Category Archives: การผลิตบัณฑิตครู

การสร้างชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด

ชื่อเรื่องวิทยานิพนธ์ : การสร้างชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด

ชื่อผู้เขียน นางสาวประทินพร  วงษ์วรรณ์

ชื่อปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต

สาขาวิชา :   เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

ปีการศึกษา :   2554

คณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์

       1. รองศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์เรศ  ประกอบผล ประธานกรรมการ
2. รองศาสตราจารย์ ดร. อำนวย  เดชชัยศรี กรรมการ

       การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี. แมทเทรสจำกัด ที่มีประสิทธิภาพและเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการฝึกอบรมโดยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นพนักงานขายของบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด จำนวน 30 คน

       เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอบรม(มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ0.67)ดำเนินการทดลองโดยใช้กลุ่มทดลองชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เมื่ออบรมจบให้ผู้รับการอบรมทำแบบทดสอบหลังอบรม  แล้วจึงนำผลการทดลองไปวิเคราะห์ต่อไป

       ผลการศึกษาวิจัยปรากฏว่าชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรมมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83/81 และคะแนนหลังจากการฝึกอบรมด้วยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ สูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ 0.01

       โดยสรุป การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ทำให้ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์เรื่องระบบขายเบื้องต้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด มีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้ในการฝึกอบรมได้เป็นอย่างดีจึงควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ในหลายๆรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการฝึกอบรมในชุดฝึกอบรมต่างๆให้มากยิ่งขึ้นในอนาคตต่อไป

บทนำ

       ถ้าเปรียบองค์กรหรือบริษัทหนึ่งๆ เป็นเสมือนเครื่องชิ้นใหญ่ พนักงานทุกคนในบริษัทก็คงเปรียบเสมือนกลไกทุกๆชิ้น ที่ประกอบขึ้นเป็นองค์กร หรือบริษัทนั้นๆ กลไกแต่ละชิ้นส่วนมีส่วนทำให้เครื่องจักรนั้นทำงานได้ราบรื่นมีประสิทธิภาพหากกลไกชิ้นใดขัดข้องมีปัญหาการทำงานของเครื่องจักรก็จะมีปัญหาหยุดชะงักได้เช่นเดียวกับบริษัทหากพนักงานคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีปัญหาที่ไม่เข้าใจในบริษัทแล้วนั้นย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาขึ้นกับการทำงานเช่นไม่มีความสุขที่จะทำงานซึ่งจะทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ไม่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทไม่รักในองค์กร ขาดความรู้ ทักษะ และเจตคติอันเหมาะสมในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เครือวัลย์ ลิ่มอภิชาต. (2531:1) ได้กล่าวไว้ว่าหนทางหนึ่งที่จะแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงานให้มีประสิทธิภาพคือ การฝึกอบรม พัฒนาบุคคล

       เสนาะ ติเยาว์และคณะ. (2534:108-109) ได้สรุปถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรมคือ ทำให้ผลผลิตในการทำงานสูงขึ้นสามารถแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานเพิ่มขวัญของพนักงานและทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพนักงานทำให้ได้รับความรู้ความสามารถจากการฝึกอบรมด้วย

       ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้ำ.(2539:1)ได้กล่าวว่าความสำเร็จในการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐและเอกชนขึ้นอยู่กับความมีคุณภาพและคุณธรรมของคนในสำนักงาน ดังนั้นคนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหารในปัจจุบันหน่วยงานของรัฐและเอกชนจึงได้ให้ความสำคัญแก่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรือ คนนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานในหน่วยงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และในการพัฒนาคนนั้นมีหลายวิธี แต่วิธีการที่ได้รับความนิยมสูงสุดวิธีหนึ่งรองจากการให้การศึกษาได้แก่การฝึกอบรม เพราะการฝึกอบรมเป็นกระบวนการบริหารงานบุคคลอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยให้องค์กรเพิ่มพูนประสิทธิภาพและผลสำเร็จในการดำเนินงาน นอกจากนี้การฝึกอบรมยังเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาบุคคลซึ่งมีวิธีการเฉพาะของตนเอง เริงลักษณ์ โรจนพันธ์. (2539:7) ซึ่งสอดคล้องกับ เสาวลักษณ์ สุขวิรัช. (2536: 4) ได้กล่าวไว้ว่า ในการพัฒนาบุคคลในองค์กรไม่ว่าจะโดยแนวทางการพัฒนาการจัดการหรือการพัฒนาองค์กรก็ตามได้มีการนำการฝึกอบรมมาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการพัฒนา

       เพราะการฝึกอบรมนั้นมีลักษณะเน้นเฉพาะ (Specific) และเห็นผลในระยะสั้น ซึ่งสามารถรับใช้องค์กรได้อย่างดี เพราะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดการฝึกกอบรมควรจะกระทำควบคู่ไปกับการทำงานของบุคคลซึ่งถือเป็นเครื่องมือในการบริหารงานอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพของบุคคล ในหน่วยงานหลายแห่งได้ให้ความสำคัญในการฝึกอบรมถึงกับตั้งหน่วยฝึกอบรมขึ้นโดยเฉพาะเพื่อทำหน้าที่ฝึกอบรมให้แก่คนในองค์กร และมีแนวโน้มว่าการฝึกอบรมจะพัฒนาอีกต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นวิถีทางหนึ่งในการพัฒนาบุคคลให้มีความสามารถที่จะปฏิบัติงานในปัจจุบันได้ อีกทั้งเป็นการเตรียมพร้อมเพื่องานในอนาคตอีกด้วย เริงลักษณ์ โรจนพันธ์. (2539:3)

       ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันรวมทั้งนำมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบของสื่อการศึกษาประเภทต่างๆโดยเป็นตัวการในการนำความรู้ ความเข้าใจไปสู่ผู้รับการอบรมและผู้เรียน และทำให้การเรียนการสอนที่ใช้สื่อมาสอนประกอบมีความหมายมากขึ้นเพราะเป็นสื่อการสอนช่วยจัดประสบการณ์ ให้แก่ผู้เรียนและผู้เข้าฝึกอบรมได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจในสิ่งที่เรียนไปแล้ว ทั้งนี้เพราะสื่อคือตัวกลางตัวที่จะนำสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับได้ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด นิพนธ์ สุขปรีดี. (2537: 23)

       พิชัย  ทองดีเลิศ. (2547: 3) ได้กล่าวไว้ว่าในการฝึกอบรมมนุษย์พยายามคิดค้นหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้การฝึกอบรมบรรลุเป้าหมายมากที่สุด แต่ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นเสมอ ที่สำคัญก็คือ การบรรยายถึงวัตถุสิ่งของหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมด้วยคำพูดที่เป็นนามธรรม วิทยากรหรือนักฝึกอบรมมักใช้การพูดการบรรยายมากกว่าวิธีอื่นการที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมไม่สามารถได้เห็นภาพสิ่งที่ได้เห็น ไม่ได้ยินเสียงตามความเป็นจริง ไม่ได้เห็นสีตามธรรมชาติ หรือไม่เห็นการทำงานหรือการเคลื่อนไหวของสิ่งที่กำลังพูดถึง ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมแปลความหมายจากสิ่งที่ได้รับฟังแตกต่างกันออกไปตามความเข้าใจของแต่ละคนอุปสรรคเหล่านี้ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องคิดค้นวิธีการและหาทางพิชิตอุปสรรคดังกล่าว ด้วยเครื่องมือและวิธีการใหม่ๆที่จะช่วยให้การบรรยายมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นสร้างความเข้าใจในสิ่งที่พูดถึงได้ตรงกัน ได้เห็นภาพ สี ที่เหมือนของจริง ขนาดการทำงาน การเคลื่อนไหว และการได้ยินเช่นเดียวกับ กิดานันท์ มลิทอง. (2536:186) ซึ่งกล่าวไว้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นสื่อการสอนที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงดั้งนั้นจึงมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการฝึกอบรมเพราะทำไห้เกิดกาปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เข้ารับการอบรมกับเครื่องคอมพิวเตอร์นอกจากนี้คอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรมยังมีความสามารถตอบสนองต่อข้อมูลที่ผู้เข้ารับการอบรมป้อนเข้าไปทันทีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรมจึงเริ่มกว้างขวางและแพร่หลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทางราชการ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรธุรกิจเอกชนต่างๆ ซึ่งได้ให้ความสนใจและนำคอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรม พนักงานในหน่วยงานของตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาบุคลากรที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพแก่กิจการและเป็นกระบวนการหนึ่งที่จะทำให้บุคลากรมีคุณภาพและใฝ่หาความรู้ได้ด้วยตนเองสำหรับสาเหตุนี้คอมพิวเตอร์จึงเป็นที่สนใจและนำมาใช้กันมากในปัจจุบันก็เนื่องจากศักยภาพของคอมพิวเตอร์ที่เหนือกว่าสื่อประเภทอื่นความจริงในปัจจุบันก็มีสื่อหลายหลายชนิดที่สามารถให้ผลกรเรียนรู้ที่ดีเช่น สิ่งพิมพ์ สไลด์ เทปเสียง โทรทัศน์หรือวีดิทัศน์ ซึ่งสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว มีสีสันเหมือนจริง สามารถทำเทคนิคพิเศษได้มากมายและยังมีเสียงประกอบด้วยแต่ข้อเด่นของคอมพิวเตอร์ที่เหนือสิ่งอื่นๆ ก็คือ การที่ผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับบทเรียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเรียนที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ได้มากเท่าไรเป็นที่เชื่อกันว่าจะช่วยให้บทเรียนนั้นสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นเท่านั้น และก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นเท่านั้น

       พรเทพ  เมืองแมน.( 2544: 17) ในการสร้างคอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรม Computer Based Training(CBT) นอกจากโปรแกรมต่างๆ ที่จะเสริมให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังมีคำสั่งต่างๆ อีกมากที่เป็นส่วนประกอบ

