ผลมะตาด : พฤกษศาสตร์มหัศจรรย์
วิชัย ปทุมชาติพัฒน์ *
*สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
บทนำ
มะตาดเป็นไม้ต้นขนาดกลาง ทรงพุ่มหนาแน่น แผ่กว้าง ใบใหญ่และหนา ดอกสีขาวเกสรสีเหลือง รูปร่างคล้ายไข่ดาว ผลของมะตาดขนาดกำปั้น มีโครงสร้างของผลแตกต่างไปจากผลของพืชทั่วไป การนำผลมะตาดมาเป็นตัวอย่างในการเรียนการสอนรายวิชาพฤกษศาสตร์ ชีววิท
ยา หลักพืชสวน หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้อง จะเห็นองค์ประกอบของผลที่แตกต่างไปจากผลชนิดอื่นที่คุ้นเคย เนื่องจากพัฒนาการหลังการผสมเกสรของส่วนต่างๆดังกล่าวทำให้เกิดความสับสนไม่น้อย ผลไม้ที่มีพัฒนาการผิดไปแบบนี้ก็มีให้เห็นมาแล้วจากผลของมะม่วงหิมพานต์ ที่ผู้พบเห็นส่วนใหญ่เข้าใจว่าส่วนที่ห้อยอยู่นั้นเป็นเมล็ด ทั้งๆที่เป็นส่วนของผล บทความนี้จึงนำมาเผยแพร่ให้เห็นความมหัศจรรย์ของผลมะตาด
มารู้จักมะตาดกัน
มะตาด ชื่อนี้มีกี่คนที่รู้จัก จากการสอบถามนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ทุกสาขาวิชาที่เคยสอนมากว่า ๓๐ ปี มีไม่ถึง ๒๐ % ที่รู้จักมะตาด เมื่อมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่มีหลายวัย ก็มีไม่มากที่รู้จักมะตาด มันน่าน้อยใจที่คนรู้จักในวงแคบ ทั้งที่นอกจากจะเป็นผักที่มีรสชาติอร่อยแล้วยังเป็นไม้ประดับที่มีความสวยงามทั้งส่วนที่เป็นใบที่มีรูปร่างสวย เส้นใบชัดเจนมีรอยจีบเป็นระเบียบ มีกลีบดอกขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่ขนาดฝ่ามือ ผลขนาดใหญ่ขนาดกำปั้นรูปร่างสวยไม่เหมือนใคร และทรงพุ่มที่หนาแน่นที่มีช่อใบอวดสวยเป็นช่อๆรอบทรงพุ่ม ที่สำคัญคือไม่ผลัดใบให้เก็บกวาดลำบาก นอกจากนี้ภายในผลยังมีกาวที่เหนียวกว่ากาวที่ซื้อมาจากร้านเครื่องเขียน สามารถทาโคมกระดาษสีในการจัดเตรียมงานวัดได้เป็นอย่างดี
เด็กๆในชนบทมีว่าวที่คุณตาประดิษฐ์ให้โดยใช้กาวจากผลมะตาดที่แก่จัด การปลูกมะตาดเป็นไม้ประดับอาคารบ้านเรือนและสวนสาธารณะจะสร้างความประทับใจให้แก่เจ้าของสถานที่และผู้มาเยี่ยมเยือน น่ายกย่องโรงแรมรามาการ์เดนที่ปลูกมะตาดกว่า ๑๐ ต้นประดับไว้ในการตกแต่งสวนพร้อมทั้งติดป้ายชื่อไว้สำหรับผู้ไปใช้บริการได้รู้จัก นอกจากจะเป็นการเผยแพร่พรรณไม้ที่มีคุณค่าหลายด้านแล้วยังเป็นการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชที่หาดูยากด้วย ในด้านสรรพคุณทางสมุนไพรนั้นรากของมะตาดสามารถถอนพิษไข้ เปลือกและใบเป็นยาระบาย ฝาดสมาน และลดไข้ ผลเป็นยาบำรุงร่างกาย ลดไข้ แก้ปวดท้อง แก้ไอ ส่วนน้ำยางจากผลดิบใช้สระผม
ผลมะตาดแตกต่างจากผลไม้อื่นอย่างไร ต้องยกตัวอย่างผลไม้ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมาเปรียบเทียบ เช่น ผลมะนาว ก่อนจะมีผลมะนาวก็จะต้องมีดอก เมื่อดอกบานแล้วส่วนประกอบของดอกที่เป็นกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ก็จะร่วงหล่นไปเหลือไว้แต่รังไข่ที่ได้รับการผสมเกสรแล้วและพัฒนากลายเป็นผลมะนาว แล้วผลมะตาดแตกต่างอย่างไรจึงเห็นว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ลักษณธทางพฤกษศาตร์ของมะตาด
มะตาด ชื่อวิทยาศาสตร์Dillenia indica L. ชื่อวงศ์ DILLENIACEAE ชื่ออื่น กะปรุ มะส้าน ส้มปรุ ส้านกว้าง ส้านกะพลุ ส้านท่า ส้านป้าว ส้านเปล้า ส้านใหญ่ แส้น
ลักษณะทั่วไป มะตาดเป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๐ เมตร ไม่ผลัดใบ เป็นพุ่มหนากลมหรือแผ่กว้าง ลำต้นมักคดงอ ขรุขระ สีน้ำตาลปนเหลือง ลอกออกเป็นแผ่นบางคล้ายกระดาษได้
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับเป็นช่อตามปลายกิ่ง ใบรูปไข่แกมรูปใบหอกหรือรูปไข่กลับกว้าง ๗ – ๑๒ ซม. ยาว ๑๕ – ๓๐ ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ โคนใบสอบ หรือมน แผ่นใบบาง ขอบใบจักซี่ฟัน แผ่นใบด้านล่างมีขนประปราย เส้นแขนงใบ ข้างละ ๒๐ – ๔๐ เส้น ก้านใบยาว ๔ – ๕ ซม. โคนก้านใบเป็นกาบหุ้มกิ่ง ดอก เป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวรูปช้อน ๕ กลีบ กลีบดอกสีขาว ๕ – ๖ กลีบ บาง รูปไข่กลับ หลุดร่วงง่าย เกสรตัวเมีย ๑ อันปลายแยกออกเป็น๑๕ – ๒๐ แฉกแผ่ออกเป็นวงกลม เกสรตัวผู้สีเหลือง จำนวนมากกว่า ๑๐๐ อันอัดแน่นล้อมรอบใต้เกสรตัวเมีย ดอกบานเต็มที่กว้าง ๑๔ –๑๖ซม. ก้านดอกมีขนสากยาว ๓ – ๕ ซม. ผล เป็นผลกลมใหญ่และอุ้มน้ำมีกาบแข็งหุ้ม ขนาด ๑๐ – ๑๕ ซม. เมล็ดสีดำมีจำนวนมาก เยื่อหุ้มเมล็ดสีเหลืองอ่อน
ความมหัศจรรย์ของผลมะตาด
หากดูจากภายนอกจะเห็นว่าผลมะตาดก็เหมือนผลไม้ทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาตามหลักพฤกษศาสตร์แล้วจะเห็นความมหัศจรรย์ ๔ ประการ ประการแรกคือ ส่วนที่เห็นเป็นกาบแข็งหนาซ้อนกันแน่นเป็นทรงกลมแบนเหมือนผลนั้น มันไม่ใช่ส่วนประกอบของผลแต่เป็นกลีบเลี้ยงที่พัฒนาขึ้นมา เริ่มแรกก็เป็นกลีบเลี้ยง (sepal) เหมือนดอกไม้ทั่วไป เมื่อดอกบานแล้วมีการผสมเกสรเกิดขึ้นแล้วกลีบดอกสีขาวก็ร่วงหล่นไป กลีบเลี้ยงสีเขียวทั้ง ๕ กลีบกลับไม่ร่วง แต่กลับเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นกาบแข็งห่อหุ้มส่วนประกอบที่เหลือไว้ภายใน
ความมหัศจรรย์ประการที่ ๒ คือ ก้านชูเกสรตัวผู้ (stamen)จำนวนมากที่มีอับละอองเกสรตัวผู้สีเหลืองนั้น หลังจากดอกบานแล้วก็ไม่ร่วงหล่นไปเหมือนดอกไม้อื่น จะยังคงโอบล้อมรังไข่(ovary)ไว้ในสภาพเดิม จนกลีบเลี้ยงในความมหัศจรรย์ประการแรกมาห่อเอาไว้ ขณะเดียวกันรังไข่ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นผล(fruit)และถูกซ่อนไว้ภายในอย่างมิดชิด เมื่ออยากเห็นผลที่แท้จริงของมะตาดก็ต้องผ่าดู หากผ่าตามขวางก็จะพบว่าผลจริงเป็นพูสีเขียวอ่อนและใส ประมาณ ๑๘ – ๒๐ พู เรียงกันเป็นวงกลม แต่ละพูจะมีเมล็ดหลายเมล็ดถูกหุ้มด้วยสารเหนียว ก้านชูเกสรตัวผู้ดังกล่าวก็เรียงเป็นแถวล้อมรอบผลจริงอย่างสวยงามเหมือนเป็นองครักษ์พิทักษ์ผล
ความมหัศจรรย์ประการที่ ๓ คือ ยอด
เกสรตัวเมีย(stigma) สีขาวประมาณ ๑๘ – ๒๐ อัน ที่อวดสวยเด่นตอนดอกบานนั้นก็ไม่ได้ร่วงหล่นไปไหน จะยังคงติดอยู่ที่ก้นผลจริงและถูกกลีบเลี้ยงห่อหุ้มไว้ในสภาพเดิมในขนาดเดิม แม้สีจะเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลอ่อน
