Category Archives: เทคนิคการสอน สื่อ นวัตกรรม และรูปแบบการสอนที่ทันสมัย

การวิจัยทางการศึกษา

แบบฟอร์มสำหรับการนำเสนอบทสรุปผลงานทางวิชาการ

ชื่อผลงานทางวิชาการ :          การวิจัยทางการศึกษา

ประเภทผลงานทางวิชาการ :    เอกสารประกอบการสอน วิชาการวิจัยทางการศึกษา

ปีที่พิมพ์ :                         พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม :                   สาขาวิชาการประเมินและวิจัยทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ :  นางเพชราวดี จงประดับเกียรติ ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : การวิจัยเป็นการค้นคว้าหาความจริง (Reliable Knowledge) เพื่อที่จะนำมาช่วยในการแก้ไขปัญหา หรือตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ การวิจัย คือ การศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ หรือทดลองอย่างละเอียด เพื่อค้นคว้าหาข้อเท็จจริงหรือความรู้ใหม่ เพื่อนำมาตั้งเป็นกฎเกณฑ์ ทฤษฎี หรือแนวทางในการปฏิบัติหรือแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป

R E S E A R C H มีความหมายดังนี้

R = Recruitment & Relationship หมายถึง การฝึกคนให้มีความรู้ รวมทั้งรวบรวมความรู้และปฏิบัติงานร่วมกัน การติดต่อสัมพันธ์และประสานงานกัน

E = Education & Efficiency หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องมีการศึกษามีความรู้และสมรรถภาพในการวิจัยสูง

S = Science & Stimulation หมายถึง ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยจะต้องมีความคิดริเริ่มและกระตือรือร้นในการทำวิจัย

E = Education & Environment หมายถึง ต้องเป็นผู้รู้จักประเมินผลงานที่ทำและสามารถใช้สิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์

A = Aim & Attitude หมายถึง มีเป้าหมายที่แน่นอนและมีทัศนคติที่ดีต่อการวิจัย

R = Result หมายถึง การยอมรับผลของการวิจัย เพราะเป็นผลที่ได้จากการค้นคว้าอย่างมีระบบ

C = Curiosity หมายถึง ผู้วิจัยต้องเป็นผู้อยากรู้อยากเห็น มีความสนใจและขวนขวายในการวิจัยอยู่ตลอดเวลา

H = Horizon หมายถึง ผลการวิจัยทำให้ทราบและเข้าใจปัญหาต่างๆ ถ้ายังไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจะต้องดำเนินการต่อไปจนกว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ

ดังนั้นการวิจัย คือ การค้นคว้าหาข้อเท็จจริงใหม่ๆ ในสาขาวิชาต่างๆ โดยอาศัยระเบียบวิธีการวิจัย (Research Method) ซึ่งมีลักษณะเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)

ขั้นตอนของการวิจัยประกอบด้วย

  1. กำหนดหัวข้อปัญหาที่ทำการวิจัย (Topic Selection)
  2. ศึกษาค้นคว้าเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง (Literature Survey)
  3. กำหนดสมมุติฐานในการวิจัย (Research Hypothesis) และข้อตกลงเบื้องต้น (Research Assumption)
  4. กำหนดแผนการวิจัย (Research Planning)
  5. สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (Research Tool)
  6. เก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
  7. จัดกระทำข้อมูล (Data Processing)
  8. วิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)
  9. สรุปผลการวิจัย (Data Conclusion)
  10. รายงานผลการวิจัย (Research Report)

การจัดประเภทของการวิจัยตามลักษณะของข้อมูลสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กับ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Quanlitative Research)

การจัดประเภทของการวิจัยตามประโยชน์ของการวิจัยสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic or Pure Research) กับการวิจัยประยุกต์ (Applied Research)

การจัดประเภทของการวิจัยตามระเบียบวิธีการวิจัยสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) การวิจัยเชิงบรรยายหรือเชิงพรรณนา (Descriptive Research)

การจัดประเภทของการวิจัยตามสาขาวิชา สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยทางสังคมศาสตร์

การจัดประเภทการวิจัยตามการใช้ระดับการศึกษาค้นคว้าเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Exploratory Research) และการวิจัยเพื่อทดสอบสมมุติฐาน (Hypothesis-testing Research)

ปัญหาการวิจัยเป็นสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการรู้ ต้องการเข้าใจเป็นความต้องการที่จะศึกษา ใฝ่ที่จะรู้และเข้าใจ เป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อผู้วิจัย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดประเด็นปัญญาการวิจัย เพราะปัญหาของการวิจัยเป็นตัวกำหนดเป้าหมายของการวิจัยและเป็นเครื่องชี้แนะแนวทางในการวิจัย         แนวทางในการรวบรวมข้อมูลและช่วยในการเตรียมเครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูล ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยนำทางในการวิจัยดำเนินไปได้สะดวกรวดเร็วและเป็นตัวการสำคัญในการตั้งสมมุติฐานด้วย การเลือกหัวข้อปัญหา ผู้วิจัยต้องให้คำนิยามของปัญหาที่เลือกมาว่ามีตัวแปรอะไร โครงสร้างและวิธีการวิจัยด้วย

การกำหนดจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ในกาวิจัยสำคัญมาก เพราะช่วยขยายความหมายของชื่อเรื่องให้ชัดเจน ต้องเขียนให้สื่อความหมายชัดเจน อาจเป็นประโยคคำถามหรือบอกเล่าก็ได้ สมมุติฐาน หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าอย่างสมเหตุสมผล คือ เป็นการตอบคำถามตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ฯลฯ เป็นต้น

การสุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักวิจัยต้องเลือกตัวแทนของกลุ่มประชากรที่มีคุณสมบัติตรงกันกับกลุ่มประชากรมาทำการศึกษาวิจัยแทน แล้วสรุปผลการวิจัยไปสู่กลุ่มประชากรได้ เรียกกลุ่มตัวอย่าง ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ดี ต้องมีลักษณะความเป็นตัวแทนที่ดี และขนาดของกลุ่มตัวอย่างต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะทำการทดสอบเพื่อนำผลไปสรุปเป็นผลจากกลุ่มประชากรได้ การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ การสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) การสุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non – Probability Sampling) และการสุ่มโดยใช้ความน่าจะเป็นและไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Combination of Probability Sampling)

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ทั้งการวิจัยทางการศึกษาและวิจัยสังคมศาสตร์ที่ใช้กันมาก ได้แก่ แบบสอบถาม แบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ มาตรประมาณค่า แบบสำรวจและแบบทดสอบทางจิตวิทยา การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of data) เริ่มจากการนำข้อมูลมาจัดระเบียบด้วยการแยกประเภทให้เป็นหมวดหมู่ในรูปการอ่านเข้าใจ และสะดวกต่อการวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ (Percentage หรือ %) การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง นิยมใช้ 3 วิธี คือ ฐานนิยม (Mode) มัธยฐาน (Median) และค่าเฉลี่ย (Mean) และการวัดการกระจาย คือ ลักษณะความแตกต่างกันภายในข้อมูล อาจมีแพร่กระจายนิยมใช้มี 3 วิธี คือ พิสัย (Range) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และความแปรปรวน (Variance)

การทดสอบสมมุติฐาน เป็นการใช้วิธีการทางสถิติในการทดสอบสมมุติฐาน เพื่อนำไปสู่การสรุปหรือการตัดสินใจว่าสมมุติฐานที่ตั้งไว้เป็นจริงหรือไม่ ประกอบด้วย สมมุติฐานการวิจัยมี 2 ชนิด คือ สมมุติฐานแบบมีทิศทาง กับไม่มีทิศทางและสมมุติฐานทางสถิติ แปลมาจากสมมุติฐานทางการวิจัยซึ่งเป็นข้อความ ในรูปสัญลักษณ์โครงสร้างทางคณิตศาสตร์มี 2 ชนิด คือ สมมุติฐานเป็นกลางหรือสมมุติฐานไม่มีนัยสำคัญกับสมมุติฐานทางเลือกหรือสมมุติฐานมีนัยสำคัญ

 

สรุปสาระสำคัญ / ความน่าสนใจของหนังสือการวิจัยทางการศึกษา : พบว่ามีสาระสำคัญที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ มีหลายประเด็น

ประเด็นที่ 1 การกำหนดจรรยาบรรณนักวิจัย นักวิจัย หมายถึง ผู้ที่ดำเนินการค้นคว้าความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อตอบประเด็นที่สงสัยโดยมีระเบียบวิธีอันเป็นที่ยอมรับในแต่ละศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ระเบียบจะต้องครอบคลุมทั้งแนวคิดมโนทัศน์ และวิธีการที่ใช้เป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

จรรยาบรรณ หมายถึง หลักความประพฤติอันเหมาะสมแสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบอาชีพที่กลุ่มบุคคล แต่ละสาขาวิชาชีพประมวลขึ้นไว้เป็นหลักเพื่อให้สมาชิกในสาขาวิชาชีพนั้นยึดถือเพื่อรักษาชื่อเสียงและส่งเสริมเกียรติคุณของสาขาวิชาชีพของตน

จรรยาบรรณของนักวิจัย จัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระเบียบวิธีวิจัย เนื่องด้วยในกระบวนการ ค้นคว้าวิจัย นักวิจัยจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสิ่งที่ศึกษา การวิจัยจึงต้องส่งผลกระทบในทางลบต่อสิ่งที่ศึกษา จำเป็นต้องมีความรอบคอบระมัดระวัง การวิจัยเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อการวางแผนและกำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศทุกด้าน โดยเฉพาะในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของหลักวิจัยที่จะต้องศึกษาขึ้นอยู่กับคุณธรรม จริยธรรมของนักวิจัยในการทำงานวิจัย ผลงานวิจัยที่ด้อยคุณภาพด้วยสาเหตุใดก็ตาม ถ้าเผยแพร่ออกไปอาจเป็นผลเสียต่อทางวิชาการและประเทศชาติได้

ดังนั้นสภาวิจัยแห่งชาติ จึงกำหนดจรรยาบรรณนักวิจัย ไว้เป็นแนวทางสำหรับนักวิจัยยึดถือ ปฏิบัติ เพื่อให้การดำเนินงานวิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ตลอดจนประกันมาตรฐานของการศึกษาค้นคว้าให้เป็นไปอย่างมีศักดิ์ศรีของนักวิจัย 9 ประการได้แก่

  1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
  2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำงานวิจัยตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัยและต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด
  3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาที่ทำการวิจัย
  4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย
  5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
  6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติ ในทุกขั้นตอนของการวิจัย
  7. นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
  8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
  9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต้อสังคมทุกระดับ

ประเด็นที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลและแปรผล เป็นกระบวนการ (Data Analysis) เป็นกระบวนการต่อจากการจัดกระทำข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นการทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ว่าข้อมูลที่รวบรวมได้นั้นสนับสนุนหรือปฏิเสธ สมมุติฐานโดยพิจารณาจากค่าทางสถิติตามกระบวนการวิเคราะห์ที่กำหนดไว้ในแผนการวิจัย

การแปลผลข้อมูล เป็นกระบวนการภายหลังการวิเคราะห์ข้อมูลหรือภายหลังการทดสอบสมมุติฐานแล้ว ต้องแปลเฉพาะในส่วนที่วิเคราะห์มาได้เท่านั้น และสรุปผลเพียงข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ตามสมมุติฐาน โดยอาศัยประสบการณ์และการอ่านผลการวิจัยของผู้อื่นในด้านที่ตนทำการวิจัยอยู่ จะช่วยให้แปลผลได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

ประเด็นที่ 3 สรุปและอภิปรายผลการวิจัย (Data Conclusion) เป็นการสรุปข้อความ ผลที่ได้รับจากการวิจัยว่าผลลัพท์ทั้งหมดเป็นอย่างไร มีอะไรที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ การอภิปรายผลการวิจัยต้องคำนึงถึงจุดประสงค์และสมมุติฐานของการวิจัยเป็นสำคัญ จะต้องอภิปรายเพื่อให้ทราบว่างานวิจัยนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด สมมุติฐานที่กำหนดไว้จริงหรือไม่เพราะเหตุใด ผลการวิจัยที่สนับสนุนหรือขัดแย้งกับผลการวิจัยของผู้อื่นอย่างไรบ้าง การสรุปผลการวิจัยที่ดีจะช่วยให้ผู้อ่านทราบเนื้อหาสาระที่สำคัญของงานวิจัยนั้นรวดเร็ว ถูกต้อง และใช้เวลาน้อย โดยเฉพาะงานวิจัยประเภทสำรวจจะอภิปรายไปพร้อมกับการสรุปผลแต่ถ้าเป็นการวิจัยเชิงทดลอง กึ่งทดลอง จะแยกอภิปรายผลก่อนอ่านผลการวิจัย จึงสรุปผลการวิจัย

สำหรับการอภิปรายผลการวิจัย ต้องศึกษาทฤษฎี กฎเกณฑ์ หลักเหตุผลต่างๆ ตลอดผลการวิจัยของผู้อื่นเพื่อเป็นแนวทางในการอภิปรายและนำหลักเหตุผลที่ใช้ไปตั้งสมมุติฐานเป็นแนวทางในการอภิปรายผลได้ และต้องมีการเสนอแนะในประเด็น จุดอ่อน จุดบกพร่องและข้อจำกัดของการวิจัย แนวทางในการนำผลการวิจัยไปใช้และแนวทางในการทำวิจัยต่อไป และการเขียนรายงานผลการวิจัย (Research Report) นั้นเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายของการวิจัย เพื่อเสนอผลงานอย่างมีระบบ เพื่อเผยแพร่ผลงานที่ได้รับจากการวิจัยไปสู่บุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นแนวทางในการวิจัยแก่ผู้อื่นต่อไป

 

จุดเด่น / ความน่าสนใจเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้พบว่า :  ในประเด็นการเขียนโครงร่างการวิจัยและรายงานการวิจัย

โครงร่างการวิจัย (Research Proposal) เป็นแบบแผนการดำเนินงานที่วางไว้อย่างมีระบบและเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิจัยให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะทำให้ผู้วิจัยทราบว่าจะต้องทำอะไรบ้างในแต่ละขั้นตอน และทราบว่าขั้นตอนใดควรทำก่อนหรือหลัง

ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย ประกอบด้วย

  1. ชื่อเรื่อง หรือหัวข้อปัญหาวิจัย จะต้องเขียนโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่ใช้ภาษาพูด ชื่อเรื่องต้องระบุว่าจะต้องศึกษาอะไร กับใครและศึกษาในแง่มุมใด
  2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาหรือภูมิหลังเป็นการเขียนให้ทราบว่าปัญหานี้มีที่มาอย่างไร มีสภาพการณ์อย่างไร มีความสำคัญอย่างไร มีมูลเหตุใด ผู้วิจัยจึงทำการวิจัยหัวข้อนั้นๆ ควรมีการอ้างอิงทฤษฎี หลักการและข้อเท็จจริงพื้นฐานเพื่อสนับสนุนให้ปัญหามีน้ำหนักขึ้น
  3. วัตถุประสงค์การวิจัย จัดเป็นหัวใจสำคัญของการทำวิจัย ซึ่งเป็นการแสดงให้ทราบถึงเป้าหมายของผู้วิจัยว่าต้องการศึกษาอะไร กับใครในแง่มุมใด ลักษณะของการเขียนต้องเฉพาะเจาะจงลงไปจากชื่อเรื่อง การวิจัยที่กำหนดไว้จะได้ทราบถึงตัวแปรที่ต้องศึกษาตลอดจนรูปแบบการวิจัยด้วย
  4. ความสำคัญของการวิจัย เขียนเพื่อแสดงให้ทราบว่าหัวข้อวิจัยนั้นมีคุณค่า ประโยชน์ หรือมีความสำคัญอย่างไร การพิจารณาคุณค่า พิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ มีคุณค่าด้านเสริมความรู้ในสาขาวิชานั้นๆ และมีคุณค่าที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  5. ขอบเขตของการวิจัย ระบุหัวข้อปัญหาที่วิจัยมีขอบข่ายกว้างมากน้อยเพียงใด ศึกษาให้ครอบคลุมกับประชากรที่ต้องการศึกษา จึงต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนเกี่ยวกับประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรที่ศึกษา รวมทั้งสภาพการณ์บางอย่างที่ควรจำกัดขอบข่ายไว้
  6. คำนิยามศัพท์เฉพาะ เป็นการให้ความหมายของคำกลุ่มคำ หรือตัวแปรที่ศึกษาให้เป็นที่กระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะการนิยามศัพท์ที่เป็นตัวแปรตาม ต้องนิยามในลักษณะนิยามปฏิบัติการ สามารถสังเกตและวัดผลได้
  7. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เขียนเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ ข้อเท็จจริง แนวคิดของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องที่วิจัยและใช้เป็นแนวทางในการตั้งสมมุติฐาน การสรุปและอภิปรายผลการวิจัยด้วย
  8. สมมุติฐานการวิจัย เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างสมเหตุสมผล เขียนให้เป็นลักษณะของข้อความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ แต่ต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของกาวิจัย
  9. วิธีดำเนินการวิจัย เขียนให้เห็นว่าจะศึกษากับใคร ใช้เครื่องมืออะไร รวบรวมข้อมูลอย่างไร และจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร ประกอบด้วย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สร้างเองหรือปรับปรุงจากผู้อื่น การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
  10. งบประมาณค่าใช้จ่าย ชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าใด
  11. ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย เขียนให้ชัดเจนว่าขั้นตอนใด ระยะเวลาแต่ละขั้นตอน
  12. บรรณานุกรม ต้องอ้างอิงหนังสือ ตำรา งานวิจัยต่างๆ ที่ได้ศึกษา ต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลักการเขียนบรรณานุกรม

 

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : การวิจัยทางการศึกษาจำเป็นต้องมีการรายงานการวิจัยด้วย จัดว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัย เป็นการเผยแพร่ความรู้และข้อค้นพบที่ได้ไปสู่ผู้อื่นด้วย ประโยชน์ของการายงานการวิจัยมี 2 ประการ คือ

  1. เป็นการบันทึกผลงานไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้เป็นสิ่งอ้างอิงในการศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้อง
  2. เป็นการสื่อสารให้ผู้อื่นทราบแนวคิดของผู้วิจัยในการศึกษาปัญหานั้นๆ และรายละเอียดการศึกษาทุกขั้นตอน

รูปแบบของการรายงานการวิจัยประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ

ก. ส่วนหน้า (Preliminary Section of front matter)

ข. ส่วนเนื้อเรื่อง (The Body of The Report or Test)

ค. ส่วนที่เป็นเอกสารอ้างอิง (Reference Section)

การประเมินผลการวิจัยต้องพิจารณาประเมินผลทุกขั้นตอน ต้องประเมินในด้านต่างๆ ดังนี้

  1. หัวข้อเรื่อง ความกะทัดรัดหัวข้อเรื่อง ความชัดเจน สื่อความหมายตรงประเด็นที่ต้องการวิจัย ฯลฯ เป็นต้น
  2. ปัญหาที่นำมาการวิจัย การกำหนดก่อน-หลัง การกำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขตของปัญหา ฯลฯ เป็นต้น
  3. รายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ต้องประเมินตัวแปร การสุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ เป็นต้น
  4. สมมุติฐานของการวิจัย สอดคล้องกับทฤษฎี ทดสอบได้เพียงใด สมเหตุสมผล ฯลฯ เป็นต้น
  5. การวางแผนการวิจัย กำหนดไว้สามารถนำไปสู่คำตอบของปัญหาหรือไม่ สามารถควบคุมการแปรสภาพและความคลาดเคลื่อนเพียงใด ฯลฯ เป็นต้น
  6. การสุ่มตัวอย่างและการเก็บรวบรวมข้อมูล การกำหนดขอบเขตของกลุ่มประชากร ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง ฯลฯ เป็นต้น
  7. การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิเคราะห์ ความเหมาะสมของสถิติที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ เป็นต้น
  8. การย่อและสรุปผลการวิจัย ชื่อเรื่อง ส่วนประกอบตอนต้น ฯลฯ เป็นต้น
  9. การรายงานผลการวิจัย ชื่อเรื่อง ส่วนประกอบตอนต้น ฯลฯ เป็นต้น

 

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู            บรรณากร

ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อ สร้างสรรค์ด้วยปัญญา พร้อมการเรียนรู้แบบร่วมกัน เพื่อการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ

 

ฤดี  กมลสวัสดิ์


 

View Fullscreen

การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ชื่อเรื่อง : การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3
ชื่อผู้วิจัย : พิษณุ  พรหมวาทย์
สาขาวิชา : หลักสูตรและการสอน
ปีการศึกษา : 2557


 

สาระโดยย่อ

               การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์การวิจัย  1)  เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนว    ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา เพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3  และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียน ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา ดำเนินการวิจัย   5 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นที่ 1   การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ศึกษาสภาพปัจจุบัน การจัดการศึกษา คุณภาพและปัญหาการจัดการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา และแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ขั้นที่ 2   การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน สังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ได้จากขั้นที่ 1             สร้างรูปแบบการเรียนการสอน

ขั้นที่ 3   การสร้างเครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน  และแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์  ผู้วิจัยใช้แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ขั้นที่ 4   การทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดท่าบันเทิงธรรม จังหวัดนนทบุรี จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้และแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที

ขั้นที่ 5   การประเมินรูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  3

 

ผลการวิจัย

  • ได้รูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา เพื่อพัฒนาความ

ฉลาดทางอารมณ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมี 5 องค์ประกอบ    คือ

(1) หลักการ/แนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอนฯ
(2) ขอบข่ายการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ผ่านกิจกรรมแนะแนว มีขอบข่าย 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการศึกษา ด้านการงานและอาชีพ  ด้านชีวิตและสังคม
(3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอนฯ  เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองในด้านความฉลาดทางอารมณ์ ใน 3 ด้าน คือ ด้านดี ประกอบด้วย การควบคุมตนเอง เห็นใจผู้อื่น และมีความรับผิดชอบ ด้านเก่ง ประกอบด้วยการมีแรงจูงใจ การตัดสินใจแก้ปัญหาและสัมพันธภาพ ด้านสุข ประกอบด้วย ความภูมิใจในตนเอง ความพอใจในชีวิต และความสงบสุขทางใจ
(4) กระบวนการจัดการเรียนการสอนมี 6 ขั้น ได้แก่

1. ขั้นตระเตรียม (Prepare)
2. ขั้นตระหนักตน (Realize the self)
3. ขั้นเติมเต็ม (Fulfill)
4. ขั้นตรึกตรอง (Reflect)
5. ขั้นตกแต่ง (Decorate)
6. ขั้นติดตาม (Follow)

(5)  ผลที่ผู้เรียนจะได้รับ  ผู้เรียนได้รับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ 3 ด้าน คือ ด้านเก่ง ด้านดี และด้านสุข

  • หลังได้รับการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนกิจกรรมแนะแนวตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา ผู้เรียนมีความฉลาดทางอารมณ์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

คำสำคัญ: กิจกรรมแนะแนว จิตตปัญญาศึกษา ความฉลาดทางอารมณ์

การพัฒนาบทเรียนบนเว็บ เรื่องรอบรู้ตำบลบางยอ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายเพชรนครเขื่อนขันธ์  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ เขต 1

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การพัมนาบทเรียนบนเว็บ เรื่องรอบรู้ตำบลบางยอ  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายเพ็ชรนครเขื่อนขันธ์  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ  เขต ๑

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิจัย

ปีที่พิมพ์ : 2553

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นฤภัทร  กุชวัฒนะ  ครุศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ผลการวิจัยนี้พบว่า    บทเรียนบน  WEB  เรื่องรอบรู้ตำบลบางยอ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖  มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับ ๘๑.๖๗ / ๘๑.๑๑  สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้    ๘๐ /๘๐       การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน   คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเว็บ  พบว่าคะแนนของกลุ่มหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .๐๑

สามารถศึกษารายละเอียดได้จาก Web-Online ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

รศ.ดร.อำนวย    เดชชัยศรี   บรรณากร  

SMT: วิทย์ / คณิต /  เทคโนโลยี

การพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียน ภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ชื่อเรื่อง         การพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ชื่อผู้วิจัย         ศรัณย์รัชต์  ศุภรณ์พานิช

สาขาวิชา        หลักสูตรและการสอน

ปีการศึกษา     2556

สาระโดยย่อ

       การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4  ก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ   การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น  3 ส่วน คือ

       ส่วนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการสอน

       1. ศึกษาและวิเคราะห์เอกสาร แนวคิด เกี่ยวกับการออกแบบรูปแบบการสอน

       2. ศึกษา วิเคราะห์ แนวคิดพื้นฐานของการเรียนการสอนและทฤษฎีการเรียนรู้ของเพียเจต์ ทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม  ปรัชญาพิพัฒนนิยม และการเรียนแบบร่วมมือ รวมทั้งการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์

       3. สังเคราะห์ เชื่อมโยง องค์ประกอบของรูปแบบการสอนในข้อ1 และแนวคิดตามหลักการของ

       ปรัชญาและทฤษฎีในข้อ 2  นำมาสังเคราะห์ให้เป็นรูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ  เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์   นำรูปแบบการสอนฉบับร่างนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความสอดคล้องภายในระหว่างองค์ประกอบต่างๆ แล้วนำมาแก้ไข

       ส่วนที่ 2   การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ  แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสม และความสอดคล้อง  ส่วนแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์  ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรง  หลังจากนี้หาคุณภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์  โดยการหาค่าความยากง่าย   ค่าอำนาจจำแนก   และค่าความเชื่อมั่น

       ส่วนที่ 3  การทดลองใช้รูปแบบการสอน  กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวลนรดิศวิทยาคมรัชมังคลาภิเษกภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556  แผนคณิต-อังกฤษ 1 ห้องเรียน จำนวน 35 คน  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์   แผนการจัดการเรียนรู้  จำนวน 4  แผนการเรียนรู้      สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย 

       ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที  ( t-test )

       ผลการวิจัย

       1. รูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประกอบด้วย

4 องค์ประกอบ

              1) ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ โดยการปฏิบัติจริง

              2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ 

              3) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบมี 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเสนอประเด็น ขั้นที่ 2 ขั้นร่วมมือทำ ขั้นที่ 3 ขั้นทดสอบความจำ  ขั้นที่ 4 ขั้นกลุ่มสัมพันธ์  ขั้นที่ 5 ขั้นปรับปรุงแก้ไข

              4) ผลที่ผู้เรียนได้รับตามรูปแบบ ผู้เรียนมีความสามารถทางการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์

       2. นักเรียนที่เรียนตามรูปแบบการสอนตามแนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือมีความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

 

คำสำคัญ : การพัฒนารูปแบบการสอน แนวคิดสร้างสรรค์ความรู้ การเรียนแบบร่วมมือการเขียนภาษาอังกฤษเชิงสร้างสรรค์

สังคมไทยสังคมโลก

ชื่อผลงานทางวิชาการ : สังคมไทยสังคมโลก (Thai and Global Society)

ประเภทผลงานทางวิชาการ : เอกสารประกอบการเรียนวิชา สังคมไทยสังคมโลก

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : วิชาการศึกษาทั่วไป สอนโดยคณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : นางระพีพรรณ ภู่ผกาพันธ์พงษ์ ตัณฑรัตน์ และคณะ อาจารย์สังกัดภาควิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะกรรมการวิชาสังคมไทยและสังคมโลก

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : โลกาภิวัตน์ คือ การแพร่กระจายไปทั่วโลกประชาคมไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดของโลก สามารถรับรู้สัมพันธ์หรือรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง เพราะการพัฒนาระบบสารสนเทศ การเกิดของโลกาภิวัตน์จากการรื้อทิ้งระบบเก่า สร้างระบบและระเบียบโลกใหม่ เป็นช่วงของการขยายตัวของคลื่น 3 ลูก เนื่องจากการค้นพบโลกใหม่ ล่าเมืองขึ้นและขยายตัวของระบบตลาด

       คลื่นลูกที่หนึ่ง : สังคมเกษตรกรรม ปฏิวัติทางการเกษตร ไปสู่อุตสาหกรรม คิดค้นประดิษฐ์ปืนและปืนใหญ่ ก่อให้เกิดสงครามทางการค้า ค้นพบโลกใหม่ เกิดการขยายตัวของตลาด

       คลื่นลูกที่สอง : สังคมอุตสาหกรรม ปลายศตวรรษที่ 18 – 19 เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เกิดโรงงานขนาดใหญ่ผลิตสินค้าจำนวนมาก ส่งผลให้ปรับปรุงและขยายเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ทางรถไฟ ถนน สะพาน ขุดคลองเชื่อม พัฒนาการเดินเรือ ฯลฯ เป็นต้น ทำให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลสามารถเดินทางติดต่อสื่อสารกันรวดเร็ว สังคมโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่คลื่นลูกที่ 3

       คลื่นลูกที่สาม : สังคมแห่งเทคโนโลยีระดับสูงเป็นยุคที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้ามาก พัฒนาด้านคอมพิวเตอร์และอิเลคทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายรวดเร็ว มีการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายและส่งอิทธิพลต่อกัน

       สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ละยุคสมัยทั้งด้านวิทยาการด้านการแพทย์ การพิมพ์ การศึกษาและการใช้ภาษาอังกฤษ สังคมไทยมีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ทั้งในเมืองและชนบท อดีตถึงปัจจุบัน ลักษณะสังคมไทยเป็นสังคมใหญ่มีการเจริญก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง สภาพสังคมไทยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระบบเศรษฐกิจ สังคมเมืองใหญ่และเมืองหลวงมีการพาณิชย์และอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

       วัฒนธรรมในยุคโลกาภิวัตน์ วัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของสมาชิกในสังคมและความเจริญของประเทศชาติ การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทยตามกระแสโลกาภิวัตน์ ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณีนิยมเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมสากล ความก้าวหน้าของวิทยาการและเทคโนโลยีทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ เป็นต้น การศึกษาเศรษฐกิจประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ ยุคเศรษฐกิจสยามระบบดั้งเดิม ก่อน พ.ศ. 2398 ยุคเศรษฐกิจระบบใหม่ หลังพ.ศ. 2398 – 2504 และยุคเศรษฐกิจไทยภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2504

       เศรษฐกิจสยามเคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเงินตราหรือระบบเศรษฐกิจแบบการค้าเสรีหลังจากการทำสัญญาเบาริ่ง โดยมีสาระสำคัญ คือ การวางรากฐานระบบการค้าเสรีทั่วประเทศ ส่งเสริมให้นายทุนต่างชาติเข้ามาค้าขายและเข้ามาลงทุนในประเทศมากยิ่งขึ้น จึงกล่าวว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมมาเป็นเศรษฐกิจแบบเงินตรา (Money Economy) ส่งผลกระทบต่อประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ตามอย่างตะวันตกอยู่ในฐานะประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบพึ่งพาซึ่งต้องรับความช่วยเหลือโดยเฉพาะเงินทุนจากภายนอก ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีกระบวนการการจัดสรรทรัพยากรปัจจัยการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ระบบเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นจากความพยายามของสังคม จึงมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละสังคม ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจมีความแตกต่างกันมาก ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมบังคับ

       สังคมโลกด้านการเมือง ในตะวันออกกลางกำลังมีความพยายามผลักดันให้เกิดสันติภาพในแอฟริกาใต้ แต่หลายประเทศก็ยังมีสงครามกลางเมือง จึงทำให้การมองอนาคตข้างหน้าเป็นไปได้ยาก จึงเกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชนชาติต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นสหภาพโซเวียต เนื่องจากสหภาพโซเวียตเน้นการปรับปรุงแก้ไขปัญหาภายในประเทศ ในลักษณะให้ความร่วมมือในกิจการระหว่างประเทศ แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างรวดเร็วเพราะเกิดปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติ การอุบัติขึ้นของปัญหาที่ส่งผลกะทบทั่วโลก เช่น การก่อการร้าย สถานการณ์ยาเสพติดระหว่างประเทศ ปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เป็นต้น

       อนาคตของสังคมโลกด้านการเมือง มีการเปลี่ยนแปลงไปจากระบบที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้มากจึงเป็นพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะเด่นของระบบระหว่างประเทศยุคปัจจุบัน ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจ การค้าและการเงินระหว่างประเทศไร้พรมแดนและสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอภิมหาอำนาจทางทหารเพียงประเทศเดียวในโลก ฯลฯ เป็นต้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศต่างๆ เกี่ยวข้องกันมากขึ้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม และอยู่ในรูปของความร่วมมือระหว่างกัน จึงเกิดองค์การระหว่างประเทศ คือ สมาคมของรัฐที่ตั้งขึ้นมาโดยความตกลงระหว่างรัฐสมาชิกทั้งหลาย ให้หลักประกันในความร่วมมือและมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ มี 2 ประเภท คือ องค์การระหว่างประเทศที่มีลักษณะสากลกับองค์การะหว่างประเทศในระดับภูมิภาค

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : ลักษณะสำคัญของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ มีลักษณะ ดังนี้ คือ

       1. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นกลไกสำคัญ

       2. การแพร่กระจายและเข้าถึง

       3. การเพิ่มขึ้นของแรงงานด้านข่าวสาร

       4. บทบาทและความสำคัญของสถาบันวิจัยและพัฒนา

       5. ระบบเศรษฐกิจประสานเป็นหนึ่งเดียว

       6. ชุมชนมนุษย์มีความใกล้ชิดกัน

       7. พฤติกรรมทางการเมือง

       สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์มีสภาพ คือ สังคมที่สหรัฐอเมริกามีบทบาทนำโดยเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ การปกครองแบบประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน การค้าเสรีและการรักษาสิ่งแวดล้อม สำหรับสังคมฐานความรู้ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การพัฒนาเทคโนโลยีคมนาคม และการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ สังคมที่มีวัฒนธรรมสากลและพหุวัฒนธรรม ในยุคโลกาภิวัตน์ประชาชนมีโอกาสพบเห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงกลายเป็นพหุวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีสังคมไซเบอร์หรืออภิมิติหรือชุมชนออนไลน์ คือ เปลี่ยนรูปไปจากเดิม ส่วนสังคมเสมือนจริง ยุคโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดสถาบันแบบใหม่ เช่น ชุมชนอากาศหรือโทรคมนาคมและสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจน

       สังคมไทยยุคโลกาภิวัตน์มีผลทำให้วิทยาการสมัยใหม่เข้ามาสู่ไทยมากขึ้น ได้แก่ วิทยาการด้านการแพทย์ การพิมพ์ การศึกษาและการใช้ภาษาอังกฤษ มีการเปลี่ยนแปลงมากมายที่สำคัญ ในสมัยรัชการที่ 5 ทรงตราพระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหาร ประกาศเลิกทาสและระบบไพร่และพัฒนาบ้านเมือง เศรษฐกิจและสังคม สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญคือ กฎหมายสูงสุดในการพัฒนาประเทศ มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ทั้งในเมืองและชนบท ประเทศไทยทำการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540 – 2544)  เศรษฐกิจอยู่ในระดับดีแต่สังคมมีปัญหา เกิดการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ดังนั้นชนชาติไทยมีการแผ่กระจายทั่วไปในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จนถึงคาบสมุทรทางภาคใต้

       ลักษณะสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม พิจารณาจากวิวัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจและสภาพที่ตั้งของประเทศ เพราะพื้นฐานของสังคมไทยพิจารณาทางโครงสร้างทางเศรษฐกิจพบว่ามีความสัมพันธ์กับสังคมชนบท พื้นที่ทั่วไปของสังคมชนบทจะอยู่นอกเขตเมืองมีพื้นที่ผืนใหญ่ต่อเนื่องกันห้อมล้อมด้วยเขตเมืองประกอบด้วย กลุ่มสังคมชนบทในอดีตกับกลุ่มสังคมชนบท ในปัจจุบันสำหรับสังคมเมืองแตกต่างจากสังคมชนบท โดยเฉพาะจำนวนของกลุ่ม ประชากรหรืออาณาเขตชุมชนเมืองมากกว่าชุมชนชนบท มีความเจริญทางวัตถุ โดยเฉพาะในปัจจุบันกลุ่มสังคมเมืองมีลักษณะ 3 ประการ คือ ทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองและทางสังคม สถาบันทางสังคมในสังคมไทย เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการปกครองและสถาบันศาสนา เป็นต้น

       สาเหตุการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมมาจากสาเหตุสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ทางประชากรทางระบบชนชั้น ฯลฯ เป็นต้น แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเกิดจากสังคมอุตสาหกรรม ฯลฯ เป็นต้น เพราะสภาวการณ์แห่งยุคโลกาภิวัตน์ส่งผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพราะความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสารที่รวดเร็ว วัฒนธรรม คือ ผลรวมของระบบความรู้ ความเชื่อ ศิลปะจริยธรรม กฎหมาย ประเพณี ตลอดจนความสามารถและอุปนิสัยต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นสมาชิกของสังคม วัฒนธรรมมี 2 กลุ่ม ได้แก่ การแบ่งตามสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยา มี 2 ประเภท คือ วัฒนธรรมทางวัตถุกับไม่ใช่วัตถุ แบ่งตามการจัดประเภทตามเนื้อหามี 4 ประเภท คือ คติธรรม เนติธรรม สหธรรมและวัตถุธรรม พื้นฐานที่สำคัญของวัฒนธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมเน้นความคิดร่วม เป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้และเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ ฯลฯ เป็นต้น เอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยเกิดจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษในการจัดสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคมได้อย่างกลมกลืนสะท้อนให้เห็นคุณงามความดีของการดำรงชีวิต เช่น สังคมไทยยกย่องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ฯลฯ เป็นต้น

       เศรษฐกิจประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ ยุคที่ 1 เศรษฐกิจสยามระบบดั้งเดิม ก่อน พ.ศ 2398 ยุคที่ 2 เศรษฐกิจระบบใหม่หลัง พ.ศ. 2398 – 2504 และยุคที่ 3 เศรษฐกิจไทยภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ. 2504 สถานการณ์เศรษฐกิจไทย พ.ศ. 2541 – ปัจจุบัน มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับดูจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับค่อนข้างทรงตัว สรุปว่าเศรษฐกิจ พ.ศ. 2550 จะยังขยายตัวได้และมีเสถียรภาพและจะเห็นว่าภาคเกษตรกรรมเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะประชากรส่วนใหญ่ของประเทศดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการผลิตภาคเกษตรกรรมเสมอมา แนวคิดเศรษฐกิจพอพียงจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ให้ดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน สามารถเลี้ยงตนเองได้และสร้างความสามัคคีภายในสังคม หลักการเศรษฐกิจพอเพียงยึดความประหยัด ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง สุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพและหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ยากด้วยการพึ่งตนเอง

       ระบบเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้นจากความพยายามของสังคมโลกที่จะต้องต่อสู้เอาชนะความขาดแคลน ปัจจุบันมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (ทุนนิยม) ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมบังคับ และระบบเศรษฐกิจแบบผสม ระบบเสรีการเงินและระเบียบการค้าโลก ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่ต้องสัมพันธ์กันเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ มี 2 ชนิด คือ นโยบายการค้าแบบเสรีและนโยบายการค้าคุ้มกัน ในแต่ละประเทศพยายามมีมาตรการต่างๆ ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในลักษณะที่ไม่ร่วมมือกัน แต่แสวงหาประโยชน์เข้าสู่ประเทศตนอย่างเดียว ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้า จึงมีการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศต่างๆ เช่น จัดตั้งธนาคารโลก (World Bank) จัดตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF)  จัดตั้งองค์กรการค้าระหว่างประเทศ (General Agreement on Tariffs and Trade : GATT)

       การเมืองการปกครองของไทยมีประวัติศาสตร์และความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัยปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบบกฎหมายมีศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญไทยและสมัยอยุธยามีความมั่นคง รุ่งเรืองมาก ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกัน กฎหมายเลียนแบบจากขอมและมอญ กฎหมายว่าด้วย ศักดินา ฯลฯ เป็นต้น สำหรับสมัยปัจจุบันมีลักษณะการปกครองจากหลักการ 5 ประการ คือ หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หลักสิทธิเสรีภาพ หลักความเสมอภาค หลักกฎหมายและหลักเสียงข้างมาก โครงสร้างทางการเมืองการปกครองมีองค์กรหลัก คือ อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา อำนาจฝ่ายบริหารและอำนาจฝ่ายตุลาการหรือศาล

จุดเด่น/ความน่าสนใจจากเอกสารประกอบการสอน : สาระในแต่ละบทมีจุดเด่นที่น่าสนใจแต่ละบทแตกต่างกัน อาทิเช่น

       ประเด็นที่ 1 สภาพสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ แต่ละยุคมีปัญหาและแนวทางแก้ไขแตกต่างกันทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งปรากฏมีปัญหาเกิดมากมาย เช่น ปัญหาการเพิ่มของประชากรรวดเร็ว ผลกระทบเกิดปัญหาตามมา เช่น การขาดแคลนอาหาร การแบ่งปันทรัพยากร ฯลฯ เป็นต้น

       แนวทางแก้ปัญหา องค์การสหประชาชาติได้ดำเนินการหลายวิธี เช่น การวางแผนครอบครัว การให้ศึกษาและการใช้มาตรการทางกฎหมาย เป็นต้น

       นอกจากนั้นยังเกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาก ได้แก่ สิทธิสตรี สิทธิเด็ก สิทธิผู้ลี้ภัย ฯลฯ เป็นต้น เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา ในเมียมมาร์ เป็นต้น

       แนวทางการแก้ไขปัญหา องค์การสหประชาชาติจะพยายามจะแก้ไขแต่ไม่ได้ผล สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายกดดันเมียนมาร์ให้ปฏิรูประบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และต่อต้านไม่ให้สถาบันการเงินระหว่างประเทศปล่อยเงินกู้หรือช่วยเหลือด้านเทคนิคใหม่ๆ ตลอดห้ามบริษัทเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ด้วย

       ประเด็นที่ 2 ความร่วมมือและความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พบว่าประเทศต่างๆ มีความพยายามที่จะรวมตัวกันเพื่อการดำเนินธุรกรรมทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศมีความเสมอภาคกัน คือ การรวมกลุ่มแบบการค้าเสรี รวมกลุ่มแบบสหภาพศุลกากร รวมกลุ่มแบบตลาดร่วม และรวมกลุ่มแบบสหภาพเศรษฐกิจ

       สำหรับประเทศไทยรวมกลุ่มเศรษฐกิจเป็นสมาชิกได้แก่ 1) กลุ่มอาเซียนที่พัฒนาการค้าเสรีอาเซียน 2) กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิค

       ประเด็นที่ 3 ประเทศไทยกับองค์การสหประชาชาติ สำหรับการเข้าเป็นสมาชิกของไทยอันดับที่ 55 ผลการเป็นสมาชิกในด้านสังคมได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพที่เข้ามาพักพิงในประเทศ และมีการพัฒนามาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองและส่งเสริมและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนภายในประเทศ รวมทั้งให้ความคุ้มครองแก่กลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกละเมิด เช่น เด็กและสตรี

อื่นๆ ตามความเหมาะสมและการนำไปใช้ประโยชน์จากเนื้อหาสาระ : พบว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิตประจำวันและการนำไปเป็นพื้นฐานการศึกษาต่อได้ทุกสาขาวิชา โดยเฉพาะในปัจจุบันเป็นประชาคมอาเซียน พบว่าผลงานด้านเศรษฐกิจมีการดำเนินงานหลายประการ ดังนี้

       1. มีความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรม มีการจัดตั้งโครงการอุตสาหกรรมร่วมของอาเซียน ปัจจุบันจะมีแรงงานในอาเซียนเข้ามาทำงานในประเทศไทย ช่วยให้ด้านอุตสาหกรรมไม่หยุดชะงักลง กรณีขาดแคลนแรงงานด้วย

       2. ความร่วมมือด้านการค้า มีการให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างภาคีอาเซียน 2 ลักษณะ คือ ให้สิทธิพิเศษด้านภาษีอากร โดยการลดอากรขาเข้าระหว่างกันในอัตราต่ำกว่าปกติกับการให้สิทธิพิเศษทางด้านที่มีใช่ภาษีศุลกากร เช่น การทำสัญญาซื้อขายระยะยาว การให้การสนับสนุนด้านการเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

โครงการการพัฒนาการเรียนการสอน โดยใช้สังคมออนไลน์ Social Network

ชื่อผลงานทางวิชาการ : โครงการการพัฒนาการเรียนการสอน โดยใช้สังคมออนไลน์ Social Network

ประเภทผลงานทางวิชาการ : รายงานวิจัยชั้นเรียน

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2555

ข้อมูลเพิ่มเติม : สนับสนุนโดยสำนักบริหารโครงการวิจัยในอุดมศึกษาและพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : สิงห์ สิงห์ขจร ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : เป็นการศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) การพัฒนาการเรียนการสอนที่ดีมีคุณภาพ จำเป็นต้องศึกษาสภาพความเป็นจริงของผู้เรียน ศึกษาหลักสูตร เทคนิควิธีพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการดำรงชีวิต ในปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปัน สถานที่อยู่ (Location) แบ่งปันภาพถ่าย แบ่งปันแรงบันดาลใจ แบ่งปันข้อมูลข่าวสารดีๆ ออกสู่สาธารณะ สื่อสังคมออนไลน์สามารถเข้าไปอยู่องค์กรเป็นพื้นที่ความคิด เสนอแนะ ความรู้ ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ได้และเรียนรู้ร่วมกันตลอดเวลา หลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เน้นการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ การประชาสัมพันธ์ วารสารศาสตร์ วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ เน้นให้บัณฑิตมีทั้งความรู้ทางวิชาการและความสามารถทางปฏิบัติการ มีคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ

       การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Action Research : CAR) เป็นนวัตกรรมการวิจัยเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาในชั้นเรียนตามรูปแบบการวิจัยปฏิบัติ (Action Research) ด้วยแบบจำลองคุณภาพที่เรียกว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแบบจำลองคุณภาพที่เรียกว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ตามแบบจำลองคุณภาพนั้น นำแนวคิดของการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง P – D – C – A กิจกรรมกลุ่มคุณภาพ 7QC Circle เครื่องมือคุณภาพ 7QC Tools และ 7QC Story มาขยายแนวคิดของการวิจัยปฏิบัติการ P – A – O – R และนำแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นไปปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียนจริงมาตรฐานด้านการปฏิบัติงานด้านการสอนในอนาคต เพราะการเรียนรู้ที่ดีมีประสิทธิภาพเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น ดังนั้นวิจัยชั้นเรียนจึงเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนที่รับผิดชอบ จุดเน้นการวิจัยในชั้นเรียน คือ การแก้ปัญหาหรือพัฒนากระบวนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เป็นการวิจัยที่ควบคู่กับการเรียนการสอน เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอน

       วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผ่านการเรียนรู้โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์และไม่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ และเสนอแนะผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์

       การวิจัยเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยครอบคลุมเนื้อหาในรายวิชาวิจัยนิเทศศาสตร์ของนักศึกษาโปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์

กรอบแนวคิดการวิจัย

สรุปสาระ / ผลการวิจัยเรื่องโครงการการพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) : เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาการวิจัยนิเทศศาสตร์ เริ่มตั้งแต่

       1. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นการวิเคราะห์ลักษณะของนักศึกษา เพื่อเป็นการกำหนดรูปแบบการเรียนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถพื้นฐานของนักศึกษาในการเรียนรู้ เนื้อหาในบทเรียน ก่อนที่จะทำการเรียนผ่านสื่อสังคมออนไลน์

       2. ขั้นการออกแบบบทเรียน (Design) นำจุดมุ่งหมายและคำอธิบายรายวิชามาวิเคราะห์เพื่อแบ่งหน่วยการเรียนรู้และวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ทัศนคติและประสบการณ์การเรียนรู้ หลังจากจบบทเรียน โดยการแบ่งหน่วยเรียนและกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่นำเสนอ

       3. ขั้นการพัฒนาเนื้อหาลงบนสื่อสังคมออนไลน์เลือกโปรแกรมในการจัดทำบทเรียน โดยเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับผู้เรียนเบื้องต้น ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาบทเรียนโดยใช้สื่อการสอน และโปรแกรมที่ใช้ คือ Facebook โดยการสร้างกลุ่ม (Groups) บนสื่อสังคมออนไลน์ เลือกใช้โปรแกรม Facebook ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มทดลองเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มเพื่อนำเนื้อหาของรายวิชา การวิจัยนิเทศศาสตร์นำเสนอในกลุ่มพร้อมให้คำปรึกษาในการเรียนด้วย

       4. ขั้นการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์แบบทดสอบเป็นการนำวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยการเรียนมากำหมดน้ำหนักพฤติกรรมย่อยที่จะใช้แบบทดสอบสำหรับพฤติกรรที่ใช้ในการวัดผลเพื่อวัดผลการเรียนรู้จากวิชาดังกล่าว ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ

       4.1 ด้านคุณธรรมจริยธรรม

       4.2 ด้านความรู้

       4.3 ด้านทักษะปัญญา

       4.4 ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ

       4.5 ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

       สรุปผลวิจัย พบว่า

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านคุณธรรมจริยธรรมของกลุ่มทดลองในบทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านคุณธรรมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ ด้านทักษะปัญญาของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะปัญญาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

       การศึกษาเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของกลุ่มทดลองใช้บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ใช่บทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีคะแนนสัมฤทธิ์ผลด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไรไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

       ข้อเสนอแนะของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนการสอนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบว่าต้องการให้พัฒนาบทเรียนให้เป็นรูปแบบวีดีโอในยูทูป (Youtube) และต้องการให้พัฒนาการเรียนการสอนบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เตอร์เน็ตด้วย

จุดเด่น / ความน่าสนใจของผลการวิจัยชั้นเรียน : พบว่าในส่วนของการอภิปรายผล ดังนี้

       ในส่วนของการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผ่านการเรียนรู้โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์นั้น ปัจจุบันนั้นการใช้สื่อการสอนหรือบทเรียนออนไลน์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามไปกับอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้เพราะข้อได้เปรียบของสื่ออินเตอร์เน็ตในการจัดหาสารสนเทศให้แก่ผู้เรียนในลักษณะสื่อประเภทอื่นๆ ไม่สามารถทำได้นั้นเอง

       นอกจากนี้ยังพบว่าความสามารถของเทคโนโลยีบนเครือข่ายในการแสดงสื่อประสม เช่น ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง กราฟฟิค ภาพเคลื่อนไหวและความสะดวกในการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงข้อมูลสารสนเทศให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทางสังคมช่วยให้ผู้ใช้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีกว่า ซึ่งรวมทั้งบทเรียน แบบใช้ปัญหาเป็นหลักบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง E-Learning ที่สร้างขึ้นสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้

       ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านระบบคอมพิวเตอร์เอกเทศแบบประยุกต์รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือจะประกอบด้วยทักษะทางสังคม ทักษะกระบวนการคิด มีความรับผิดชอบและเกิดการพัฒนาตนเองตามหลักประชาธิปไตย ทำให้มีทักษะกระบวนการกลุ่มมีผลการสร้างสื่อประสมวีดีทัศน์นำมาใช้จัดกิจกรรมทางการเรียนการสอน โดยการออกแบบและพัฒนาระบบการจัดการเรียนรู้ที่สามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษา

อื่นๆ ตามความเหมาะสม : จากผลการวิจัยเสนอแนะให้มีการพัฒนา การเรียนการสอนบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เครือข่ายทางสังคมบทบาทของเครือข่ายสาธารณะที่มีต่อการใช้ชีวิตของกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากรูปแบบและวิธีการใช้งานที่ดึงดูดใจ สามารถทำให้พบปะผู้คนจำนวนมาก เพื่อผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง เช่น การสื่อสาร การแสวงหาคนรัก ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้เวปไซต์ยังแสดงอัตลักษณ์ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ได้ หรือเขียนแสดงความคิดเห็น บันทึกประจำวัน ทำให้ผู้อื่นเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ จึงเปรียบเสมือนกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายส่งผลให้วัฒนธรรมการสื่อสารของวันรุ่นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

 

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ชื่อเรื่อง         การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ชื่อผู้วิจัย         ธนชัย  ใจสา

สาขาวิชา        หลักสูตรและการสอน

ปีการศึกษา     2555

สาระโดยย่อ

   การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองและทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ  2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น

3 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1   การพัฒนารูปแบบการสอน   ดำเนินการดังนี้  1.1)  ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่  ลักษณะของผู้เรียนที่ต้องการให้เกิดตามหลักสูตร  สภาพการจัดการเรียนการสอน  ผลการเรียนของผู้เรียน แนวคิด ทฤษฎีการพัฒนารูปแบบการสอน ปรัชญาพิพัฒนนิยม  หลักจิตวิทยา  พัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน  กระบวนการในการแก้ปัญหา  และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551  จากนั้นนำมากำหนดเป็นองค์ประกอบ  1.2)  นำข้อมูลพื้นฐานที่ศึกษาในขั้น 1.1   มาสร้างรูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ  เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2  และให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการสอน

ขั้นตอนที่ 2   การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5   แผน  แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา  นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสม และความสอดคล้อง  ส่วนแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา  ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรง  หลังจากนี้หาคุณภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา  โดยการหาค่าความยากง่าย   ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น

ขั้นตอนที่ 3  การทดลองใช้รูปแบบการสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดทองเพลง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา   สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย   ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t-test )

ผลการวิจัย

1).  รูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองและทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วย 4  องค์ประกอบ ได้แก่

1) หลักการ/แนวคิดของรูปแบบการสอน  รูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาที่ได้พัฒนาขึ้น มุ่งให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาจริงตามขั้นตอนจากการกำหนดปัญหา รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลหรือการทดลอง และการสรุป  ให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกคิดหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยจัดสถานการณ์หรือปัญหา  ผ่านการทำงานกลุ่มร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการหาแนวทางในการแก้ปัญหา

2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอน มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา  4 ทักษะ

(1) การระบุปัญหา 

(2) การระบุสาเหตุของปัญหา 

(3) การระบุผลกระทบของปัญหา 

(4) การระบุแนวทางและผลที่ได้จากการแก้ปัญหา

3) กระบวนการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน  ดังนี้

ขั้นที่  1  เตรียมและทำความรู้จักกับปัญหา

ขั้นที่  2  จุดประกายความคิด  

ขั้นที่  3  ขั้นปฏิบัติการ 

ขั้นที่  4 ขั้นสะท้อนความคิด

ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินและประยุกต์ความรู้

4) ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนการสอนตามรูปแบบการสอน  คือผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา  4 ทักษะ ได้แก่ การระบุปัญหา  การระบุสาเหตุของปัญหา  การระบุผลกระทบของปัญหา  และการระบุแนวทางและผลที่ได้จากการแก้ปัญหา 

2.  ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนโดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองและทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ สูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

คำสำคัญ:  ความสามารถในการแก้ปัญหา การสร้างความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบร่วมมือ

การศึกษาไทย 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา

ชื่อผลงานทางวิชาการ : Power Point การบรรยาย เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา

ประเภทผลงานทางวิชาการ : เอกสาร , Power Point สรุปสาระการบรรยายของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : โครงสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ การปฏิรูปการศึกษาไทยสู่ผลลัพท์ Thailand 4.0 ” และการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2559 ของสมาคมกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 – 22 เมษายน 2560 ณ โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ศูนย์การค้ารังสิต จังหวัดปทุมธานี

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารันต์ สรุปโดย รองศาสตราจารย์ ศรีมงคล เทพเรณู ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสตรีวัดระฆัง และผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนา

 

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจของเนื้อหา : มี 3 แนวคิด คือ

       แนวคิดที่ 1. การศึกษาไทย 4.0 : การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ หลักคิด คือ การแก้ปัญหาบริโภคนิยม เน้นที่ผลผลิต Productive Education/Produce Oriented Education

       แนวคิดที่ 2. การศึกษา 4.0 การพัฒนาเพื่อพัฒนานวัตกรรม To Take maximum advantage of the imagination , Knowledge , Production problem solving an apportunity generating protentials of children and youth together with their adult collaborators

       แนวคิดที่ 3. การศึกษา 4.0 การศึกษาเพื่อสนองตอบต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค 4.0 เป็นการจัดการศึกษาเพื่อสนองต่อความต้องการใหม่ๆ ของเทคโนโลยีโดยผสมผสานความก้าวหน้าใหม่ๆ เพื่อพัฒนานวัตกรรม

สรุปสาระสำคัญของเนื้อหาการบรรยาย : แนวคิดที่ 1 การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ

การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ

Creative and Productive Education (CPE)

หลักสูตร  – ภูมิปัญญาไทย

– กระบวนการแสวงหาความรู้

– นวัตกรรมใหม่

– ทางเลือก

คุณลักษณะผู้เรียน  – Thai Pride

– Social Concerned

– Break Through Thinker

– Smart Consumer

– Criticality Based

กระบวนการสอน  – Creativity Based

– Productivity Based

– Responsibility Based

การบริหารองค์กร  – บริหารเพื่อการเปลี่ยนแปลง

– การเน้นผลผลิต

– การบริหารเชิงวิจัย

– วัฒนธรรมองค์กร

แนวคิดที่ 2. การพัฒนาผู้เรียนให้เติบโตเต็มศักยภาพและสร้างนวัตกรรม

Moving from Education 1.0 to Education 4.0

การศึกษา 1.0 (ยุคดาวน์โหลด)

การศึกษา 2.0 (ยุค Open Access)

การศึกษา 3.0 (ยุคสร้างองค์ความรู้)

การศึกษา 4.0 (ยุคสร้างนวัตกรรม)

ความหมายของการศึกษา

ครูบอกให้เชื่อตาม

สร้างองค์ความรู้ร่วมกันด้วยความช่วยเหลือจากอินเตอร์เน็ต (ที่การเข้าถึงยังจำกัด)

สร้างองค์ความรู้ร่วมกันและสร้างความรู้เดิมขึ้นมาใหม่

สร้างความรู้จากความสนใจรายบุคคลและจากการรวมตัวของคนที่มีแรงผลักดันเป็นทีม เช่น ทีมที่มีนวัตกรรมเป็นจุดเน้น

บทบาทของเทคโนโลยี

 ยึดติดกับห้องเรียน (ผู้ลี้ภัยสู่โลกดิจิทัล)  เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีอย่างระมัดระวัง  เทคโนโลยีมีอยู่ทุกที่ (ชาวดิจิทัลโดยกำเนิดในจักรวาลดิจิทัล) เพื่อการสร้างองค์ความรู้และส่งผ่านองค์ความรู้ที่มีอยู่ทุกหนแห่ง  เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปตามผู้เรียนซึ่งผุ้เรียนเป็นแหล่งวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สำคัญในการสร้างนวัตกรรม

(ต่อ) Moving from Education 1.0 to Education 4.0

การศึกษา 1.0 (ยุคดาวน์โหลด)

การศึกษา 2.0 (ยุค Open Access)

การศึกษา 3.0 (ยุคสร้างองค์ความรู้)

การศึกษา 4.0 (ยุคสร้างนวัตกรรม)

บทบาทด้านการสอน

 ครูสอนนักเรียน  ครูสอนนักเรียน นักเรียนสอนกันเอง (พิพัฒนนิยม) อินเตอร์เน็ต เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมการเรียนรู้  ครูสอนนักเรียน นักเรียนสอนกันเอง นักเรียนสอนครู  : คณะเทคโนโลยี : คน (ร่วมกันสร้างความรู้โดย คนและเทคโนโลยี)  ขยายองค์ความรู้ โดยการให้วงจรผลสะท้อนกลับจากการสร้างนวัตกรรมเชิงบวก : ความรู้เกิดทุกที่ ทุกเวลา ทั้งในชีวิตประจำวัน การเรียนและการทำงาน

ลักษณะโรงเรียน

เรียนในตึกอาคาร

เรียนในอาคารหรือออนไลน์ แต่มีการใช้เว๊บ เพื่อการเรียนการสอนแบบเต็มรูปแบบหรือแบบไฮบริดเพิ่มขึ้น

เรียนได้ในทุกๆ ที่ ในสังคมที่สร้างสรรค์ (สถานที่เรียนถูกผนวกอยู่ในสังคม เช่น ร้านกาแฟ บาร์ หรือตอนเล่นโบว์ลิ่ง)

เรียนในโลกไร้พรมแดนที่มีการเชื่อมต่อเครือข่ายหรือที่ๆ มีการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเรียนรู้

แนวคิดที่ 3. การคิดเพื่ออุตสาหกรรมยุคที่ 4

              ประเทศไทยมีเป้าหมายในทางเดียวกัน

Innovation แนว 1. การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ    Product Oriented
แนว 2. การพัฒนาผู้เรียนให้เติบโต ให้เต็มศักยภาพ    Innovation Development
 แนว 3. การศึกษาเพื่อส่งเสริมการปฏิรูปอุตสาหกรรมยุคที่ 4    New Products

 

จุดเด่น / ความน่าสนใจของเนื้อหาการบรรยาย : นวัตกรรม คืออะไร ? …

Invention + Diffusion
(Market)
= Innovation

Product – car , Windows , Vista

Process – link gardening to home

Position – low – cost airline

Paradigm – maker to service

4 ขั้นตอนของนวัตกรรม

ขั้นที่ 1.

แสวงหาโอกาส (Search)

ทักษะคิด

วิเคราะห์

ทักษะคิด

สร้างสรรค์

ขั้นที่ 2.

ออกแบบ / เลือก (Select)

ทักษะคิด

ออกแบบ

ทักษะคิดคัดกรอง

ขั้นที่ 3.

นำไปปฏิบัติ (Implement)

ทักษะคิดผลิตภาพ

ทักษะคิดแก้ปัญหา

ขั้นที่ 4.

การหาผลประโยชน์ (Capture)

ทักษะคิด

ประกอบการ

ทักษะคิดผู้นำ

ทักษะเสริมประกอบด้วย ทักษะความรับผิดชอบและทักษะสำนึกทางสังคม

โมเดลเป้าหมายของการศึกษา 4.0

การนำเนื้อหาไปใช้ : สามารถนำเนื้อหาจากการบรรยาย , เอกสาร และ Power Point มาใช้กับการจัดการเรียนรู้ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน การผลิตบัณฑิตครุศาสตร์และสามารถเป็นทิศทางการนำไปประกอบการจัดการทำเอกสารประกอบการสอนทางสายวิชาชีพครู ดังนี้

1) หลักคิดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21

       ด้านปัจจัยการเปลี่ยนแปลง

          – เทคโนโลยี

          – การค้าขาย

          – การติดต่อสัมพันธ์ของมนุษย์

          – สังคมที่เปิดกว้าง

          – คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้

          – แต่ละคนในสังคมมีลักษณะเฉพาะของตนเอง

       ด้านลักษณะของสังคมไทยในศตวรรษที่ 21

          – Product – Oriented

          – Mass customization

          – Multicultural

          – Rationalization

          – Variety of Learning

          – Co – Independent

       ด้านเนื้อหาสาระสำหรับศตวรรษที่ 21

          – Technology and Brain

          – New Sciences and New Math

          – New roles of human being

          – Imagination and production

          – Rational ethic and Value

          – Alternative way of life

       ด้านทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21

          ทักษะหลัก

              – Productive skills

              – Creative skills

              – Critical skills

              – Cooperative skills

              – Life – long Learning

              – Self / Other Understandable skills

          ทักษะคู่ขนาน

              – Quality skills

              – Design

              – Reasoning skills

              – Leadership skills

              – Scenario thinking skills

              – Respectable skills

       ด้านแนวการสอนแบบไม่สอน

              – ให้ผู้เรียนสร้าง Products เอง

              – ทำ Products นั้นใช้ชม

              – ฟังคำวิจารณ์จากเพื่อนและครู

              – ปรับ / แก้ / ทำความเข้าใจ / ทำใหม่

              – นำ Products ที่แก้ไขแล้วหรือ Draff 2 / งานรอบ 2 มาเขียนใหม่อีก

2) ภาพรวม : การศึกษาที่สามารถสร้างนวัตกรรม (ผลผลิต) ได้

ผลผู้เรียน 1. ผู้เรียน (ทุกคน) คิด / สร้าง / พัฒนาผลผลิตใหม่ (Innovation) ได้
2. ผู้เรียน (ส่วนใหญ่) พัฒนา Innovation ได้
คุณลักษณะ 1. มีความรู้ในเรื่องที่ศึกษา (อย่างดี) ไม่เช่นนั้นจะผลิตไม่ได้
2. มีทักษะ(อย่างน้อย 10 ทักษะนวัตกรรม) ในการผลิตอย่างดีจนฝังเป็นนิสัย
กระบวนการ 1. รู้จักตนเองจะเอาดีทางไหน
2. ศึกษาฝึกฝนจนชำนาญในการผลิต
หลักคิด 1. CCPR วิเคราะห์คิดใหม่ / สร้างใหม่ใช้ประโยชน์ (ทำจนได้ผลงาน)
2. ทุกวิชา ทุกชิ้นงาน ทุกเทอม ต่อเนื่องยาวนานไม่มีข้อยกเว้น
ความสำเร็จ 1. ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
2. เมื่อต้นไม้ล้านต้นออกดอกบานล้านดวง
ผลสุดท้าย 1. ความยิ่งใหญ่อยู่ในมือของเราทุกคน
2. ความสำเร็จเป็นของทุกคน (ไม่ใช่ข้าใหญ่คนเดียว)

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

การสร้างองค์ประกอบแห่งการเรียนรู้ : การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัย

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การสร้างองค์ประกอบแห่งการเรียนรู้ : การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัย

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิชาการจากการไปเข้าร่วม โครงการเสวนาทางวิชาการของสภามหาวิทยาลัย

ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2560

ข้อมูลเพิ่มเติม : โครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศตามอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของมหาวิทยาลัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 – 2562

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู สาขาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผลงานบทความวิชาการนี้ ได้จากการเข้าร่วมโครงการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาทของสภากับแนวทางการกำกับนโยบายและพัฒนามหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยฟรอนติสต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมหาวิทยาลัยโรเซมไฮมด์ ประเทศเยอรมัน (Fontys University of Applied Science , Rosemheim University of Applied Science)

บทนำเข้าสู่ความน่าสนใจ : ในปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ที่ต้องใช้ความรู้และนวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมสร้างความรู้ที่เข้มแข็งให้กับประเทศชาติให้ทันกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ดังนั้น มนุษย์ทุกชาติทุกศาสนาต้องมีความสามารถปรับตัวให้มีความรู้เท่าทันไม่ให้ตกอยู่ในฐานะผู้เสียเปรียบ ตลอดจนสร้างสภาพการณ์ให้คนไทยทุกคนมีสิทธิและความเสมอภาคในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

       มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันมีหน้าที่ให้การสนับสนุนส่งเสริม การพัฒนาหลักสูตรและมีระบบการจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพ เนื่องจากเป็นองค์กรที่ต้องจัดและสร้าง สังคมแห่งการเรียนรู้ให้กับนิสิตนักศึกษา เพราะสังคมแห่งการเรียนรู้ต่างๆ จนสามารถสร้างองค์ความรู้ เกิดทักษะได้ ซึ่งระบบการจัดการความรู้และระบบการเรียนรู้ที่ดี มีการถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันทุกภาคส่วนได้ในสังคมทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์และเกิดภูมิปัญญา พร้อมบังเกิดความตระหนักถึงความสำคัญแห่งการเรียนรู้ของทุกคน ทุกภาคส่วนตลอดจนในสังคมโลกมีความใฝ่รู้ พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดชีวิตจนสิ้นอายุขัย เพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม ทางด้านอารมณ์ สังคมและสติปัญญาในทางที่ดีขึ้น

       การที่มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งการเรียนรู้บทบาทหน้าที่นั้นจัดว่าเป็นแหล่งพัฒนามนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถพัฒนาตนเองได้ด้วยวิธีการแสวงหาความรู้อยู่เสมอ นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยยังเป็นแหล่งความรู้ที่มนุษย์สามารถมาศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ เนื่องจากมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งทอดความรู้ มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้และทำให้คนรู้จักวิธีแสวงหาความรู้และยิ่งสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้มากขึ้น กรณีเมื่อเกิดการเรียนรู้มากขึ้นก็สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ แล้วนำมาบูรณาการระหว่างความรู้เก่ากับความรู้ใหม่ก็จะเกิดความรู้ใหม่ ก็จะเกิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นอีกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เพราะเป็นวงจรต่อเนื่องที่ไม่สิ้นสุด จึงเรียกว่า “วงจรแห่งการเรียนรู้”

สรุปสาระสำคัญของบทความทางวิชาการ : บทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติเน้นที่ผลผลิต (Out Put) ของตนเองเป็นอันดับแรก จึงสามารถนำผลผลิตนั้นมาเป็นข้อกำหนดในการพัฒนาตนเองจากสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ เนื่องจากสังคมแห่งการเรียนรู้เป็นมาตรฐานการกล่อมเกลาบุคคลให้สามารถเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตตลอดเวลา มีผลทางเพิ่มคุณลักษณะด้านสมรรถภาพอย่างครบถ้วนให้บุคคลนั้นๆ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมแห่งการเรียนรู้ประกอบด้วย

       1) บุคคลแห่งการเรียนรู้ เป็นบุคคลที่มีความตระหนักถึงความสำคัญ ความจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อให้มีทักษะ กระบวนการคิด การวิเคราะห์ สังเคราะห์และแก้ปัญหา มีความใฝ่รู้สามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถใช้ความรู้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องอย่างมีคุณภาพตามความต้องการ ความสนใจและความถนัด

       2) แหล่งการเรียนรู้เป็นสถานที่ให้ความรู้และเพื่อให้มีแหล่งเรียนรู้ให้เพียงพอหลากหลายทั่วถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ต้องมีการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศของแหล่งเรียนรู้ทุกประเภท โดยการจัดระบบเครือข่ายเชื่อมโยงแหล่งการเรียนรู้มีการพัฒนาทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีในสังคมให้มีลักษณะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีศักยภาพในการบริการการเรียนรู้ มีความพร้อมอำนวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศักยภาพของสังคม

       3) องค์ความรู้ มีระบบการจัดหาและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและค้นคว้าองค์ความรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกเพราะบริบทของสังคมไทย โดยการพัฒนามาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่กับฐานความรู้ นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับความสามารถของบุคคล กลุ่มหรือชุมชนเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละชุมชน

       4) การจัดการความรู้เริ่มจากการพัฒนารูปแบบ การเรียนรู้ที่หลากหลาย พัฒนากลไก กระบวนการถ่ายทอดความรู้ให้ประชนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้อย่างเสมอภาค พัฒนาระบบริหารจัดการ การใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการสร้างบรรยากาศเพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ให้ประชาชนสามารถเข้าสู้องค์ความรู้ได้ตลอดเวลาและต้องมีการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้จัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของประชน พัฒนาทักษะความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ให้สามารถเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการใช้ความรู้เป็นฐานในการแก้ปัญหาและพัฒนาที่เหมาะสมกับสภาพชุมชน

       ในฐานะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีบทบาทหน้าที่จัดการเรียนรู้หรือเป็นผู้จัดการเรียนรู้ ผลิตผู้จะต้องไปจัดการเรียนรู้ จำเป็นต้องมุ่งเน้นที่ผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวของนิสิตนักศึกษา เพราะกระบวนการจัดการเรียนรู้คือ การทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เป็นไปตามลักษณะที่สังคมยอมรับว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยจัดให้ ดังนั้นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะมี 3 ลักษณะ ได้แก่

       1) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม หมายความว่า ก่อนการเรียนรู้และหลังการเรียนรู้จะต้องแตกต่างกัน ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไปทั้งทางที่ดีและไม่ดีก็เป็นได้

       2) พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นต้องเป็นพฤติกรรมที่มีลักษณะถาวร

       3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นจะต้องเนื่องจากประสบการณ์ ถ้าเป็นการเปลี่ยนแปลงมาจากมูลเหตุอื่น เช่น วุฒิภาวะ ความพิการ ความคุ้นเคย จะไม่จัดว่าเป็นการเรียนรู้สืบเนื่องจากวุฒิภาวะ

       ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากเดิมไปสู่เป็นพฤติกรรมใหม่ สืบเนื่องจากประสบการณ์ การฝึกหัด ทำซ้ำๆ บ่อยๆ จนกลายเป็นพฤติกรรมถาวร จึงเรียกว่า “เกิดการเรียนรู้”

       ในการศึกษาเล่าเรียนย่อมต้องมีการประเมินผลการเรียนรู้ด้วย (Learning Assessment) หมายถึง กระบวนการที่ก่อให้เกิดสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ จะเริ่มประเมินขณะเรียนรู้ของผู้เรียน ผลการประเมินจะสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพการเรียนรู้ทั้งของผู้เรียนและประสิทธิภาพของการสอนของผู้สอนในเวลาเดียวกัน เพราะข้อมูลจากการประเมินสามารถนำไปปรับการเรียนรู้และเปลี่ยนวิธีการสอนของผู้สอนใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและเต็มศักยภาพพร้อมมีความสุข รวมทั้งสามารถกำหนดระดับคะแนนตามผลสัมฤทธิ์และระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย การประเมินการเรียนรู้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 ประการ คือ เพื่อบ่งชี้ว่าผู้เรียนมีความรู้ ความคิด ทักษะและคุณลักษณะที่สำคัญเพียงพอหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลไปวินิจฉัยหาจุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียนและเป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ด้วย

       ผลลัพท์ที่เกิดจากผลการเรียนรู้สามารถจำแนกได้ 4 ด้าน ได้แก่ ความดี ความรู้ ความคิดและความสามารถที่สอดคล้องกับกรอบมาตรฐาน คุณวุฒิระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วยคุณลักษณะ   ด้าน คือ ด้านคุณธรรมและความเป็นพลเมือง โดยเฉพาะความฉลาดทางศีลธรรม ด้านแรงบันดาลใจและจินตนาการ ด้านความรู้เพื่อการดำรงชีวิตและศึกษาต่อ ด้านความคิดและเหตุผล ด้านทักษะ โดยเฉพาะการคำนวณ ภาษาและการสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทักษะชีวิตและอาชีพ และด้านภาวะผู้นำที่ประกอบด้วย การจัดการและควบคุมตัวเองการเป็นผู้นำและการจัดระบบงาน นอกจากนั้น ผลลัพท์จากการเรียนรู้ ยังสามารถนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานและการประเมินการเรียนรู้ หลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนต้องให้บรรลุถึงผลลัพท์การเรียนการสอนและการจัดการกับบริบท สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้เอื้อต่อการเรียนรู้และความสุขของผู้เรียนให้มากที่สุด

จุดเด่น / ความน่าสนใจจากสาระสำคัญของบทความและการนำไปใช้ประโยชน์ : จากการเข้าร่วมโครงการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาทของสภากับแนวทางการกำกับนโยบายและพัฒนามหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยพรอนดิสต์ ของเนเธอร์แลนด์ กับมหาวิทยาลัยโรเซมไฮมด์ ของเยอรมัน (Fonty & University of Applied Science ; Resemheim University of Applied Science) นั้นพบว่ามหาวิทยาลัยของประเทศสาธารณรัฐเยอรมันนี เป็นรูปแบบที่เน้นวิธีการสอนและความรู้ในทางทฤษฎี การวิจัยและการสอนรวมอยู่ด้วยกัน จึงเรียกว่า มหาวิทยาลัยเต็มรูปแบบ “Full University” ที่มีการสอนทุกวิชา อาทิเช่น วิชากฎหมาย ศิลปะและมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ การฝึกอบรมครูและแพทย์ศาสตร์ จะเห็นได้ว่าโครงสร้างของมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนั้น เป็นมหาวิทยาลัย วิทยาศาสตร์ประยุกต์หลักสูตรที่ใช้จัดการเรียนรู้จะเน้นการปฏิบัติจริงมากกว่าภาคทฤษฎี จึงทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องที่การลงมือปฏิบัติจริงตามที่ออกแบบหลักสูตรไว้ เพื่อสนองความต้องการของชีวิต ทำให้รูปแบบการศึกษาเป็นการนำมาบูรณาการระหว่างหลายสาขาวิชา มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัย Fonty & University of Applied Science นั้นเป็นมหาวิทยาลัยก้าวหน้าทางด้าน Applied Science โดยเน้นให้นักศึกษานำหลักการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ โดยมีการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาให้มีการติดต่อชุมชนภายนอกหน่วยธุรกิจอุตสาหกรรมและหน่วยบริการสังคมด้านต่างๆ มีการลงทุนในการทำวิจัยกับภาคธุรกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมไปในเวลาเดียวกัน และสำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา นั้น มีการจัดทำแผนกลยุทธ์เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการ สนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาหลักสูตรและการจัดระบบการเรียนการสอนให้มีคุณภาพและยกระดับคุณภาพมาตรฐานของบัณฑิตเพื่อเข้าสู่สังคม

       จากองค์ประกอบและความสำคัญของสังคมแห่งการเรียนรู้นั้น เป็นลักษณะของหน่วยงานหรือชุมชนที่ดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องพร้อมๆ กัน เกี่ยวกับเรื่อง การอนุรักษ์บำรุงรักษา ฟื้นฟู ปกป้อง คุ้มครอง พิทักษ์ ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยหาสื่อ สืบสาน พัฒนาเผยแพร่และปลูกจิตสำนึกให้กับสมาชิกได้เรียนรู้ด้วยวิธีการผ่านผู้รู้ สื่อเทคโนโลยี สารสนเทศ แหล่งการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและจากความรู้ต่างๆ นั้นทำให้สมาชิกสามารถสร้างความรู้สร้างทักษะและมีระบบการจัดการความรู้ที่ดีรวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้ร่วมกันทั้งภายในและภายนอกกลุ่มสมาชิก ตลอดจนสามารถใช้ความรู้เป็นเครื่องมือในการเลือกและตัดสินใจแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาการดำเนินชีวิตให้มีความเหมาะสมกับสภาพของหน่วยงานหรือชุมชนนั้นๆ เพราะกระบวนการการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาคนที่มุ่งประโยชน์ของคนเป็นหลัก เน้นกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง โดยการเรียนรู้จากองค์ความรู้ต่างๆ ผ่านผู้รู้ สื่อ เทคโนโลยี สารสนเทศ แหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างสอดคล้องตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจของคนนั้นๆ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้คนมีความสุขและสามารถนำสิ่งเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์

จุดเด่น / ความน่าสนใจของบทความทางวิชาการ : ดังสรุปเป็น 2 ประเด็น คือ

       1. กระบวนการจัดการเรียนรู้ เป็นสื่อกลางระหว่างผู้เรียนกับผู้จัดการเรียนรู้จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้เพราะการจัดการเรียนรู้ต้องทำตามระบบ มีทั้งระบบการทำงานระบบการสื่อสาร/ สื่อความหมายเพราะองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้มี 4 ส่วน คือ ผู้จัดการเรียนรู้ เนื้อหาสื่อการเรียนรู้และผู้เรียนรู้จึงเปรียบเสมือนกระบวนการ 3 เส้า เรียกว่า ไตรยางค์ การจัดการเรียนรู้ (OLE)

O = Objective จุดมุ่งหมาย

L = Learning Experience การจัดประสมการเรียนรู้

E = Evaluation การประเมินผล

แผนภูมิ ไตรยางค์การจัดการเรียนรู้

ที่มา : ไพฑูรย์ สินลารัตน์ , 2553.

จากแผนภูมิไตรยางค์การจัดการเรียนรู้สามารถวิเคราะห์จากองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ได้ 2 แนวทาง ดังนี้

       1) มองในภาพรวม องค์ประกอบของการเรียนรู้ทั่วไป เมื่อมีการจัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ ต้องมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ผู้จัดการเรียนรู้ ผู้เรียน และหลักสูตร

       2) มองในสภาพของการปฏิบัติการจัดการเรียนรู้จริงจะสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนอย่างน้อย 7 ส่วน คือ ผู้จัดการเรียนรู้ ผู้เรียนรู้หลักสูตร จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการจัดประเมินผล

2. การจัดการเรียนรู้ต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้นผู้จัดการเรียนรู้ต้องคำนึงถึง

       2.1 สมองของมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุด เพราะมนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ต้องอาศัยสมองและระบบประสาทสัมผัสซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ ดังนั้นผู้จัดการเรียนรู้ต้องสนใจและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนรู้และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสมองจิตใจและสุขภาพองค์รวม

       2.2 ความหลากหลายของสติปัญญา ผู้เรียนรู้แต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกันและมีรูปแบบการพัฒนาเฉพาะตัวบุคคล การจัดการเรียนรู้จึงควรจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมศักยภาพความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคล

       2.3 การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ตรง แนวทางการจัดการเรียนรู้ ควรจัดให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ลดการถ่ายทอดเนื้อหาลงบ้างและช่วยยกระดับผู้เรียนโดยการปฏิบัติทดลองด้วยตนเอง

 

การนำเนื้อหาไปใช้ประโยชน์ : จากเนื้อหาในบทความนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการพัฒนาหลักสูตรการผลิตบัณฑิตครู ในการจัดการเรียนรู้ของผู้จัดการเรียนรู้ ได้ทุกสาขาวิชาและทุกคณะวิชากล่าวคือ

       ขั้นตอนสำคัญของกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุด เพราะแต่ละหน่วยในการเรียนรู้จะประกอบด้วยขั้นตอนกางวางแผนการจัดการเรียนรู้ (Plan) ขั้นตอนการดำเนินงานจัดการเรียนรู้ (Do) ขั้นการประเมินการเรียนรู้ (Check) และขั้นตอนการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ (Action) ที่ดำเนินไปโดยต่อเนื่อง และในการจัดการเรียนรู้ทุกครั้ง ทุกเนื้อหา ต้องครบทุกขั้นตอน พร้อมรายงานผลการจัดการเรียนรู้ (Report) ซึ่งการจัดรายงานผล นิยมทำในรูปเอกสารมีแฟ้มการดำเนินงานการจัดการเรียนรู้ (ดังแผนภูมิ)

แผนภูมิแสดงการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนสำคัญที่สุด

ที่มา : ศรีมงคล เทพเรณู , 2553

       ในภาคส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานสากล จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับสถาบันแห่งสังคมการเรียนรู้อย่างชัดเจน ซึ่งจะต้องปรากฏในนโยบายของมหาวิทยาลัย เพราะสังคมแห่งการเรียนรู้แสดงถึงลักษณะของมหาวิทยาลัย เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่แสดงถึงลักษณะของมหาวิทยาลัยดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายๆ เรื่องพร้อมๆ กัน เกี่ยวกับ การอนุรักษ์บำรุงรักษา ฟื้นฟู ปกป้อง คุ้มครอง พิทักษ์ ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือสืบสาน พัฒนา เผยแพร่และปลูกจิตสำนึกให้แก่สมาชิกได้เกิดการเรียนรู้ด้วยวิธีการผ่านผู้รู้ สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ แหล่งการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและจากองค์ความรู้ต่างๆ ซึ่งทำให้สมาชิกสามารถสร้างองค์ความรู้สร้างทักษะและมีระบบการจัดการความรู้ที่ดี รวมทั้งสามารถถ่ายทอดความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนสามารถใช้ความรู้เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตในสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ควรมีบทบาทหน้าที่ของการเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีลักษณะ ดังนี้

       1) ไม่จำกัดขนาด และสถานที่ตั้ง

       2) เน้นการจัดการเรียนรู้เป็นปัจจัยหลัก

       3) ประชาชนได้รับโอกาสการพัฒนา (Key Individuals)

       4) สถาบันทางสังคมในพื้นที่เป็นตัวหลักในการริเริ่ม / ดำเนินการ (Key Institutions)

       5) มีกลุ่มภาคประชาชนเป็นแกนกลาง (Core Groups) เพื่อรวมตัวกันจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชน

       6) มีการพัฒนานวัตกรรมและระบบการเรียนรู้

       7) มีภาคีเครือข่ายที่ร่วมดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

       8) การริเริ่ม / การเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา

       9) สถานศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแห่งการเรียนรู้

       10) มีความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ของบุคคลและชุมชนร่วมกัน

       ทั้ง 10 ข้อดังกล่าวผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกภาคส่วนประกอบด้วย คณาจารย์ พนักงานบุคลากร ฯลฯ มีส่วนทำให้เกิดขึ้นได้ และมีส่วนสร้างมาตรฐานเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ทั้งนั้น ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่นโยบายของมหาวิทยาลัย

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร