โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนกรุงเทพมหานครต่อเทศกาลปีใหม่ 2560

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนกรุงเทพมหานครต่อเทศกาลปีใหม่ 2560 


คน กทม ส่งมอบความสุขปีใหม่ผ่าน Facebook 25.3% และคิดว่าประเทศไทยได้รับประโยชน์จาก (AEC) ใน 1 ปีที่ผ่านมา 54.7 %

กรุงเทพฯ–29 ธ.ค.–บ้านสมเด็จโพลล์
ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนกรุงเทพมหานครต่อเทศกาลปีใหม่ 2560 โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,232 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 23 – 27 ธันวาคม 2559 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่าประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อพฤติกรรมของคนกรุงเทพมหานครต่อเทศกาลปีใหม่ 2560 มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ จะไปฉลองเทศกาลปีใหม่ 2560 ร้อยละ 30.3 อันดับที่สองคือไม่ออกไปไหน / ฉลองปีใหม่อยู่ที่บ้าน ร้อยละ 27.8 อันดับที่สามคือ วัด / สวดมนต์ข้ามปี ร้อยละ 23.0 และอันดับที่สี่คือ เดินทางไปต่างจังหวัด/ต่างประเทศ ร้อยละ 18.9และจะส่งมอบความสุขปีใหม่ผ่านช่องทางการสื่อสารอันดับแรกคือส่งข้อความผ่าน Facebook ร้อยละ 25.3 อันดับที่สองคือไปพบด้วยตนเอง ร้อยละ 25.2 อันดับที่สามคือ ส่งข้อความผ่าน Line ร้อยละ 19.5

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ทราบว่า การเปิดประชาคมด้านเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเป็นทางการจะครบ 1 ปีในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ร้อยละ 48.8 อันดับที่สองคือ ไม่ทราบ ร้อยละ 28.5 และ อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 22.7และคิดว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการเปิดประชาคมด้านเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ใน 1 ปีที่ผ่านมา ร้อยละ 42.5 อันดับที่สองคือ ไม่ใช่ ร้อยละ 31.0 และ อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 26.5

ในส่วนประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการเปิดประชาคมด้านเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ใน 1 ปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าใช่ ร้อยละ 54.7 อันดับที่สองคือ ไม่ใช่ ร้อยละ 21.6 และ อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 23.7

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2577747


เก็บข้อมูลในวันที่ 23 – 27 ธันวาคม 2559  จำนวน 1,232 กลุ่มตัวอย่าง

โดยได้รับการเผยแพร่จากสื่อมวลชนดังต่อไปนี้

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2559

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนันหวยใต้ดิน

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนันหวยใต้ดิน เก็บข้อมูลในวันที่ 2 – 6 ธันวาคม 2559 จำนวน 1,154 กลุ่มตัวอย่าง


โพล ระบุ คนกทม.ร้อยละ 75.5 % รู้สึกว่า การพนันหวยใต้ดินเป็นเรื่องปกติ ยอมรับเคยเข้าไปมีส่วนร่วมกับการพนันหวยใต้ดิน 53.8%

ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพล สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนันหวยใต้ดิน โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,154 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 2 – 6 ธันวาคม 2559 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพล กล่าวว่า ทางศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพล ต้องการสะท้อนความคิดเห็นในเรื่องการพนันหวยใต้ดิน ว่าในปัจจุบันสังคมมองการพนันหวยใต้ดินว่า เป็นอย่างไร ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และรัฐบาล มีนโยบายด้านการปราบปรามการพนัน การพนันหวยใต้ดินที่ถือได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ทุกคนเคยพบเจอจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของประชาชน การลักลอบเล่นการพนันหวยใต้ดิน ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมไทยมายาวนาน ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการพนันหวยใต้ดิน มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เคยพบเห็นการพนันหวยใต้ดิน ร้อยละ 79.2 ไม่เคยเห็น ร้อยละ 15.9 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 4.9 และรู้สึกว่าการพนันหวยใต้ดินเป็นเรื่องปกติ ร้อยละ 75.5 รู้สึกว่าไม่ปกติ ร้อยละ 15.3 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 9.2

การพนันหวยใต้ดินเป็นการกระทำผิดกฎหมาย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ทราบ ร้อยละ 88.6 ไม่ทราบร้อยละ 6.3 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 5.1 และเคยเข้าไปมีส่วนร่วมกับการพนันหวยใต้ดิน ร้อยละ 53.8 ไม่เคยมีส่วนร่วมกับการพนันหวยใต้ดิน ร้อยละ 40.9 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 5.3

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค,อินเตอร์เน็ตกระตุ้นทำให้เกิดการพนันหวยใต้ดิน ร้อยละ 58.4 อันดับสองคือโทรทัศน์ ร้อยละ 18.9 อันดับสามคือหนังสือพิมพ์ ร้อยละ 13.7

และคิดว่าในปัจจุบันเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้มีการพนันหวยใต้ดิน ร้อยละ 58.8 คิดว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้เข้มงวด ร้อยละ 14.3 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 26.9

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ อยากให้ทางรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้มีการพนันหวยใต้ดิน ร้อยละ 56.2 และไม่อยากให้เข้มงวด ร้อยละ 21.9


โดยได้รับการเผยแพร่จากสื่อมวลชนดังต่อไปนี้

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/810352

หนังสือพิมพ์แนวหน้า http://www.naewna.com/view/highlight/248645

Today Line https://today.line.me/…/d388bb6236c90fbaf0e559b21f8833ce0d6…

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของรถแท็กซี่มิเตอร์ในเขตกรุงเทพมหานคร

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของรถแท็กซี่มิเตอร์ในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลในวันที่ 2 – 5 ธันวาคม 2559  จำนวน 1,116 กลุ่มตัวอย่าง


6 ธ.ค.59 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของรถแท็กซี่มิเตอร์ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,116 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 2 – 5 ธันวาคม 2559 เป็นดังนี้

ในหนึ่งสัปดาห์ท่านมีการใช้บริการรถแท็กซี่มิเตอร์ โดยเฉลี่ยกี่ครั้งต่อสัปดาห์
ร้อยละ 30.6 จำนวน 1 – 2 ครั้ง
ร้อยละ 21.6 จำนวน 3 – 4 ครั้ง
ร้อยละ 13.2 จำนวน 5 – 6 ครั้ง
ร้อยละ 12.6 จำนวน 7 – 8 ครั้ง
ร้อยละ 10.3 ไม่เคยใช้
ร้อยละ 6.5 จำนวนมากกว่า 10 ครั้งขึ้นไป
ร้อยละ 5.2 จำนวน 9 – 10 ครั้ง

เมื่อท่านพบปัญหาจากรถแท็กซี่มิเตอร์ ท่านจะร้องเรียนผ่านช่องทางใด
ร้อยละ 41.9 ร้องเรียนกรมการขนส่งทางบกเบอร์ 1584
ร้อยละ 22.3 โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย/เฟสบุ๊ค
ร้อยละ 19.8 ไม่ทราบช่องทางการร้องเรียน
ร้อยละ 10.4 ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก
ร้อยละ 04.6 ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน
ร้อยละ 01.0 อื่นๆ

ในปัจจุบันท่านใช้งานรถแท็กซี่มิเตอร์เพราะเหตุผลใด
ร้อยละ 46.8 เพื่อความสะดวกสบาย
ร้อยละ 22.9 ลดปัญหาการหาที่จอดรถ
ร้อยละ 21.2 เพื่อความรวดเร็ว
ร้อยละ 09.1 เมาไม่ขับ

ในปัจจุบันท่านพบปัญหาใดจากการให้บริการของรถแท็กซี่มิเตอร์ในเขตกรุงเทพมหานคร มากที่สุด
ร้อยละ 41.9 ไม่จอดรับผู้โดยสาร/ปฏิเสธผู้โดยสาร
ร้อยละ 21.2 พาอ้อมขับในเส้นทางไกลขึ้น
ร้อยละ 10.8 มารยาทของคนขับ
ร้อยละ 10.1 ขับรถเร็ว/ผิดกฎจราจร
ร้อยละ 07.3 เรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตรา
ร้อยละ 05.6 โกงค่ามิเตอร์/ไม่กดมิเตอร์
ร้อยละ 03.1 ส่งไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

ท่านเคยถูกรถแท็กซี่มิเตอร์ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารหรือไม่
ร้อยละ 77.8 เคย
ร้อยละ 18.2 ไม่เคย
ร้อยละ 04.0 ไม่แน่ใจ

ท่านคิดอยากให้รถแท็กซี่มิเตอร์มีการปรับปรุงในเรื่องใดมากที่สุด
ร้อยละ 54.4 มารยาทของคนขับแท็กซี่มิเตอร์
ร้อยละ 29.6 สภาพรถยนต์แท็กซี่มิเตอร์
ร้อยละ 13.2 การแต่งกายของคนขับแท็กซี่มิเตอร์
ร้อยละ 02.8 อื่นๆ

ท่านเคยใช้บริการการเรียกรถแท็กซี่มิเตอร์ผ่านทางโทรศัพท์ หรือไม่
ร้อยละ 49.0 เคย
ร้อยละ 47.5 ไม่เคย
ร้อยละ 03.5 ไม่แน่ใจ

ท่านเคยใช้บริการการเรียกรถแท็กซี่มิเตอร์ผ่านทางแอปพลิเคชั่น หรือไม่
ร้อยละ 51.6 เคย
ร้อยละ 44.4 ไม่เคย
ร้อยละ 04.0 ไม่แน่ใจ