ความมหัศจรรย์ประการที่ ๔ คือ ยางมะตาด มีความเหนียวไม่แพ้ยางมะตูม เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำเอายางมะตาดมาใช้ในการประดิษฐ์ของใช้ของเล่น เช่น ทำว่าว ทำโคมและธงทิวกระดาษสีในงานประเพณี ยางมะตาดถูกขังไว้ในแต่ละพูของผลจริง ห่อหุ้มเมล็ดไว้อย่างเหนียวแน่น การคัดแยกเอาเมล็ดมะตาดออกมาปลูกนั้นทำได้ไม่ง่ายนัก ฉะนั้นโอกาสที่เมล็ดของมะตาดจะหลุดออกมางอกตามธรรมชาติจึงมีน้อยมาก
อาหารที่ปรุงจากผลมะตาด
ได้รู้จักความมหัศจรรย์ของผลมะตาดมาครบถ้วนแล้ว คราวนี้มารู้จักวิธีทำอาหารจากผลมะตาดกัน เผื่อว่าอยากลองทำกินเองที่บ้านบ้าง เป็นที่รู้กันว่าชาวมอญเป็นชนชาติที่รู้จักวิธีนำผลมะตาดมาปรุงอาหารกันมาแต่โบราณ โดยนำเอาผลมะตาดวัยอ่อนมาแกะเอาเฉพาะส่วนของกลีบเลี้ยงทั้ง ๕ กลีบที่หุ้มผลอยู่มาหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำมาทำแกงส้มหรือแกงคั่วใส่กุ้งสด หรือเนื้อปลา มีรสชาติอร่อย ส่วนของผลจริงก็ทิ้งไป ผู้เขียนเคยได้ลิ้มรสมาแล้วทั้ง ๒ อย่าง ที่เป็นแกงส้มนั้นเป็นผลมะตาดที่เก็บจากต้นมะตาดในวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว ต้นนี้มีขนาดใหญ่มาก อยู่ข้างอาคารวิเศษศุภวัฒน์ ปัจจุบันไม่มีแล้ว ฝีมือแกงของป้าวิไล ภรรยาของลุงแฝด ชื่นบานเย็น นักการรุ่นเก่า โดยแกงใส่เนื้อปลา อร่อยมาก ส่วนแกงคั่วนั้นคุณยายชาวมอญที่มีบ้านอยู่หลังวัดมอญหรือวัดประดิษฐาราม สาธิตการแกงและแบ่งมาให้ชิมเมื่อเร็วๆนี้ดังภาพที่นำมาประกอบ ก็อร่อยอีกเช่นเคย ท่านที่มีฝีมือทางการปรุงแกงส้มแกงคั่วน่าลองปรุงดู แต่ท่านจะหาซื้อผลมะตาดที่ไหน คงต้องขอแบ่งมาจากเพื่อนบ้าน หรือไม่ก็ต้องปลูกเอง
การหาต้นกล้ามะตาดมาปลูกนั้นไม่ต้องไปเดินหาใต้ต้นแม่ เพราะโอกาสที่เมล็ดมะตาดจะกระเด็นออกมาจากผลแก่ที่ร่วงหล่นเพื่อจะงอกนั้นเป็นไปได้ยากมากดังเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้ว อีกประการหนึ่งคือผลมะตาดที่สอยมาทำแกงก็เป็นผลอ่อน ส่วนของผลจริงที่โยนทิ้งไปก็ไม่มีโอกาสงอกเพราะเมล็ดยังไม่แก่ ฉะนั้นท่านต้องหาผลแก่มาแยกเอาเมล็ดออกมาเพาะ ซึ่งเมล็ดงอกง่ายมาก เปอร์เซ็นต์ความงอกก็สูงด้วย จากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ต้นมะตาดมีการแพร่กระจายน้อยมาก ถ้ามนุษย์ไม่ช่วยกันแพร่พันธุ์ ไม่แน่ว่ามะตาดอาจจะสูญพันธุ์ได้ในอนาคต จึงขอเชิญชวนให้หันมาปลูกมะตาดกันเพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช แม้ไม่กินผลท่านก็ได้ไม้ประดับที่สวยงามทั้งดอก ผล ทรงพุ่ม และยังให้ร่มเงาด้วย
เอกสารอ้างอิง
วิชัย ปทุมชาติพัฒน์. (2552). การสำรวจพรรณไม้
ในวัดในกรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, กรุงเทพมหานคร.
________________. (2552). พรรณไม้ในวัด.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีแห่งชาติกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,กรุงเทพมหานคร.
สวนพฤกษศาสตร์ภาคตะวันออก (เขาหินซ้อน).
(2550). พืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพร. ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจตนารมณ์ภัณฑ์, ปราจีนบุรี.
เอื้อมพร วีสมหมาย และ ปณิธาน แก้วดวงเทียน.
(2547). ). ไม้ป่ายืนต้นของไทย 1. โรงพิมพ์ เอ็ช เอ็น กรุ๊ป จำกัด, กรุงเทพมหานคร.