เช่น วัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำศัพท์ เป็นต้น

       1.5 เป็นงานสัมพันธ์ เพราะผลจากการวัดไม่มีความหมายในตัวเอง ต้องนำผลไปสัมพันธ์กับสิ่งอื่น เช่น คะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เกณฑ์ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เป็นต้น

       ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การวัดผลทางการศึกษาจะประสบกับปัญหาและข้อยุ่งยากหลายประการ เพราะเป็นการวัดทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือมนุษย์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยากแก่การควบคุม แต่จัดว่าเป็นเครื่องมือ (Tools) หรือ วิถีทาง (Means) ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย (Ends) และมีส่วนให้ครู ผู้บริหาร ผู้เกี่ยวข้องสามารถพัฒนางานการศึกษาของเด็กให้ดีขึ้นได้

       ประเด็นที่ 2 การวัดพฤติกรรมทางการศึกษา นั้นต้องศึกษาจุดมุ่งหมายทางการศึกษาทุกวิชา เพื่อเน้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรม 3 ด้าน คือ

       2.1 ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมทางสมองมี 6 ขั้น ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้วิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า

       2.2 ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ ความรู้สึกของมนุษย์มี 5 ขั้น ได้แก่ การรับรู้ การตอบสนอง การสร้างคุณค่า การจัดระบบคุณค่าและการสร้างลักษณะนิสัย

       2.3 ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมด้านทักษะในการปฏิบัติกิจกรรมมี 7 ขั้น ได้แก่ การรับรู้ การเตรียมพร้อมปฏิบัติ การตอบสนองตามแนวทางที่กำหนดให้ ความสามารถด้านกลไก การตอบสนองที่ซับซ้อน การดัดแปลงให้เหมาะสมและการริเริ่ม

       ดังนั้นผู้สอนทุกวิชาควรสอนให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน จะเป็นด้านใดมาก-น้อย ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของแต่ละวิชาและการวัดผลก็ต้องวัดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้านด้วยและต้องวัดให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของแต่ละวิชา

       ประเด็นที่ 3 การสร้างแบบทดสอบ ในการประเมินผลขึ้นอยู่กับประเภทของการประเมิน วัตถุประสงค์ และลักษณะของการประเมินที่แตกต่างกัน ซึ่งการประเมินมี 2 ประเภท คือ

       3.1 การสร้างแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม จะเป็นการวัดความสามารถทางสมอง 6 ด้าน คือ ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์และการประเมินค่า ขั้นตอนในการวางแผนสร้างแบบทดสอบ ได้แก่

              – กำหนดวัตถุประสงค์ของการวัดว่าต้องการอะไร วัดใคร นักเรียนชั้นใด ระดับใด เป็นต้น

              – ศึกษาเนื้อหาทั้งหมดที่จะนำมาทดสอบ โดยพิจารณาจากขอบเขตของเนื้อหาที่ต้องการทดสอบ ประกอบด้วย เนื้อหาอะไร แต่ละเนื้อหามีขอบเขตอย่างไร

              – ศึกษาจุดมุ่งหมายของการสอนเนื้อหา เพื่อเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าข้อสอบนั้นเน้นพฤติกรรมด้านใด มากน้อยเพียงใด จึงสามารถวัดได้ตรงจุดมุ่งหมายของการสอน

              – สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร จำเป็นมากในการวางแผนสร้างข้อสอบ และใช้เป็นแนวยึดในการเป็นข้อมูลการทดสอบ (Test Content)

       3.2 การสร้างข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ เป็นการวัดผลตามจุดประสงค์เชิงคุณภาพ ข้อสอบจึงต้องเป็นการวัดพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ สิ่งที่ต้องพิจารณาในการวัดพฤติกรรมตามจุดประสงค์ คือ

              – พฤติกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ เมื่อวางแผนเงื่อนไขหรือมีการเร้าเสียก่อน ดังนั้นการวัดผลตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจึงต้องเตรียมเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่จะทำให้พฤติกรรมนั้นขึ้นไว้ก่อนเสมอ

              – พฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้น คาดหวังว่าเมื่อเรียนรู้ไปได้สมควรแก่เวลาน่าจะเกิดพฤติกรรมอย่างนั้น พฤติกรรมนี้เองเป็นสิ่งที่ผู้ทำหน้าที่ต้องการวัดเพื่อดูผลการเรียนรู้ของเด็กบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวังหรือไม่