หากท่านเคยใช้บริการการเรียกรถแท็กซี่มิเตอร์ผ่านทางแอปพลิเคชั่น ท่านใช้บริการผ่านทางแอปพลิเคชั่นใด
ร้อยละ 54.4 แกร็บแท็กซี่ (Grab Taxi)
ร้อยละ 14.3 อีซี่แท็กซี่ (Easy Taxi)
ร้อยละ 14.9 อูเบอร์ (Uber)
ร้อยละ 16.4 ออลไทยแท็กซี่ (All Thai Taxi)


โดยได้รับการเผยแพร่จากสื่อมวลชนดังต่อไปนี้

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/803722

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ http://www.thansettakij.com/2016/12/06/118382

หนังสือพิมพ์แนวหน้า http://www.naewna.com/local/247779

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับครูต้นแบบ

โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับครูต้นแบบ เก็บข้อมูลในวันที่ 1 – 4 พฤศจิกายน 2559  จำนวน 1,113 กลุ่มตัวอย่าง


บ้านสมเด็จโพลล์ ชี้คนกทม.ต้องการให้ครูปรับปรุงภาษาอังกฤษมากที่สุด  ร้อยละ 70.3 อยากให้เยาวชนสนใจเป็นครู ร้อยละ 82.2 อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญผลิตครู

          ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับครูต้นแบบ โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,113 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 1 – 4 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง

          ผู้ช่วยศาสตราจารย์(ผศ.)สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ทางศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ต้องการสะท้อนความคิดเห็นในเรื่องครูต้นแบบ ว่าในปัจจุบันสังคมมองครูว่าเป็นอย่างไร ควรมีการปรับปรุงเรื่องใด อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ยังได้รับการยอมรับของชุมชนและสังคมหรือไม่ เพื่อนำไปปรับปรุงในการพัฒนาครูในอนาคตและการผลิตครูในอนาคต ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อครูต้นแบบ มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

คนกทม. ชี้ครูต้องปรับปรุงภาษาอังกฤษมากที่สุด

ผศ.สิงห์ สิงห์ขจร 

        กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าครูในปัจจุบันมีความรู้ในเรื่องที่สอน อยู่ในระดับดี ร้อยละ 61.5 มีเทคนิคการสอน อยู่ในระดับดี ร้อยละ 57.6 และมีความรู้ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ในระดับดี ร้อยละ 56.8

          ยังคิดว่าครูในปัจจุบันมีความรู้ในด้านภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับดี ร้อยละ 49.6 มีความสามารถในการถ่ายทอดด้านศีลธรรม อยู่ในระดับดี ร้อยละ 50.8 และมีความสามารถในการถ่ายทอดด้านความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง อยู่ในระดับดี ร้อยละ 52.5

          กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าครูในปัจจุบันควรปรับปรุงในด้านความรู้ในด้านภาษาอังกฤษมากที่สุด ร้อยละ 18.4 อันดับที่สองคือความรู้ในเรื่องที่สอน ร้อยละ 17.7 อันดับที่สามคือถ่ายทอดให้นักเรียนเข้าใจง่าย ร้อยละ 16.1 อันดับที่สี่คือเทคนิคการสอนดี ร้อยละ 9.4 อันดับที่ห้าคือความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ร้อยละ 9.2

          ในส่วนของครู 1 คนต่อนักเรียนกี่คนในห้องเรียนกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่านักเรียนจำนวน 30 คนต่อครู 1 คน มากที่สุด ร้อยละ 33.0 อันดับที่สองคือนักเรียนจำนวน 40 คนต่อครู 1 คน ร้อยละ 22.8 อันดับที่สามคือนักเรียนจำนวน 20 คนต่อครู 1 คน ร้อยละ 19.0

          กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ อยากให้เยาวชนสนใจในการศึกษาต่อในด้านครู ร้อยละ 70.3 ในส่วนของมุมมองที่อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการผลิตครู กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องการร้อยละ 82.2

          และคิดว่าครูต้นแบบควรมีทักษะที่สำคัญมากที่สุดคือความรู้ในเรื่องที่สอน ร้อยละ 20.4 อันดับที่สองคือถ่ายทอดให้นักเรียนเข้าใจง่าย ร้อยละ 19.1 อันดับที่สามคือความรู้ในด้านภาษาอังกฤษ ร้อยละ 13.8 อันดับที่สี่คือเทคนิคการสอนดี ร้อยละ 12.7 อันดับที่ห้าคือทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้ ร้อยละ 6.3

 

โดยได้รับการเผยแพร่จากสื่อมวลชนดังต่อไปนี้

หนังสือพิมพ์แนวหน้า http://www.naewna.com/local/243365

หนังสือพิมพ์คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/news/edu-health/248042

หนังสือพิมพ์ M2F ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 

เว็บไซด์ http://education.teenee.com/news/179.html

เว็บไซด์ http://www.kroobannok.com/80469

เว็บไซด์ http://www.kruwandee.com/news-id33266.html

การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนชาวไทยพวนเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ จังหวัดนครนายก

ชื่อผลงานทางวิชาการ : “การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนชาวไทยพวนเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ จังหวัดนครนายก”

คำสำคัญ : การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ประเภท : วิจัยเพื่อพัฒนา

ผู้วิจัย : อ.ดร.ลักษณา เกยุราพันธ์

ปีที่พิมพ์ : 2559

วัตถุประสงค์การวิจัย : เพื่อศึกษาสภาพการณ์ ประวัติ สร้าง พัฒนา รูปแบบ ทดลองใช้รูปแบบการจัดกิจกรรม และปรับปรุงการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒนธรรมชุมชนชาวไทยพวน จังหวัดนครนายก

การวิเคราะห์ข้อมูล : วิเคราะห์จากเอกสาร (Documentary Analysis) โดยเน้นการวิเคราะห์จากเนื้อหา (Content Analysis)

ผลการวิจัยพบว่า : สภาพการณ์การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนไทยพวน มีสภาพแวด ล้อมและทรัพยากรหลากหลายพร้อมที่จะส่งเสริมการเรียนรู้และมีผู้นำชุมชนที่รับผิดชอบ ซึ่งรูปแบบการจัดกิจกรรมนั้น ได้มีการพัฒนา เรียกว่า Th CLCAPC Model สามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม เป็นการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์

จุดสำคัญที่ได้รับ : รูปแบบการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ที่พัฒนาขึ้น เรียกว่า

Th CLCAPC Model ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ

คือTh=Thai Phuan (ชาวไทยพรวน)

C=Creation (การสร้างสรรค์)

L=Learning (การเรียนรู้)

C=Conservation (การอนุรักษ์)

A=Awareness (ความตระหนัก)

P=Participation of Community (การมีส่วนร่วมของชุมชน)

C=Cutural Tourism Activity (กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิง

วัฒนธรรม)

ประโยชน์ที่ได้รับ : ผลจากการวิจัยพบว่า

1. มหาวิทยาลัยควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประชาชน ชุมชน นิสิต นักศึกษา มีการจัดทำโครงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเน้นภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะประชาคมอาเซียน เพราะรอบๆ มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยหลายชนชาติ อาทิเช่น มอญ ลาว อาหรับ(แขก) จีน ฯลฯ ตั้งแต่บรรพบุรุษ

2. คณาจารย์ทั้ง 4 คณะ โดยเฉพาะคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ และคณะครุศาสตร์ ควรจัดการวิจัยสังคมศาสตร์เชิงคุณภาพ เกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเน้น “ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ” หรือ “ ชุมชนบางไส้ไก่ ” โดยใช้รูปแบบ Th CLCAPC Model

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

(บทที่ 5) ศิลปะในการถ่ายภาพดิจิทัล

การถ่ายภาพเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งศิลปะในการถ่ายภาพดิจิทัลที่จะกล่าวถึงในบทนี้เป็นเพียงข้อแนะนำอย่างมีหลักการที่จะช่วยทำให้ภาพที่ถ่ายออกมางดงามมากขึ้น มีองค์ประกอบที่ดี แสงเงาสีสันลงตัว แต่อย่างไรก็ตามภาพถ่ายที่ออกมาจะสวยงามเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือความขยันหมั่นฝึกฝนประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลด้วย ดังจะได้กล่าวในรายละเอียดดังต่อไปนี้

การจัดองค์ประกอบภาพ

การจัดองค์ประกอบภาพ ถือได้ว่าเป็นหลักการเบื้องต้นของการถ่ายภาพเพื่อให้ภาพออกมาสวยงาม ซึ่งต้องคิดคำนึงอยู่เสมอว่าจะจัดวางวัตถุหลักที่เราจะถ่ายไว้ในตำแหน่งใด ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของก็ตาม การมองภาพอย่ามองเฉพาะวัตถุหลักที่เราจะถ่าย ต้องมองให้ทั่วทั้งกรอบภาพและให้ความสำคัญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในกรอบภาพ และจัดองค์ประกอบภาพให้เหมาะสมเพื่อให้ภาพที่ถ่ายออกมาลงตัวสวยงาม หลักการจัดองค์ประกอบภาพมีดังนี้