       แต่การสร้างภาพและตัวอักษรย่อมจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งทุกๆส่วนถ้าได้รับการพัฒนาแล้วก็สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น รูปแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบสอนเสริม ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถเลือกศึกษาจากเนื้อหาและทำแบบฝึกหัดได้ตามความต้องการ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น ทั้งยังจะได้รับความเพลิดเพลินจากเนื้อหาและภาพประกอบที่ได้นำเสนอและในบทเรียนผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถศึกษาจากจอภาพได้นาน จนกว่าจะตอบสนองตามที่ได้กำหนดไว้ อาทิเช่นกดแป้นใดแป้นหนึ่งหรือผู้สร้างชุดฝึกอบรมอาจกำหนดระยะเวลาในการแสดงภาพแต่ละภาพให้แตกต่างกันได้หรือในรูปแบบคอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรมแบบทดสอบก็ยังเป็นอีกบทเรียนที่จะสามารถเสริมความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้เข้ารับอบรมให้ได้รับความก้าวหน้าของตนเองโดยดูได้จากผลรวมของคะแนนที่ได้อีกด้วย

       ทัศนีย์ ชื่นบาน. (2540: 31)ดังนั้น ในสภาวการณ์เช่นนี้การฝึกอบรมจึงทวีความสำคัญและมีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาประสิทธิภาพของพนักงานขายประจำห้างสรรพสินค้า และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศในการให้ข้อมูลด้านการขายกับลูกค้า ซึ่งวารินทร์ สินสูงสุด และวันทิพย์ สินสูงสุด. (2548: 9) ได้ให้ความสำคัญกับลูกค้าดังวลีที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้าดังนั้นเป้าประสงค์ของธุรกิจก็คือ สร้างสรรค์และรักษาลูกค้าเพราะธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จจะต้องทำการเอื้ออำนวยนั้นวางไว้ตรงการบริการที่ดี ธุรกิจที่ดีต้องมีสินค้าดี และที่ยิ่งกว่านั้นคือการบริการด้านการขายที่ดี ด้วยบริการด้านการขายที่ดีธุรกิจสามารถพัฒนาให้มีศักยภาพสูงสุด

       เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของพนักงานฝ่ายขาย ก่อนการลงปฎิบัติงานในพื้นที่ขาย และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการในการฝึกอบรม ตลอดจนการส่งเสริมศักยภาพและความสามารถในการปฏิบัติงานของพนักงานฝ่ายขาย ดังกล่าว ทำให้ผู้วิจัยได้พิจารณาถึงความสำคัญในการเลือกวิธีฝึกอบรม จึงมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสร้างชุดฝึกอบรมเรื่อง ประวัติความเป็นมา โครงสร้างการบริหาร ลำดับการบังคับบัญชา ระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติงานสำหรับพนักงานฝ่ายขาย และแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซี.แอล.บี. แมทเทรสจำกัด เป็นชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ Computer Based Trainingเพื่อนำเสนอแทนการฉายสไลด์แบบเดิมโดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์สื่อการฝึกอบรมที่ใหม่ ทันสมัย สะดวก สามารถแก้ไขปรับปรุง และเก็บรักษาได้ง่ายพร้อมทั้งปรับปรุง การนำเสนอเรื่องประวัติความเป็นมา ระเบียบข้อบังคับในการปฏิบัติงานสำหรับพนักงานฝ่ายขาย และแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด ให้ทันเหตุการณ์ในปัจจุบันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะศึกษาประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้นและนำชุดฝึกอบรมที่ได้พัฒนาขึ้นไปใช้อบรมพนักงานฝ่ายขายของบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด พร้อมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลการวิจัยที่ได้จะเป็นแนวทางในการพัฒนาชุดฝึกอบรมในหลักสูตรการฝึกอบรมอื่นๆ ต่อไป

 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

       1.เพื่อสร้างชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด80/80
       2.เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ก่อนการอบรมและหลังการอบรมของพนักงานฝ่ายขาย ที่อบรมโดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์  เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด

 

ขอบเขตของการวิจัย

       การวิจัยครั้งนี้เป็นทดลองหาประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรม เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด

       1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย

            1.1 ประชากร(Population)ในการวิจัยนี้ครั้งนี้คือ พนักงานฝ่ายขาย ซึ่งเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการของบริษัท ซี.แอล.บี. แมทเทรส จำกัด ซึ่งเข้าทำงานเดือนระหว่างสิงหาคมธันวาคม2554 จำนวน60คน
            1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่พนักงานฝ่ายขาย ซึ่งเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการของ บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 30 คน

       2. ตัวแปรที่ศึกษา

            2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การอบรมโดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขายบริษัท ซี.แอล.บี. แมทเทรส จำกัด
            2.2 ตัวแปรตาม
                  2.2.1.ประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด
                  2.2.2.ผลสัมฤทธิ์ก่อนอบรมและหลังอบรมด้วยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์  เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี. แมทเทรส จำกัด

       3.ระยะเวลาในการวิจัย

       ดำเนินการวิจัยภาคสนามตั้งแต่เดือน สิงหาคมธันวาคม 2554 ณ บริษัท ซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด

 

สมมุติฐานของการวิจัย

ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานการวิจัยไว้ดังนี้

              1.ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด มีประสิทธิภาพและความสามารถในการอบรมพนักงานฝ่ายขาย ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน80/80
              2.
คะแนนหลังการอบรมจากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ สูงกว่าคะแนนก่อนการอบรม

 

ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

       ผู้วิจัยได้รับประโยชน์จากการวิจัยครั้งนี้ คือ

       1. ได้ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด สำหรับพนักงานฝ่ายขาย ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด
       2.ผลการวิจัยทำให้ทราบว่า จะสามารถใช้ชุดฝึกอบรมได้บ่อยครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องรอพนักงาน
       3.ลดภาระการเตรียมการในการอบรมช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้ให้การอบรมและประหยัดเวลาในการอบรม
       4.ประหยัดงบประมาณในด้านการอบรมไม่ว่าจะเป็นการจ้างบุคลากรและการจัดอบรม เพราะพนักงานสามารถศึกษาจากชุดฝึกอบรมได้ด้วยตนเอง
       5.เป็นแนวทางในการพัฒนาชุดฝึกอบรมของหลักสูตรอื่นๆซึ่งเป็นการขยายงานด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

       1.ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ Computer Based Training เรื่องระบบการขายเบื้องต้น  เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด
2.
แบบทดสอบผลความก้าวหน้าในการฝึกอบรม(แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของการฝึกอบรม)
       3. แบบประเมินคุณภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด

 

การวิเคราะห์ข้อมูล

       สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

       การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิจัยดังนี้

       1.  สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ (Percentage)  ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation)

       2.  สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของแบบทดสอบ

          2.1  หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเอบรม โดยใช้สูตรค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้อง IOC ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด 2535:60)
2.2  การหาค่าความยาก (Difficulty) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอบรม โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด 2545 : 84)
2.3  หาค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอบรม โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด 2543 : 81)
2.4  การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่น (Reliability)  ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์โดยใช้สูตร KR-20 ของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder – Richardson) (บุญชม ศรีสะอาด 2543 : 85-86)

       3.  สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานของคะแนนเฉลี่ยก่อนอบรมและหลังอบรม ใช้สูตร t-test (Dependent Samples) (บุญชม ศรีสะอาด 2545 : 112)

       4.  การหาประสิทธิภาพของบทุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ ตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตร  E1/E2 ใช้สถิติ(มนต์ชัย  เทียนทอง.2543 : 225)

 

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

       ผลการวิเคราะห์หาคุณภาพชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ 

คุณภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด พบว่าภาพรวมคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี (x =4.13) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า เนื้อหามีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้   ความถูกต้องของเนื้อหา   ความเหมาะสมของสีตัวอักษร และสีกราฟิก  อยู่ในระดับดีมาก  ส่วนข้ออื่นๆ อยู่ในระดับดี จากผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านเนื้อหาและด้านการผลิตสื่อ มีคุณภาพอยู่ในระดับดีซึ่งสรุปได้ว่า ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของ บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัดมีคุณภาพตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แสดงว่าชุดฝึกอบรมที่สร้างขึ้นมีคุณภาพระดับดีสามารถนำไปใช้ในการอบรมได้

 

ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์

       1.หลังจากหาประสิทธิภาพชุดฝึกอบรมแล้วผู้วิจัยได้นำชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ไปทดลองรายบุคคลกับอบรม 3 คน คน ในที่นี้ใช้ผู้อบรมที่ไม่ใช่ที่บริษัทที่ไม่ใช่กลุ่มประชากร โดยอบรมพร้อมกัน 1 คนต่อหนึ่งเครื่อง ในระหว่างการทดลองผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อหาข้อบกพร่องของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์โดยสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดและสัมภาษณ์ผู้อบรมซึ่งพบปัญหาที่ต้องปรับปรุงคือ เนื้อหาไม่ตรงประเด็นกับเนื้อเรื่อง สีตัวอักษรอ่อนเกินไปมองชัดเจน สีของพื้นหลังสด เกินไป การเฉลยข้อแบบฝึกหัดบางข้อไม่ตรงกับข้อถูก ผลของการทดลองกับกลุ่มทดลองกลุ่มย่อย ผู้อบรมจำนวน 15 คน หลังจากที่นำไปปรับปรุงจากการทดลองครั้งที่ 1 ผู้วิจัยนำชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์แบบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วจากการทดลองครั้งที่ 1 ไปทดลองใช้กับผู้อบรม ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 คน โดยอบรมพร้อมกัน 1 คนต่อหนึ่งเครื่อง  ให้ผู้อบรมอบรมชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์แต่ละเรื่อง เริ่มตั้งแต่หน่วยที่ 1 โดยให้ผู้อบรมอบรมเนื้อหาสลับกับการทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียนจนจบเนื้อหาในหน่วยที่1หลังจากนั้นจึงเริ่มหน่วยต่อไปจนครบ 4 หน่วย โดยอบรมเนื้อหาสลับกับการทำแบบฝึกหัดระหว่างอบรมจนจบสังเกตและสอบถามผลการใช้อบรมคอมพิวเตอร์เพื่อหาข้อบกพร่องระหว่างทดลอง จากนั้นนำมาปรับปรุงแก้ไข และนำคะแนนแบบฝึกหัดระหว่างอบรมและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังอบรมไปวิเคราะห์หาแนวโน้มของประสิทธิภาพชุดฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80