       พฤติกรรมที่คาดหวังพิจารณาแบ่งได้ 2 พวก คือ

       1. พฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลำดับขั้นของการเรียนรู้พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในลำดับขั้นของการเรียนรู้พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นภายหลัง เกิดการเรียนรู้ผ่านมา

       2. พฤติกรรมที่คาดหวังปลายทาง เป็นพฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในขั้นสุดท้าย เมื่อกระบวนการเรียนการสอนสิ้นสุดลง จะเกิดในลักษณะจุดประสงค์การเรียนการสอนหรือเป้าหมายของการเรียนการสอน

            – เกณฑ์ที่จะยอมรับพฤติกรรมต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อให้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้น แต่อาจจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่แท้จริง เกิดโดยบังเอิญจึงไม่คงทนถาวร

การนำเนื้อหาจากสาระจากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ : ในฐานะผู้สรุปเนื้อหาและอ่านเนื้อหาทั้งเล่ม พบว่า กรณีที่ผู้นำไปใช้เป็นครูผู้สอนในทุกระดับชั้น สามารถนำประโยชน์จากข้อมูลไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ เนื่องจากการวัดและประเมินผลผู้เรียนนั้นเป็นส่วนหนึ่งและขั้นตอนหนึ่งของการสอน สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สอนมาก เรียงลำดับได้ดังนี้

       1. การวัดและประเมินผลผู้เรียน ซึ่งมีวิธีหลายวิธี เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การใช้ข้อทดสอบ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งวิธีที่ผู้สอนควรทำได้ง่ายที่สุดเพื่อดูพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้เรียนได้ทันที คือ การสังเกต (Observation) และควรทำขณะสอนได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง

       การสังเกตเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมของผู้เรียนขณะปรากฏ โดยอาศัยประสาทสัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรง ทำให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความจริง น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของการสังเกตแต่ละครั้ง การสังเกตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

       1. การสังเกตโดยตรง (Direct Observation) หมายถึง การที่ผู้สังเกตเข้าไปร่วมในหมู่ผู้ถูกสังเกตหรือร่วมกิจกรรมนั้นๆ โดยตรง
2. การสังเกตโดยอ้อม (Indirect Observation) หมายถึง การสังเกตที่เก็บรวบรวมข้อมูล โดยการทั้งผู้หนึ่งผู้ใดเล่าถึงพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกต

       การสังเกตจำเป็นต้องมีการจดบันทึกและตีความหมายของพฤติกรรม บางครั้งจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ ช่วย เช่น แบบบันทึก แบบสำรวจรายการ หรือมาตรประมาณค่า การสังเกตจะได้ผลดี ผู้สังเกตต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ คือ ต้องมีความใส่ใจ (Attention) ต่อสิ่งจะสังเกต มีประสาทสัมผัส (Sensation) ที่ดีมีการับรู้ (Perception) ที่ดีและมีความคิดรวบยอด (Conception) ที่ดี คือ สามารถสรุปเรื่องราวได้อย่างถูกต้องเชื่อถือได้ สำหรับลำดับขั้นในการสังเกต ประกอบด้วย

       1. ตั้งจุดมุ่งหมาย ก่อนสังเกตทุกครั้งและจะนำผลจากการสังเกตไปใช้ประโยชน์อะไร

       2. ต้องเข้าใจพฤติกรรมที่จะสังเกตจึงจะสามารถทำการสังเกตได้ถูกต้อง

       3. ศึกษาปรากฏการณ์ของสิ่งที่จะสังเกตว่าชนิดใดมีค่าต่อการสังเกต จะได้สามารถกำหนดหัวข้อที่จะสังเกตและวิธีการสังเกตได้ถูกต้อง

       4. วางแผนการดำเนินงานโดยกำหนดระยะเวลาที่จะสังเกตพฤติกรรมให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและพฤติกรรมที่จะสังเกต

       5. เตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการสังเกตให้เหมาะสมกับวิธีการและพฤติกรรมที่จะสังเกต

       6. บันทึกผลการสังเกตขณะทำการสังเกต ต้องบันทึกผลการสังเกตในเครื่องมือบันทึกผลอย่างละเอียดและตรงตามความเป็นจริงทุกประการ

       7. ตีความหมายจากข้อมูลที่ได้บันทึกไว้

       8. สรุปผลจากการสังเกตหลายๆ คน หลายๆ ครั้ง เพื่อให้การสรุปผลถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

โครงการการพัฒนาการเรียนการสอน โดยใช้สังคมออนไลน์ Social Network

ชื่อผลงานทางวิชาการ : โครงการการพัฒนาการเรียนการสอน โดยใช้สังคมออนไลน์ Social Network

ประเภทผลงานทางวิชาการ : รายงานวิจัยชั้นเรียน

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2555

ข้อมูลเพิ่มเติม : สนับสนุนโดยสำนักบริหารโครงการวิจัยในอุดมศึกษาและพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : สิงห์ สิงห์ขจร ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : เป็นการศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) การพัฒนาการเรียนการสอนที่ดีมีคุณภาพ จำเป็นต้องศึกษาสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน ศึกษาหลักสูตร เทคนิควิธีพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการดำรงชีวิต ในปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปัน สถานที่อยู่ (Location) แบ่งปันภาพถ่าย แบ่งปันแรงบันดาลใจ แบ่งปันข้อมูลข่าวสารดีๆ ออกสู่สาธารณะ สื่อสังคมออนไลน์สามารถเข้าไปอยู่องค์กรเป็นพื้นที่ความคิด เสนอแนะ ความรู้ ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ได้และเรียนรู้ร่วมกันตลอดเวลา หลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เน้นการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ การประชาสัมพันธ์ วารสารศาสตร์ วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ เน้นให้บัณฑิตมีทั้งความรู้ทางวิชาการและความสามารถทางปฏิบัติการ มีคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ

       การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Action Research : CAR) เป็นนวัตกรรมการวิจัยเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาในชั้นเรียนตามรูปแบบการวิจัยปฏิบัติ (Action Research) ด้วยแบบจำลองคุณภาพที่เรียกว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแบบจำลองคุณภาพที่เรียกว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ตามแบบจำลองคุณภาพนั้น นำแนวคิดของการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง P – D – C – A กิจกรรมกลุ่มคุณภาพ 7QC Circle เครื่องมือคุณภาพ 7QC Tools และ 7QC Story มาขยายแนวคิดของการวิจัยปฏิบัติการ P – A – O – R และนำแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นไปปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียนจริงมาตรฐานด้านการปฏิบัติงานด้านการสอนในอนาคต เพราะการเรียนรู้ที่ดีมีประสิทธิภาพเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น ดังนั้นวิจัยชั้นเรียนจึงเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนที่รับผิดชอบ จุดเน้นการวิจัยในชั้นเรียน คือ การแก้ปัญหาหรือพัฒนากระบวนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เป็นการวิจัยที่ควบคู่กับการเรียนการสอน เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอน

       วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผ่านการเรียนรู้โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์และไม่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเสนอแนะผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์

       การวิจัยเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยครอบคลุมเนื้อหาในรายวิชาวิจัยนิเทศศาสตร์ของนักศึกษาโปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์

กรอบแนวคิดการวิจัย

สรุปสาระ / ผลการวิจัยเรื่องโครงการการพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) : เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาการวิจัยนิเทศศาสตร์ เริ่มตั้งแต่

       1. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นการวิเคราะห์ลักษณะของนักศึกษา เพื่อเป็นการกำหนดรูปแบบการเรียนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถพื้นฐานของนักศึกษาในการเรียนรู้ เนื้อหาในบทเรียน ก่อนที่จะทำการเรียนผ่านสื่อสังคมออนไลน์

       2. ขั้นการออกแบบบทเรียน (Design) นำจุดมุ่งหมายและคำอธิบายรายวิชามาวิเคราะห์เพื่อแบ่งหน่วยการเรียนรู้และวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ทัศนคติและประสบการณ์การเรียนรู้ หลังจากจบบทเรียน โดยการแบ่งหน่วยเรียนและกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่นำเสนอ

       3. ขั้นการพัฒนาเนื้อหาลงบนสื่อสังคมออนไลน์เลือกโปรแกรมในการจัดทำบทเรียน โดยเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับผู้เรียนเบื้องต้น ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาบทเรียนโดยใช้สื่อการสอน และโปรแกรมที่ใช้ คือ Facebook โดยการสร้างกลุ่ม (Groups) บนสื่อสังคมออนไลน์ เลือกใช้โปรแกรม Facebook ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มทดลองเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มเพื่อนำเนื้อหาของรายวิชา การวิจัยนิเทศศาสตร์นำเสนอในกลุ่มพร้อมให้คำปรึกษาในการเรียนด้วย

       4. ขั้นการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์แบบทดสอบเป็นการนำวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยการเรียนมากำหมดน้ำหนักพฤติกรรมย่อยที่จะใช้แบบทดสอบสำหรับพฤติกรรที่ใช้ในการวัดผลเพื่อวัดผลการเรียนรู้จากวิชาดังกล่าว ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ

       4.1 ด้านคุณธรรมจริยธรรม

       4.2 ด้านความรู้

       4.3 ด้านทักษะปัญญา

       4.4 ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ

       4.5 ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

       สรุปผลวิจัย พบว่า

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านคุณธรรมจริยธรรมของกลุ่มทดลองในบทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านคุณธรรมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ ด้านทักษะปัญญาของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะปัญญาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช่บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนสัมฤทธิ์ผลด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไรไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

       ข้อเสนอแนะของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบว่าต้องการให้พัฒนาบทเรียนให้เป็นรูปแบบวีดีโอในยูทูป (Youtube) และต้องการให้พัฒนาการเรียนการสอนบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เตอร์เน็ตด้วย

จุดเด่น / ความน่าสนใจของผลการวิจัยชั้นเรียน : พบว่าในส่วนของการอภิปรายผล ดังนี้

       ในส่วนของการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผ่านการเรียนรู้โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์นั้น ปัจจุบันนั้นการใช้สื่อการสอนหรือบทเรียนออนไลน์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามไปกับอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้เพราะข้อได้เปรียบของสื่ออินเตอร์เน็ตในการจัดหาสารสนเทศให้แก่ผู้เรียนในลักษณะสื่อประเภทอื่นๆ ไม่สามารถทำได้นั้นเอง

       นอกจากนี้ยังพบว่าความสามารถของเทคโนโลยีบนเครือข่ายในการแสดงสื่อประสม เช่น ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง กราฟฟิค ภาพเคลื่อนไหวและความสะดวกในการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงข้อมูลสารสนเทศให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทางสังคมช่วยให้ผู้ใช้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีกว่า ซึ่งรวมทั้งบทเรียน แบบใช้ปัญหาเป็นหลักบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง E-Learning ที่สร้างขึ้นสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้

       ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านระบบคอมพิวเตอร์เอกเทศแบบประยุกต์รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือจะประกอบด้วยทักษะทางสังคม ทักษะกระบวนการคิด มีความรับผิดชอบและเกิดการพัฒนาตนเองตามหลักประชาธิปไตย ทำให้มีทักษะกระบวนการกลุ่มมีผลการสร้างสื่อประสมวีดีทัศน์นำมาใช้จัดกิจกรรมทางการเรียนการสอน โดยการออกแบบและพัฒนาระบบการจัดการเรียนรู้ที่สามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษา

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : จากผลการวิจัยเสนอแนะให้มีการพัฒนา การเรียนการสอนบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เครือข่ายทางสังคมบทบาทของเครือข่ายสาธารณะที่มีต่อการใช้ชีวิตของกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากรูปแบบและวิธีการใช้งานที่ดึงดูดใจ สามารถทำให้พบปะผู้คนจำนวนมาก เพื่อผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง เช่น การสื่อสาร การแสวงหาคนรัก ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้เวปไซต์ยังแสดงอัตลักษณ์ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ได้ หรือเขียนแสดงความคิดเห็น บันทึกประจำวัน ทำให้ผู้อื่นเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ จึงเปรียบเสมือนกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายส่งผลให้วัฒนธรรมการสื่อสารของวันรุ่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

ประโยชน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่องสมุนไพรในอำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด

ประโยชน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่องสมุนไพรในอำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด

Local Wisdom Benefits of Aganonerion polymorphum Pierre ex Spire in Amphoe Moei, Wadi Roi Et Province, Thailand

เย็นหทัย แน่นหนา


View Fullscreen

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การใช้โปรแกรมวาดภาพ Paint Brush กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนซางตาครู้สศึกษา

นส.ภัสสร โชติสุกานณ์

View Fullscreen

การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ชื่อเรื่อง         การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ชื่อผู้วิจัย         ธนชัย  ใจสา

สาขาวิชา        หลักสูตรและการสอน

ปีการศึกษา     2555

สาระโดยย่อ

   การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองและทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ  2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น

3 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1   การพัฒนารูปแบบการสอน   ดำเนินการดังนี้  1.1)  ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่  ลักษณะของผู้เรียนที่ต้องการให้เกิดตามหลักสูตร  สภาพการจัดการเรียนการสอน  ผลการเรียนของผู้เรียน แนวคิด ทฤษฎีการพัฒนารูปแบบการสอน ปรัชญาพิพัฒนนิยม  หลักจิตวิทยา  พัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน  กระบวนการในการแก้ปัญหา  และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551  จากนั้นนำมากำหนดเป็นองค์ประกอบ  1.2)  นำข้อมูลพื้นฐานที่ศึกษาในขั้น 1.1   มาสร้างรูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2  และให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการสอน

ขั้นตอนที่ 2   การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5   แผน  แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา  นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสม และความสอดคล้อง  ส่วนแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา  ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรง  หลังจากนี้หาคุณภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา  โดยการหาค่าความยากง่าย   ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น

ขั้นตอนที่ 3  การทดลองใช้รูปแบบการสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดทองเพลง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา   สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย   ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t-test )

ผลการวิจัย

1).  รูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองและทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วย 4  องค์ประกอบ ได้แก่

1) หลักการ/แนวคิดของรูปแบบการสอน  รูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาที่ได้พัฒนาขึ้น มุ่งให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาจริงตามขั้นตอนจากการกำหนดปัญหา รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลหรือการทดลอง และการสรุป  ให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกคิดหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยจัดสถานการณ์หรือปัญหา  ผ่านการทำงานกลุ่มร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการหาแนวทางในการแก้ปัญหา

2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอน มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา  4 ทักษะ

(1) การระบุปัญหา 

(2) การระบุสาเหตุของปัญหา 

(3) การระบุผลกระทบของปัญหา 

(4) การระบุแนวทางและผลที่ได้จากการแก้ปัญหา

3) กระบวนการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน  ดังนี้

ขั้นที่  1  เตรียมและทำความรู้จักกับปัญหา

ขั้นที่  2  จุดประกายความคิด  

ขั้นที่  3  ขั้นปฏิบัติการ 

ขั้นที่  4 ขั้นสะท้อนความคิด

ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินและประยุกต์ความรู้

4) ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนการสอนตามรูปแบบการสอน  คือผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา  4 ทักษะ ได้แก่ การระบุปัญหา  การระบุสาเหตุของปัญหา  การระบุผลกระทบของปัญหา  และการระบุแนวทางและผลที่ได้จากการแก้ปัญหา 

2.  ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองและทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ สูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

คำสำคัญ:  ความสามารถในการแก้ปัญหา การสร้างความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบร่วมมือ

การศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

บทความวิจัย : การศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยี และ สื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

The Study of Instruction on The Master of Education Program in Educational Technology and Communication at Bansomdejchaopraya Rajabhat University

รศ.ดร.อำนวย เดชชัยศรี *


บทคัดย่อ

   การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเมินผลสภาพการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยได้แก่นักศึกษาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา รุ่น ๑/๒๕๔๘ในปีการศึกษา๒๕๔๘ประกอบด้วยศูนย์บัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาจำนวน๑๔คนศูนย์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต ๒ (ตระการพืชผล) จำนวน๓๑คนรวมทั้งสิ้นจำนวน๔๕คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม๒ตอนตอนที่๑เป็นแบบอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามตอนที่๒เป็นแบบสอบถามสภาพการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

   ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามคือจำนวนประชากร ๔๕ คน ประกอบด้วย เพศหญิงคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๖๗ เพศชายร้อยละ ๓๓.๓๓ มีอายุระหว่าง ๒๐๓๐ ปีคิดเป็นร้อยละ ๖๐.๐๐มีตำแหน่งครูคิดเป็นร้อยละ ๘๖.๖๗มีประสบการณ์ในการทำงานระหว่าง ๑๑๐ ปี คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๑๑ทำงานอยู่ในสังกัดรัฐบาลร้อยละ ๘๘.๘๙ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ด้านผู้เรียน ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดี(.๑๐) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า การจัดสภาพการเรียนรู้ด้านผู้เรียนอยู่ในระดับดีทุกรายการ สำหรับรายการที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปประยุกต์กับงานในหน้าที่ได้ดี(.๒๓) รายการที่มีค่าเฉลี่ยตํ่าสุดได้แก่ ความพร้อมทางด้านการเงิน(.๙๑)

   ด้านผู้สอน อยู่ในระดับดี(.๓๖) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ด้านผู้สอนอยู่ในระดับดีทุกรายการ สำหรับรายการที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น(.๕๐) รายการที่มีค่าเฉลี่ยตํ่าสุดได้แก่ วิธีการถ่ายทอดความรู้และดำเนินกิจกรรมหลากหลาย(.๒๐) ด้านวัสดุอุปกรณ์ มีจำนวนเพียงพอกับความต้องการ(.๐๒) ด้านอาคารสถานที่ อยู่ในระดับดี(.๐๑) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ด้านบรรยากาศของห้องเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ในระดับดี(.๒๕) ค่าเฉลี่ยตํ่าสุดได้แก่ศูนย์อาหารให้บริการเพียงพอ(.๘๖)

—————————————

* ประธานหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนประถมสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนประถมสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

The Development of Computer-assisted Instruction on theInternet for Thai Subject of Prathomsuksa 5 Students atPrimary Demonstration School of Bansomdejchaopraya Rajabhat University

บุรินทร์ อรรถกรปัญญา* รศ.ดร.อำนวย เดชชัยศรี** วรุตม์ พลอยสวยงาม***

บทคัดย่อ

       การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนประถมสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนประถมสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จำนวน 30 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที

ผลการวิจัยพบว่า

1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาภาษาไทยมีค่าเท่ากับ 80.11/90.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก

คำสำคัญ : บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

Abstract

       The purposes of this research were 1) to develop and find the efficiency of the computer-assisted instruction (CAI) on the Internet for Thai Subject of Prathomsuksa 5 students at Primary Demonstration School of Bansomdejchaopraya Rajabhat University 2) to compare students’ learning achievement between before and after the experiment and 3) to study the students’ satisfaction towards learning through the developed CAI. The sample included thirty Prathomsuksa 5 students obtained through simple random sampling method.

       The research instruments involved 1) computer-assisted instruction (CAI) on the Internet 2) achievement test 3) CAI quality assessment and 4) a set of satisfaction questionnaire. Data were statistically analyzed in MEAN, standard deviation, and t-test.

* นักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
** รองศาสตราจารย์พิเศษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
*** อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

The findings revealed as follows.

1. The efficiency of the developed computer-assisted instruction (CAI) measured 80.11/90.33, which was higher than the set criteria 80/80.
2. The students’ learning achievement after learning through the developed CAI was higher than that before the experiment at significance level .05.
3. The students’ satisfaction towards learning through the developed CAI was generally found at the high level.

Keywords: Computer-assisted Instruction, the Internet

การพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ

ชื่อเรื่อง : การพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ

ชื่อผู้วิจัย : รุ่งฤทัย  วงศ์จอม

สาขาวิชา : หลักสูตรและการสอน

อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก : ดร. วิเชียร  อินทรสมพันธ์  

อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม : ผู้ช่วยศาสตราจารย์  สมหมาย  มหาบรรพต

ปีการศึกษา : 2554

 

บทคัดย่อ

       การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1)  ศึกษาเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  4  โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ  2) เปรียบเทียบเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  4  ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  4  โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง  แขวงดอนเมือง  เขตดอนเมือง  กรุงเทพมหานคร  ปีการศึกษา  2554  จำนวน  28 คน  โดยการแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้วิจัย  ได้แก่   แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้   และแบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรม   สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล  ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที  (t-test  for  dependent  Sampling)  แบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน

 

ผลการวิจัยพบว่า

1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4   โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง  จำนวน  28  คนหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ มีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ  80 ทุกคน

2. ผลการเปรียบเทียบเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่  4  โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ  หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

 

Title : The  Development  of  Prathom  Suksa  4  Students’ Moral Reasoning by Using Co-operative Activities and Role Playing

Author : Rungruthai  Wongjom

Program : Curriculum and Instruction

Major Advisor : Dr.Wichian  Inratharasompun

Co-Advisor : Assistant Professor Sommai Mahabunphot

Academic Year : 2011

 

Abstract

       The  experimental  research objectives  were 1)  to  study  the  moral  reasoning  of  Prathom  Suksa  4  Students by using co-operative activities and role playing, and 2) to compare  the  moral  reasoning  of  Prathom  Suksa 4 students before  and  after  using  co-operative activities  and  role  playing.  The cluster random samples  were 28  Prathom  Suksa 4 students from  Phraharuethai  Donmuang  School,  Bangkok,  in  the  first  semester  of  the  academic  year  2011.  The research instruments were co-operative activities and role playing lesson plans and a set of the  moral reasoning paper test. The data was analyzed by using the percentage, the average, the standard deviation and t-test for dependent sample.

The research result revealed that;

1.  The study on the  moral  reasoning  of  Prathom  Suksa  4  Students after studying by using co-operative activities and role playing showed that all students passed the criteria of 80 percentage.

2.  The comparison of  the  moral  reasoning  of  Prathom  Suksa 4 students after  using  co-operative activities and role playing was higher than before with statistic significance at  the  level  of  .01.