    เลือกฉากหลังที่เหมาะสม การถ่ายภาพที่ดีต้องดูรอบๆ และดูด้านหลังวัตถุหลักที่จะถ่ายว่ามีสิ่งใดทำให้ภาพด้อยคุณภาพลงหรือไม่ ถ้าหากพบว่ามีอยู่ก็ควรหาวิธีทำให้สิ่งที่รกรุงรังนั้นหายไปจากกรอบภาพ อาจใช้วิธีการเปลี่ยนมุมกล้อง หรือเปลี่ยนตำแหน่งวัตถุหลักที่เราจะถ่ายเสียใหม่ ก็สามารถแก้ปัญหาได้ หรือใช้วิธีถ่ายภาพแบบชัดตื้นจะได้ไม่ต้องพะวงกับฉากหลัง
มากนัก

    ความสมดุลของภาพ วัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในภาพต้องมีความสมดุลกัน ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งจนเกินไป เช่น ถ้าวัตถุหลักที่เราจะถ่ายอยู่ชิดทางด้านซ้ายมาก ก็ควรหาจุดอะไรสักอย่างทางขวาเพื่อคานน้ำหนักกับวัตถุหลักที่เราจะถ่ายให้กลับมาวัตถุขนาดใหญ่จะให้น้ำหนักในภาพมากกว่าวัตถุขนาดเล็ก แต่ถ้าวางวัตถุที่เล็กห่างออกไปจากจุดศูนย์กลาง ก็สามารถสร้างพลังให้มีน้ำหนักมากขึ้นเพื่อมาถ่วงดุลกับวัตถุขนาดใหญ่อีกฟากหนึ่งได้นอกจากนี้ความสมดุลของภาพไม่ได้เกิดจากวัตถุเพียงอย่างเดียว สีสันก็ทำให้เกิดการรับรู้ถึงความหนัก-เบาได้ กล่าวคือวัตถุที่มีสีเข้มจะให้ความรู้สึกว่าหนักกว่าวัตถุที่มีสีอ่อนดังนั้น ในการวางตำแหน่ง ของวัตถุต่าง ๆ ในภาพ ก็ไม่จำเป็นต้องเอาวัตถุก้อนใหญ่ ๆ สองอันมาวางไว้สองด้าน เพื่อให้น้ำหนักเท่ากัน (สมดุลแบบสองข้างเท่ากัน) เพราะบางครั้งก็ดูธรรมดาจืดชืดได้เหมือนกัน แต่การจัดองค์ประกอบภาพที่เหมาะสม เป็นเรื่องของความเหมาะเจาะพอดีของขนาดวัตถุ สีสันหรือ โทนความเข้มของวัตถุ ที่มาคานน้ำหนักกันพอดีไม่เอียง ดูภาพแล้วลงตัว ถือว่ามีความสมดุล (สมดุลแบบสองข้างไม่เท่ากัน) เป็นอันใช้ได้

การนำลักษณะของเส้นมาสร้างภาพ วัตถุต่างๆที่อยู่ตามธรรมชาติ ถ้าเรารู้จักมองวัตถุเหล่านั้นให้ออกมาเป็นเส้นลักษณะต่างๆ แล้วถ่ายภาพออกมาตามลักษณะเส้นเหล่านั้น ภาพที่ได้จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันตามคุณสมบัติของเส้นแต่ละประเภท เช่น

  • เส้นแนวนอน เป็นเส้นที่ดูแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ให้ความสงบสุข ดังนั้นถ้าเราถ่ายภาพให้มีเส้นขอบฟ้าหรือแนวพื้นน้ำ ออกมาในลักษณะเป็นเส้นแนวนอน และเพิ่มเติมองค์ประกอบอื่นลงไปบ้าง เช่น ปุยเมฆ ต้นไม้ ภูเขาก็จะได้ภาพที่งดงาม มองแล้วรู้สึกสบาย เกิดการผ่อนคลายได้

  • เส้นแนวตั้ง เป็นเส้นที่แสดงความแข็งแกร่งมั่นคง ถ้านำเอาเส้นแนวนอนมารวมกับเส้นแนวตั้ง จะได้ภาพที่ทรงพลังมากขึ้น วัตถุที่มีลักษณะเป็นเส้นแนวตั้ง เช่น ตึก อาคาร ต้นไม้ เสาชิงช้า ถ้าเราจะเน้นให้เห็นถึงความสูงของวัตถุเหล่านั้น ให้ถ่ายภาพในลักษณะแนวตั้ง แล้วซูมภาพเข้าไปให้วัตถุใหญ่ขึ้น จะได้ภาพที่สะท้อนความรู้สึกแข็งแกร่งมั่นคงมากยิ่งขึ้น

  • เส้นทแยงมุม เป็นเส้นที่ดูแล้วให้ความรู้สึกตื่นเต้น แต่ในการถ่ายภาพอย่าให้เส้นทแยงมุมนี้ แบ่งภาพออกเป็น 2 ส่วน จากมุมหนึ่งไปยัง อีกมุมหนึ่งของภาพ เพราะจะทำให้ภาพนั้น
    สูญเสีย แรงขับเคลื่อนไปควรถ่ายภาพ ให้ออกมาในลักษณะ เป็นเส้นทแยงมุมจากด้านหนึ่ง ไปยังอีกด้านหนึ่งของมุมตรงข้ามกัน จะได้ภาพที่เร้าใจมาก

    การใช้เส้นนำสายตา ในการถ่ายภาพถ้าภาพนั้นมีการใช้เส้นนำสายตา ซึ่งอาจเป็น ขอบถนนลำธาร รั้ว สะพาน เป็นตัวช่วยนำสายตาของผู้ดูภาพให้ไล่ตามเส้นนั้นไปยังจุดสนใจในภาพ จะทำให้ภาพมองดูน่าสนใจและยังช่วยทำให้ภาพมีมิติมากขึ้น

รูปทรงและรูปร่าง

  • รูปทรง (Form) คนเราจะมองเห็นรูปทรงของวัตถุต่างๆ ก่อนที่จะเห็น
    รายละเอียดอย่างอื่น ๆ ดังนั้นเวลาถ่ายภาพควรเน้นให้เห็นรูปทรงที่เด่น
    ภาพที่มีรูปทรงคือภาพที่ให้มิติทั้ง ความกว้าง ยาว ลึก ได้แก่ ทรงกลม
    ทรงกระบอก ทรงสี่เหลี่ยม ฯลฯ เป็นต้น เราสามารถถ่ายวัตถุต่างๆให้เห็น
    รูปทรงได้ เช่น ถ่ายภาพ ผลไม้ ตึก อาคาร โดยเลือกถ่ายในทิศทางของแสงที่
    ทำให้เกิดเงาที่กลมกลืนบนวัตถุที่จะถ่าย เลือกมุมที่จะถ่ายให้เหมาะสม ก็จะ
    ได้ภาพที่มีมิติที่สวยงาม

  • รูปร่าง (Shape) ได้แก่ภาพที่เน้นเฉพาะโครงร่างของวัตถุที่จะถ่าย ไม่แสดงรายละเอียดของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพย้อนแสงให้เกิดเงาดำของวัตถุเป็นรูปร่างต่างๆ มองดูแล้วได้อารมณ์ไปอีกลักษณะหนึ่ง

กฏสามส่วน การวางวัตถุหลักที่เราจะถ่ายไว้ตรงจุดกึ่งกลางภาพจะทำให้ภาพแข็งทื่อไม่ชวนมอง ตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการวางวัตถุหลักที่เราจะถ่ายควรอยู่ในตำแหน่งของกฏ 3 ส่วน
โดยเวลาถ่ายภาพให้สมมุติว่าเราลากเส้นแนวตั้ง 2 เส้นเพื่อแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน และนำวัตถุหลักที่เราจะถ่ายวางไว้บนเส้นนั้น จะวางตรงเส้นใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของลักษณะภาพด้วย

ในทางกลับกันเราอาจลากเส้นตามแนวนอนเพื่อแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วนและให้นำวัตถุหลักที่เราจะถ่ายไว้บนเส้นนั้นได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นภาพที่มีเส้นขอบฟ้าถ้าเอาเส้นขอบฟ้าไว้ตรงกลางภาพจะทำให้ภาพดูไม่น่าสนใจ แต่หากวางเส้นขอบฟ้าบนกฏ 3 ส่วนจะทำให้ภาพดูสวยงามน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

    จุดตัดเก้าช่อง จุดตัดเก้าช่องพัฒนามาจากกฏ 3 ส่วน การจัดองค์ประกอบภาพลักษณะนี้ เวลาถ่ายภาพให้สมมุติว่าเราลากเส้นเพื่อแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน จะเกิดช่องทั้งหมด 9 ช่อง มีจุดตัดของเส้นทั้งหมดเพียง 4 จุดซึ่งจุดตัดเหล่านี้เป็นตำแหน่ง ที่เหมาะสมต่อการวางวัตถุหลักที่เราจะถ่าย แต่จะวางไว้ที่จุดใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของลักษณะภาพด้วย

 

    รายละเอียดบนพื้นผิวของสิ่งที่ถ่าย รายละเอียดของสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวของสิ่งที่ถ่าย ช่วยให้ภาพดูเหมือนของจริงเพราะดูเหมือนจะจับต้องได้ ให้ความรู้สึกถึงน้ำหนักและสัณฐานของสิ่งต่างๆ รวมทั้งความนุ่มนวล ความแข็งกระด้าง หรือความราบเรียบได้อีกด้วย แสงที่ส่องเข้าทางด้านข้างจะช่วยให้เห็นลวดลายของพื้นผิวได้ชัดเจน