       จากการทดลองครั้งที่ 2 พบว่า มีค่าเป็น 74/71 แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีค่าประสิทธิภาพ ยังไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งพบปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ดังนี้

       1. ปรับปรุงภาพประกอบให้สอดคล้องกับเนื้อหามากขึ้น
       2. เปลี่ยนแปลงภาพเคลื่อนไหวให้เคลื่อนไหวช้าลง
       3. ปรับจังหวะการบรรยายให้ช้าลง เพิ่มคำบรรยายบางส่วนลงไปเมื่อจบแต่ละตอน

       ผลการทดลองชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ จากการทดลองกับผู้อบรมเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 30 คน การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด ผู้วิจัยได้วิเคราะห์โดยพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการอบรม ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ไม่ต่ำกว่า 80/80 พบว่าได้ 83/81 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แสดงว่ามีประสิทธิภาพ

 

ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอบรมก่อนอบรมกับหลังอบรม

       ผู้วิจัยนำชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน  ซึ่งเป็นพนักงานขายของ บริษัทซี.แอล.บี แมทเทรส จำกัด แบบ 1 คน ต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องโดยให้ผู้รับการอบรมทำแบบทดสอบก่อนอบรมจากนั้นให้ผู้รับการอบรมด้วยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์เริ่มอบรมตั้งแต่หน่วยที่1โดยให้ผู้รับการอบรมอบรมเนื้อหาสลับกับการทำแบบฝึกหัดระหว่างอบรมจนจบเนื้อหาในหน่วยที่ 1 จึงเริ่มเรื่องต่อไปจนครบ 4 หน่วย หลังจากนั้นให้ผู้อบรมทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังอบรม และนำผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการอบรมของผู้อบรมที่อบรมด้วยคอมพิวเตอร์กับผู้อบรมที่อบรมแบบปกติโดยใช้สถิติ t-test  พบว่าผลสัมฤทธิ์การอบรมของผู้รับการอบรมที่อบรมด้วยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องการระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรสจำกัด แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้

       ผู้วิจัยได้ทำการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เข้ารับการอบรมระหว่างการทดลองพบว่า   ผู้รับการอบรมที่อบรมจากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ มีความสนใจและตั้งใจ  ที่จะเรียนรู้จากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เนื่องจากผู้รับการอบรมสามารถทบทวนชุดฝึกอบรมได้ทันที    เมื่อมีเนื้อหาที่ไม่เข้าใจหรือสงสัย   ผู้รับการอบรมสามารถย้อนกลับมาศึกษาเนื้อหาได้ใหม่   อีกทั้งผู้รับการอบรมยังทำแบบฝึกหัดระหว่างอบรม  แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอบรมเพื่อประเมินผลการอบรม   ทำให้ผู้รับการอบรมมีโอกาสทบทวนทำความเข้าใจในชุดฝึกอบรมเพิ่มเติม   ทำให้ผู้รับการอบรมไม่เกิดความเบื่อหน่ายขณะทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบ  ช่วยให้ผู้รับการอบรมตั้งใจทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบมากยิ่งขึ้น  ส่งผลให้การอบรมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

 

ผลการวิจัย

จากการทดลองชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน ของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด  สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้

       1.  ได้ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด ที่มีคุณภาพดีและมีประสิทธิภาพ 83/81
       2.  ผลสัมฤทธิ์การอบรมของผู้รับการอบรมก่อนอบรมและหลังอบรมโดยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขาย บริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด หลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

 

อภิปรายผล

       การพัฒนาชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน ของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด ผู้วิจัยมีประเด็น  อภิปรายจากผลการวิจัย   ดังนี้

       1.  ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน ของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด มีผลการประเมินคุณภาพอยู่ในระดับดี และมีประสิทธิภาพ 83/81 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย. (2549)  ทั้งนี้เนื่องจากขั้นตอนการผลิตชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด  เริ่มจากผู้วิจัยได้ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหาที่จะนำมาผลิตโดยการแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 หน่วย ตามลำดับความรู้   กำหนดจุดประสงค์ของการอบรมในแต่ละหน่วย  ทำการเขียนชุดฝึกอบรมและออกแบบลักษณะการดำเนินเรื่องของแต่ละบท   จากนั้นดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ   เมื่อปรับปรุงแก้ไขแล้ว  จึงนำไปทดลองตามขั้นตอน   เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ คือ  การทดลองครั้งที่  1   กับผู้อบรม ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3 คน โดยเรียนพร้อมกัน 1 คนต่อ1เครื่อง ซึ่งผู้รับการอบรมมีความพอใจและสนใจเป็นอย่างดีในการทดลองครั้งที่  ทดลองกับผู้อบรม   จำนวน  15   คนเพื่อหาแนวโน้มของประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ได้ 74/71ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชัย. (2549) ชุดฝึกอบรมนี้ สร้างขึ้นตามกระบวนการวิจัยเริ่มจากการวิเคราะห์งาน  วิเคราะห์หัวข้อการฝึกอบรม  สร้างหลักสูตร การฝึกอบรม  สร้างเครื่องมือในการวิจัยคือ แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินการฝึกอบรม  คู่มือการ ฝึกอบรม โดยผ่านกระบวนการวิเคราะห์ความสอดคล้อง (IOC) หาค่าความเชื่อมั่นของแบบ ทดสอบ  วิเคราะห์ความเหมาะสม  โดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จากนั้นนำไปทดลองใช้ ผู้วิจัยจึงทำการศึกษาปัญหาพบว่า   ปัญหาเกิดจาก สีของพื้นหลังและตัวอักษรในชุดฝึกอบรมยังไม่ค่อยชัดเจน ภาพเคลื่อนไหวเคลื่อนไหวเร็วเกินไป และการบรรยายเร็วเกินไป ผู้วิจัยจึงทำการปรับปรุงบทบรรยายและภาพประกอบให้มีความชัดเจนเข้าใจง่ายขึ้น จากนั้นทำการทดลองครั้งที่  กับนักเรียนจำนวน  30 คน   ซึ่งได้ประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์  83/81 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80  ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพัชรีพรรณ ก้องสมุทร (2541) ประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ของการไฟฟ้านครหลวง   ชุดฝึกอบรมที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 83.83/82.66

       2.ผลสัมฤทธิ์ทางการอบรมหลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรม สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรพล บุญลือ (2540) ได้ศึกษาผลการใช้ชุดฝึกอบรมสำหรับพนักงานใหม่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)  พบว่าผลสัมฤทธิ์ผลสัมฤทธิ์การฝึกอบรม หลังการอบรมของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนการอบรม ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรื่องระบบการขายเบื้องต้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานขายบริษัทซี.แอล.บี.แมทเทรส จำกัด  เป็นการอบรมที่สอดคล้องกับทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล   ซึ่งแต่ละคนมีความสามารถในการเรียนรู้ช้าเร็วแตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ  ชนะ  ภูมิประเสริฐ  (2547)  ดังนั้น  ชุดฝึกอบรมนี้จะช่วยให้ผู้รับการอบรมรู้สึกพอใจ  และไม่เกิดความกดดันขณะอบรมเมื่ออบรมไม่ทันผู้อื่น   ทำให้รู้สึกผ่อนคลายในขณะที่อบรม   ส่งผลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้รับการอบรมมีความกระตือรือร้นในการอบรม  และให้ความสนใจในชุดฝึกอบรมเป็นพิเศษ  เนื่องจากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยการออกแบบหน้าจอ  เสียงบรรยาย  ภาพกราฟิกและภาพเคลื่อนไหว   ผู้วิจัยได้ทำการสังเกตระหว่างการทดลองพบว่า   ผู้อบรมที่อบรมจากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ มีความสนใจและตั้งใจ  ที่จะเรียนรู้จากชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ เนื่องจากผู้รับการอบรมสามารถทบทวนชุดฝึกอบรมได้ทันที    เมื่อมีเนื้อหาที่ไม่เข้าใจหรือสงสัย   ผู้รับการอบรมสามารถย้อนกลับมาศึกษาเนื้อหาได้ใหม่   อีกทั้งผู้รับการอบรมยังทำแบบฝึกหัดระหว่างอบรม  แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอบรมเพื่อประเมินผลการอบรม   ทำให้ผู้รับการอบรมมีโอกาสทบทวนทำความเข้าใจในชุดฝึกอบรมเพิ่มเติม   ทำให้ผู้รับการอบรมไม่เกิดความเบื่อหน่ายขณะทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบ  ช่วยให้ผู้รับการอบรมตั้งใจทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบมากยิ่งขึ้น

 

ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะทั่วไป

       1.  การอบรมโดยชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ ผู้ให้การอบรมต้องคำนึงถึงทักษะการใช้พื้นฐานการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้รับการอบรม เพราะผู้รับการอบรมบางคนตื่นเต้น และมีความรู้ทักษะคอมพิวเตอร์น้อย   ผู้รับการอบรมและผู้ให้การอบรมต้องคอยสังเกตว่าผู้รับการอบรมคนใดที่มีการเรียนรู้ได้ช้า ต้องคอยช่วยเหลือเป็นพิเศษ
       2. ในการผลิตชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ ผู้ให้การอบรมควรศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ   เพิ่มเติมเพื่อใช้สนับสนุนการสร้างสรรค์ชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
       3.ผู้ให้การอบรมควรส่งเสริมให้ผู้รับการอบรมได้การทบทวน หรือศึกษาด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้รับการอบรมได้มีการทบทวนความรู้อยู่เสมอ
       4.ผู้ให้การอบรมต้องจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะทั้งด้านคอมพิวเตอร์ การสร้างสื่อการอบรมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และมีทักษะอื่นๆ ประกอบเพื่อสร้างชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์ที่น่าสนใจให้กับผู้รับการอบรม

ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 

       1.  ควรมีการพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบคอมพิวเตอร์เพื่อการฝึกอบรมในเนื้อหาอื่นๆและฝ่ายอื่นต่อไป
       2.  ควรศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ระหว่างชุดฝึกอบรมด้วยคอมพิวเตอร์การอบรมแบบปกติ

 

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ชีวิตและครอบครัว กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 เขตคลองสาน

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒  ชีวิตและครอบครัว  กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา  ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔  สังกัดสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน

ประเภทผลงานทางวิชาการ : งานวิจัย

ปีที่ทำการวิจัย : ๒๕๕๕

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : พันจ่าตรี  ศุภกร    ทิมเขียว      ครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ผลการวิจัยพบว่า  บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒  ชีวิตและครอบครัว  กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา  ชั้นประถมศึกษาที่ ๔  มีประสิทธิภาพในระดับ  ๘๕.๕๐ / ๘๙.๓๓           สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ๘๐ / ๘๐ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑

รายละเอียดของงานวิจัยสามารถค้นคว้าได้จาก web-online ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

รศ.ดร.อำนวย  เดชชัยศรี   บรรณากร

SMT: วิทย์/คณิต/เทคโนโลยี

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก สำหรับเด็กปฐมวัยเครือข่ายโรงเรียนที่ 70 สำนักงานเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง  สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก  สำหรับเด็กปฐมวัยเครือข่ายโรงเรียนที่ ๗๐  สำนักงานเขตคลองสาน  กรุงเทพมหานคร

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิจัย

ปีที่พิมพ์ : 2555

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ พุทธชาติ    เล็กมีมงคล  ครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา   มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  เรื่อง  สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก  สำหรับเด็กปฐมวัย  มีประสิทธิภาพระดับ  ๘๖.๖๗ / ๘๓.๒๐ สูงกว่ามาตรฐาน ๘๐ / ๘๐      สำหรับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .๐๑     ต้องการทราบรายละเอียดสามารถติดตามได้ที่WEB-online ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จจเจ้าพระยา

 

รศ.ดร.อำนวย    เดชชัยศรี   บรรณากร

SMT:  วิทย์ / คณิต / เทคโน

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง พระรัตนตรัย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทวีธาภิเศก สำนักงานเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มัธยมศึกษา เขต 1

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  เรื่องพระรัตนตรัยกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑  โรงเรียนทวีธาภิเศก

ประเภทผลงานทางวิชาการ : งานวิจัย

ปีที่ทำการวิจัย : 2555

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : พงษ์สร  จันลิ้ม  ครุศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ผลการวิจัยพบว่า  บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้   ๘๐.๒๖ /๘๒.๕๖   ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนสูงกว่าก่อนเรียน  อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .๐๑สามารถติดตามรายละเอียดใน web-online ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จจเจ้าพระยา

รศ.ดร.อำนวย    เดชชัยศรี    บรรณากร   MST: คณิต / วิทย์ / เทคโนโลยี

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 เขตคลองสาน

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๕  กลุ่มโรงเรียนประถมศึกษา   สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน    เขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๓  คลองสาน

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิจัย

ปีที่ทำวิจัย : ๒๕๕๕

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นฤมล  คงกำเหนิด  ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  เรื่อง  เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี   สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ผลการวิจัยพบว่า

       ๑. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดังกล่าวมีประสิทธิภาพเกินกว่ามาตรฐานกำหนดอยู่ในระดับ  ๘๒ / ๘๑

       ๒. วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดังกล่าว  พบว่าผลสัมฤทธ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน  อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ . ๐๑   

รายละเอียดติดตามได้จากผลงานวิจัยที่เผยแพร่ทาง 0n-line ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ร.ศ.ดร.อำนวย  เดชชัยศรี   บรรณากร   

SMT: วิทย์ / คณิต / เทคโนโลยี

คำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเรื่องซื้อขายแลกเปลี่ยนให้

ชื่อผลงานทางวิชาการ : คำอธิบายกฎหมายแพ่งและพานิชย์ ว่าด้วยเรื่อง ซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชา กฎหมาย

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2556

ข้อมูลเพิ่มเติม : สาขานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นายพิบูลย์ วิฑูรย์ปัญญากุล ตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของผลงาน : หนังสือใช้ประกอบการสอนเล่มนี้มีสาระสำคัญของสัญญาซื้อขาย โดยกล่าวถึงสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทน วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายส่งมอบทรัพย์และโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ วัตถุของสัญญาซื้อขาย คือ  ทรัพย์สิน และผู้ซื้อตกลงชำระราคาคือ เงิน สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาที่กฎหมายกำหนดชื่อไว้เป็นการเฉพาะมีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ คือ ผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงชำระราคาให้แก่ผู้ขายเป็นการตอบแทน การที่บุคคลทั้งสองฝ่ายเข้ามาทำนิติกรรมผูกพันซึ่งกันและกัน โดยพื้นฐานต้องเกิดจากการยินยอมและเต็มใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งรากฐานความคิดของนิติกรรมและสัญญานั้นมาจากอิสระในทางแพ่ง (Private autonomy) และหลักเสรีภาพในการทำสัญญา (Principle of freedom of contract)

       หลักเกณฑ์ทั่วๆ ไปในการแสดงเจตนา โดยในการพิจารณาจากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ บรรพ 1 แยกสาระสำคัญได้คือ บุคคลที่แสดงเจตนาประกอบด้วย บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และวิธีการแสดงเจตนา การแสดงโดยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาเป็นกรณีย่อย 2 กรณี คือ การแสดงเจตนาโดยชัดเจนกับการแสดงเจตนาโดยปริยาย องค์ประกอบของการซื้อขายได้แก่ คู่สัญญา วัตถุประสงค์/เป้าหมายของการซื้อขาย แบบและเจตนา สัญญาซื้อขายมี 4 ประเภท ได้แก่ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ข้อแตกต่างระหว่างสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกับสัญญาจะซื้อจะขายต่างกัน สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข สัญญาซื้อขายมีเงื่อนเวลาและสัญญาจะซื้อจะขาย บุคคลที่มีสิทธิทำสัญญาซื้อขาย และหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาซื้อขายกล่าวถึงบุคคลที่มีสิทธิทำสัญญาต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส สำหรับผู้ที่มีสิทธิขายสินทรัพย์ได้แก่ เจ้าของกรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1336 เจ้าของรวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1361 และบุคคลอื่นซึ่งมีสิทธิขายได้ตามกฎหมาย

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : เนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้กล่าวถึง ตามเนื้อความของประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 456 นั้นทรัพย์สินที่สามารถนำมาเป็นวัตถุแห่งสัญญาจะซื้อจะขาย แยกตามประเภทได้ คือ อหังสาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน ตึก บ้าน และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือที่มีระวางตั้งแต่ 5 ต้นขึ้นไป แพและสัตว์พาหนะได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ล่อและลา ที่ได้ทำตั๋วรูปพรรณตามกฎหมายแล้ว

       สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษตามพระราชบัญญัติอื่น คือ พระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ.2514พระราชบัญญัติการเดินอากาศและพระราชบัญญัติเรือสยาม สถานที่รับจดทะเบียนตามประเภทของทรัพย์ คือ ที่ดิน เรือ แพ สัตว์พาหนะ อากาศยาน เครื่องจักร ทรัพย์สินที่ซื้อขายกันไม่ได้ ได้แก่ ทรัพย์สินที่ไม่สามารถถือเอาได้ ทรัพย์สินซึ่งไม่อาจโอนให้แก่กันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ความแตกต่างระหว่างสัญญาซื้อขายกับสัญญาอื่น คือ สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาที่ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายให้ผู้ซื้อแลกกับเงินที่เป็นราคาของทรัพย์สินตามที่ตกลงกัน ฯลฯ เป็นต้น สัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย จึงต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ บรรพ 1 บททั่วไปลักษณะ 4 ว่าด้วยนิติกรรม และความเป็นโมฆียะของสัญญาซื้อขายเกิดจากความบกพร่อง เนื่องจากมีลักษณะไม่สมบูรณ์เต็มร้อยแต่สามารถบังคับใช้ชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 157 บัญญัติไว้ว่า การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล หรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 159 บัญญัติ ไว้ว่าการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

       การโอนกรรมสิทธิ์ กล่าวว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 458 คือ ตั้งแต่ผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นให้เราและเราก็ตกลงจะชำระราคาค่าสินค้านั้นให้ผู้ขาย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การโอนกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ธรรมดา และการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ

       บุคคลมีสิทธิทำสัญญาซื้อขายและหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาซื้อขายนั้น ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้สำหรับทรัพย์สินบางประเภท คือ อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สำหรับผู้ที่ถือว่ามีสิทธิที่จะขายสินทรัพย์ ได้แก่ เจ้าของกรรมสิทธิ์ เจ้าของรวมและบุคคลอื่น ซึ่งมีสิทธิขายได้ตามกฎหมาย เช่น ผู้จัดการมรดก ผู้ใช้อำนาจปกครอง เจ้าพนักงานขายทอดตลาดบังคับคดีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การจะซื้อขายทรัพย์สินที่สำคัญอันได้แก่ อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษตามกฎหมายบัญญัติ ตามมาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายที่ตกลงกัน สิทธิของผู้ขายได้แก่ สิทธิที่จะยึดหน่วงทรัพย์สิน สิทธิที่จะเรียกให้ผู้ซื้อชำระหนี้ สิทธิในการริบมัดจำและสิทธิในการเลิกสัญญา หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ขายตามกฎหมายลักษณะซื้อขายมี 3 ประการ คือ หน้าที่ในการส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินกรณีที่เป็นสังหาริมทรัพย์ ตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปและอสังหาริมทรัพย์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 465 และมาตรา 466 ส่วนเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ขายและต้องรับผิดชอบกรณีเกิดการชำรุดของทรัพย์สินที่ขาย

       ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 475 กล่าวถึงความรับผิดชอบในการรอนสิทธิ์ สำหรับสิทธิของผู้ซื้อ ได้แก่ สิทธิที่จะเรียกให้ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามเวลา สถานที่ วิธีการและปริมาณที่ตกลงกันไว้ สิทธิที่จะยึดหน่วงเวลาในกรณีที่ผู้ซื้อพบการชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินที่ซื้อ ฯลฯ เป็นต้น หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ซื้อ คือ การรับมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายตามเวลา สถานที่และวิธีที่ตกลงกันในสัญญาซื้อขาย มาตรา 486 และหน้าที่ในการชำระราคาทรัพย์สิน มาตรา 453 ฯลฯ เป็นต้น

       การซื้อขายเฉพาะอย่างมี 5 ประเภท คือ การซื้อขายตามตัวอย่าง การซื้อขายตามคำพรรณนา การซื้อขายเผื่อชอบ การซื้อขายฝากและการซื้อขายทอดตลาด สำหรับผู้ที่มีสิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 497 พึงใช้ได้กับบุคลเหล่านี้ คือ ผู้ขายเดิมหรือทายาทของผู้ขายเดิมหรือผู้รับโอนสิทธิหรือบุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้ สามารถจำแนกผู้มีสิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากได้ คือ ผู้ขายเดิม ทายาทของผู้ขายเดิม ผู้รับโอนสิทธินั้นและบุคคลซึ่งในสัญญายอมรับไว้โดยเฉพาะว่าเป็นผู้ไถ่ได้ และผู้มีหน้าที่รับไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก คือ ผู้ซื้อเดิม/ทายาทของผู้ซื้อเดิมและผู้รับโอนทรัพย์สิน

       การขายทอดตลาดอาจเกิดขึ้นได้ 2 วิธี คือ ขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาของศาลและโดยไม่มีคำสั่งศาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลต่อไปนี้ คือ ผู้ขาย (เจ้าของทรัพย์) Seller ผู้ดำเนินการขายทอดตลาด (ผู้ทอดตลาด) Auctioneer ผู้สู้ราคา Bidder และผู้ซื้อ Buyer

จุดเด่น /ความน่าสนใจของผลงานทางวิชาการ : ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 518 และ520 เป็นสัญญาแลกเปลี่ยนเป็นเอกเทศที่มีบทบัญญัติเพียง 3 มาตราเท่านั้น ซึ่งมีคำจำกัดความสัญญาแลกเปลี่ยนไว้ดังนี้

       สัญญาแลกเปลี่ยนมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย สัญญาแต่ละฝ่ายต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ทำการแลกเปลี่ยนด้วย ต้องมีวัตถุแห่งสัญญาแลกเปลี่ยน วัตถุประสงค์ของสัญญาแลกเปลี่ยนเจตนาและแบบ ลักษณะสัญญาแลกเปลี่ยนมีดังนี้ เป็นสัญญาจ่ายตอบแทน เป็นสัญญาที่สมบูรณ์ด้วยความยินยอม เป็นสัญญาที่มีผลในทางทรัพย์และเป็นสัญญาที่กฎหมายให้บังคับตามหลักเกณฑ์ในเรื่องซื้อขาย

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมหลายฝ่าย ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ บรรพ 1 บททั่วไป ลักษณะ 4 ว่าด้วยนิติกรรม แต่กำหนดสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์เพราะมีเหตุเป็นโมฆียะ สัญญานั้นย่อมสามารถก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายไปได้ทั้งผลในทางหนี้และทางทรัพย์เพราะคู่สัญญาถือได้ว่าได้รับโดยมีฐานของสัญญาซื้อขายเป็นมูลรองรับ แต่ถ้าหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมคืน คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งย่อมสามารถใช้สิทธิที่จะเรียกร้องให้คืนได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่บอกล้างโมฆียะตามมาตร 176 วรรคสาม

สิ่งที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางเนื้อหาสาระ : กรณีการนำเนื้อหาสาระไปใช้ประโยชน์ในทางการศึกษาสามารถดำเนินการได้เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นสถาบันทางการศึกษาระดับอุดมศึกษามีสาขาการตลาด การท่องเที่ยว การเงินการบัญชีและแพทย์แผนไทย เป็นต้นนั้นเกี่ยวข้องกับสัญญาการขาย การให้บริการ หลายรูปแบบผู้สอนควรสอดแทรกหลักการ กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิผลประโยชน์ของนิติบุคคลด้วย

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

จิตวิทยาสำหรับครู

ชื่อผลงานทางวิชาการ : จิตวิทยาสำหรับครู

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาชีพครู

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559-2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : สาขาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์สหธรรมิก จำกัด กรุงเทพมหานคร

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : สาขาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของผลงาน : การพัฒนาการ เป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านร่างกายและจิตใจอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ตั้งแต่ปฏิสนธิจวบจนตลอดชีวิต ทำให้มีลักษณะและความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยควบคู่กับวุฒิภาวะและการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นทางด้านขนาด สัดส่วน ลักษณะต่างๆ ในร่างกาย เป็นต้น สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาประกอบด้วย สติปัญญา เพศ ต่อมต่างๆ ในร่างกาย อาหาร อากาศบริสุทธิ์และแสงแดด เชื้อชาติ เป็นต้น

       การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร เนื่องจากประสบการณ์หรือการฝึก เพราะการเรียนรู้มีลักษณะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดขึ้น พฤติกรรมค่อนข้างถาวรและมาจากประสบการณ์หรือการฝึกเท่านั้น องค์ประกอบของการเรียนรู้มีตัวผู้เรียน วิธีการจัดการเรียนการสอน บทเรียนและสิ่งแวดล้อม

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : การถ่ายโยงการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้เพราะการเรียนรู้จะมีความรู้เดิมหรือประสบการณ์แทรกอยู่ การถ่ายโยงการเรียนรู้มีผลต่อการเรียนรู้ในปัจจุบัน การถ่ายโยงการเรียนรู้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางบวก (Positive Transfer of Learning) กับการถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ (Negative Transfer of Leaning)

       องค์ประกอบที่ทำให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดจากความคล้ายคลึงของสิ่งที่จะเรียนรู้ ความสามารถในการสรุปความของผู้เรียน ความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของผู้เรียน และการมีเจตคติและอุดมคติของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ทำได้โดยควรสอนวิชาต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน ก่อนเรียนบทเรียนใหม่ควรทบทวนความรู้เดิม สอนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ต่างๆ จัดสภาพการเรียนการสอนให้คล้ายกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน คำนึงถึงระดับเชาว์ปัญญาและความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก พยายามให้เด็กเกิดประสบการณ์มากๆ ก่อนเริ่มเรื่องใหม่ ส่งเสริมการแสดงความคิดสร้างสรรค์ด้วยตนเองและจัดให้เด็กมีทักษะและความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ให้มาก

       ทฤษฎีการเรียนรู้เกิดจากนักจิตวิทยานำสัตว์มาทดลอง เพราะการทดลองบางอย่างใช้เวลานาน ฯลฯ เป็นต้น ทฤษฎีการเรียนรู้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavior Learning Theories) หรือกลุ่มสิ่งเร้ากับการตอบสนอง (Stimulus-Response Theories) ประกอบด้วยทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง (Connectionism Theory) เจ้าของทฤษฎี คือ Thorndike ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไข มีแบบคลาสสิก (Classical Condition) ของ Paulow กับวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Condition ของ Skinner) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive Leaning Theories) หรือทฤษฎีสนาม (Field Theories) ประกอบด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ของ (Gestalt’s Theory) ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ (Discovery Leaning) ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) และทฤษฎีการเรียนรู้ปัญหาสังคม (Social Cognitives Learning Theory)

       ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง (Connectionism Theory) สรุปเป็นกฎเกณฑ์ได้ 3 กฎ คือ กฎแห่งความพร้อม กฎแห่งการฝึกหัด และกฎแห่งผลที่พอใจ

       การนำทฤษฎีไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ทำได้โดย

       1. เปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูกในบางเรื่อง เพราะบางสถานการณ์ไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีที่จะเหมาะสมเท่ากับวิธีลองผิดลองถูก
2. สอนเมื่อเด็กมีความพร้อม
3. สร้างบรรยากาศที่ยั่วยุให้เด็กอยากเรียน อยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นความพร้อมและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจริง
4. ทำงานร่วมกันกับเด็กอย่างใกล้ชิด และต้องให้เด็กทราบผลงานของเขาด้วย
5. เปิดโอกาสให้เด็กทบทวน ฝึกฝนการทำกิจกรรมที่เรียนรู้ไปซ้ำๆ ตามสมควร
6. เปิดโอกาสให้เด็กนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสภาพการณ์ต่างๆ
7. ครูควรจัดการเรียนโดยการแทรกสิ่งที่น่าสนใจและเกิดความสนุกสนาน
8. สอนเด็กต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะด้านอารมณ์

       ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้มี 2 ด้านใหญ่ๆ คือ ด้านผู้รับรู้กับด้านสิ่งเร้าหรือสิ่งที่จะรับรู้ ในด้านผู้รับรู้มีความแตกต่างกันเกี่ยวกับอวัยวะสัมผัสของผู้รับรู้ ประสบการณ์เดิม สติปัญญา ความสนใจ ความต้องการ เจตคติและภาวะของอารมณ์ ส่วนสิ่งเร้าหรือสิ่งที่รับรู้ต้องสามารถดึงดูดความสนใจได้ เช่น ขนาดของสิ่งเร้า ระดับความเข้มหรือความหนัก-เบาของสิ่งเร้า การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าและการเกิดซ้ำของสิ่งเร้า นอกจากนี้สิ่งที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ยังประกอบด้วยแรงจูงใจที่ใช้กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมความต้องการ/ตามจุดมุ่งหมาย ส่งให้เกิดพฤติกรรมการทำงาน 3 ประการ คือ เกิดพลังกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรม แรงจูงใจกำหนดทิศทางและเป้าหมายของพฤติกรรมและระดับความพยายาม แรงจูงใจประกอบด้วยความต้องการของมนุษย์ คือ ต้องการทางร่างกายหรือสรีระและต้องการทางจิตใจหรือต้องการทางสังคม สำหรับแรงขับเป็นสภาวะที่ร่างกายถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า พฤติกรรมก็จะแสดงออกมาและเป้าหมายใช้บำบัดความต้องการเพื่อลดระดับแรงขับ