    ภาพลวดลาย วัตถุใดๆ ก็ตามเมื่อมีรูปร่าง เส้นสาย หรือสีเหมือนๆ กัน วางเรียงรายซ้ำซ้อนเว้นระยะห่างใกล้เคียงกันจะทำให้เกิดภาพลวดลายขึ้นมา ภาพลวดลายเช่นนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้น มีอยู่มากมายรอบตัวเรา เช่น รถยนต์ที่จอดเป็นแนวในลานจอดรถ คนเข้าแถวซื้อตั๋วดูภาพยนตร์ ทหารเดินแถว หรือต้นมะพร้าวที่ปลูกไว้เป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบในสวนเราสามารถ นำสิ่งเหล่านี้มาสร้างลวดลายให้ดูกลมกลืนจะทำให้ ภาพดูแล้วสบายอารมณ์ น่าสนใจไปอีกรูปแบบหนึ่ง และในภาพลวดลายนี้ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดปกติกว่าสิ่งอื่นๆ ในภาพก็จะ ดึงดูดความสนใจผู้ดูให้ไปอยู่ตรงจุดนั้นได้

    เว้นที่ว่างสร้างความน่าสนใจ การเว้นที่ว่างให้กับภาพถ่ายถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในการจัดองค์ประกอบภาพ เพราะภาพทุกภาพจะต้องมีที่ว่างอยู่ในภาพเสมอไม่มากก็น้อยและภาพที่น่าสนใจส่วนใหญ่จะเกิดจากการเลือกช่องว่างอย่างเหมาะสม ถ้าเป็นการถ่ายภาพบุคคล นิยมเว้นที่ว่างไว้ทางด้านที่สายตาของบุคคลที่เราถ่ายมองทอดสายตาออกไป หรือถ้าเป็นภาพบุคคลกำลังถือกล้องถ่ายภาพ ก็นิยมเว้นที่ว่างไว้ในทิศทางที่บุคคลกำลังเล็งกล้องถ่ายภาพไป

    ความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการถ่ายภาพเราควรคำนึงถึงความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของเรื่องราว สีสัน หรือรูปทรงของวัตถุต่างๆ ในภาพ เช่น การถ่ายภาพธรรมชาติที่มีต้นไม้เขียวครึ้ม ก็ควรถ่ายภาพแสดงให้เห็นถึงความร่มรื่นด้วยการเน้นที่ส่วนของเงาของต้นไม้ หรือรูปทรงของวัตถุในภาพให้สอดรับกันจะทำให้ภาพน่าชวนมองมากขึ้น

    หากรอบให้กับภาพที่ถ่าย

การใส่กรอบให้กับภาพหมายถึง การเอาวัตถุบางอย่าง มาใส่ไว้เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของภาพ โดยอาจจะใช้กิ่งไม้ ต้นไม้ มาทำเป็นกรอบให้กับภาพที่เราถ่าย อาคาร สถานที่ต่างๆ ที่มีรูปทรงแหลมๆ เนื้อที่ด้านบนจะว่างมาก เมื่อนำกิ่งไม้ หรือต้นไม้บริเวณใกล้เคียงมาวางชดเชยในตำแหน่งที่ว่างๆ นั้นก็จะกลายเป็นกรอบนำสายตา หรือสร้างมิติความลึกให้กับภาพที่ถ่ายได้ วัตถุที่นิยมนำมาทำเป็นกรอบให้กับภาพได้แก่ ประตู หรือหน้าต่าง เมื่อถ่ายภาพผ่านออกไปให้เห็นประตูหน้าต่างเป็นกรอบบังคับสายตาให้มองตรงไปยังวัตถุหลักที่เราจะถ่ายจะทำให้ภาพน่าสนใจยิ่งขึ้น

เรื่องของแสง

แสงมีความสำคัญในการถ่ายภาพมาก จิตรกรจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องของสีเพื่อสร้างสรรค์ภาพวาดฉันใด นักถ่ายภาพก็จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องแสงเพื่อสร้างสรรค์ภาพถ่ายที่ดีฉันนั้น เรื่องของแสงนั้นแม้ว่าแสงจะมีจำนวนเพียงเล็กน้อยปานใดก็ตาม ปริมาณ ทิศทาง และคุณภาพของแสงจะมีอิทธิพลต่ออารมณ์และเรื่องราวของภาพอยู่เสมอ ในด้านปริมาณของแสงได้กล่าวไว้ในบทต้นๆ แล้วว่าเราจะควบคุมปริมาณแสงได้อย่างไร โดยใช้เครื่องวัดแสงในตัวกล้องช่วยวัดปริมาณแสงเพื่อให้ถ่ายภาพออกมาดีตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ส่วนในบทนี้จะพูดรายละเอียดเกี่ยวกับแสงที่สำคัญๆ ดังนี้

    ทิศทางของแสง ทิศทางของแสงส่งผลกับวัตถุที่เราจะถ่ายโดยสามารถเน้นให้เห็นรูปทรงหรือทำให้ดูแบนราบได้ วัตถุได้รับแสงจากทิศทางที่สำคัญ 3 ทางคือ

  1. แสงจากด้านหน้า แสงลักษณะนี้ดวงอาทิตย์จะอยู่ด้านหลังของผู้ถ่ายภาพ วัตถุหรือตัวแบบจะได้รับแสงสม่ำเสมอกันดี ทำให้เห็นรายละเอียดของวัตถุได้อย่างชัดเจนและมีสีสันสดใสแต่ภาพจะดูไม่มีมิติเนื่องจากเงาต่างๆตกไปอยู่ข้างหลังวัตถุ จึงมองเห็นว่าวัตถุนั้นมีลักษณะแบนไป ไม่มีเงาช่วยให้เห็นรูปทรงและความลึก
  2. แสงจากด้านข้าง แสงที่เข้าทางด้านข้างของวัตถุที่จะถ่ายจะทำให้เกิดเงาที่ตัววัตถุ ทำให้ภาพดูมีมิติเหมาะสำหรับถ่ายบุคคล นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถ่ายภาพที่ต้องการเงาเพื่อสร้างอารมณ์จากภาพ
  3. แสงจากด้านหลัง หรือที่เรียกกันว่าถ่ายภาพย้อนแสง บางคนบอกว่าอย่าถ่ายภาพย้อนแสงภาพจะไม่สวย ความจริงแล้วการถ่ายภาพย้อนแสงสามารถทำให้ภาพสวยงามสร้างอารมณ์
    ได้ดีถ้าผู้ถ่ายมีความเข้าใจหลักการวัดแสงและรู้เทคนิคการใช้แฟลชลบเงา ภาพถ่ายที่ได้จากการถ่ายย้อนแสง ตัววัตถุมักจะเป็นเงาดำทำให้เห็นโครงร่างของวัตถุที่ถ่ายมองแล้วได้
    อารมณ์ดีเช่นกัน และถ้าถ่ายภาพย้อนแสงใบหน้าบุคคล แสงจะส่องเส้นผมให้แวววาวสวยงามแต่ใบหน้าจะมืด ให้ใช้แฟลชช่วยในการถ่ายด้วย จะทำให้แสงแฟลชไปเปิดเงาดำที่
    ใบหน้าคนให้สว่างสดใสสวยงาม แต่ถ้าไม่ใช้แฟลชช่วยให้ถ่ายภาพให้ Over ไว้ 1-2 Stop แล้วแต่สภาพแสง นอกจากนี้ถ้าถ่ายภาพย้อนแสงวัตถุที่โปร่งแสงก็จะทำให้เห็นสีสันของ
    วัตถุที่ถ่ายสวยงาม เช่น ถ่ายภาพย้อนแสงใบไม้จะเห็นสีสันใบไม้สดใสขึ้นมองดูแปลกตาดี

การจัดแสงเบื้องต้น ในการถ่ายภาพแม้ว่าจะใช้แสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์เป็นหลัก แต่ในบางครั้งก็ต้องจัดแสงไฟเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ภาพออกมาดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายภาพใน Studioจะต้องใช้ไฟที่มนุษย์สร้างขึ้นในการให้แสงสว่าง และมักจะใช้ไฟหลายดวงประกอบกันเพื่อให้ภาพออกมามีแสงเงาสวยงามตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การจัดแสงเบื้องต้นประกอบด้วยแสงหลัก 4 อย่าง คือ

  1. ไฟหลัก (Main Light หรือ Key Light) เป็นไฟที่ใช้ส่องไปยังวัตถุทำให้เห็นส่วนต่างๆ ของวัตถุอย่างชัดเจน ไฟชนิดนี้นิยมวางไว้ข้างกล้องด้านขวา ในตำแหน่งเฉียงทำมุม
    30 องศา
  2. ไฟลบเงา (Fill Light) เป็นไฟที่ใช้ส่องไปยังวัตถุเช่นเดียวกับไฟหลัก ไฟลบเงาจะช่วยเพิ่มความสว่างให้กับวัตถุในส่วนที่เป็นเงาซึ่งเกิดจากไฟหลัก แต่มีกำลังส่องสว่างน้อยกว่า
    ไฟหลักในอัตราส่วน 1:2 ไฟลบเงานิยมตั้งไว้ด้านซ้ายของกล้องเฉียงเป็นมุม 60 องศา
  3. ไฟส่องหลัง (Back Light หรือ Accent Light) เป็นไฟที่วางไว้ด้านหลังของวัตถุส่องตรงไปยังด้านหลังวัตถุเพื่อแยกวัตถุและฉากหลังออกจากกัน และยังช่วยเน้นรูปทรง
    ของวัตถุให้เห็นเด่นชัดขึ้น
  4. ไฟส่องฉากหลัง (Background Light) เป็นไฟสำหรับส่องฉากหลังให้สว่างมองเห็นองค์ประกอบต่างๆ ของฉากหลังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะติดตั้งไว้ถัดจากไฟส่องหลังและหัน
    หน้าเข้าหาฉากหลัง

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Studio
    คุณภาพของแสง คุณภาพของแสงก็คือ สภาพของแสงที่แปรเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาและสภาพภูมิอากาศในแต่ละวัน มีหลายลักษณะแต่พอแยกเป็นลักษณะที่สำคัญๆ ได้ 2 ลักษณะ คือ

  • แสงแข็ง เป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์โดยไม่โดนเมฆบังเอาไว้ เป็นสภาพแสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพทิวทัศน์ ที่ต้องการสีสันสวยงามนอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเปรียบต่าง (Contrast) ในภาพสูง ทำให้ส่วนที่ได้รับแสงและส่วนที่เกิดเงาต่างกันชัดเจน เหมาะกับภาพที่ต้องการเน้นให้เห็นรูปทรงของวัตถุอีกด้วย
  • แสงนุ่ม เป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์แล้วมีเมฆมาบดบัง แสงจากดวงอาทิตย์ต้องวิ่งฝ่าความหนาของเมฆลงมา ทำให้แสงกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง สภาพแสงที่ได้จะเป็นแสงที่นุ่มนวล แต่จะส่งผลให้ภาพทิวทัศน์ที่ถ่ายมีสีสันไม่ค่อยดีสีออกตุ่นๆ ท้องฟ้ามักขาวโพลน ไม่สดใส เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลมากกว่า โดยเฉพาะภาพของสาววัยรุ่นที่ต้องการเน้นความอ่อนหวานควรถ่ายด้วยแสงนุ่มนอกจากนี้แสงนุ่มจะทำให้ภาพมีความเปรียบต่างต่ำจึงเหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ต้องการแสดงให้เห็นรายละเอียดของวัตถุ

เวลาที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ

การถ่ายภาพด้วยแสงธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพทิวทัศน์ วัตถุ หรือภาพบุคคลถ้าเป็นช่วงเช้าควรถ่ายเวลาประมาณ 6.00 น.- 9.00 น. ถ้าเป็นช่วงบ่ายควรถ่ายเวลาประมาณ 16.00 น.- 18.00 น. เพราะทิศทาง และคุณภาพของแสงจะดีกว่าการถ่ายตอนกลางวันที่มีแสงแดดจัดเปรี้ยงสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ยังมีช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่ง ที่ทำให้ถ่ายภาพทิวทัศน์ได้สวยงาม คือเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเล็กน้อย และหลังดวงอาทิตย์ตกเล็กน้อย ช่วงนี้ท้องฟ้าจะเปลี่ยนสีหลายสีในระยะเวลาอันสั้นทำให้ภาพมีสีแปลกๆ น่าตื่นตาตื่นใจแต่การถ่ายภาพ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้แสงสว่างมีน้อย ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ จึงต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ (รายละเอียดในบทที่ 6)

มุมกล้อง

มุมกล้อง หมายถึง การส่องกล้องไปยังวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ ซึ่งอาจจะส่องกล้องในระดับสายตาปกติ หรืออาจแหงนหน้ากล้องขึ้น ก้มหน้ากล้องลง เข้าไปถ่ายใกล้ๆวัตถุเพื่อทำให้วัตถุใหญ่ขึ้นหรือเอียงกล้องถ่ายภาพ ทำให้เกิดมุมมองในลักษณะต่างๆ เรียกว่ามุมกล้อง มุมกล้องที่สำคัญๆ มีดังนี้

มุมปกติ เป็นมุมกล้องที่คนส่วนใหญ่ถ่ายอยู่เป็นประจำเพราะเพียงแค่ยกกล้องขึ้นมาส่องที่ระดับสายตาแล้วเล็งภาพมองไปยังวัตถุที่จะถ่ายจากนั้นก็กดชัตเตอร์ ดังนั้นภาพที่ออกมาจะเป็นมุมมองที่ระดับสายตาหรือเรียกว่ามุมปกติ เป็นมุมมองที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วทำให้ภาพดูธรรมดาๆไม่โดดเด่นหรือสร้างความน่าสนใจขึ้นมาได้ เราควรเปลี่ยนมุมกล้องในการถ่ายภาพดูบ้างแล้วจะได้ภาพที่แปลกตาน่าสนใจขึ้นมาก

มุมก้ม หรือที่เรียกว่า (Bird-Eye View) เป็นมุมกล้องที่มองจากที่สูงก้มลงไปยังที่ต่ำ จะได้ภาพเสมือนหนึ่งว่าเป็นมุมมองของนกที่บินอยู่ในอากาศแล้วมองลงมา แต่การถ่ายมุมก้มจากที่สูงไม่จำเป็นว่าจะต้องถ่ายจากที่สูงๆแล้วก้มถ่ายลงมาเสมอไป อาจแค่เป็นการตั้งกล้องให้สูงกว่าวัตถุที่เราจะถ่ายเท่านั้นแล้วก้มถ่ายลงมา ซึ่งวัตถุที่ถ่ายอาจจะไม่สูงมากนักก็เรียกว่าถ่ายมุมก้มแล้ว การถ่ายภาพด้วยมุมกล้องแบบนี้ฉากหลังของภาพมักจะเป็น พื้นแผ่นดิน พื้นน้ำ มุมกล้องแบบนี้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถสร้างสรรค์ภาพให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

    มุมเงย หรือที่เรียกว่า (Ant-Eye View) เป็นมุมกล้องที่ถ่ายจากที่ต่ำขึ้นมายังที่สูง ภาพถ่ายที่ได้ออกมา จะเสมือนหนึ่งว่าเป็น มุมมองของมดตัวหนึ่งที่ไต่ผ่านมาแล้วแหงนมองขึ้นไป จะได้ภาพวัตถุที่ถ่าย มองดูเหมือนผู้ยิ่งใหญ่สูงเด่นโดยมีฉากหลัง เป็นท้องฟ้า ตัวอาคารที่อยู่ห่างออกไป หรือยอดไม้ สวยงามแปลกตาดี

    มุมแปลกๆ เป็นมุมกล้องที่ผู้ถ่ายแต่ละคนคิดค้นขึ้นเองเพื่อให้ได้ภาพออกมาดูแปลกตาสวยงามดี อาจใช้วิธีดัดแปลงการถ่ายจากมุมปกติ มุมก้ม มุมเงย แล้วใช้วิธีเอียงกล้องเข้าไปผสมด้วย หรือเข้าไปถ่ายให้ใกล้วัตถุมากกว่าปกติ หรือตัดบางส่วนของภาพออกไป ซึ่งบางครั้งการถ่ายด้วยมุมกล้องแปลกๆนี้อาจเป็นการถ่ายภาพที่ไม่ตรงตามหลักการทฤษฎีที่กล่าวไว้ก็ได้ เพราะการถ่ายภาพเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่น และสร้างสรรค์มุมกล้องใหม่ ๆ ขึ้นมา เพื่อให้ภาพออกมามีลักษณะแปลก ๆ ดูแล้วไม่จำเจ

โทนสีกับการถ่ายภาพ

สีของภาพมีอิทธิพลในการสร้างอารมณ์ให้ภาพถ่ายมาก เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อเห็นสีแดงหรือสีส้ม แต่รู้สึกเยือกเย็นเมื่อเห็นสีน้ำเงิน การเลือกโทนสีเพื่อนำมาใช้ในการถ่ายภาพในที่นี้จะขอแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

    โทนสีกลมกลืน คือสีต่าง ๆ ในภาพจะอยู่ในโทนเดียวกัน จะช่วยสร้างอารมณ์ของภาพได้เป็นอย่างดี อาจเป็นภาพที่มีสีใดสีหนึ่งหรือกลุ่มสีที่มีวรรณสีใกล้เคียงกันรวมอยู่ในภาพเป็นส่วนใหญ่ภาพถ่ายโทนสีกลมกลืนสามารถใช้ได้ทั้งในภาพถ่ายบุคคลและภาพถ่ายทิวทัศน์

    โทนสีตัดกัน สีตัดกันคือสีที่อยู่ตรงกันข้ามในวงล้อวรรณของสี เช่น สีแดงตัดกันกับสีเขียวสีนํ้าเงินตัดกับสีส้ม สีเหลืองตัดกับสีม่วง เราสามารถเลือกสีที่มีโทนสีตัดกัน มาสร้างความน่าสนใจให้เกิดขึ้น ในภาพถ่ายของเราได้ การใช้โทนสีตัดกันนิยมแบ่งสัดส่วนของสี ในอัตราส่วน 80:20 คือให้สีหนึ่งมีปริมาณ ร้อยละ 80 ของภาพ และอีกสีหนึ่งมีปริมาณร้อยละ 20 ของภาพ เมื่อนำสีตัดกันมา จัดองค์ประกอบ ในการถ่ายภาพ วัตถุที่มีปริมาณสีน้อยกว่า จะกลายเป็นจุดเด่นในภาพที่รองรับหรือรายล้อมด้วยวัตถุที่มีปริมาณสีมากกว่า คล้ายเป็นฉากให้กับวัตถุที่เราถ่าย

 

จับภาพตรง “จังหวะอันเหมาะ”

คือการจับภาพให้ตรงจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เสี้ยววินาทีช่วงนั้นองค์ประกอบต่าง ๆ จะประกอบกันขึ้นเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวได้สมบูรณ์ เช่น ภาพคนกระโดดตัวลอย เมื่อกระโดดสูงสุดก็กดชัตเตอร์ทันที หรือการถ่ายภาพ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันถ้าจับได้จังหวะที่เหมาะสม ก็จะได้ภาพที่ดีอย่างไม่คาดคิด เช่น ภาพกิริยาท่าทางของคน ที่สื่ออารมณ์ต่าง ๆ

สรุป

    การถ่ายภาพให้ออกมางดงาม มีองค์ประกอบที่ดี แสงเงา สีสันลงตัว ผู้ถ่ายต้องเรียนรู้ศิลปะในการถ่ายภาพ ซึ่งมีหลักการที่สำคัญ ดังนี้

    การจัดองค์ประกอบภาพ ถือได้ว่าเป็นหลักการเบื้องต้นของการถ่ายภาพเพื่อให้ภาพออกมาสวยงาม หลักการจัดองค์ประกอบภาพมีดังนี้

  1. เลือกฉากหลังที่เหมาะสม ไม่รกรุงรัง ถ้าหากพบว่าฉากหลังรกรุงรัง ก็ควรทำให้สิ่งที่รกรุงรังนั้นหายไปจากกรอบภาพ อาจใช้วิธีการเปลี่ยนมุมกล้อง หรือเปลี่ยนตำแหน่งวัตถุหลักที่เราจะถ่ายเสียใหม่ หรือใช้วิธีถ่ายภาพแบบชัดตื้นจะได้ไม่ต้องพะวงกับฉากหลังมากนัก
  2. ความสมดุลของภาพ ในการวางตำแหน่งของวัตถุต่างๆ ในภาพไม่จำเป็นต้องเอาวัตถุก้อนใหญ่ๆ สองอันมาวางไว้สองด้านเพื่อให้น้ำหนักเท่ากัน(สมดุลแบบสองข้างเท่ากัน) เพราะบางครั้งก็ดูธรรมดาจืดชืด แต่การจัดองค์ประกอบภาพที่เหมาะสม เป็นเรื่องของความเหมาะเจาะพอดีของขนาดวัตถุ สีสัน หรือโทนความเข้มของวัตถุที่มาคานน้ำหนักกันพอดีไม่เอียง ดูภาพแล้วลงตัวถือว่ามีความสมดุล(สมดุลแบบสองข้างไม่เท่ากัน)
  3. การนำลักษณะของเส้นมาสร้างภาพ เช่นเส้นแนวนอนของท้องฟ้าดูแล้วรู้สึกผ่อนคลายให้ความสงบสุข เส้นแนวตั้งของตึกเแสดงความแข็งแกร่งมั่นคง เส้นทแยงมุมของสิ่งต่างๆ ให้ความรู้สึกตื่นเต้น
  4. การใช้เส้นนำสายตา ซึ่งอาจใช้ ขอบถนน ลำธาร รั้ว สะพานเป็นตัวช่วยนำสายตาของผู้ดูภาพ ให้ไล่ตามเส้นนั้นไปยังจุดสนใจในภาพ
  5. รูปทรงและรูปร่างคนเราจะมองเห็นรูปทรงของวัตถุต่างๆ ก่อนที่จะเห็นรายละเอียดอย่างอื่นๆ ดังนั้นเวลาถ่ายภาพควรเน้นให้เห็นรูปทรงที่เด่นมีมิติ ส่วนรูปร่างได้แก่ภาพที่เน้นเฉพาะโครงร่างของวัตถุที่จะถ่าย ไม่แสดงรายละเอียดของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพย้อนแสงให้เกิดเงาดำของวัตถุเป็นรูปร่างต่างๆ
  6. กฏสามส่วนตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการวางวัตถุหลักที่เราจะถ่ายควรอยู่ในตำแหน่งของกฏ 3 ส่วน โดยเวลาถ่ายภาพให้สมมุติว่าเราลากเส้นแนวตั้ง 2 เส้นเพื่อแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน และนำวัตถุหลักที่เราจะถ่ายวางไว้บนเส้นนั้น
  7. จุดตัดเก้าช่อง เวลาถ่ายภาพให้สมมุติว่าเราลากเส้นเพื่อแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน จะเกิดช่องทั้งหมด 9 ช่อง มีจุดตัดของเส้นทั้งหมดเพียง 4 จุด ซึ่งจุดตัดเหล่านี้เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการวางวัตถุหลักที่เราจะถ่าย
  8. รายละเอียดบนพื้นผิวของสิ่งที่ถ่าย ช่วยให้ภาพดูเหมือนของจริงเพราะดูเหมือนจะจับต้องได้ และแสงที่ส่องเข้าทางด้านข้างจะช่วยให้เห็นลวดลายของพื้นผิวได้ชัดเจน
  9. ภาพลวดลาย เช่น รถยนต์ที่จอดเป็นแนวในลานจอดรถ หรือต้นมะพร้าวที่ปลูกไว้เป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบในสวน เราสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาสร้างลวดลายให้ดูกลมกลืน ทำให้ภาพดูแล้วสบายอารมณ์ และในภาพลวดลายนี้ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดปกติกว่าสิ่งอื่นๆ ในภาพ ก็จะดึงดูดความสนใจผู้ดูภาพให้ไปอยู่ตรงจุดนั้นได้
  10. เว้นที่ว่างสร้างความน่าสนใจ ภาพที่น่าสนใจส่วนใหญ่จะเกิดจากการเลือกช่องว่างอย่างเหมาะสม เช่น การถ่ายภาพบุคคล นิยมเว้นที่ว่างไว้ทางด้านที่สายตาของคนที่เราถ่ายมองทอดสายตาออกไป
  11. ความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของเรื่องราว สีสัน หรือรูปทรงของวัตถุต่างๆ ในภาพ เช่น การถ่ายภาพธรรมชาติที่มีต้นไม้เขียวครึ้ม ก็ควรถ่ายภาพแสดงให้เห็นถึงความร่มรื่นด้วยการเน้นที่ส่วนของเงาของต้นไม้ หรือรูปทรงของวัตถุในภาพให้สอดรับกัน
  12. หากรอบให้กับภาพที่ถ่าย วัตถุที่นิยมนำมาทำเป็นกรอบให้กับภาพได้แก่ ประตู หรือหน้าต่าง เมื่อถ่ายภาพผ่านออกไป ประตูหน้าต่างจะเป็นกรอบบังคับสายตาให้มองตรงไปยังวัตถุหลักที่เราจะถ่าย

  เรื่องของแสง หลักการเกี่ยวกับแสงที่สำคัญๆ มีดังนี้

  1. ทิศทางของแสง วัตถุได้รับแสงจาก ทิศทางที่สำคัญ 3 ทางคือ แสงจากด้านหน้า วัตถุหรือตัวแบบจะได้รับแสงสม่ำเสมอกันดี ทำให้เห็นรายละเอียดของวัตถุได้อย่างชัดเจนและมีสีสันสดใส แต่ภาพจะดูไม่มีมิติเนื่องจากเงาต่างๆ ตกไปอยู่ข้างหลังวัตถุ ไม่มีเงาช่วยให้เห็นรูปทรงและความลึก แสงจากด้านข้าง จะทำให้เกิดเงาที่ตัววัตถุ ทำให้ภาพดูมีมิติ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถ่ายภาพที่ต้องการเงาเพื่อสร้างอารมณ์จากภาพ แสงจากด้านหลังหรือที่เรียกกันว่าถ่ายภาพย้อนแสง ภาพถ่ายที่ได้จากการถ่ายย้อนแสงตัววัตถุมักจะเป็นเงาดำทำให้เห็น
    โครงร่างของวัตถุที่ถ่ายมองแล้วได้อารมณ์ดี และถ้าถ่ายภาพย้อนแสงใบหน้าบุคคลแสงจะส่องเส้นผมให้แวววาวสวยงามแต่ใบหน้าจะมืด ให้ใช้แฟลชช่วยในการถ่ายด้วยจะทำให้แสงแฟลชไปเปิดเงาดำที่ใบหน้าคนให้สว่างสดใสสวยงาม
  2. การจัดแสงเบื้องต้น การถ่ายภาพใน Studio จะต้องใช้ไฟที่มนุษย์สร้างขึ้นในการให้แสงสว่างและมักจะใช้ไฟหลายดวงประกอบกัน เพื่อให้ภาพออกมามีแสงเงาสวยงามการจัดแสงเบื้องต้นประกอบด้วยแสงหลัก 4 อย่าง คือ ไฟหลัก เป็นไฟที่ใช้ส่องไปยังวัตถุทำให้เห็นส่วนต่างๆ ของวัตถุอย่างชัดเจน นิยมวางไว้ข้างกล้องด้านขวาเฉียงทำมุม 30 องศา ไฟลบเงา ใช้ส่องไปยังวัตถุเช่นเดียวกับไฟหลัก ช่วยเพิ่มความสว่างให้กับวัตถุในส่วนที่เป็นเงาซึ่งเกิดจากไฟหลัก มีกำลังส่องสว่างน้อยกว่าไฟหลักในอัตราส่วน 1:2 นิยมตั้งไว้ด้านซ้ายของกล้องเฉียงเป็นมุม 60 องศาไฟส่องหลังวางไว้ด้านหลังของวัตถุ ส่องตรงไปยังด้านหลังวัตถุเพื่อแยกวัตถุและฉากหลังออกจากกัน ช่วยเน้นรูปทรงของวัตถุให้เห็นเด่นชัดขึ้น ไฟส่องฉากหลัง ใช้ส่องฉากหลังให้สว่างมองเห็นองค์ประกอบต่างๆของฉากหลังชัดเจนยิ่งขึ้น นิยมตั้งไว้ถัดจากไฟส่องหลังและหันหน้าเข้าหาฉากหลัง
  3. คุณภาพของแสงมีลักษณะที่สำคัญ 2 ลักษณะ คือ แสงแข็ง เป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์โดยไม่โดนเมฆบังเอาไว้เหมาะกับการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่ต้องการสีสันสวยงาม ทำให้เกิดความเปรียบต่างในภาพสูง ส่วนที่ได้รับแสงและส่วนที่เกิดเงาต่างกันชัดเจน จึงเหมาะกับภาพที่ต้องการเน้นให้เห็นรูปทรงของวัตถุอีกด้วยแสงนุ่ม เป็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์แล้วมีเมฆมาบดบัง ถ้าถ่ายภาพทิวทัศน์สีสันจะออกตุ่นๆท้องฟ้ามักขาวโพลนไม่สดใส แสงนุ่มเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลมากกว่า โดยเฉพาะภาพของสาววัยรุ่นที่ต้องการเน้นความอ่อนหวาน นอกจากนี้แสงนุ่มจะทำให้ภาพมีความเปรียบต่างต่ำ จึงเหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ต้องการแสดงให้เห็นรายละเอียดของวัตถุอีกด้วย

    เวลาที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ การถ่ายภาพทั่วไปด้วยแสงธรรมชาติ ถ้าเป็นช่วงเช้าควรถ่ายเวลาประมาณ 6.00 น.- 9.00 น. ช่วงบ่ายควรถ่ายเวลาประมาณ 16.00 น.- 18.00 น. เพราะทิศทางและคุณภาพของแสงจะดีกว่าการถ่ายตอนกลางวันที่มีแสงแดดจัดเปรี้ยง แต่ยังมีช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่งที่ทำให้ถ่ายภาพทิวทัศน์ได้สวยงาม คือเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเล็กน้อยและหลังดวงอาทิตย์ตกเล็กน้อย ช่วงนี้ท้องฟ้าจะเปลี่ยนสีหลายสีในระยะเวลาอันสั้นทำใหภ้ าพมีสีแปลกๆ น่าตื่นตาตื่นใจ

    มุมกล้อง มุมกล้องที่สำคัญๆ มีดังนี้ มุมปกติ เพียงแค่ยกกล้องขึ้นมาส่องที่ระดับสายตาแล้วเล็งภาพมองไปยังวัตถุที่จะถ่ายจากนั้นก็กดชัตเตอร์ ภาพที่ออกมาจะเป็นมุมมองที่ระดับสายตาที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ทำให้ภาพดูธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นเท่าที่ควร มุมเงย เป็นมุมกล้องที่ถ่ายจากที่ต่ำขึ้นมายังที่สูง จะได้ภาพวัตถุที่ถ่ายมองดูเหมือนผู้ยิ่งใหญ่สูงเด่น โดยมีฉากหลังเป็น ท้องฟ้า ตัวอาคาร ที่อยู่ห่างออกไป หรือยอดไม้ สวยงามแปลกตาดี มุมก้ม เป็นมุมกล้องที่มองจากที่สูงก้มลงไปยังที่ต่ำ ไม่จำเป็นว่าจะต้องถ่ายจากที่สูงๆ แล้วก้มถ่ายลงมา อาจแค่เป็นการตั้งกล้องให้สูงกว่าวัตถุที่เราจะถ่ายเท่านั้นแล้วก้มถ่ายลงมา ซึ่งวัตถุที่ถ่ายอาจจะไม่สูงมากนักก็เรียกว่าถ่ายมุมก้มแล้ว การถ่ายด้วยมุมกล้องแบบนี้ฉากหลังของภาพมักจะเป็นพื้นแผ่นดิน สว่ นตัววัตถุที่ถ่ายจะมองเล็กลง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถสร้างสรรค์ภาพให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น มุมแปลกๆ เป็นมุมกล้องที่ผู้ถ่ายแต่ละคนคิดค้นขึ้นเองเพื่อให้ได้ภาพออกมาดูแปลกตาสวยงามดี อาจใช้วิธีดัดแปลงการถ่ายจากมุมปกติ มุมก้ม มุมเงย แล้วใช้วิธีเอียงกล้องเข้าไปผสมด้วย หรือเข้าไปถ่ายให้ใกล้วัตถุมากกว่าปกติ หรือตัดบางส่วนของภาพออกไป

    โทนสีกับการถ่ายภาพ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ โทนสีกลมกลืน อาจเป็นภาพที่มีสีใดสีหนึ่งหรือกลุ่มสีที่มีวรรณสีใกล้เคียงกันรวมอยู่ในภาพเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้ได้ทั้งในภาพถ่ายบุคคลและภาพถ่ายทิวทัศน์ โทนสีตัดกัน คือสีที่อยู่ตรงกันข้ามในวงล้อวรรณของสี เช่น สีแดงตัดกันกับสีเขียว การใช้โทนสีตัดกันนิยมแบ่งสัดส่วนของสีในอัตราส่วน 80:20 คือให้สีหนึ่งมีปริมาณร้อยละ 80 ของภาพ และอีกสีหนึ่งมีปริมาณร้อยละ 20 ของภาพ เมื่อนำสีตัดกันมาจัดองค์ประกอบในการถ่ายภาพวัตถุที่มีปริมาณสีน้อยกว่าจะกลายเป็นจุดเด่นในภาพ ที่รองรับหรือรายล้อมด้วยวัตถุที่มีปริมาณสีมากกว่าคล้ายเป็นฉากให้กับวัตถุที่เราถ่าย

    จับภาพตรง “จังหวะอันเหมาะ” คือการจับภาพให้ตรงจังหวะที่เหมาะสมที่สุด เสี้ยววินาทีช่วงนั้นองค์ประกอบต่าง ๆ จะประกอบกันขึ้นเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวได้สมบูรณ์ เช่น ภาพคนกระโดดตัวลอย เมื่อกระโดดสูงสุดก็กดชัตเตอร์ทันทีศิลปะในการถ่ายภาพที่กล่าวมา หากนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมก็จะทำให้ภาพที่เราถ่ายออกมาสวยงาม เด่น สะดุดตา ได้อารมณ์ น่าสนใจ ทำให้การสร้างสรรค์ภาพถ่ายดิจิทัลแบบต่าง ๆมีคุณภาพดียิ่งขึ้น

 

บทเพลง เดิมพันที่ยิ่งใหญ่

 

#เดิมพันที่ยิ่งใหญ่

คำร้อง / ทำนอง : ต้าร์ สราวุฒิ / ณัฏฐ์ เตชะปัญญา / พันเอก วินธัย สุวารี

เรียบเรียง : ธนพงศ์พันธ์ บูรณะคุปต์

กว่าสี่พันโครงการ จากแนวคิดของพ่อทั้งมวล หากถาม ว่าพ่อไม่เหนื่อยบ้างหรือ
พ่อเคยบอกว่าท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันนั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันนั้นคือ ความสุขคนไทยทั้งปวง

เพราะพ่อคือแสงเทียน และสายฝน ยามเย็น และตอนใกล้รุ่ง ชโลมใจ เป็นแสงไฟให้เราทุกคน
เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย ควรทำให้พ่อ ไกลกังวล คือความฝันอันสูงสุด ในชีวิตนี้

*** ๗๐ ล้านดวงใจ ขอตรึงไว้ให้ ๑ องค์ราชัน
สืบสานในปณิธานเป็นการตอบแทน
เมื่อวันนี้พ่อได้หยุดพัก จากนี้ลูกจะทำแทน
เพื่อชาติ แผ่นดินที่พ่อสร้างไว้ (ลูกจะทำ)

ภาพที่พ่อโบกมือ ที่เราเห็นแล้วรู้สึกดี จากนี้น้ำตาคงไหลทั่วกัน
สิ่งที่ทำบนโลกใบนี้ ได้ทำให้คนนับล้าน รู้สึกตื้นตันร่วมกันอย่างนี้ได้

แม้ในยามอาทิตย์อับแสง ชะตาชีวิตไร้จันทร์ ได้มีพระมหามงคล เป็นเหมือนแสงเดือน
พ่ออยู่ในดวงใจนิรันดร์ แผ่นดินของเราย้ำเตือน ว่าโชคดีแค่ไหน ที่อยู่ใต้ร่มบารมี..

*** ๗๐ ล้านดวงใจ ขอตรึงไว้ให้ ๑ องค์ราชัน
สืบสานในปณิธานเป็นการตอบแทน
เมื่อวันนี้พ่อได้หยุดพัก จากนี้ลูกจะทำแทน
เพื่อชาติ แผ่นดินที่พ่อสร้างไว้ (ลูกจะทำ)

คือตำนานพ่อแห่งแผ่นดินนี้ที่ยิ่งใหญ่ ยังคงตราตรึงอยู่ในใจต่อจากนี้
เรามารวมชาติด้วยความรัก ปลูกฝัง ให้สามัคคี เพื่อแผ่นดินไทยที่ดี จะถวายพ่อด้วยใจภักดี..
*** ๗๐ ล้านดวงใจ ขอตรึงไว้ให้ ๑ องค์ราชัน
สืบสานในปณิธานเป็นการตอบแทน
เมื่อวันนี้พ่อได้หยุดพัก จากนี้ลูกจะทำแทน
เพื่อชาติ แผ่นดินที่พ่อสร้างไว้ ทรงพระเจริญ

 


 

ผลงานชิ้นนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายความอาลัย และร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ทั้งหมดนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและหวังว่าให้งานชิ้นนี้ “เป็นสมบัติของคนไทยทั้งแผ่นดิน”

#รวมใจถวายความอาลัยพ่อแห่งแผ่นดิน๙

โดย #มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ร่วมกับ #กองทัพบก และ​ ศิลปินนักแสดง

รูปแบบการจัดการความรู้ในเชิงธุรกิจขนาดใหญ่ ศึกษากรณีโรงงานผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารทะเลขนาดใหญ่ในจังหวัดสมุทรสาคร

ชื่อผลงานทางวิชาการ : “รูปแบบการจัดความรู้ในเชิงธุรกิจขนาดใหญ่ ศึกษากรณีโรงงานผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารทะเลขนาดใหญ่ ในจังหวัดสมุทรสาคร”

ประเภทผลงานทางวิชาการ : บทความวิจัย

ปีที่พิมพ์ : 2559

ข้อมูลเพิ่มเติม : ผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารสมาคมนักวิจัย ปีที่ 21 ฉบับที่ 1  มกราคม – เมษายน 2559

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ / ตำแหน่งทางวิชาการ : ผู้ช่วยศาสตราจารย์นงนุช อุณอนันต์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา   

e-mail : nuch3774@gmail.com  Tel. 089 – 0117258

บทนำของผลงาน : วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบตัวแปรของปัจจัยที่เอื้อต่อ

การจัดกระบวนการความรู้ความสำเร็จ อิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อม

และค้นหารูปแบบธุรกิจขนาดใหญ่ ในจังหวัดสมุทรสาคร

กลุ่มตัวอย่าง : จำนวน 300 ใช้สถิติวิเคราะห์เชิงพรรณนา ประกอบด้วยค่าร้อยละ

ค่าเฉลี่ย และสถิติเชิงอนุมาน

การวิเคราะห์ : วิเคราะห์จากอิทธิพลเชิงสาเหตุและโมเดลสมการโครงสร้าง

สรุปสาระสำคัญของผลงานวิจัย พบว่า : การวิเคราะห์องค์ประกอบปัจจัยที่เอื้อต่อการจัดการความรู้ ด้านภาวะผู้นำและกลยุทธ์มีมากที่สุด มีการเผยแพร่ความรู้มากที่สุดและประสบความสำเร็จต่อการจัดความรู้ โดยพนักงานพัฒนามากที่สุด สำหรับอิทธิพลความรู้ทางอ้อมสูงมากและโมลเดลสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกันมาก

คำสำคัญ : การจัดการความรู้ธุรกิจขนาดใหญ่ โรงงานผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารทะเล

จุดเด่น / ความน่าสนใจจากผลของผลการวิจัยและการนำไปใช้ประโยชน์ : พบว่า

1. การประกอบธุรกิจต่างๆ ต้องมีการแข่งขันสูงจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้ทันสถานการณ์ และต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์

2. การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้น มีเป้าหมายรวมตัวกันเพื่อสร้างตลาดและฐานการผลิต จึงมีการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตตลอดจน การลงทุน แรงงานฝีมืออย่างเสรี

3. ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการประกอบธุรกิจการผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะทฤษฎีต่างๆ ในการจัดความรู้ อาทิเช่น ทฤษฎีเกลียวแห่งความรู้ SECI Model หรือ ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งแห่งความรู้

อื่น ๆ (ตามความเหมาะสม) : จากผลการวิจัย / จุดเด่น พบว่า

1. มหาวิทยาลัยเป็นองค์การที่ประกอบด้วยบุคลากรหลายฝ่ายหลายตำแหน่งงาน ที่มีภาระกิจการปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน ผลสำเร็จของงานจึงมีคุณภาพไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับ “ ผู้ปฏิบัติ ” เพราะมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนกิจการอย่างหนึ่ง จำเป็นเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้แสดงความคิดเห็นด้วย เพื่อจะได้รับรู้ปัญหาและเรียนรู้ร่วมกัน จึงควรพิจารณารูปแบบพัฒนาบุคลากรที่เหมาะสมกับภาระงานที่รับผิดชอบ โดยพิจารณาจากพื้นฐานทักษะความรู้ของบุคลากรและวัฒนธรรม องค์การ จะช่วยเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานและเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติ

2. ผู้บริหารมหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนากระบวนการทำงานของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

3. ควรสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดการสร้างสรรค์ด้านวัตกรรม เพราะทุนทางปัญญาของมนุษย์เกิดจากความรู้นำมาพัฒนางานและพัฒนาตน

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณูบรรณกร

การจัดการความรู้ (Knowledge Management)

ชื่อผลงานทางวิชาการ : การจัดการความรู้ (Knowledge Management)

ประเภทผลงานทางวิชาการ : ตำราประกอบการเรียนวิชาการจัดการความรู้และองค์การแห่งการเรียนรู้

ปีที่พิมพ์ : 2558

ข้อมูลเพิ่มเติม : พิมพ์ที่โรงพิมพ์สหธรรมิก ถนนจรัญสนิทวงศ์ กทม. พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2557 ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2558 ใช้เป็นผลงานขอกำหนดตำแหน่ง รองศาสตราจารย์

ชื่อเจ้าของผลงานทางวิชาการ : ผู้ช่วยศาสตราจารย์นงนุช อุณอนันต์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา   

สรุปสาระสำคัญของผลงานทางวิชาการ : ตำราประกอบด้วยความรู้ 9 บท ซึ่งมีเนื้อหาเรียงลำดับตั้งแต่แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้ ทฤษฎีที่นำมาใช้ในองค์การที่มีการจัดการความรู้ ปัจจัยที่เอื้อต่อการจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสนับสนุนการจัดการความรู้ องค์การแห่งการเรียนรู้ ทฤษฎีที่นำมาใช้ในองค์การแห่งการเรียนรู้และกรณีศึกษาการจัดการความรู้ในองค์กร

จุดเด่น / ความน่าสนใจ / การนำไปใช้ประโยชน์ : ตำราเล่มนี้ใช้สำหรับการเรียนวิชาการจัดการความรู้และองค์แห่งการเรียนรู้และสามารถนำไปใช้ไปประโยชน์ในการประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานในองค์การหรือมหาวิทยาลัยได้ดี เพราะ

1. มหาวิทยาลัยประกอบด้วยบุคลากรที่มีพลัง เป็นผู้ใฝ่รู้ทั้งด้านความคิด วิทยาการใหม่ๆ มาปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่องานจะได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

2. บุคลากรของมหาวิทยาลัย คือ ผู้เรียนรู้ จึงสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองจากประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานที่ได้จากการปฏิบัติงานด้วยตนเอง

3. ประสบการณ์เดิมของผู้ปฏิบัติงานและความรู้นั้นจะเกิดได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงานทุกๆ ด้านด้วยกันเอง

4. การทำงานของทุกส่วนในมหาวิทยาลัย มีความเชื่อมโยงจากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ ต้องใช้การคิดอย่างมีเหตุมีผล เป็นการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด เพื่อความถูกต้อง แม่นยำและรวดเร็ว องค์การจะประสบความสำเร็จอย่างสูง

จากทั้งจุดเด่นทั้ง 4 ประการ มหาวิทยาลัยสามารถนำมาเป็นกรอบความคิดเกี่ยวกับบุคลากรได้ดังนี้

1. มหาวิทยาลัยควรมีโครงการสัมมนาผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับ “ การปฏิบัติงาน ” จะได้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน

2. มหาวิทยาลัยควรนำกระบวนการคิด (ทักษะการคิด) อย่างเป็นระบบมาใช้กับการปฏิบัติงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถมองเห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในภาพรวมได้ จะได้ช่วยกันป้องกัน และจะช่วยให้บุคลากรมีความผูกพันกันสูง เกิดความร่วมมืออย่างพร้อมเพียง นำสู่ไปสู่ผลสำเร็จตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้

3. ผู้บังคับบัญชาต้องเปิดใจกว้าง สร้างบรรยากาศการทำงานเป็นทีม ให้ทีมงานสนใจ สนุกกับการทำงานและต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีลักษณะการเรียนรู้เป็นทีม พยายามกระตุ้นผู้ใต้บังคับบัญชาให้ตื่นตัว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

4. ผู้บริหารต้องแสดงพฤติกรรมและเป็นแบบอย่างที่ดีที่สังคมยอมรับให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา พยายามส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยเป็นองค์การแห่งมีความสุขและสร้างความสุขให้เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจของทุกคนในองค์การ

รองศาสตราจารย์ศรีมงคล เทพเรณู บรรณากร

Modified block iterative procedure for solving the common solution of fixed point problems for two countable families of total quasi-φ-asymptotically nonexpansive mapping with applications.

Pongrus Phuangphoo  and  Poom Kumam. (2012).   Modified  block  iterative

                procedure  for  solving  the common solution of fixed point problems

                 for two countable families of  total   quasi-φ-asymptotically nonexpansive

                mapping  with applications. ”   Fixed  Point  Theory  And   Applications.

               Vol. 2012  (198 ), 23 pp.  ( ISI   2013  Impact  Factor  2.49 )

วารสารวิชาการ

วารสารวิชาการ Fixed Point Theory and Applications

ลิงค์ที่เข้าถึงได้

http://link.springer.com/article/10.1186/1687-1812-2012-198