       แรงจูงใจมี 2 แนวคิด คือ แบ่งตามแหล่งที่มาของแรงจูงใจ และแบ่งตามเหตุผลเบื้องหลังในการตอบสนอง ดังนั้นนักจิตวิทยาจึงศึกษาทฤษฎีสำหรับนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วยทฤษฎีแรงขับทางชีวภาพ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม การนำทฤษฎีแรงจูงใจมาใช้การจัดการเรียนการสอนสามารถสร้างแรงจูงใจได้ทั้งภายในและภายนอก เพราะทำให้เด็กตื่นตัว (Arousal) การตั้งจุดมุ่งหมาย (Objective) การให้รางวัลหรือเครื่องล่อ (Incentive) และการแข่งขัน

       ด้านเชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งที่แต่ละคนมีติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดและสามารถพัฒนาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น บางคนมีเชาวน์ปัญญาดีแต่ไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิต เชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งสามารถกระตุ้นส่งเสริมให้พัฒนาได้ สำหรับเชาวน์ปัญญากับความสำเร็จในชีวิตทั้งด้านการเรียนและการประกอบอาชีพต่างๆ ต้องมีความพยายามอดทน ประกอบด้วย  นอกจากนี้บุคคลยังมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่เคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมีลักษณะเป็นผู้นำ มีความคิดอิสระและยืดหยุ่นเสมอ ช่างสงสัย ชอบถามและรับรู้สิ่งที่ซับซ้อนได้ ปัจจัยที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วย ความรู้พื้นฐานของแต่ละคน จินตนาการและวิจารณญาณ

       ในการสอนเด็กให้มีความคิดสร้างสรรค์ ครูต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์เสียก่อน ต้องแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ฝึกคิด ฝึกใช้จินตนาการ กล้าคิดค้นวิธีสอนใหม่ๆ พัฒนาวิธีการทำงานของตนเองและก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

จุดเด่น / ความน่าสนใจของผลงานทางวิชาการ :  การศึกษาบุคคลด้วยวิธีการทางจิตวิทยาและรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) วิธีพฤติกรรมนิยม (Behavior Method)

วิธีศึกษาด้วยพฤติกรรมนิยมมี 2 วิธีการใหญ่ คือ วิธีทางธรรมชาติ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การรายงานตนเอง การใช้แบบสอบถามและการสำรวจ การใช้แบบทดสอบทางจิตและการศึกษารายกรณี และวิธีทดลอง มีวิธีการทางวิทยาศาสตร์

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : หนังสือจิตวิทยาสำหรับครูเล่มนี้ สามารถนำไปใช้เป็นคู่มือการจัดการเรียนการสอนของอาชีพครูได้ดีทุกรายวิชาทั้งอาจารย์คณะครุศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะวิทยาการจัดการและวิทยาลัยการดนตรี เพราะมนุษย์มีพฤติกรรมทั้งภายในและภายนอกแตกต่างกัน ผู้สอนต้องรู้เข้าใจผู้เรียนเนื่องจากผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ต้องการ ผู้สอนต้องเข้าใจหลักจิตวิทยา หลักพัฒนาการของมนุษย์ เช่น ควรใช้แรงเสริมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ถูกต้องเพราะการเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองในลักษณะที่ว่า การกระทำใดๆ หรือการตอบสนองใดๆ ที่ได้รับแรงเสริมหรือสิ่งเร้าที่พอใจ ก็มีแนวโน้มที่จะกระทำพฤติกรรมนั้นๆ ซ้ำอีกในเวลาต่อไป แต่ถ้าการกระทำใดหรือการตอบสนองใดไม่ได้รับแรงเสริมหรือสิ่งเร้าที่พอใจ การกระทำพฤติกรรมนั้นมีแนวโน้มลดลงและหายไปในที่สุด

       การนำทฤษฎีการเรียนรู้ในหนังสือเล่มนี้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน สามารถทำได้ดังนี้

       1. ใช้ในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป
2. ใช้ในการปลูกฝังพฤติกรรมบางอย่าง
3. ใช้ปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรม
4. ช่วยเสริมให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียน

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

จิตวิทยาการแนะแนวสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

ชื่อผลงานทางวิชาการ : วิชา จิตวิทยาการแนะแนวสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

ประเภทผลงานทางวิชาการ : เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชา จิตวิทยาการแนะแนวสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : สาขาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ เป็นเอกสารสำหรับแจกผู้เรียน

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : สาขาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของผลงาน : ความหมายของคำว่าเด็กพิเศษ หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษมีขอบเขต 3 ประการ ได้แก่ ความบกพร่อง คือ การสูญเสีย/ผิดปกติของจิตใจและสรีระ/โครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ไร้สมรถภาพ คือ การมีข้อจำกัดหรือขาดความสามารถอันเป็นผลจากความบกพร่องจนไม่สามารถทำกิจกรรมได้ และความเสียเปรียบ คือ การมีความจำกัดหรืออุปสรรคกีดกันเพราะความบกพร่องและไร้สมรรถภาพ ดังนั้นทางการแพทย์จึงเรียกว่า พิการ องค์การอนามัยโลกได้แบ่งเด็กพิการเป็นลักษณะบกพร่องทางสติปัญญา บกพร่องทางการได้ยิน และบกพร่องทางการมองเห็น เป็นต้น

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : เอกสารประกอบการเรียนการสอนเล่มนี้ ได้สรุปสาระสำคัญว่าทางการแพทย์ได้จัดประเภทความต้องการพิเศษ เพื่อการบำบัดรักษาตามสภาพความพิการเป็น พิการทางแขน ขา ลำตัว พิการทางหู พิการทางสายตา พิการทางสติปัญญา และพิการทางอารมณ์และจิตใจ กองการศึกษาเพื่อคนพิการ กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดประเภทเด็กที่มีความต้องการพิเศษตามลักษณะที่ได้ดำเนินการบริการทางการศึกษา โดยแบ่งเป็น เด็กพิเศษประเภทตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อน ทางร่างกายรวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลและขาดโอกาสเรียนหรือเด็กศึกษาสงเคราะห์ เช่น เด็กชาวเขา ชาวเรือ ชาวเกาะ ฯลฯ เป็นต้น

       การให้ความช่วยเหลือสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ด้วยวิธีการให้ทำกิจกรรมหลากหลายเริ่มจากง่ายไปยากจัดนันทนาการให้สนุกสนานปรับพฤติกรรม เช่น การใช้แรงเสริม ให้รางวัล เป็นต้น และจัดศิลปะบำบัดเน้นทางความคิดและสร้างสรรค์ การเรียนสามารถเรียนร่วมในระดับประถมศึกษาได้และสามารถฝึกอาชีพงานง่ายๆ ได้ ส่วนมัธยมต้องจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียน ส่วนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องให้สอดคล้องกับความต้องการ ความสามารถของเด็ก ๆ แต่ละคน

       สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จำเป็นต้องใช้ภาษามือแทนพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์ การอ่านริมฝีปาก เป็นการสื่อสารทั้ง 2 วิธี เพื่อให้เด็กสามารถเดาความหมายในการแสดงออกของผู้พูด ควรเริ่มจากการฝึกฟัง ฝึกการอ่าน ฝึกภาษามือและการสะกดนิ้ว และการสื่อสารระบบรวมและท่านแนะคำพูด

       เด็กพิการทางสายตามี 2 ประเภท คือ บอดสนิทกับบอดไม่สนิท/บอดบางส่วน ผู้สอนควรปฏิบัติต่อเด็กที่บกพร่องทางตา ไม่ควรพูดกับเด็กในลักษณะที่ทำให้เขารู้สึกว่าพิการ อย่าเสียงดังจนเกินไป ใช้น้ำเสียงปกติ การทักทายควรใช้มือสัมผัส มอบหมายงานพิเศษให้เหมือนคนอื่นๆ และความฝึกให้เด็กตาบอดได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นๆ บ้าง

       เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด แขนขาด้วนแต่กำเนิด การให้ความช่วยเหลือสามารถทำได้หลายอย่างในบุคคลเดียวกัน ต้องเลี้ยงดูให้ความรักพาออกสู่สังคมบ้าง ฝึกหัดให้ทำกิจกรรมต่างๆ สม่ำเสมอ ด้วยอารมณ์ที่มั่นคงปรับสภาพสิ่งแวดล้อมเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนไหว เช่น พื้นทางเดิน ห้องน้ำประตู โต๊ะเก้าอี้ สื่อและอุปกรณ์พิเศษ แนวการสอนหลักสูตรทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษาไม่ควรแตกต่างจากเด็กปกติ และมีการเพิ่มเติมหลักสูตร เช่น การฝึกการเคลื่อนไหว โดยการสอนให้วางแผนเดินทางในบริเวณรอบๆ โรงเรียน เป็นต้น

       เด็กออทิสติกจะมีความบกพร่องทางพัฒนาการด้านการสื่อสาร ภาษา และด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น จะมีลักษณะทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่บกพร่อง เช่น พฤติกรรมซ้ำๆ ผิดปกติ เล่นมือโบกไปมา หรือหมุนตัวรอบๆ ติดต่อกัน การให้ความช่วยเหลือต้องมีผู้รู้เกี่ยวกับเด็กทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์ของแด็กแต่ละคนอย่างละเอียด การจัดการเรียนการสอนต้องเตรียมบุคลิกจะสร้างความเข้าใจเด็กเหล่านี้ ครูต้องทำแผนการสอนเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาเด็กไปในทิศทางที่พึงประสงค์ ส่งผลให้เด็กประสบความสำเร็จได้

จุดเด่น /ความน่าสนใจของเอกสารเล่มนี้ : พบว่าสถานศึกษาทุกระดับทุกสังกัดต้องพิจารณารับเด็กเข้าเรียนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 43 กำหนดว่า “บุคคลควรย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” สถานศึกษาไม่สามารถปฏิเสธการรับเด็กไม่ได้ การช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาในชั้นเรียน ปกตินั้นผู้สอนต้องพยายามให้ทำงานตามความสามารถให้คำสั่งของบทเรียนอย่างชัดเจน ช่วยถ่ายทอดการเรียนรู้จากโรงเรียนไปยังบ้านและจากบ้านมายังโรงเรียน และให้พวกเด็กสามารถนำทักษะ ความรู้ต่างๆ ไปใช้ที่บ้านได้

อื่นๆ ตามความเหมาะสม/การนำไปใช้ประโยชน์ : ฐานะมหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาที่เด็กที่มีความต้องการพิเศษมาศึกษา เช่น เด็กตาบอด หูหนวก ออทิสติก ฯลฯ เป็นต้นนั้น ทุกสาขาวิชาทุกคณะวิชาไม่ควรปฏิเสธการรับเข้าศึกษา ควรส่งเสริมฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่งฐานะมนุษยชาติคนหนึ่งของสังคม ดังนั้นมหาวิทยาลัยควร

       1. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรม สื่อ ควรมีความยืดหยุ่นตามสภาพเหตุการณ์ สิ่งแวดล้อมความสนใจ ความต้องการที่จำเป็น และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน
2. ผู้สอนควรจัดแผนการเรียนการสอน โดยผสมผสาน การสอนแบบตัวต่อตัวกับการสอนกลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามศักยภาพและยังคงมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างเหมาะสม
3. ผู้สอนควรคำนึงถึงการสอนเชิงพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมทั้งเพิ่มความมั่นใจในตัวเองขึ้น เช่น การวิเคราะห์งาน เป็นต้น
4. ผู้สอนควรจัดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำทักษะที่เรียนรู้แล้วไปฝึกปฏิบัตินอกห้องเรียน ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตประจำวัน
5. ผู้สอนควรได้รับการสนับสนุน สื่อ อุปกรณ์ ในการช่วยสอนจากมหาวิทยาลัย หรือดูจากผู้เชี่ยวชาญ

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

จิตวิทยาการติดต่อสื่อสาร

ชื่อผลงานทางวิชาการ : จิตวิทยาการติดต่อสื่อสาร

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือประกอบการเรียนการสอน วิชา จิตวิทยาการติดต่อสื่อสารและการโน้มน้าวใจ

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2558

ข้อมูลเพิ่มเติม : พิมพ์ที่ โรงพิมพ์พลัฎฐกรการพิมพ์ จัดจำหน่ายโดย ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นางสาวปัญจนาถร วรวัฒนชัย ตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สังกัดสาขาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของผลงาน : ความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยากับการสื่อสาร รูปแบบพฤติกรรมการสื่อสาร กฎเกณฑ์เกี่ยวกับพฤติกรรม ปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรม พฤติกรรมมนุษย์กับการสื่อสาร แนวคิดเรื่องการสื่อสารของมนุษย์ องค์ประกอบที่สำคัญในกระบวนการสื่อสารของมนุษย์ ภาษากับการสื่อสารของมนุษย์ การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ องค์ประกอบพื้นฐานของการโน้มน้าวใจ ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการโน้มน้าวใจและกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : จิตวิทยามุ่งศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ทุกด้าน เพราะการสื่อสารเกิดมาพร้อมๆ กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมเป้าหมายการศึกษาที่สำคัญมี 4 ประการ คือ เพื่อวัดและพรรณนาลักษณะพฤติกรรม เพื่อพยากรณ์พฤติกรรม เพื่อควบคุมหรือปรับพฤติกรรมและเพื่ออธิบายพฤติกรรม รูปแบบของพฤติกรรมสื่อสารของมนุษย์ประกอบด้วย พฤติกรรมการสื่อสารภายในตัวบุคคล สื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล สื่อสารในองค์กร สื่อสารมวลชนและสื่อสารไซเบอร์

       ลักษณะของการสื่อสาร ได้แก่ การสื่อสารเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นกระบวนการถ่ายทอดที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้รับสารแต่ละบุคคล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามลำดับ เป็นเรื่องเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมและเป็นสิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์มี 4 ปัจจัย คือ ปัจจัยทางชีวภาพ ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางด้านสังคมและจิตวิทยา และปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม

       การรับรู้กับการสื่อสารมีความเกี่ยวข้องกันและมนุษย์จะต้องมีการเลือกรับรู้ ซึ่งจะมีลักษณะบางอย่างสามารถกระตุ้นให้ผู้รับสารเกิดความสนใจที่จะเลือกรับรู้มี 5 ประการ คือ ความเข้มข้น ขนาด การเคลื่อนไหว ความถี่และความแปลกใหม่ในชีวิตประจำวัน การกระทำทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและอารมณ์เสมอ ด้านอารมณ์ของมนุษย์ในระยะแรกจะสื่อสารเพื่อการอยู่รอด เช่น การแสดงออกทางด้านเสียง อากับกิริยา และแสดงออกทางใบหน้า การเกิดอารมณ์ของมนุษย์สามารถศึกษาจากทฤษฎี อาทิเช่น ทฤษฎีของเจมส์-แลง (Jams-Lange) ทฤษฎีของแคนนอน-บอร์ด (Cannon-Bard) ทฤษฎีการรู้คิดของลาซาร์ลและแชอเตอร์ (Lazarus-Schackter)

       มนุษย์จะได้รับการจูงใจไม่เท่าเทียมกัน การจูงใจจะช่วยทำให้เกิดการแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตรงตามที่ผู้ส่งสารต้องการ ได้แก่ ทฤษฎีแรงขับทางชีวภาพ ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ ทฤษฎีการจูงใจของเฮอร์สเบอร์ก ทฤษฎีความต้องการของแมคคลีแลนด์และทฤษฎีความคาดหวังของรูม ฯลฯ เป็นต้น สำหรับด้านเจตคติของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งไม่คงที่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับความสนใจ ความเข้าใจ ดังนั้นกระบวนการการที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติ คือ การสื่อสารซึ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาข่าวสารจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงมาก จึงควรมีลักษณะดังนี้ คือ ลักษณะของแหล่งข่าว ลักษณะการดึงดูดใจและลักษณะโครงสร้างของข่าวสาร รูปแบบการเปลี่ยนแปลงเจตคติมี 3 ลักษณะ คือ รูปแบบการสื่อสารข้อความแบบทางเดียว รูปแบบการสื่อสารข้อความสองขั้นตอน และรูปแบบการสื่อสารข้อความชนิดการสื่อสารระหว่างกัน ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงเจตคติมีรายละเอียด 3 ทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีความต้องการ ทฤษฎีสมดุลและทฤษฎีความขัดแย้งทางความคิด

       หลักสำคัญของการสื่อสารมี 5 ประการ ได้แก่ เช่น ความสำคัญต่อความเป็นสังคม สำคัญต่อชีวิตประจำวัน สำคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ สำคัญต่อการปกครองและสำคัญต่อการเมืองระหว่างประเทศ การสื่อสารมีหลายรูปแบบเพราะมีเกณฑ์พิจารณาแตกต่างกัน ซึ่งแบ่งเป็น 5 เกณฑ์ คือ เกณฑ์จำนวนผู้ที่ทำการสื่อสาร เรื่องภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร การเห็นหน้าค่าตากันระหว่างผู้สื่อสาร ความแตกต่างระหว่างผู้สื่อสารและตามหลักเนื้อหารายวิชาที่มีการนำการสื่อสารเข้าไปใช้ สำหรับองค์ประกอบที่สำคัญในกระบวนการสื่อสารของมนุษย์มีหลักสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ผู้ส่งสาร สาร สื่อ/ช่องทางการสื่อสารและผู้รับสาร กระบวนการสื่อสารมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ดังนั้นการศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์จำเป็นต้องอาศัยแบบจำลองของการสื่อสารแบบต่างๆ คือ แบบการสื่อสารทางเดียว (One Way Conmunication ) แบบสื่อสารของแซรมม์ (Schramm) การสื่อสารของลาสเวลส์ (Laswell) การสื่อสารแบบเดวิด เบอร์โล (David Berlo) ฯลฯ เป็นต้น การใช้ภาษาเพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการสื่อสาร คือ ความสมบูรณ์ครบถ้วนความกระทัดรัดและการพิจารณาไตร่ตรอง การตีความวัจนภาษาก็จะผันแปรตามความหมายโดยตรง/ตามพจนานุกรม/อ้างอิง ตามหลักของภาษา/ในไวยากรณ์ นัยประหวัด/ความหมายแฝง ความหมายกำกวม ตามบริบทในประโยคตามเจตนาของผู้พูด ตามที่ผู้ฟังตีความ ภาษาแสลงความหมายเฉพาะกลุ่ม

       การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ คือ การส่งสารเพื่อเปลี่ยนแปลงเจตคติ ความเชื่อและพฤติกรรมของคนหรือกลุ่มเป็นการสื่อสารให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ อารมณ์ความรู้สึก โดยผู้สื่อสารต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการโน้มน้าวใจ กระบวนการโน้มน้าวใจ และข้อจำกัด โดยต้องมีองค์ประกอบ คือ ความน่าเชื่อถือของผู้ส่งสาร การเป็นเหตุและผล การใช้อารมณ์และความรู้สึก

จุดเด่น / ความน่าสนใจของผลงานทางวิชาการ :  ในหนังสือเล่มนี้มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการโน้มน้าวใจ 5 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ (Maslow’s – hierarehy of human Needs) ทฤษฎีสิ่งเร้าและการตอบสนอง (S-R Theory) ฯลฯ เป็นต้น นั้นจึงทำให้ผู้อ่านหรือนำไปใช้สามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีเป็นกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ ได้แก่ การเสนอข่าวซ้ำๆ การเชื่อมโยงการแต่งรูปโฉมการสื่อสาร วิธีการละเว้นไม่พูดถึง การหันเหความสนใจและการสร้างความสับสน

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : เนื้อหาสาระของผลงานทางวิชาการเล่มนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการอยู่รวมกันในสังคมเพราะภาษา คือ เครื่องมือสำคัญที่มนุษย์ใช้สื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน และแสดงถึงอารยธรรมอันสูงส่ง ภาษาจึงมีลักษณะสากล ความสำเร็จในการสื่อสารจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคเหมาะสมสอดคล้องกับการสื่อสารทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการใช้เทคนิคของการเอาใจเขามาใส่ใจเรา มุ่งความสนใจไปยังตัวผู้รับโดยตรง เพราะมนุษย์ใช้ถ้อยคำเพื่อสะท้อนภาพความเป็นตัวตนให้บุคคลอื่นรับรู้ถือเป็นลักษณะพื้นฐานของมนุษย์และการอยู่ร่วมกันในสังคม

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

การประยุกต์จิตวิทยาเพื่อการเรียนรู้

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การประยุกต์จิตวิทยาเพื่อการเรียนรู้

ประเภทผลงานทางวิชาการ : หนังสือ ประยุกต์ความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : จัดพิมพ์โดยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จัดจำหน่ายโดย ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิมพ์ที่ โรงพิมพ์พลัฎฐกรการพิมพ์

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นางสาวเปรมสุรีย์ เชื่อมทอง ตำแหน่งทางวิชาการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สังกัดสาขาวิชาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของผลงาน : ธรรมชาติและพัฒนาการของผู้เรียนจำแนกทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ทางเพศและสติปัญญา องค์ประกอบให้บุคคลแตกต่างกัน อาทิเช่น พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทฤษฎีพัฒนาการและพัฒนาการของเด็กวัยเรียน ประกอบด้วย ทฤษฎีพัฒนาการของเพียเจต์ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ ทฤษฎีพัฒนาการของฮิริคสัน ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก

       การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรเป็นผลมาจากประสบการณ์และการฝึกฝนเกิดขึ้นตลอดชีวิตขึ้นอยู่กับปัจจัย คือ ระบบปราสาท สติปัญญา อายุ ความตั้งใจ แรงจูงใจ อารมณ์ วิธีการเรียน เนื้อหาและสถานการณ์ที่เรียนและเป้าหมาย การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นกิจกรรมสำคัญที่จะบอกให้ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องรู้พฤติกรรมของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ต้องวัดและประเมินผลตามสภาพความเป็นจริงอย่างต่อเนื่องในด้านความรู้ ความคิด พฤติกรรม วิธีการฝึกทักษะกระบวนการและผลการปฏิบัติจริง โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์และการตรวจผลงาน เป็นต้น สำหรับเนื้อหาเรื่อง การจัดสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนประสิทธิภาพการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสภาพแวดล้อมด้านจิตใจ

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : ความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนรู้หรือการสร้างพฤติกรรมใหม่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางด้านสติปัญญา ความคิด ความจำ การแก้ปัญหา ตลอดจนการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์แวดล้อมอย่างเหมาะสมกระบวนการทางจิตวิทยาในการสืบค้นความรู้เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มี 6 ขั้นตอน ได้แก่ ดั้งปัญหา ตั้งสมมุติฐาน รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การประเมินผลและสรุปผลและการนำไปใช้ วิธีการเก็บข้อมูลทางจิตวิทยาที่นิยมใช้ในทางจิตวิทยามีการสังเกต การสัมภาษณ์ ฯลฯ เป็นต้น

       ทฤษฎีพัฒนาการและพัฒนาการของเด็กวัยเรียนของเพียเจต์ เน้นพัฒนาการของมนุษย์ คือ ผลของกระบวนการปรับตัวที่เกิดจากการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมของมนุษย์ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบูรเนอร์ อธิบายถึงการเจริญเติบโตทางสติปัญญา 3 ขั้น คือ ขั้นการเอนเนกทีฟ ขั้นพัฒนาการไอโคนิกและขั้นซิมโปลิก ทฤษฎีของเอริคสัน เน้นพัฒนาการด้านจิตสังคมอันเป็นผลมาจากเปลี่ยนแปลงจะเกิดกับบุคลที่ประสบภาวะวิกฤติ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเด็กเพราะเป็นรากฐานของการพัฒนาการทางบุคลิกภาพตอนวัยผู้ใหญ่ บุคลิกภาพของมนุษย์มีผลมาจากผลรวม 5 ปีแรก และทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมตามขั้นตอน แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถทางสติปัญญา ขั้นตอนพัฒนาทางจริยธรรมมี 6 ขั้นตอน อาทิเช่น ขั้นหลบหลีกการถูกลงโทษ ขั้นการแสวงหารางวัล ขั้นการทำตามเพื่อน ฯลฯ เป็นต้น

ตัวอย่าง แนวทางการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก

ลักษณะ

แนวทางการส่งเสริม

1. ลักษณะทางร่างกาย

– มีความคล่องแคล้ว ว่องไว ไม่อยู่นิ่ง

– ควรจัดกิจกรรมให้มีการเคลื่อนไหวคุยกันได้บ้าง ปล่อยให้เด็กได้พักผ่อนบ่อยๆ และให้มีส่วนร่วมในกิจกรรม

 2. ลักษณะทางอารมณ์

– จะมีความอ่อนไหวง่ายต่อการติเตียนและการเยอะเย้ย ถากถาง ชอบการชมเชยและการยอมรับจะนิยมชื่นชมครู

 – ควรระมัดระวัง หลีกเลี่ยงคำพูดถากถาง ซึ่งจะไปกระทบความรู้สึกของเด็กและเป็นสาเหตุของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไป

3. ลักษณะทางสติปัญญา

– มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ

 – ในการสอนของครูควรสร้างแรงจูงใจใฝ่รู้ให้แก่เด็กอย่างสม่ำเสมอ

       ลักษณะการเรียนรู้ที่ดีมี 5 ประการ คือ เกิดจากกระบวนการที่สร้างความเข้าใจกับความหมายสิ่งที่รับรู้ การเรียนรู้ที่ดีต้องตั้งอยู่บนรากฐานของสิ่งที่รู้อยู่ก่อน เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น ปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้ประกอบด้วย ระบบปราสาท สติปัญญา อายุ ความตั้งใจ แรงจูงใจ อารมณ์ เนื้อหาของสิ่งที่รู้ สถานการณ์ที่เรียนรู้และวิธีเรียนที่ถูกต้อง วิธีการส่งเสริมการเรียนรู้แบบพหุปัญหา ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกและคณิตศาสตร์ ด้านภาพมิติสัมพันธ์ เป็นต้น

       ทฤษฎีการเรียนรู้และการประยุกต์สู่การสอน ประกอบด้วย ทฤษฎีความสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอรันไดค์ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสัน ทฤษฎีการเรียนรู้ของทอลแมน เป็นต้น ฯลฯ สำหรับการเรียนรู้ตามแนวทางพุทธศาสนา แบ่งผู้เรียนเป็น 3 ระดับ คือ ระดับปริยัติ ระดับปฏิบัติและระดับปฏิเวธ กระบวนการเรียนรู้มี 4 ประเภท คือ ความมีอิสระ เรียนรู้ตามความจริง คิดไตร่ตรองอย่างแยบคาย การมีจิตใจที่เป็นกลาง และทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวทางการปฏิรูปการเรียนรู้ 5 ทฤษฎี ดังนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความสุข ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย

จุดเด่นของผลงานทางวิชาการ : หนังสือการประยุกต์จิตวิทยาเพื่อการเรียนรู้มีจุดเด่นจากเนื้อหา และการนำหลักการของทฤษฎีมาประยุกต์กับกระบวนการบริหารจัดการทางการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะการจัดสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนประสิทธิภาพการเรียนรู้จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนกับสภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ดังนั้นการจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมุ่งเน้นด้านกายภาพและด้านจิตใจทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน สำหรับสภาพแวดล้อมด้านกายภาพประกอบด้วยอาคารสถานที่ สภาพห้องเรียน สื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอน และสภาพแวดล้อมด้านจิตใจซึ่งเป็นบรรยากาศของการสร้างความอบอุ่นเป็นมิตร มีความเอื้ออาทรและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างนักเรียนกับครูและบุคลากรในโรงเรียน ทำให้สามารถใช้ชีวิตในการเรียนรู้อย่างมีความสุข

การนำไปใช้กับมหาวิทยาลัย : จากเนื้อหาและจุดเด่นข้างต้นนั้น มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารจัดว่าเป็นบุคคลสำคัญในการจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยควรสนับสนุนให้คณาจารย์ทุกคณะวิชาสนใจแก้ปัญหาจากการสอนด้วยวิธีการทำวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research) เพื่อแก้ปัญหาและนำผลการวิจัยมาพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนได้และเป็นการพัฒนาครูไปสู่ความเป็นเลิศ มีอิสระทางวิชาการด้วย

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : จากประโยชน์ของการทำวิจัยชั้นเรียนนั้น คณะวิชาทั้ง 5 คณะ ควรนำผลงานการวิจัยชั้นเรียนมาเป็นเครื่องประเมินผลการสอนและประเมินความดีความชอบประจำปีด้วย ซึ่งการนี้ทางสำนักวิจัยหรือคณะวิชาควรจัดสรรงบประมาณการจัดทำวิจัยเรื่องละ 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) หรือสาขาวิชาสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่คณาจารย์ที่สังกัดในแต่ละวิชาด้วยก็จะยิ่งทำให้คณาจารย์มีขวัญกำลังใจมากขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอน

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร